ศรัทธามั่น....นิรันดร์
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2559
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
25 พฤษภาคม 2559
 
All Blogs
 

มงคลชีวิต บทที่ 10,11,12





มงคล ที่ ๑๐  มีวาจาสุภาษิต

มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

ปลามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ก็เพราะอาศัยปากเป็นสิ่งสำคัญ 

แต่ก็เพราะปากนั่นเอง  ปลาจึงต้องติดเบ็ดเสียชีวิตโดยง่าย

เช่นกัน วาจาสุภาษิตจากปาก

จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จ

ได้รับความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

ก็เพราะอาศัยวาจาสุภาษิตจากปาก

แต่ก็เพราะวาจาทุพภาษิตจากปากเพียงคำเดียว 

บางครั้งแม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้

วาจาสุภาษิต คือ อะไร ?

            วาจาสุภาษิต หมายถึง คำพูดที่ผู้พูดได้กลั่นกรองไว้ดีแล้วด้วยใจที่ผ่องใส มิใช่สักแต่พูด อวัยวะในร่างกายของคนเรานี้ก็แปลก          

           ตา         มีหน้าที่  ดู อย่างเดียว   ธรรมชาติให้มา ๒ ตา

            หู          มีหน้าที่  ฟัง อย่างเดียว ธรรมชาติให้มา ๒ หู

                        แต่ปาก มีหน้าที่ถึง ๒ อย่าง คือทั้งกินและพูด ธรรมชาติกลับให้ มาเพียงปากเดียว แสดงว่าธรรมชาติต้องการให้คนดูให้มาก ฟังให้มาก แต่พูดให้น้อยๆ ให้มีสติคอยระมัดระวังปาก จะกินก็กินให้พอเหมาะ   จะพูดก็พูดให้พอดี  ลักษณะคำพูดที่พอเหมาะพอดี  เป็นคุณทั้งแก่ตัวผู้พูดและผู้ฟังเรียกว่า วาจาสุภาษิต

องค์ประกอบของวาจาสุภาษิต

            ๑.        ต้องเป็นคำจริง ไม่ใช่คำพูดที่ปั้นแต่งขึ้น เป็นคำพูดที่ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่บิดเบือนจากความจริง ไม่เสริมความ ไม่อำความ ต้องเป็นเรื่องจริง 

           ๒.        ต้องเป็นคำสุภาพ  เป็นคำพูดไพเราะ  ที่กลั่นออกมาจากน้ำใจที่ บริสุทธิ์ ไม่เป็นคำหยาบ คำด่า คำประชดประชัน คำเสียดสี คำหยาบนั้นฟังก็ ระคายหู แค่คิดถึงก็ระคายใจ

            ๓.        พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ เกิดผลดีทั้งแก่คนพูดและคนฟัง ถึงแม้คำพูดนั้นจะจริงและเป็นคำสุภาพ แต่ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร กลับจะทำให้เกิดโทษ  ก็ไม่ควรพูด

            ๔.        พูดด้วยจิตเมตตา  พูดด้วยความปรารถนาดี  อยากให้คนฟังมี           ความสุข  มีความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป  ในข้อนี้หมายถึงว่า แม้จะพูดจริง เป็นคำ สุภาพ พูดแล้วเกิดประโยชน์ แต่ถ้าจิตยังคิดโกรธมีความริษยาก็ยังไม่สมควรพูด  เพราะผู้ฟังอาจรับไม่ได้ ถ้วยคำที่กล่าวด้วยจิตขุนมัว แม้เพียงประโยคเดียวอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงอย่างไม่อาจประมาณได้

            ๕.        พูดถูกกาลเทศะ แม้ใช้คำพูดที่ดี เป็นคำจริง เป็นคำสุภาพ เป็นคำพูดที่มีประโยชน์ และพูดด้วยจิตที่เมตตา แต่ถ้าผิดจังหวะ ไม่ถูกกาลเทศะ  ผู้ฟังยังไม่พร้อมที่จะรับแล้ว จะก่อให้เกิดผลเสียได้ เช่น จะกลายเป็นประจานหรือจับผิดกันไป

            -           พูดถูกเวลา (กาล)  คือรู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนยังไม่ควรพูด ควรพูดนานเท่าไร  ต้องคาดผลที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย

            -           พูดถูกสถานที่ (เทศะ) คือรู้ว่าในสถานที่เช่นไร เหตุการณ์แวดล้อม เช่นไรจึงสมควรที่จะพูด หากพูดออกไปแล้วจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไร

เช่น มีความหวังดีอยากเตือนเพื่อนไม่ให้ดื่มเหล้า แต่ไปเตือนขณะเพื่อนกำลังเมาอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงทำให้เขาเสียหน้า อย่างนี้นอกจากเขาจะไม่ฟังแล้ว เราเองอาจเจ็บตัวได้

“คนฉลาดไม่ใช่เป็นแต่พูดเท่านั้น ต้องนิ่งเป็นด้วย

คนที่พูดเป็นนั้น ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูดให้ยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด”

มงคล ที่ 10 มีวาจาสุภาษิต มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

ลักษณะของทูตที่ดี ( ทูตสันติ )

