เหตุที่ต้องบริโภคความรู้เป็นอาหาร
อันเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการประกอบกันทำให้แม่ต้องบริโภคความรู้มากมายจากหนังสือการเลี้ยงดูลูกหลายสิบเล่มอย่างต่อเนื่องตลอดการทำงานในอาชีพแม่เต็มเวลานี้ (น่าจะเรียกว่าตลอดชีวิตนี้มากกว่า)
ประการแรก แม่เพิ่งเคยมีลูก แม่ไร้ซึ่งประสบการณ์โดยสิ้นเชิง
ประการที่สอง แม่เลี้ยงลูกคนเดียว ไม่มีมือลอง (แบบว่าไม่มีตัวช่วย ไม่มี ปู่ ย่า ตา ยาย มาช่วยเลี้ยง)
ประการที่สาม แม่คาดหวังว่าจะต้องเลี้ยงลูกอย่างมีคุณภาพ (เลี้ยงให้เป็นคนดีและเป็นคนเก่ง)
หนังสือซึ่งเดิมเป็นแหล่งความรู้ที่แม่พึ่งพาอาศัยและให้ความเชื่อถือมาโดยตลอด
กลายเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดในวินาทีนี้
บริโภคเวลาไหนบ้าง
อย่างที่รู้ตอนนี้เวลาทั้งหมดในชีวิตแม่นั้นแทบจะเป็นของลูก 100 % เต็ม
ยกเว้น เวลา อาบน้ำ เข้าห้องน้ำ กินข้าว และเข้านอน
อ้าว แล้วอย่างนี้ แม่จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือหลายล้านตัวอักษรล่ะจ๊ะ
ไม่ยากเลย ก็เวลาเหล่านี้นั่นแหละ
ช่วงเช้า หลังจากตื่นนอน (อันนี้ แม่จำเป็นต้องรีบตื่นก่อนที่ภูจะลืมตาแล้วส่งยิ้มหวานให้แม่)
ช่วงสาย ตอนที่ภูหลับกลางวัน (หลังจากทำกับข้าวให้ภู กินข้าวของตัวเอง แทนที่แม่จะนอน ก็อ่านหนังสือแทน)
ช่วงดึก ตอนที่ภูเข้านอนแล้ว (อันนี้สำคัญมาก เพราะตั้งแต่มีภู แม่แทบจะไม่ดูทีวีเลย แม่ว่ามันทำให้เวลาของแม่มีเหลือเฟือ)
ช่วงอื่นๆที่เหลือ จะเป็นช่วงไหนไปไม่ได้ ก็ช่วงที่เข้าห้องน้ำไง 5 นาทีก็เอา
อ่านอะไรกันบ้าง แล้วได้อะไรกันบ้าง
(Book Review)
1. คุณคือครูคนแรกของลูก
เล่มนี้ซื้อมาตั้งแต่ต้องครรภ์ เพราะเห็นว่าเนื้อหาค่อนข้างน่าสนใจและเป็นอะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อน อีกอย่างคงจะเป็นเพราะชื่อหนังสือมันโดน แบบว่ามันตรงกับความคิดเห็นและความเชื่อส่วนตัว
ตอนที่อ่านแรกๆ ตอนนั้นยังไม่คลอดน้องภูเลย อ่านไปก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง บางอย่างก็ไม่เห็นภาพ เพราะยังไม่มีลูกตัวเป็นๆมาให้เลี้ยง อีกอย่างเนื้อหาของหนังสือก็ครอบคลุมไปถึงการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยโน่นเลย (แบบว่าไกลตัวเกินไป) แต่หลักๆที่พอจะจับใจความได้ ก็คงจะเป็น "หนังสือเล่มนี้เป็นแนวทางการดูแลเด็กตามแนววอลดอร์ฟ (Waldorf)" ซึ่งให้เห็นว่า หน้าที่ในการเลี้ยงดูลูกนั้น เป็นหน้าที่ของแม่ และเน้นให้เลี่้ยงดูเด็กตามธรรมชาติ ไม่เร่งรัด ไม่ืนธรรมชาติของเด็ก และที่สำคัญให้ความสำคัญกับการเล่นอย่างสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติ เพื่อที่จะไม่เป็นการปิดกั้นจินตนาการของเด็ก