มีนาคม 2556

 
 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
หนัง+++ฉลุย พี่เอ็ม สุรศักดิ์ น่ารักอ่ะ
ฉลุย..คิดถึงพี่เอ็ม สุรศํกด์ วงษ์ไทย..




‎27/11/11
ตะกี้ดู"ฉลุย" บิลลี่ พี่เอ็ม...โห หนังในดวงใจเจ๊เลยนะเนี้ย แต่วางเว้นมาหลายปี (ขี้เกียจรื้อแผ่น) พอดีเว็บบิทเอามาแบ่งปัน เจ๊เลยโหลดไว้..สนุก.ชอบ..หนังฝันซ้อนฝัน หนังตามล่าฝัน พี่เอ็ม สุรศักดิ์ วงษ์ไทย หายไปเลย..ดาราคนโปรดเจ๊เลย ชอบพี่เอ็มมาก ส่วนบิลลี่โอแกน ช่วงน้ำท่วม เห็นมีข่าวมาระเบิดอารมณ์ด่ารัฐบาลช่วงน้ำท่วมอยู่..
ขนมครกเจ็ดสี
ขนมครกอุดมด้วยสาระ
ตะบองเพชร
น้องตุ๊กตา
โต้ง กับ ป๋อง...
อยู่ง่ายแค่ปลายนิ้วแบบนี้คงได้ดูกันบ่อยๆล่ะ
++++
เขาบอกทำรายได้ 12 ล้าน ปี 31
(ตอนนั้นทองบาทละ 4000 เอ๊ง)

อันนี้ชัด แต่อันข้างบนจะให้ดู ป๋าต๊อก เล่นเป็นพี่เต๋อ ฮาซ่ะ

//www.oknation.net/blog/print.php?id=282259

ฉลอง 20 ปี หนัง ฉลุย


พ.ศ.2531 นอกจากภาพยนตร์เรื่อง "บุญชู ผู้น่ารัก" ที่มีอายุครบ 20 ปีในปี พ.ศ. 2551 แล้ว ก็ยังมีภาพยนตร์ยอดฮิตอีกเรื่องที่จะมีอายุเท่ากับหนังบุญชูเช่นกัน เพียงแต่เรื่องราว ตัวแสดง ผู้สร้าง ผู้กำกับ ผู้ร่วมงานเกือบทั้งหมด ไม่ได้มาจากเรื่องบุญชู

ผมเขียนถึงภาพยนตร์ชื่อสั้นๆ ว่า "ฉลุย" (อ่านว่า ฉะ-หลุย) ผลงานของชายหนุ่มเลือดสุพรรณที่คนทั่วไปมักรู้จักเขาในนามว่า "อังเคิล" สร้างโดย "ไท เอ็นเทอร์เทนเม้นท์"

คำว่า "ฉลุย" มักปรากฏเมื่อผู้คนแสดงกิริยาอาการอันดีใจที่ได้ทำงาน หรือได้เรียนหลังจากสอบจนได้คะแนนผ่านเกณฑ์ อย่างนั้นก็เรียกว่า "ฉลุย" นอกจากนั้นคำนี้ยังปรากฏตามสื่อต่างๆ ไม่เว้นสื่อภาพยนตร์ก็มีคำนี้ปรากฏในหนังอยู่ไม่น้อยเรื่อง และยังปรากฏเป็นชื่อเรื่องด้วยโดยแบ่งออกเป็นหลายภาค ชื่อเรื่องและเรื่องราวแต่ละภาคก็จะต่างกันไป

ผมเริ่มได้ยินฉลุยมาจากหนัง แต่มาติดตามดูจริงๆทั้งเรื่องก็ตอนที่เป็นละครทีวีครั้งหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นละครที่สร้างมาจากหนังดังเรื่องเดียวกัน ช่วงนั้นจำได้แต่ว่าสมัยเป็นหนัง มีบิลลี่ กับ เอ็ม เป็นพระเอกใน "ฉลุย" ภาคแรก มา "ฉลุย โครงการ2" ก็เปลี่ยนตัวบิลลี่มาเป็นซูโม่กิ๊ก แล้วก็มาเป็น "ฉลุยหิน" และ "วาไรตี้ผีฉลุย" จำได้แค่นั้น จนกระทั่งอีกสี่ห้าปีถัดมา ผมก็ไปขุดวิดีโอแล้วเก็บมาจนได้ ครั้งแรกซื้อหนังฉลุย ครั้งที่สองซื้อหนังฉลุย 2 จนเมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งซื้อฉลุยหินมาดู และทั้งสามเรื่องก็ติดตามดูตลอดและหลายๆรอบ ส่วนผีฉลุยนั้น...ยังไม่ได้ดู แต่พอจะรู้ว่าในอดีตนั้นมันมีเรื่องราวอะไรที่ให้เราได้จดจำและคิดเพื่อที่จะสร้างความฝันของตนเองบ้าง

