โรงหนังดี ๆ ... ใกล้เพียงคลิก
Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
23 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
The Man Who Shot Liberty Valance : เมื่อกฏหมายประทะกฏหมู่




หนังเรื่องนี้ สร้างเมื่อปี ๑๙๖๒ นับถึงตอนนี้ ก็อายุครบ ๔๕ ปีพอดี แม้จะเก่าขนาดที่เรา ๆ เรียกลุง เรียกอาได้แล้ว แต่หนังเรื่องนี้ ก็ยังคงทำหน้าที่ตอบคำถามถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งที่เราเรียกกันว่า "กฏหมาย" ได้อยู่เสมอ...

..เป็น ครั้งแรก และครั้งเดียว ที่มีการจับเอาสตาร์ชั้นนำของแวดวงหนังตะวันตกมาประทะกันอย่างยิ่งใหญ่ ดาราระดับตำนานหน้าหนึ่งของหนังคาวบอยอย่าง จอห์น เวย์น รับบท ทอม โดนิฟอน นักเลงปืนและเจ้าของไร่ปศุสัตว์แห่งดินแดนตะวันตก ผู้ยึด "กฏหมู่" เป็นเครื่องมือในการตอบโต้กับเหล่าคนนอกกฏหมาย "กฏ" ของ โดนิฟอน ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน คือ การใช้ปืนตัดสินผิด-ถูกใน ชั่วเวลาลั่นไก... , เจมส์ สจ๊วต อีกหนึ่งตำนานของหนังคาวบอย และผู้รับบทนำในหนังชั้นดีของ อัลเฟรด ฮิทค๊อค อย่าง Vertigo, Rope มาครั้งนี้ รับบทเป็น แรนซั่ม สต๊อคดา์ร์ด นักกฏหมายจากแดนห่างไกล ที่ตัดสินใจมายังบ้านป่าเมืองเถื่อน เพื่อใช้ "กฏหมาย" เป็นเครื่องมือผดุงความยุติธรรมตามความมุ่งมั่นของเขา .. , ขณะที่ ลี มาวิน ดาราขาประจำของผู้กำกับ จอห์น บัวแมน มารับบทเป็น ลิเบอร์ตี้ วาแล๊นซ์ วายร้ายตัวฉกาจประจำเมือง ที่ท้าทายอำนาจ "กฏหมาย" ในมือของ สต๊อคดา์ร์ด ..

---------------------------------------------------------------



หนังเปิดเรื่องด้วย การหวนคืนกลับมายังเมืองที่ แรนซั่ม สต๊อคดาร์ด ในมาดวุฒิสมาชิก ได้รับการขนานนามว่า "ชายที่ยิง ลิเบอร์ตี้ วาแล๊นซ์" เขากลับมาท่ามกลางความสงสัยของเหล่าสื่อหนังสือพิมพ์ ว่าเหตุใด ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติจึงเดินทางมายังเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ .. คำตอบที่ได้รับจาก สต๊อคดาร์ด คือ .. เขามางานศพของชายผู้หนึ่ง ... ผู้ซึ่งถูกความศิวิไลซ์และคนรุ่นใหม่ลืมเลือนเขา้หายไปจากความทรงจำ.. ที่ครั้งหนึ่ง เขาเคยเป็น ขาใหญ่ประจำเมือง ทั้งเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป .. ผู้ชายคนนั้น ชื่อ "ทอม โดนิฟอน" .. และการมาถึงของท่านวุฒิสมาชิก .. ยังเป็นการเปิดเผยความลับและเรื่องราวในอดีตทั้งมวลของเขาว่า เพราะอะไร จากนักกฏหมายหนุ่มจึงกลายมาเป็น "ชายที่ยิง ลิเบอร์ตี้ วาแล๊นซ์" และในที่สุดกลายเป็น หนึ่งใน วุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ..

ระหว่าง ที่หนังเดินเรื่องไปตามเส้นทางของ แรนซั่ม สต๊อคดาร์ด พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อมั่นที่เขามีอยู่ต่อกฏหมายในมือของตัวละคร ตัวนี้ ... เราผู้ชมซึ่งคอยติดตามมาตลอด ก็เริ่มมีแนวโน้มคล้อยตามไปด้วยอย่างไม่ทันรู้ตัว การที่หนังแบ่งแยก "สี" ของ ตัวละครชัดเจน ว่า ใคร ขาว ใคร ดำ นั้่น ทำให้เราพร้อมจะเทใจเลือกข้างได้โดยง่าย ตัวละครของ โดนิฟอน นั้น แต่งกายในชุดสีเข้ม แต่ไม่ถึงกับดำ ด้วยความที่เป็นหนังขาวดำ ตัวละครของโดนิฟอน คงจะเป็นสีเทา ในความ ขาว-ดำ นั้น ผิดกับ สต๊อคดาร์ด .. แต่แรกเขาจะปรากฏตัวในเสื้อสีขาว หรือ โทนสว่าง แต่พอเรื่องดำเนินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ไคลแม๊กซ์ เราจะเห็นว่า ความขาว ความสว่างของตัวละครนี้ถูก "แปดเปื้อน" ไป จากเสื้อที่ถูกโคลน , ถูกสี หรือ ถูกความมอมแมม เข้าป้ายแต้มให้หมองลงไป... ตรงข้ามกับ ลิเบอร์ตี้ วาแล๊นซ์ ที่เปิดตัวมาด้วยเสื้อโค๊ทสีดำพร้อมกับพรางหน้า หลังจากนั้น ตัวละครนี้ก็ใส่ชุดโทนสีดำมาตลอด แทนความชั่วร้าย ในเรื่องได้อย่างชัดเจน ...