            ๑.        ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น  ไม่ด่วนปฏิเสธ

            ๒.        เมื่อถึงคราวพูดก็สามารถทำให้ผู้อื่นฟัง

            ๓.        รู้จักกำหนดขอบเขตของการพูดให้กะทัดรัด

            ๔.        จำเนื้อความทั้งหมดที่จะพูด

            ๕.        เข้าใจเนื้อความทั้งหมดโดยละเอียดตามความเป็นจริง

            ๖.        ทำให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้

            ๗.        ฉลาดในการพูดที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์

            ๘.        ไม่พูดชวนให้เกิดการทะเลาะวิวาท

“ผู้ใดเข้าไปสู่บริษัทที่พูดคำหยาบคาย ก็ไม่สะทกสะท้าน ไม่ยังคำพูดให้เสีย ไม่ปกปิดข่าวสาร พูดจนหมดความสงสัย และเมื่อถูกถามก็ไม่โกรธ ผู้นั้นย่อมควรทำหน้าที่ทูต”

วิ. จุลฺล. ๗/๔๐๐/๒๐๑

โทษของการด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์

            ผู้ด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ คือพระสงฆ์และผู้ปฏิบัติธรรม ติเตียนพระอริยเจ้า จะประสบความฉิบหาย ๑๑ ประการ ต่อไปนี้

            ๑.        ไม่บรรลุธรรมที่ตนยังไม่บรรลุ

            ๒.        เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว

            ๓.        สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว

            ๔.        เป็นผู้หลงเข้าใจว่าได้บรรลุสัทธรรม

            ๕.        เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์

            ๖.        ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง

            ๗.        บอกลาสิกขา  คือสึกไปเป็นฆราวาส

            ๘.        เป็นโรคอย่างหนัก

            ๙.        ย่อมถึงความเป็นบ้า  คือความฟุ้งซ่านแห่งจิต

            ๑๐.      เป็นผู้หลงทำกาละ คือตายอย่างขาดสติ

            ๑๑.      เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต  นรก

ถ้อยคำที่ไม่ควรเชื่อถือ

            ๑.        คำกล่าวพรรณนาคุณ ศรัทธา ของบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา

            ๒.        คำกล่าวพรรณนาคุณ ศีล ของบุคคลผู้ทุศีล

            ๓.        คำกล่าวพรรณนาคุณ พาหุสัจจะ ของบุคคลผู้ไม่สดับ

            ๔.        คำกล่าวพรรณนาคุณ จาคะ ของบุคคลผู้ตระหนี่

            ๕.        คำกล่าวพรรณนาคุณ ปัญญา ของบุคคลผู้โง่

            ทั้ง ๕ ประการ  จัดเป็นคำซึ่งไม่ควรฟัง ไม่ควรเชื่อถือ

ลักษณะเสียงที่สมบูรณ์ของมหาบุรุษ

            คนที่มีวาจาสุภาษิตมาข้ามภพข้ามชาติ จะมีลักษณะเสียงที่สมบูรณ์ของมหาบุรุษ  ซึ่งมีลักษณะดังนี้คือ

            ๑.        แจ่มใส ไม่แหบเครือ

            ๒.        ชัดเจน ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ติดขัด

            ๓.        ไพเราะ อ่อนหวาน

            ๔.        เสนาะโสต

            ๕.        กลมกล่อม      

           ๖.         ไม่แตก ไม่พร่า

            ๗.        ซึ้ง

            ๘.        มีกังวาน

อานิสงส์การมีจาจาสุภาษิต

            ๑.        เป็นคนมีเสน่ห์  เป็นที่รักของชนทุกชั้น

            ๒.        มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม

            ๓.        มีวาจาสิทธิ์  ได้รับความสำเร็จในสิ่งที่เจรจา

            ๔.        ย่อมได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ดีงาม

            ๕.        ไม่ตกไปในอบายภูมิ    “วาจาสุภาษิต ไม่ว่าจะพูดด้วยสำเนียงภาษาอย่างไรก็ตาม วาจานั้นย่อมเป็นวาจาชั้นสูง  ควรแก่การสรรเสริญของบัณฑิต  ตรงกันข้าม วาจาทุพภาษิต  แม้จะพูดด้วยภาษาใดสำเนียงดีแค่ไหน  บัณฑิตก็ไม่สรรเสริญ”



มงคล ที่ ๑๑  บำรุงบิดามารดา

มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์

เมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมออกดอกออกผลให้แก่เจ้าของฉันใด

คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่

เมื่อมีโอกาสย่อมตอบแทนคุณพ่อแม่และผู้มีอุปการคุณฉันนั้น

ทองคำแท้หรือไม่ โดนไฟก็รู้ 

คนดีแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ 

ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่  ถ้าไม่เลี้ยงแสดงว่าไม่ดีจริง 

เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊

พระคุณของพ่อแม่

            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ  แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด

            ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุ แทนปากกา น้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด

            บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ

            ๑.        เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลาย ในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมา เป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่นแบบเป็นพระพุทธรูป ดินเหนียวก้อนนี้ก็จะทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น     ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่า คุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง

            ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้เกิดเป็นคน ได้โครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการ ทำความดีทุกประการ เราจึงสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้นั่นเอง