เรื่องราวของหนังเรื่องนี้ เริ่มแรกออกจะน่ารักๆ ไม่มีภูตผีมาก่อกวน กล่าวถึงการต่อสู้ชีวิตของชายชื่อ "ป๋อง" (รับบทโดย บิลลี่ โอแกน) กับ "โต้ง" (รับบทโดย สุรศักดิ์ วงษ์ไทย) มีความฝันอยากเป็นนักดนตรีชื่อดัง แต่กว่าจะไต่ฝันมาได้นั้นก็ต้องทำอะไรๆหลายๆอย่าง ได้พบกับเพื่อนบ้านอย่างป้าวิ และสาวสวยชื่อ "ตุ๊กตา" ซึ่งรับบทโดย รัชนก พูนผลิน จนกระทั่งป๋องกับโต้งมาทำขนมครกเจ็ดสี แล้วเปลี่ยนมาขายขนมครกเพื่อสุขภาพ ผสมด้วยวิตามินซี จนมีลูกค้าเกิดไม่พอใจ เมื่อเจ๊งก็ต้องยอม และแล้วความฝันก็ใกล้จะเป็นจริง ได้ร้องเพลง เล่นคอนเสิร์ต แต่ก็ตื่นจากฝันจนได้งานทำของแต่ละคน ในภาคแรกนี้เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ของตัวอังเคิล ผู้ซึ่งไม่ค่อยมีประสบการณ์จากการทำหนัง แต่ชอบดูหนัง และแล้วเขาก็สามารถทำหนัง ทำบทที่ไม่ไร้สาระ แถมยังลำดับภาพได้ดี จนได้รับรางวัลตัดต่อยอดเยี่ยมจากงานมหกรรมภาพยนตร์เอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 33 ที่จังหวัดภูเก็ต และได้กำไรนับสิบล้านจากการฉายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2531 ทั้งที่เรื่องราวในหนังมาจากชีวิตอันเจ็บปวดของตัวเขาเอง ตั้งแต่อังเคิล พบกับ "ปื๊ด" หรือ ธนิตย์ จิตนุกูล เมื่อเข้าทำงานในโลกแห่งศิลปะจนกระทั่งเข้าทำงานในโลกภาพยนตร์ด้วยการโซโล่หนังเรื่องดีแตกจนประสบภาวะขาดทุน

มาภาคสอง "ฉลุย โครงการ2" ฉายในช่วงเดือนมีนาคม 2533 ซึ่งฉายออกมาขัดตาทัพหนังเรื่อง "ปุกปุย" ที่เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่รอคอยก็เห็นจะได้ ตัวละครมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย และมีการเพิ่มตัวละครที่มาจากหนังเรื่อง "ซึมฯ" กับ "ปลื้ม" เข้ามาเพิ่มสีสัน แถมยังมีดารารับเชิญระดับอภิมหาอมตะ(ทั้งที่ตายไปแล้วและยังไม่ตาย)มาร่วมแสดงกันหลายต่อหลายท่าน ป๋องมีรูปร่างที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นชัด (ในที่นี้รับบทโดย ซูโม่กิ๊ก) ขณะที่โต้ง(คนเดิม หน้าเดิม)ไว้ผมยาวขึ้นเรื่อยๆ แถมยังพกแฟนใหม่ชื่อ "นัท" ซึ่งรับบทโดย นัท มีเรีย กับหนังเรื่องแรกๆของเธอสมัยยังไม่ทำบัตรประชาชน เรื่องนี้มีการถ่ายทำไกลถึงจังหวัดภูเก็ตด้วย ว่าด้วยชีวิตการทำงานของป๋องซึ่งปักหลักอยู่ในโรงแรมแอนด์รีสอร์ทที่ภูเก็ต โดยมีตุ๊กตา(รับบทโดย รัชนก คนเดิม) ทำงานอยู่ที่นั่น ขณะที่โต้งและผองเพื่อนได้ไปภูเก็ตจนได้พบกับป๋องและพาป๋องกลับกรุงเทพฯ ซึ่งต้องผ่านการผจญภัยหลายวิธี เมื่อถึงกรุงเทพฯก็ได้พบกับสิ่งๆหนึ่งที่เป็นความทรงจำของพวกเขานั่นคือ..บ้านสีรุ้ง และยังต้องพบกับผีบ้า ที่ได้ซูโม่เจี๊ยบ มาเพิ่มความน่ากลัวให้กับหนังเรื่องนี้ ซึ่งดูจะค่อยๆน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น นั่นก็เป็นเหตุให้โครงการสองประสบความสำเร็จไม่แพ้ภาคแรก ในยุคที่หนังผีปนตลกระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมืองจากเรื่องบ้านผีปอบ นอกจากนี้ในเรื่องยังมีการเอารายการดังอย่าง "ท้าพิสูจน์" มาเสนอด้วยการท้าปอกทุเรียนแบบใหม่ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนนอกจากในหนังที่เดียว และยังเสนอการดำเนินชีวิตของตัวละครแต่ละคนในอีก 4 ปีถัดไป เรียกว่าเต็มไปด้วยอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ได้จากฉลุยไปอีกแบบ หรือว่าเป็นการนำเอา ซึมฯ-ปลื้ม-ฉลุย และฉลุยอีก มารวมไว้ในเรื่องเดียวกัน

