หากฉันจะแต่งงาน..
ใครหลายคน อาจเคยคิดเรื่องนี้ การแต่งงานนี้ เกิดขึ้นเพราะความรัก หรืออารมณ์กันแน่ ความเหงา ความเศร้า ต้องการเพื่อนอยู่เคียงข้าง.. แต่สำหรับฉัน ...ไม่มีคำตอบ
หากฉันได้แต่งงาน จะไม่แต่งในโรงแรม อยากหมั้นในโบสถ์ และแต่งในสวน (ฉันนับถือพุทธ แฟนก็พุทธ ใครจะให้ทำพิธีในโบสถ์ อดกัน) แม่ฉันว่าบ้า ใครเขามาแต่งงานกันในสวนเล็กๆ
ฉันบอกว่า ไม่ใช่จะสร้างความแตกต่าง แต่คนเราสามารถมีไอเดียของตัวเองได้ ไอเดียที่ดีอีกอย่างก็คือ คิดว่าคนเราน่าจะมี คู่หมั้น คือก่อนแต่งสามเดือน หรือหกเดือน หมั้นกันก่อน เวลาไปไหน ใครถาม บอกว่าเป็น คู่หมั้น (น่ารักดี) แม่บอกว่าถ้าหมั้นเดี๋ยวเลิก ฉันเลยแย้งเบาๆ ว่า แล้วที่แต่งอยู่กันนั้น รักเท่าเดิมหรือไม่ ส่วนแฟนก็คิดว่าจะเสียเงินหลายรอบ ไม่ว่าใครก็มักจะบอกว่า อย่าหมั้นเลยเปลือง เดี๋ยวไม่แต่งเสียเวลาอีก หมั้นเช้า แต่งเย็น ประหยัดดี หมั้นบ่าย แต่งค่ำ ได้แต่งแน่
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2552 |
|
2 comments |
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2552 21:40:18 น. |
Counter : 1034 Pageviews. |
|
|
|
คือว่าอย่างนี้ครับ หนุ่มสาวพบกันครั้งแรกชอบกันก็เพราะรูปร่างหน้าตาถูกสเป็คกันหรือไม่ พอแต่งงานเป็นครอบครัว ก็หมายถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุขระหว่างคนสองคน การอดทน การเอาใจเขามาใส่ใจเราช่วงต้นๆนี้อยู่ในระหว่างการปรับตัวเข้าหากันหลังจากที่เคยอยู่คนเดียวทำอะไรคนเดียวตลอดไม่เคยคิดถึงใคร พอลูกโต ก็อยู่ในฐานะเพื่อนร่วมคิดร่วมปรึกษาสองหัวดีกว่าหัวเดียว ห่วงเรื่องการศึกษาการเติบโตของลูกจากเรื่องของสองคนก็กลายเป็นเรื่องของบุคคลที่สามคือลูก
สรุปคือ แต่งเถิดครับถ้าแต่งด้วยอารมณ์หวือหวาพาไปก็คิดดูให้ดีก่อน แต่ถ้าความคิดอ่านเหมือนกันหรือทันกัน รสนิยมคล้ายกันก็รีบแต่งเถิดครับ จะมีความสุข เพราะการอยู่ต้องอยู่ด้วยการนานๆรูปร่างหน้าตาไม่สำคัญหรอกครับ เดี๋ยวมันก็เหี่ยว