            ๒. เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน  ปลูกฝังกิริยามารยาท  ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก

พระคุณพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์

มงคล ที่ 11 บำรุงบิดามารดา  มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

สมญานามของพ่อแม่

            สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้

            -           พ่อแม่เป็นพรหมของลูก  เพราะเหตุที่มีพรหมวิหารธรรม ๔ ประ-การ ได้แก่

            ๑.        มีเมตตา           คือมีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด

           ๒.        มีกรุณา คือหวั่นใจในความทุกข์ของลูก และคอยช่วยเหลือเสมอ

                                                ไม่ทอดทิ้ง

            ๓.        มีมุทิตา            คือเมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วย

                                                ความจริงใจ

            ๔.        มีอุเบกขา         คือเมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม  และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษาให้เมื่อลูกต้องการ

            -           พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรก (บุรพเทพ) ของลูก  เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่นๆ

            -           พ่อแม่เป็นครูวิสุทธิเทพของลูก  เพราะมีคุณธรรม 4ประการ ได้แก่

            ๑.        ไม่ถือสาในความผิดของลูก แม้ว่าบางครั้งจะพลาดพรั้งล่วงเกิน ก็ให้อภัย

                        เสมอ

            ๒.        ปรารถนาประโยชน์แก่ลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงปรารถนา

                        ให้ลูกดี มีความสุข

            ๓.        เป็นทักขิเณยยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของลูก เป็นผู้ที่ลูกควรทำบัญต่อตัว

                        ท่าน

            ๔.        เป็นอาหุเนยยบุคคล    เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ  และการนมัสการของลูก

คุณธรรมของลูก

            เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีก คือตอบแทนคุณท่าน ในทางพระพุทธศาสนา ได้บรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้นๆ  แต่เก็บความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า กตัญญู กตเวที คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้

            กตัญญู หมายถึง เห็นคุณค่าท่าน คือเห็นด้วยใจ  ด้วยปัญญา ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆ ไปเท่านั้น

            คุณของพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้าง ที่แตกต่างจากคนอื่น  ตามธรรมดาของคนทั่วๆ ไป  เมื่อจะอุปการะใคร  เขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการคุณ ของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้น เป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใดๆ เลย เราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็มเล่มเดียว ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกาย  จะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่  ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี  แต่ทั้งๆ ที่ไม่มี ท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผล  อย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละเรียกว่า กตัญญู เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร  แสดงว่าใจของเราเริ่มใสและสว่างมากขึ้น      เท่านั้น

   กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน  ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ประการ คือ

            ๑.        ประกาศคุณท่าน

            ๒.        ตอบแทนคุณท่าน

            การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมาก ไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือที่ตัวเรานี่เอง

            คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละ จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างชัดแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่หีบศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษาก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเรา  ผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวที   แทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา

            พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็ประกาศคุณความดีของท่านสิ ประกาศด้วยความดีของตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่งส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ด จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร

            ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจาน  ผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม

        การตอบแทนคุณท่าน  แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ

            ๑.        เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย

            ๒.        เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ

            แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้

            ๑.        ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้

            ๒.        ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้

            ๓.        ถ้าท่านยังไม่มีศีล  ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้

            ๔.        ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา  ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้

            เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ปฏิบัติ เองทั้งในภพนี้ภพหน้า  และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือเป็นหนทางไปสู่นิพพาน

อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา

            ๑.        ทำให้เป็นคนมีความอดทน

            ๒.        ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ

            ๓.        ทำให้เป็นคนมีเหตุผล

            ๔.        ทำให้พ้นทุกข์พ้นภัย

            ๕.        ทำให้ได้ลาภโดยง่าย

            ๖.        ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน

            ๗.        ทำให้เทวดาลงรักษา

            ๘.        ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ

            ๙.        ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า

            ๑๐.      ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี

            ๑๑.      ทำให้มีความสุข

           ๑๒. ทำให้เป็นแบบอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง

“เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดานั้นแล บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้นี่เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์



มงคล ที่ ๑๒ เลี้ยงดูบุตร

มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

ต้นไม้ถ้าลูกมันรสไม่ดี ก็มีแต่คนจะโค่นต้นทิ้ง

ไม่มีใครคิดจะบำรุงรักษาไว้ ตรงข้ามถ้าลูกมันรสดี ทั้งหวานทั้งมัน

เจ้าของก็อยากใส่ปุ๋ยรดน้ำพรวนดิน ทะนุถนอมให้คงต้นอยู่นานๆ

ต้นไม้จะอายุยืนได้รับการบำรุงรักษาดีเพียงไร ขึ้นอยู่กับลูกของมัน

คนเราก็เช่นกัน ถ้าลูกทำดี คนทั้งหลายก็ชมมาถึงพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกดี

ความสุขกายสบายใจก็ติดตามมาเพราะลูก

บุญกุศลความดีก็ไหลมาเพราะลูก แต่ถ้าลูกทำชั่วช้าเลวทราม

คนทั้งหลายก็แช่งด่ามาถึงพ่อแม่ด้วยเหมือนกัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ว่า สิริมงคลของคนที่เป็นพ่อแม่อยู่ที่ลูก

และในทางตรงข้าม ถ้าไม่ป้องกันแก้ไขให้ดีแล้ว

อัปมงคลก็จะมาจากลูกนั่นเหมือนกัน

ทำไมจึงต้องเลี้ยงดูบุตร ?