อีกสามสี่ปีถัดมา เรื่องฉลุยก็เปลี่ยนไปเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง "ฉลุยหิน คนไข่สุดขอบโลก" ว่าด้วยเรื่องราวของการดำเนินชีวิตต่อสู้ของผู้คนที่อาศัยอยู่บนโลกพื้นเหลืองๆ ยุคหินฟริ๊นสโตน ซึ่งไม่มีสิ่งสวยสดงดงามอะไรมากมายเช่นสังคมเมืองในปัจจุบัน สำหรับผู้แสดงที่ยืนมาตั้งแต่ภาคแรกก็มีเอ็มที่เปลี่ยนตัวละครมาเป็น "ป๋อง..ป๋อง"แล้ว ซึ่งต้องเปลี่ยนบุคลิกจนผิดหูผิดตา หรืออาจเป็นเพราะว่าช่วงนั้นเอ็มหันไปอยู่เบื้องหลังจนไม่ค่อยมีงานแสดงออกมาให้เห็นบ่อยๆ เมื่อกลับมาเล่นหนังด้วยฉลุยภาคหินก็ทำให้คนดูบางคนที่คุ้นหน้าอาจไม่คุ้นหน้า แต่พอคุ้นเสียงได้ ยังไงแฟนๆก็ยังรักพี่เอ็ม ส่วนตัวละครและผู้แสดงในเรื่องก็เปลี่ยนเซ็ทหมด แถมทีมงานก็มีทั้งที่คุ้นเคยจากภาคแรกๆ และหน้าใหม่ๆเข้ามาอีกมาก เมื่อฉลุยหินฉายออกสู่สายตาสามัญชนคนธรรมดาในปี พ.ศ.2537 ก็มีรู้สึกที่ไม่เหมือนเคย จนทำให้หนังเรื่องนี้ต้องกลับประสบภาวะไม่ดีนัก แต่ก็ได้รางวัลไม่น้อย ทว่าเรายังได้เห็นเทคนิคใหม่ๆ หรือมุมมองใหม่ๆในการทำหนังอีกด้วย(เช่นเทคนิค stop motion) ...ที่คนดูตาดำๆในยุคทองของหนังวัยรุ่นขาสั้นเกลื่อนเมืองอาจมองข้าม และอีกสิบปีถัดมา พ.ศ.2548 อังเคิลก็สร้างเป็น "วาไรตี้ผีฉลุย" อันนี้ผมคงไม่ต้องเขียนมาก เท่าที่รู้มาเรื่องหลังนี้มีดารารับเชิญมากมายเป็นประวัติการณ์ สิ่งต่างๆที่ได้จากเรื่องหลังนี้ก็เปลี่ยนไปจากเดิมแทบทั้งสิ้น เป็นความสุข ความทรงจำ ในบ้านหลังใหม่ เมื่อไทเป็นจีทีเอช อังเคิลก็ต้องพึ่งค่ายใบโพธิ์