สื่อนัยว่า แรนซั่ม สต๊อคดาร์ด เริ่มโน้มเอียงคล้อยตามความเห็นและ วิถีความคิดของ ทอม โดนิฟอน ที่เลือกจะยืนคร่อมระหว่าง ความรุนแรง กับ กฏหมาย ในการใช้ต่อสู้กับพวกเหล่าร้าย ... สิ่งที่ โดนิฟอน กระทำถือว่า มีความผิดในทางกฏหมาย แต่เป็นความถูกต้องในความเป็นจริง ... การกระทำของเขาจึงไม่ใช่การกระทำที่ขาวสะอาดนักในมุมมองของกฏหมาย แต่เป็นสีเทา ... ซึ่งคาบเกี่ยวระหว่างความสว่างและความมืดในเฉดสี ..

กระทั่ง ตัวละครผู้หญิงในเรื่อง ก็ถูกจำกัดบทบาทไว้ที่เป็นตัว "เสริม" ของตัวละครชาย มากกว่าจะเป็นตัวละครหนักตัวหนึ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องให้เดินหน้าไป .. เพราะความที่ จอห์น ฟอร์ด จงใจจะเล่าถึงกฏของแดนเถื่อน ผู้หญิงในเรื่องจึงมีสิทธิและบทบาทที่น้อยผิดกับหนังในปัจจุบัน .. สะท้อนความเป็นจริงถึง เมื่อคราวแรกเริ่มประชาธิปไตยก้าวเดิน .. ผู้หญิงถูกจำกัดบทบาทให้เป็นเพีัยง "ผู้คล้อยตาม" เท่านั้น ไม่มีสิทธิจะออกเสียงเฉกเช่นผู้ชาย... ดังจะเห็นว่า ฉากที่มีการโหวตเลือกผู้แทนเมืองนั้น ... ไม่มีผู้หญิงอยู่ในวงโหวตเลย ซึ่งตรงกับประชาธิปไตยในแรกเริ่มที่ผู้หญิงจะไม่มีสิทธิในการออกเสียงนั่น เอง ...

---------------------



หนังเลือกจะจบตัวเองลงตรงที่ สต๊อคดาร์ด เปิดเผยความลับถึง "ชายที่ยิงลิเบอร์ตี้ วาแล๊นซ์" ว่า แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ฝีมือของเขา หากแต่เป็นของ ทอม โดนิฟอน ชายที่เชื่อมั่นใน "ปืน" มากกว่า "กฏหมาย" แต่แล้ว นักข่าวที่สัมภาษณ์และได้ฟังเรื่องราวมาโดยตลอด กลับเลือกที่จะโยนกระดาษที่จดเรื่องราวทั้งหมดไว้ ทิ้งลงในเตาเผาฟืน.. และยังฝากประโยคที่น่าจดจำไว้ว่า "เมื่อตำนานกลายเป็นความจริง .. จงพิมพ์ตำนานนั้นเสีย" .. ซึ่ง หมายความว่า ในบางกรณี การทิ้งความจริงไปเพื่อให้คงไว้ซึ่งตำนานนั้น น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมแล้ว ...

เพื่อว่า ในบางครั้ง ... ตำนาน ยังประโยชน์ให้มากกว่า "ความเป็นจริง" ที่สมควรจะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ...

เหมือนอย่างที่คนหลายคนในปัจจุบัน ที่กำัลังพยายามจะปกปิดความเป็นจริงของตัวเองไว้ ... เพื่อสร้าง "ตำนานหลอก ๆ" ให้ถูกจดจำไว้แทนที่ ..

เพราะความเป็นจริง มันไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างตำนานที่ยกย่องกันเองหรอก...





Create Date : 23 เมษายน 2550
Last Update : 24 เมษายน 2550 1:29:01 น. 0 comments
Counter : 791 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

paphartnet
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุยกันได้นะครับ ออน M บ่อยอยู่แล้วผม ยิ่งกับคอหนังเก่า ๆ เหมือนกัน Add มาเลยครับ ฮ่า ๆ


อาจพบตัวบ่อย ๆ ที่ห้องศุภฯ นะครับและบางครั้งที่ ห้องเฉลิมไทย ...
Friends' blogs
[Add paphartnet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.