            วันหนึ่งเราต้องแก่และตาย สิ่งที่อยากได้กันทุกคน คือความปีติ ความปลื้มใจไว้หล่อเลี้ยงใจให้สดชื่น  ความปลื้มปีติจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้เห็นผลแห่งความดี  หรือผลงานดีๆ ที่เราทำไว้  ยิ่งผลงานดีมากเท่าไร  ยิ่งชื่นใจมากเท่านั้น  แล้วอายุจะยืนยาว  สุขภาพจะแข็งแรง

            สุดยอดผลงานของนักปฏิบัติธรรม คือการกำจัดกิเลสในตัวให้หมด

            สุดยอดผลงานของชาวโลก คือการมีลูกหลานเป็นคนดีไว้สืบสกุล

            ถ้าลูกหลานเป็นคนเลว มันช้ำใจยิ่งกว่าถูกใครจับใส่ครกโขลกเสียอีก

            เลี้ยงสุนัขแล้วกัดสู้สุนัขคนอื่นไม่ได้ยังเจ็บใจ

            เลี้ยงลูกแล้วดีสู้ลูกคนอื่นไม่ได้มันจะช้ำใจสักแค่ไหน

ความหวังของชาวโลก

            ๑.        บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้วจักเลี้ยงตอบแทน

            ๒.        บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้วจักทำกิจแทนเรา

            ๓.        วงศ์สกุลของเราจักดำรงอยู่ได้นาน

            ๔.        บุตรจักปกครองทรัพย์มรดกแทนเรา

            ๕.        เมื่อเราละโลกไปแล้ว บุตรจักบำเพ็ญทักษิณาทานให้

            เพราะปรารถนาฐานะ ๕ ประการนี้  บิดามารดาจึงอยากได้บุตร

บุตรแปลว่าอะไร ?

            บุตร มาจากคำว่า ปุตฺต แปลว่า ลูก  มีความหมาย ๒ ประการ คือ

            -       ผู้ทำสกุลให้บริสุทธิ์

            -       ผู้ยังหทัยของพ่อแม่ให้เต็มอิ่ม

ประเภทของบุตร

            ประเภทของบุตรแบ่งโดยความดีในตัวได้เป็น ๓ ชั้น ดังนี้

            ๑.        อภิชาตบุตร  คือบุตรที่ดีมีคุณธรรมสูงกว่าบิดามารดา  เป็นบุตรชั้นสูง  สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล

            ๒.        อนุชาตบุตร  คือบุตรที่มีคุณธรรมเสมอบิดามารดา  เป็นบุตรชั้น กลาง  ไม่พอรักษาวงค์ตะกูลไว้ได้

            ๓.        อวชาตบุตร คือบุตรที่เลว มีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่ เป็นบุตรชั้นต่ำ นำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูล

องค์ประกอบให้ได้ลูกดี

            ๑.        ตนเองต้องเป็นคนดี พ่อแม่ที่ทำบุญมาดีจึงจะได้ลูกดีมาเกิด เหมือนต้นไม้พันธุ์ดีก็ย่อมมีลูกพันธุ์ดี เด็กที่เกิดในท้องแม่จะมีคุณธรรมในใจที่ติดตัวมาในระดับใกล้  เคียงกับของพ่อแม่ในขระที่เด็กมาเกิด   ดังนั้นพ่อแม่ที่ต้องการได้ลูกดี ก็ต้องขวนขวายสร้างความดีไว้มากๆ  ยิ่งพ่อแม่สร้างบุญมากเท่าไร  โอกาสที่จะได้ลูกดีก็มากเท่านั้น

            ๒.        การเลี้ยงดูอบรมดี ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดต่อไป

วิธีเลี้ยงดูลูก

            การเลี้ยงดูลูกมีอยู่ ๒ ทาง  คือการเลี้ยงดูลูกทางโลกและการเลี้ยงดูลูกทางธรรม  ซึ่งพ่อแม่ควรจะเลี้ยงดูลูกให้พร้อมบริบูรณ์ทั้ง ๒ ทาง