นอกจากภาพยนตร์แล้ว ค่ายละคร "บรอดคาสท์" ก็ได้นำเรื่องฉลุยของอังเคิลมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ โดยเน้นเอาเรื่องราวจากภาคแรกๆมาสร้างเป็นบทละคร ให้ สราวุฒิ มาตรทอง มาเป็น "ป๋อง" และสราวุฒิ พุ่มทอง มาเป็น "โต้ง" (ถ้าจำไม่สลับกัน) เนื้อหาในละครจึงยืดยาวกว่าภาพยนตร์อย่างที่รู้ๆกัน ซึ่งต้องมีตัวละครและฉากเพิ่มเข้าไปอีกหลายๆ ตัว และมีเพลงประกอบอีกหลายๆบทเพลง รวมทั้งเพลงจากออริจินัล "ก็มันเป็นอย่างนั้น" ฉายในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2541 ทางช่อง 3

และในปีนี้ เป็นปีที่ภาพยนตร์ตระกูล "ฉลุย" มีอายุครบสองทศวรรษพอดี จากกลางปี 31 ที่พวกเขาเริ่มสร้างเริ่มถ่ายทำจนออกฉาย มาถึงกลางปี 51 ที่พวกเราต่างนับด้วยสมองหรือนับนิ้วให้เห็นได้ว่า ...20 ปีแล้วจ้า

อายุ 20 เป็นอายุแห่งการหางานทำของคนหนุ่มคนสาว ขณะที่คนที่ติดตามดูหนังฉลุยไม่ว่าจะเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หรือสัก 10 ปีที่แล้ว ณ วันนี้คือผู้มีประสบการณ์อันยาวนาน ฉลุยบ้าง ไม่ฉลุยบ้าง แต่รู้ดีว่า ป๋อง โต้ง เพื่อนๆ รวมทั้ง อังเคิล คือผู้ผ่านฉลุยมาแล้วทั้งในโลกแห่งนิยายและโลกแห่งความจริง

ปีนี้ก็ยังไม่มีข่าวดีว่า "ฉลุย" จะกลับมาทำใหม่อีกครั้ง จะทำกับค่ายไหนยังไม่ตกลง หากปีนี้ไม่มีอะไรแฟนๆ ก็ต้องรอจนหนังมีอายุ 22 ปี 24 ปี หรือ 30 ปี แล้วจะมีข่าวดี ฉลุยภาคใหม่..จะเป็นการเอาดาราจากโครงการแรก โครงการสอง มาเล่นกับรุ่นลูก หรือจะเอาฉลุยหินกลับสู่สังคมไทย ตีความใหม่ให้ชาวบ้านฟังรู้เรื่อง หรือจะเอาอย่างไรดี แต่สิ่งที่เราหวังให้มีอยู่ในเรื่องก็คือเรื่องการดำเนินชีวิตท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม เห็นตอนนี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี ค่าแรงก็ตกต่ำ ทำนายว่าคนตกงานจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงคนทำหนังก็จะเลิกทำหนัง เราขอภาวนา..ถ้าอังเคิลยังไม่เลิกทำหนังก็ไม่ควรลืมที่จะเอาสิ่งนั้นมาใส่ในเรื่องฉลุยภาคใหม่ถ้ามีจริง

ไม่แน่...เรื่องนี้อาจกลับมาฉลุยอีกครั้ง เมื่อไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับอังเคิลจะกล้าเปล่า..(ขอทำสำเนียงเหน่อๆให้อังเคิล)
++++++++

//www.oknation.net/blog/print.php?id=176699

ฉลุย

ในวัย สามสิบต้นๆก็เริ่มพูดเรื่องเก่าเล่าความหลังซะแล้วซิเรา อิอิ เลยหยิบหนังเก่ามา Preview ดีกว่า


ฉลุย กำกับ โดย อังเคิล เป็นหนังของค่าย ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์

ผมดูเรื่องนี้ตอนเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม โดยออกมาตามหลังความสำเร็จของหนังวัยรุ่น เรื่องเหล่านี้ที่สร้างชื่อให้อังเคิล

ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย รักซึมลึก และ ปลื้ม

ในส่วนของสามเรื่องนี้ ผมไม่มีโอกาสได้ดูในโรง รู้สึกจะดูที่ช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณเนี่ยแหละ

ฉลุยเป็นหนังเรื่องแรกที่ผมดูโรงเกินหนึ่งรอบ (สงสัยจะไม่เข้าใจการเล่าเรื่อง)
ดารานำแสดงก็คือ บิลลี่ โอแกน เล่นเป็น ป๋อง ซึ่งค่อนข้างดังมากในสมัยนั้น รู้สึกว่าจะออกเทปมาหนึ่งชุดแล้ว



ขอนอกเรื่องหน่อยเกี่ยวกับพระเอกที่ใส่แว่นก็มี บิลลี่นี่แหละที่ใส่แล้วเท่ แล้วก็ สัญญา คุณากร อีกคนก็นีโน่ เมทนี บูรณะศิริ

ในหนังได้นำเพลงของบิลลี่มาเป็นเพลงประกอบด้วย ชื่อเพลง วันนี้วันนั้นวันไหน ส่วนนักแสดงนำอีกคนคือ เอ็ม สุรศักดิ์ วงศ์ไทย รับบทเป็น โต้ง ขานี้เขาเกิดมาจากตัวประกอบ และเริ่มมีบทมากขึ้น ใน ปลื้ม ผมชอบบุคคลิกที่ดูซื่อๆบ้าของเอ็ม (ความจริงแกตัวเตี้ยแต่จะใส่ รองเท้าบูทส้นหนาๆและก็ไว้ผมยาวเป็นเอกลักษณ์)

ที่เหมือนกันอีกอย่างคือทั้งคู่เจาะหู ตอนนั้นผมก็แอบไปเจาะหูด้วยเพราะพวกพี่เขาเนี่ยแหละ (ดารามีอิทธิพลต่อวัยรุ่นจริงๆ) โดยภาพรวมบทของบิลลี่ดูเด่นกว่าเอ็มเล็กน้อย

บทสัมภาษณ์ของเอ็มเกี่ยวกับความเป็นมา ตอนเริ่มเข้าวงการบันเทิง

"ผมเข้าวงการมาตั้งแต่ปี 2528 คือเพื่อนที่เรียน ม.ปลายด้วยกันทำเสื้อผ้าให้หนัง ‘น้ำพุ’ อยู่ ซึ่งผมจะผอมมาก เพื่อนคงเห็นว่าน่าจะเหมาะกับบทเด็กติดยามั้ง (หัวเราะ) ก็เลยชวนไปแคสเป็นตัวละครชื่อ ใหม่ มีบทพูดด้วย ปรากฏว่าไม่ผ่าน เพราะเล่นไม่ได้ แต่ก็ได้เล่นเป็นตัวประกอบในเรื่อง แล้วก็ได้รู้จักกับพี่ยุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) ผู้จัดการกองถ่าย พอจบจากหนัง ‘น้ำพุ’ พี่ยุก็มาทำหนัง ‘ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย’ แกก็เรียกผมมาแคส พี่ปื้ด (ธนิตย์ จิตนุกูล) กับพี่อังเคิล (อดิเรก วัฏลีลา) ซึ่งเป็นผู้กำกับชอบมาก เลยได้เล่นหนังเรื่องแรก ตอนนั้นอายุประมาณ 21 ปี เพราะเป็นปีสุดท้ายที่เรียนรามฯ"

ความจริงตัวหนังไม่ได้พูดถึงวัยรุ่นที่เป็นวัยทีนเอจ 13-19 ปี แต่เป็นวัยรุ่นตอนปลายที่เพิ่งเรียนจบ (สมัยก่อนวัยรุ่นคือ อายุ 20 ขึ้น ต่ำกว่านั้นเหมาเป็นเด็กหมด ไม่เหมือนสมัยนี้) แต่ในขณะเดียวกัน ก็ฝันอยากเป็นศิลปินนักร้องไปสมัครตามค่ายเพลงต่างๆ (ช่วงนั้นวงการดนตรีไทยเริ่มเป็นระบบค่ายเพลงแล้ว) เมื่อไม่ได้ก็เลยต้องหางานที่ตรงกับวุฒิที่เรียนมาทำ แต่ก็ถูกปฏิเสธอีก มีช่วงหนึ่งที่คิดจะทำกิจการส่วนตัวโดยคิดค้นขนมครกสูตรพิเศษ ที่ทำท่าจะไปได้ดีดีแต่ตอนหลังก็เหลว

หนังยังพูดถึงระบบเส้นสายและความลำบากในการหางานทำ ชีวิตของเด็กบ้านนอกที่มาเรียนและหวังที่จะทำงานดีดีในเมืองกรุง