มงคล ที่ ๑๒ เลี้ยงดูบุตร

วิธีเลี้ยงดูลูกทางโลก

            กันลูกออกจากความชั่ว กัน หมายถึง ป้องกัน กีดกัน คือไม่เพียงแต่ห้าม หากต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ลูกตกไปสู่ความชั่ว ซึ่งประเด็นสำคัญคือ จะต้องกันลูกให้ห่างจากคนพาลเกเร อย่าให้ลูกไปคบเพื่อนที่จะชักนำลูกไปในทางเสื่อมเสียได้  โดยพ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านบ้าง ให้การต้อนรับดูแล ในฐานะที่พ่อแม่เป็นผู้ใหญ่ผ่านโลกมามาก เมื่อตั้งใจสังเกต ก็จะพอดูนิสัยของเพื่อนลูกแต่ละคนออก หากเห็นว่าเพื่อนของลูกคนใดมีลักษณะส่อนิสัยเป็นคนพาล ก็แนะนำให้ลูกออกห่างเสียแต่เนิ่น ๆ อย่าไปคบหาเป็นเพื่อนสนิท เดี๋ยวจะติดเชื้อพาลมาด้วย  ซึ่งถ้าพ่อแม่ไม่ใส่ใจให้ความสำคัญเรื่องเพื่อนของลูก ปล่อยให้ลูกไปคบคนเกเรจนสนิทชิดเชื้อกันแล้วพ่อแม่จะมาห้ามคบภายหลังก็จะทำได้ยาก และการกันลูกออกจากความชั่วก็ยากจะประสบความสำเร็จ

            การกันลูกออกจากความชั่ว จะต้องทำตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ นอกจากเรื่องเพื่อนแล้ว ควรให้ลูกอยู่ห่างจากสื่อทุกชนิดที่สร้างตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูก เช่น โฆษณายาฆ่ายุง ภาพยนตร์หรือการ์ตูนที่เห็นความรุนแรง  เป็นต้น  อย่าใช้โทรทัศน์เลี้ยงลูกแทน หากจะดูโทรทัศน์ พ่อแม่ก็ควรเลือกรายการที่ดี มีประโยชน์แล้วชวนลูกดู จนเด็กคุ้นเคยกับสิ่งดี ๆ และไม่ชอบข้องเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีทั้งหลาย

            การกันลูกจากความชั่วนี้ บางครั้งพ่อแม่กับลูกก็พูดกันไม่เข้าใจ สาเหตุของความไม่เข้าใจกันนั้นมักจะเกิดจากการขัดกันอยู่ ๓ ประการคือ
            -           ความเห็นขัดกัน

            -           ความต้องการขัดกัน

            -           กิเลส

            ความเห็นขัดกัน คือของสิ่งเดียวกันแต่เห็นกันคนละทาง มองกันคนละแง่ เช่น การเที่ยวเตร่ เด็กวัยรุ่นมักจะเห็นว่าดี เป็นการเข้าสังคม ทำให้กว้างขวางทันสมัย แต่ผู้เป็นพ่อแม่กลับเห็นว่า การเที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำนั้น มีผลเสียหายหลายประการ เช่น อาจเสียการเรียน อาจประสบภัย อาจใจแตก เพราะถูกเพื่อนชักจูงไปให้เสีย ครั้นห้ามเข้าลูกก็ไม่พอใจ หาว่าพ่อแม่หัวเก่าล้าสมัย

            เรื่องนี้ถ้าจะพูดด้วยความเป็นธรรมแล้ว ลูกควรจะรับฟังความเห็นของ พ่อแม่ด้วยเหตุผลง่ายๆ ๒ ประการ  คือพ่อแม่ทุกคนหวังดีต่อลูก ๑๐๐ % และ พ่อแม่ย่อมมีประสบการณ์รู้ทีได้ทีเสียมามากกว่า เราแน่ใจหรือว่าความรักของเพื่อนตั้งร้อยที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่นั้น  รวมกันทั้งหมดแล้วจะมากและบริสุทธิ์ ๑๐๐ %  เหมือนความรักในดวงใจของพ่อแม่  คนเราทุกคนเคยเห็นผิดเป็นชอบมาก่อน  เมื่อยังเป็นเด็กอมมืออยู่นั้น  เราเคยเห็นว่าลูกโป่งอัดลมใบเดียวมีค่ามากกว่าธนบัตรใบละร้อยใช่ไหม?  จิตใจที่อยู่ในวัยเยาว์ก็ย่อมเยาว์ตามไปด้วย ดังนั้นเชื่อฟังคำว่ากล่าวตักเตือนของพ่อแม่ไว้เถิดไม่เสียหลาย ส่วนพ่อแม่เองเมื่อจะห้ามหรือบอกให้ลูกทำอะไร ก็ควรบอกเหตุผลด้วย  อย่าใช้แต่อารมณ์

            ความต้องการขัดกัน คือคนต่างวัยก็มีรสนิยมต่างกัน ความสุขของคนแก่คือชอบสงบ หาเวลาพักผ่อนอยู่กับบ้าน แต่ความสุขของเด็กหนุ่มสาวมักอยู่ที่ได้แต่งตัวสวยๆ ไปเที่ยวเตร่นอกบ้าน ข้อนี้ขัดแย้งกันแน่ ลูกกับพ่อแม่จึงต้องเอาใจมาพบกันที่ความรัก ตกลงกันที่มุมรักระหว่างพ่อแม่กับลูก รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามสมควร การเลี้ยงลูกที่กำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น เหมือนการเล่นว่าวโต้ลม  ผ่อนไปนิด ดึงกลับมาหน่อย  จึงจะเป็นผลดี