ผมชอบวิธีการเล่าเรื่องที่ สลับกันระหว่างความฝันกับความจริง ชีวิตบ้านเช่าและ ฉากที่พวกพระเอกไปเปิดแสดงคอนเสริตหน้าตึกที่ไหนซักที่ แล้วเล่นเพลง ก็มันเป็นอย่างนั้น (เพลงประกอบภาพยนตร์ ร็อค หนักแน่น ความหมายดี)

นักแสดงสมทบก็มี ญาณี จงวิสุทธิ (ป้ามะลิ)ญาติของนางเอก เล่นได้น่ารักดี ซูโม่ตุ๋ยมือกลองประจำวงและตัวป่วนประจำซอย และที่ขาดไม่ได้ คือนางเอกของเรื่อง แสดง โดย รัชนก พูลพลิน รับบทเป็นตุ๊กตาสาวในฝันของสองหนุ่ม (ตอนเล่นเรื่องนี้น่ารักมาก เป็นเรื่องแรกด้วย ตอนหลังไปได้ดีกับบทบาทนางร้ายในละครทีวี แต่ตอนนี้เล่นเป็นแม่ไปแล้ว) ซึ่งก็แปลกดีที่หนังมีพระเอกสองคนแต่มีนางเอกคนเดียว

ผมชอบความรักของป๋อง และ โต้งที่มีต่อตุ๊กตา เป็นความรักแบบ puppy love ไม่มีเรื่องของชู้สาว แบบว่าแค่ได้เห็นหน้าก็มีความสุขแล้ว ซึ่งดีมากสำหรับวัยเรียนและวัยที่ยังไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตตัวเองหรือคนอื่นได้ ก็ขอจบ preview ไว้เท่านี้ละกันจะเข้ามา update อีกถ้ามีข้อมูลใหม่ครับ

โดย ballbook
++++++++


ย้อนวันวานกับเอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย

...คอบันเทิงรู้จักเขาในฐานะพระเอกขวัญใจวัยโจ๋ที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งดิบและเซอร์ นอกจากนั้น เขาก็ยังเป็นร็อกเกอร์หนุ่มสุดเฟี้ยว ผู้มากับลีลากวน ๆ มัน ๆ ยามเมื่ออยู่บนเวทีคอนเสิร์ต แต่นั่นคือภาพอดีตของผู้ชายคนนี้


...ขณะที่ภาพปัจจุบัน คาแรกเตอร์ที่เราคุ้นตาดี ไม่ว่าจะเป็น ความดิบ ความเซอร์ และความเฟี้ยว ก็ยังมีให้เห็นเหมือนเดิม เพียงแต่อาจจะไม่ใช่ในฐานะนักแสดง หรือนักร้อง เนื่องจากเขาได้ผันตัวเองมาทำงานเบื้องหลังอย่างเต็มตัว โดยนั่งตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับหนังโฆษณา สังกัดแมชชิ่ง สตูดิโอ


...เอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย เคยประกาศก้องว่าจะงดรับงานเบื้องหน้าทุกชนิด จึงไม่แปลกใจที่เขาจะหายหน้าหายตาจากวงการบันเทิงไทยไปนานมาก จนกระทั่ง 4 ปีที่แล้ว เมื่อแอนิเมชันฟอร์มยักษ์ Shrek เวอร์ชันภาษาไทยเข้าฉาย ชื่อของเขาก็กลับมาพร้อมบทบาทการเป็นนักพากย์


...อีก 3 ปีถัดมา เอ็ม-สุรศักดิ์ ก็ยังคงได้รับความไว้วางใจจากค่ายหนังให้พากย์เสียงเจ้าลาจอมป่วน Donkey (เวอร์ชันฮอลลีวูดได้นักแสดงผิวหมึก เอ็ดดี เมอร์ฟี มาพากย์) ในแอนนิเมชันภาคต่อ รวมถึง Shrek ภาค 3 ที่กำลังจะเข้าฉายเมืองไทย 31 พฤษภาคมนี้ เอ็ม-สุรศักดิ์ ก็ถูกเรียกให้มาทำหน้าที่พากย์ตัวละครเดิมอีกครั้ง


...เราเจอกับ เอ็ม-สุรศักดิ์ ในวันเปิดตัวทีมพากย์ (คนอื่นที่มาร่วมพากย์ก็มี ติ๊ก ชีโร่ แคทรียา อิงลิช ดอม เหตระกูล และตั้ม-วิชญะ จารุจินดา) เมื่อสัปดาห์ก่อน เขาดูท้วมขึ้น แต่ยังเท่และน่ารักไม่เปลี่ยน ส่วนเรื่องคาแรกเตอร์เฉพาะตัว ไม่ต้องถามถึงหรอก ไม่เคยลดน้อยถอยลงเลย


...ก็ในเมื่อนาน ๆ เจอกันที เราจึงถือโอกาสให้อดีตขวัญใจของใครหลายคนย้อนชีวิตเมื่อวันวานในวงการบันเทิงให้ฟังเสียหน่อย เผื่อว่าจะคลายความคิดถึงได้บ้าง


"ผมเข้าวงการมาตั้งแต่ปี 2528 คือเพื่อนที่เรียน ม.ปลายด้วยกันทำเสื้อผ้าให้หนัง ?น้ำพุ? อยู่ ซึ่งผมจะผอมมาก เพื่อนคงเห็นว่าน่าจะเหมาะกับบทเด็กติดยามั้ง (หัวเราะ) ก็เลยชวนไปแคสเป็นตัวละครชื่อ ใหม่ มีบทพูดด้วย ปรากฏว่าไม่ผ่าน เพราะเล่นไม่ได้ แต่ก็ได้เล่นเป็นตัวประกอบในเรื่อง แล้วก็ได้รู้จักกับพี่ยุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) ผู้จัดการกองถ่าย พอจบจากหนัง ?น้ำพุ? พี่ยุก็มาทำหนัง ?ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย? แกก็เรียกผมมาแคส พี่ปื้ด (ธนิตย์ จิตนุกูล) กับพี่อังเคิล (อดิเรก วัฏลีลา) ซึ่งเป็นผู้กำกับชอบมาก เลยได้เล่นหนังเรื่องแรก ตอนนั้นอายุประมาณ 21 ปี เพราะเป็นปีสุดท้ายที่เรียนรามฯ"


...หลังได้ชิมลางหนังเรื่องแรก พร้อมทั้งสามารถแจ้งเกิดเป็นนักแสดงวัยรุ่นได้อย่างเต็มตัว จากนั้นก็มีงานแสดงหลั่งไหลเข้ามาให้เขาได้ทดลองฝีมืออยู่ไม่ขาด จนถึงหนัง "ฉลุย" (เล่นคู่กับ บิลลี่ โอแกน) เอ็ม-สุรศักดิ์ ก็มีโอกาสก้าวสู่การเป็นนักร้อง


"ในหนังจะมีบทที่ผมเล่นกีตาร์ด้วย โดยพี่บิลลี่จะเป็นคนร้องเพลง ทีนี้ทางค่ายคีตาคงเห็นเลยเรียกให้ผมไปลองทำ ผมบอกตามตรงนะว่าไม่มีความสามารถทางดนตรีหรอก เป็นศูนย์ หรือติดลบ ในหนังคือมั่วๆ เอา (หัวเราะ) ผมได้ออกอัลบั้มหลังพี่อ๊อฟ (พงพัฒน์) ออกอัลบั้มเดียวก็หายไปเลย


สำหรับผมนะ ตอนนั้นที่ตัดสินใจร้องเพลงเพราะอยากมีชื่อเสียง เมื่อมีคนมาชวนมีคนให้โอกาสก็ลอง ซึ่งสมัยนั้นใครๆ ก็อยากดัง แล้วผมก็ประเมินศักยภาพตัวเองว่าไม่น่าจะยาก น่าจะทำได้ แต่พอได้ลองทำแล้วมันรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ โน้ตก็ไม่รู้จัก ร้องก็เพี้ยนเยอะมาก เลยทำให้ผมหันกลับมามองตัวเองว่าถ้าทำต่อไม่น่าจะรอดแน่ ๆ เพราะฟังเสียงตัวเองทีไรก็รู้สึกอุบาทว์ทุกที (หัวเราะ)"


...ถึงแม้อดีตนักร้องจะออกตัวว่าเสียงไม่ดี แต่ทันทีที่อัลบั้ม "อยู่ตัวอยู่แล้ว" วางแผง ก็กลับได้รับเสียงตอบรับจากแฟนเพลงอย่างล้นหลาม


"งานนี้ผมว่าต้องยกนิ้วให้เรื่องดนตรีแล้วละ เพราะสมัยนั้นดนตรีมันมีเสน่ห์ ไม่มีความเป็นอิเล็กทรอนิกมาก เล่นกันออกมาจากใจ คนแต่งทำนองเก่งครับ มันดิบและมันจริง ไม่ได้เสแสร้งเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นเครดิตเลยต้องยกให้ทีมทำดนตรี"