            กิเลส ถ้าทั้ง ๒ ฝ่าย มีความโกรธ มีทิฏฐิ ดื้อดึง ดื้อด้าน หลงตัวเอง หรือมีกิเลสอื่นๆ ครอบงำอยู่แล้วก็ยากที่จะพูดกันให้เข้าใจ  ต้องทำใจให้สงบและ พูดกันด้วยใจที่เป็นธรรม ด้วยเหตุด้วยผล พ่อแม่ต้องฝึกตนให้เป็นคนมีคุณธรรม และสอนลูกให้เป็นคนดีมีเหตุผลตั้งแต่ยังเล็ก ปัญหาข้อนี้ก็จะเบาบางลง

            ๒.        ปลูกฝังลูกในทางดี หมายถึง ให้ลูกประพฤติดีมีศีลธรรม พ่อแม่ต้องพยายามเล็งเข้าหาใจของลูก เพราะใจเป็นตัวควบคุมการกระทำของคน ที่ว่าเลี้ยงลูกให้ดี  คือทำใจของลูกให้ดีนั่นเอง

            สิ่งของนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท  คือของกินกับของใช้  สำหรับของกินทุกคนต้องกินเหมือนกันหมด เพื่อให้ร่างกายเติบโตคงชีวิตอยู่ได้ ส่วนของใช้นั้น ต่าง คนต่างมีตามความจำเป็น  เช่น ชาวนาก็ต้องมีจอบมีไถ เสมียนก็ต้องมีปากกา

            สมบัติทางใจก็มี ๒ ประการ เหมือนกัน

            -    ธรรมะ    เป็นอาหารใจ

            -    วิชาความรู้ เป็นเครื่องมือของใจ

            ตามธรรมดาร่างกายคน ถ้าขาดอาหารแล้วก็จะเสียกำลัง ใจคนก็เหมือนกัน ต้องมีธรรมะให้พอเพียง อาหารทางกายกินแทนกันไม่ได้ ไม่เหมือนของใช้ มีดเล่มเดียวใช้กันได้ทั้งบ้าน เรื่องของใจก็เหมือนกัน ใจทุกดวงต้องกินอาหารเอง คือทุกคนต้องมีธรรมะไว้ในใจตนเอง จะถือว่าใจพ่อแม่มีธรรมะแล้ว ใจลูกไม่ต้องมีไม่ได้ ส่วนวิชาความรู้เปรียบเสมือนของใช้ ใครจะใช้ความรู้ทางไหนก็หาความรู้เฉพาะทางนั้น ขาดเหลือไปบ้างยังพออาศัยผู้อื่นได้ ใจที่ขาดธรรมะเหมือนร่างกายที่ขาดอาหาร ใจที่ขาดวิชาความรู้เหมือนคนที่ขาดเครื่องมือทำงาน

            พ่อแม่ต้องปลูกใจลูกให้มีทั้ง ๒ อย่าง  จึงจะเป็นการปลูกฝังลูกในทางดี ซึ่งทำได้โดย

            ๑.  กระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก

            ๒.   เลือกคนดีให้ลูกคบ

            ๓.   หาหนังสือดี สื่อดีๆ ให้ลูกดู

           ๔.   พาลูกไปหาบัณฑิต เช่น พระภิกษุ ครูบาอาจารย์ที่ดี

            ๓.   ให้ลูกได้รับการศึกษา ภารกิจข้อนี้ความชัดอยู่แล้ว คือให้ลูกได้เล่าเรียน เพื่อให้มีความรู้สามารถช่วยตัวเองต่อไปได้

            พ่อแม่สมัยนี้ควรจะติดตามดูแลลูกอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ควรติดต่อกับทางโรงเรียนอยู่เสมอ ขอทราบเวลาเรียน ผลการเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เด็กอ้างว่าทางโรงเรียนเรียกร้องด้วย พ่อแม่ที่มีลูกไปเรียนไกลบ้านต่างจังหวัด และขาดผู้ดูแลที่ไว้วางใจได้ ควรจะเป็นห่วงลูกให้มาก หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรให้เด็กอยู่หอพัก เว้นแต่จะเชื่อใจเด็กได้ และต้องหาพอพักที่มีระเบียบข้อบังคับเคร่งครัดด้วย

            ๔.    จัดแจงให้ลูกแต่งงานกับคนดี  ความหมายในทางปฏิบัติมีอยู่ ๒ขั้นตอน คือ

         ๔.๑ พ่อแม่ต้องเป็นธุระในการแต่งงานของลูกให้คำแนะนำและช่วยเหลือ

            ๔.๒.    พ่อแม่ต้องพยายามให้ลูกได้คู่ครองที่ดี

            ในข้อที่ ๔.๒  อาจมีความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกอยู่ไม่น้อย  คล้ายกับการกันลูกจากความชั่ว แต่การขัดแย้งกันในเรื่องคู่ครองมักจะแรงกว่า ควรจะทำความเข้าใจกันให้ดี  ปัญหาสำคัญมีอยู่ ๒ ข้อ คือ

            ๔.๒.๑.        พ่อแม่แทรกแซงความรักของลูก  มีผลดีหรือเสียอย่างไร?