...พอหมดหน้าที่ของการเป็นนักร้อง เอ็ม-สุรศักดิ์ ก็ยังวนเวียนอยู่ในวงการบันเทิง มีหนังให้เล่นเรื่อย ๆ แต่แล้วราวปี 2538 จวบจนปัจจุบันชื่อของเขาก็ค่อย ๆ หายไป ไม่มีผลงานการแสดงใดออกมาฝากแฟน ๆ เลย


"ที่หายไปคือไปทำมิวสิกวิดีโอกับเอสพี ศุภมิตร แต่พอบริษัทปิดตัวไป ก็เลยถามตัวเอง จริงๆ เราคงไม่ชอบเพลงหรอก แล้วอะไรละที่ชอบ จนมาสรุปที่อยากทำหนัง ทีนี้อยากทำหนังแต่เราไม่รู้ว่าจะไปเรียนรู้จากใคร เราก็มีชื่อของท่านมุ้ย (ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล) อยู่ในใจ วันหนึ่งท่านมุ้ยก็โทร.มาให้ไปแคสติงเป็นตัวละครในหนัง ?เสียดาย? ผมก็บอกท่านไปว่าถ้าจะให้เล่นคงแก่ไปแล้วละครับ จริงๆ ผมไม่อยากเล่นหนังหรอก แต่ผมอยากทำงานมากกว่า ท่านมุ้ยเลยบอก ถ้างั้นคุณมาทำงานกับผม นั่นละคือจุดที่ทำให้ผมเข้าสู่การทำเบื้องหลังหนัง


ผมทำงานเบื้องหลังกับท่านมุ้ยตั้งแต่ ?เสียดาย? ?เสียดาย 2? จนมาถึง ?สุริโยไท? ประมาณ 7-8 ปี ได้ความรู้กับท่านมุ้ยเยอะมาก เพราะท่านจะสอนตั้งแต่ต้นเลย เขียนบทด้วยกัน วางแผนการถ่าย ออกกองถ่าย ล้างฟิล์ม ตัดต่อ เหมือนเป็นการเข้าโรงเรียนเลยละครับ


ตอนนั้นงานแสดงไม่มีแล้ว จะมีก็แค่งานพิธีกร ?โชว์บาย โชว์ไบ? รายการเดียว โดยทำควบคู่กับงานเบื้องหลัง เพราะงานเบื้องหลังไม่ค่อยมีเวลา ทำให้ต้องลดงานอื่นๆ ลง แล้วเราก็เบื่อจะแสดงด้วยละ ขี้เกียจแสดง ขี้เกียจแต่งตัว ขี้เกียจแต่งหน้า ก็มีคนมาติดต่อเยอะ แต่เพราะคาแรกเตอร์เราชัดเจนว่าเป็นอย่างนี้ เลยไม่อยากเปลี่ยน และคิดว่าคงจะไม่รับงานแสดงอีกแล้วละ"


...อยู่วงการบันเทิงไทยมานานหลายปี เราจึงอดถาม เอ็ม-สุรศักดิ์ ถึงสิ่งที่ประทับใจสุดเสียไม่ได้ เขาว่าอยู่วงการนี้ทำให้รู้จักคนมากขึ้น พร้อมๆ กับได้รู้จักตัวเองมากขึ้นเช่นกัน


"วงการบันเทิงมันย่อสังคมคนลงมาให้เรารู้จัก ทำให้เรามองเห็นคน แล้วก็ทำให้รู้ว่าแต่ละคนเป็นยังไง ชีวิตในวงการมันสอนให้ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เข้าใจและเห็นใจคนอื่นมากขึ้นด้วย" อดีตพระเอกและนักร้องขวัญใจวัยโจ๋ ทิ้งท้ายก่อนการสนทนาจะจบลง







Create Date : 27 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2554 13:40:47 น.



Create Date : 04 มีนาคม 2556
Last Update : 4 มีนาคม 2556 11:36:05 น.
Counter : 6173 Pageviews.

2 comments
  
อยากดูฉลุย
โดย: od IP: 124.122.95.238 วันที่: 19 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:30:37 น.
  
ดูฉลุยภาคพี่หอยกับพี่วิลลี่ครับ
โดย: od IP: 124.122.95.238 วันที่: 19 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:33:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คงยุ่ง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Flag Counter
New Comments