            ๔.๒.๒.   ใครควรเป็นผู้ตัดสินการแต่งงานของลูก

            ปัญหาข้อแรก ถ้าคิดดูโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่าผลดีมีมากกว่าผลเสีย จะมีผลเสียอยู่เฉพาะในรายที่พ่อแม่ขาดจิตวิทยาและชอบทำอะไรเกินกว่าเหตุเท่านั้น แต่การร่วมมือกันเป็นของดีแน่ ความจำเป็นอยู่ที่ว่า ลูกยังอยู่ในวัยเยาว์ รู้จักโลกน้อย มองโลกในแง่ดีเกินไป อาจตัดสินใจผิดพลาดได้ และความผิดพลาดในเรื่องคู่ครองนั้นมีผลมาก แก้ยาก

            ปัญหาข้อที่สอง ใครควรเป็นผู้ที่ตัดสินการแต่งงานของลูก เช่น ควรแต่งงานหรือยัง? ควรแต่งกับใคร? ทางที่ประเสริฐที่สุด คือปรึกษาหารือและตกลงกัน พ่อแม่ควรเป็นเพียงที่ปรึกษา ไม่เจ้ากี้เจ้าการจนเกินงาม ต้องให้ลูก       ได้แต่งงานกับคนที่เขารัก เพราะความรักเป็นมูลฐานของการสมรส ฝ่ายลูกเลือก ใครก็ต้องให้พ่อแม่เห็นชอบด้วย เพราะการทำให้ท่านสุขใจนั้นเป็นความกตัญญูกตเวทีของเรา และจะเป็นศรีสวัสดิมงคลแก่ครอบครัวสืบไป แต่ถ้าหากเป็นไปเช่นนั้นไม่ได้  พ่อแม่ควรจะถือหลักว่า

            “คนที่เราไม่ชอบแต่ลูกรัก ดีกว่าคนที่เรารักแต่ลูกไม่ชอบ”

            คิดเสียว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เว้นแต่คนที่ลูกปลงใจรักเป็นคนเลว หลอกลวง จะชักนำลูกเราไปในทางเสีย อย่างนี้ต้องห้าม แม้ว่าลูกจะรักก็ตาม

            ๕.        มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงกาลอันสมควร เมื่อถึงเวลาควรให้จึง ให้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาอันควรให้ก็อย่าเพิ่งให้ เช่น ลูกยังเยาว์ยังไม่รู้ค่าของทรัพย์  ก็ควรรอให้เขาเติบโตเสียก่อนจึงให้ ถ้าลูกยังประพฤติชั่ว เช่น หมกมุ่นอยู่ใน           อบายมุข  ก็รอให้เขากลับตัวได้เสียก่อนแล้วจึงให้  ดังนี้เป็นต้น

            การทำธุระเกี่ยวกับทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นก่อนตาย เป็นการชอบด้วยพุทธประสงค์ วงศ์ตระกูลก็มีความสงบสุขต่อไป รายใดที่พ่อแม่ไม่ทำพินัยกรรมไว้ให้เรียบร้อย  ปล่อยให้ลูกๆ จัดการกันเอง  ก็มักเกิดเรื่องร้าวฉานขึ้นในวงพี่ๆ น้องๆ จนถึงกับฟ้องร้องขึ้นศาลกันก็มี พี่น้องแตกความสามัคคี ทรัพย์สินก็เสื่อมหายลง  เป็นเรื่องที่น่าสลดใจยิ่งนัก

วิธีเลี้ยงดูลูกในทางธรรม

            ๑.   พาลูกเข้าวัดเพื่อศึกษาหาความรู้ทางพระพุทธศาสนา

            ๒.   ชักนำลูกให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน

           ๓.  ชักนำให้ลูกทำบุญ เช่น ตักบาตร รักษาศีล เป็นต้น

            ๔.        ชักนำให้ลูกทำสมาธิภาวนา

            ๕.        ถ้าลูกเป็นชายให้บวชเป็นสามเณร หรือเป็นพระภิกษุ แล้วเข้าปฏิบัติ

                         กรรมฐาน  รวมทั้งศึกษาพระปริยัติธรรม

ความสำคัญของความอบอุ่นในวัย ๐ – ๓ ขาบ*

            จากผลการวิจัยทางการเพทย์พบว่า การเลี้ยงดูลูกด้วยน้ำนมแม่อย่างน้อย ๖ เดือนขึ้นไปและความอบอุ่นของทารกในวัย ๐-๓ ขวบ มีความสำคัญต่อพฤติกรรมของเด็กเมื่อโตขึ้นอย่างมาก จากการศึกษาจิตใจเด็กพบว่า เด็กที่ได้กินนมแม่นาน ๖ เดือนขึ้นไป จะมีจิตใจร่าเริงอยู่เสมอ น้อยครั้งที่จะมีอารมณ์โมโหฉุนเฉียวและถึงมีก็ไม่นาน ใบหน้าจะงดงาม ยิ้มสวย ยิ้มเก่ง แววตาของเด็กมีประกายของความสุข มองดูแววตาสดใส ผิดกับเด็กที่กินนมขวดแบบตรงกันข้าม จิตแพทย์อธิบายว่า ความสุขของเด็กที่พบได้ในเด็กกินนมแม่นั้น เกิดจากการที่แม่ได้อุ้มโอ๋ประคองกอดเด็กไว้แนบอก มีการถ่ายทอดความรู้สึกทางผิวหนัง ทางประสาทหูและประสาทตา หูเด็กได้ยินเสียงเต้นของหัวใจแม่ และได้ยินเสียงหายใจในอกของแม่ สิ่งเหล่านนี้รวมกันเป็นองค์ประกอบสัมผัสให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นเป็นสุขขึ้นมา แล้ะผันแปรกลายเป็นความเมตตาและความไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งจะพบได้ในเด็กที่ได้กินนมแม่นาน ๖ เดือนขึ้นไป เด็กจะกินนมอย่างพอใจ สุขใจและยิ้ม อารมณ์ดี  ไม่มีความรู้สึกขาดแคลนใดๆ เกิดขึ้นจิตใจจะมั่นคง รู้จักเหตุผลและรู้จักรอคอย นั่นคือ รู้จักอดทนต่อทุกสถานการณ์ได้ดียิ่ง สิ่งเหล่านี้จะมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลยในเด็กที่กินนมขวดนิสัยขาดเมตตาและเห็นแก่ตัวจะพบได้สูงในเด็กกินนมขวด

            สมองคนทุกคนได้รับข้อมูลทั้งชั่วและดี รวมกันอัดไว้แน่นตอนช่วงอายุ ๐-๓ ขวบ ข้อมูลก่อน ๓ ขวบที่สองเก็บไว้นั้น เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเช่นนี้จริง เช่น คนกลัวแมว คนกลัวฟ้าร้อง คนกลัวความสูง ส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ที่เกิดในวัย ๐-๓ ขวบ และจะแก้นิสัยเหล่านี้ได้ยาก ดังนั้น การจะสอนคนให้เป็นคนดีต้องสอนตั้งแต่ก่อน ๓ ขวบ นิสัยดี ๆ นั้นจะได้ฝังแน่นติดตัวเด็กไปตลอด เด็กเล็กที่กินนมแม่จะได้ข้อมูลที่ดีฝังในสมองในเรื่องของความเมตตาและความไม่เห็นแก่ตัว เด็กกินนมแม่เหล่านี้ ถ้าไม่ขาดแม่ในช่วงชีวิต ๐-๓ ขวบจะเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตดีเยี่ยม

ข้อเตือนใจ

            ๑.        รักลูกแต่อย่าโอ๋ลูก อย่าตามใจลูกเกินไป เพราะจะทำให้เด็กเสียนิสัย  เหตุที่พ่อแม่ตามใจลูกเกินไป มักเป็นเพราะ

            -           รักลูกมากเกินไป รักมากจนไม่กล้าลงโทษสั่งสอน

           -            ไม่มีเวลาอบรม รู้สึกเป็นความผิดของตัว ที่ไม่มีเวลาให้ลูกจึงปลอบประโลมตนเองด้วยการตามใจลูก ซึ่งเป็นวิธีแก้ที่ผิด

            ๒.        อย่าเคร่งระเบียบจนเกินไป  รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว

            ๓.        ให้ความอบอุ่นแก่ลูกให้เพียงพอ  ไม่ว่างานจะยุ่งมากเพียงไร ก็ต้องหาเวลาให้ลูก  มิฉะนั้นจะต้องน้ำตาตกในภายหลัง

            ๔.        เมื่อเห็นลูกทำผิด ควรตำหนิทันทีเพื่อจะได้แก้ไขทันท่วงที แต่ต้องใช้เหตุผลอย่าใช้อารมณ์  และเมื่อเห็นลูกทำดีก็ชมเพื่อให้เกิดกำลังใจ

            ๕.        ต้องฝึกให้ลูกทำงานตั้งแต่ยังเล็ก การปล่อยให้เด็กอยู่อย่างสบายเกินไปทุกอย่าง  มีคนรับใช้  มีเวลาว่างมากเกินไป  จะกลับเป็นผลเสียต่อเด็ก โตขึ้นจะช่วยตัวเองไม่ได้

            ๖.        การเลี้ยงลูก ให้แต่ปัจจัย ๔ ยังไม่พอ  จะต้องให้ธรรมะแก่ลูกด้วย

อานิสงส์การเลี้ยงดูบุตร

            ๑.        พ่อแม่จะได้ความปีติภาคภูมิใจเป็นเครื่องตอบแทน

            ๒.        ครอบครัวจะสงบร่มเย็นเป็นสุข

            ๓.        ประเทศชาติจะมีคนดีไว้ใช้

            ๔.        เป็นต้นแบบที่ดีงามของสังคมสืบไปตลอดกาลนาน

                                                            ฯลฯ

           “บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมปรารถนาอภิชาตบุตร อนุชาตบุตร ไม่ปรารถนาอวชาตบุตรผู้ตัดสกุล บุตรเหล่านี้แล มีพร้อมอยู่ในโลก บุตรเหล่าใดเป็นอุบาสก มีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ บุตรเหล่านั้น ย่อมไพโรจน์ในบริษัททั้งหลาย เหมือนพระจันทร์พ้นจากก้อนเมฆ ไพโรจน์อยู่"





 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2559
0 comments
Last Update : 26 พฤษภาคม 2559 19:07:51 น.
Counter : 3108 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


miraclec
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน ยินดีรู้จักครับ จริงใจครับ
Friends' blogs
[Add miraclec's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.