London Part 3 : Everything Else (2017)
London, United Kingdom

Part 3 : Everything Else


 
เริ่มต้นด้วยการเดินทางไป tube สถานี St.James's Park เป็นสวนสาธารณะขนาด 57 เอเคอร์ อยู่ทางตะวันออกของพระราชวัง Buckingham สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นทางผ่านจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเดินทางไปชม Buckingham Palace เพื่อดูพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาพระองค์ (Changing guard)

จะถ่ายนกแต่ปรับ Speed shutter ไม่เร็วพอ เบลอไปนิดๆ จะถ่ายใหม่ นกมันก็ไม่อยู่ให้ถ่ายแล้ว 17







อนุสาวรีย์ Queen Victoria

อนุสาวรีย์พระราชินีวิกตอเรีย สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระองค์ สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1924

พระราชินีวิกตอเรียเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานเกือบที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร ครองราชย์นานถึง 64 ปี (ค.ศ.1837-1901) เสียสถิติให้พระราชินี Elizabeth ที่ 2 (ในปีที่เริ่มทำ blog นี้คือปี 2017 Elizabeth ที่ 2 ครองราชย์นาน 65 ปีแล้ว) ทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุ 18 ปี อภิเษกสมรสกับเจ้าชาย Albert มีบุตรและธิดารวมทั้งหมด 9 พระองค์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนัก สหราชอาณาจักรสมัยวิกตอเรียถือว่าเป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่ง เกรียงไกรมากที่สุด

British empire สมัยพระองค์นั้นมีพื้นที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ (ถ้าไม่นับอาณาจักรมองโกลสมัยเจงกิสข่าน) เทียบเป็นเปอร์เซ็นของโลกคือร้อยละ 24 ของแผ่นดินทั้งหมดบนโลก กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทำให้ได้สมญานามว่าเป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน

สมัยพระองค์ทรงมีการปฏิรูปการเมืองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ มีการพัฒนาอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก และมีความเจริญในด้านวัฒนธรรมด้วย

เนื่องจากทรงมีพระบุตรและธิดา 9 คน จึงได้ส่งบุตรธิดาไปแต่งงานกับกษัตริย์ประเทศอื่น จุดประสงค์คือเพื่อสร้างพันธมิตรทางการเมือง ถ้ากษัตริย์ทุกประเทศเป็นเครือญาติกัน โอกาสที่จะทำสงครามกันก็ลดลง แต่สันติสุขก็อยู่ได้ไม่นาน มาระเบิดออกตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเยอรมันสมัยกษัตริย์ Kaiser Wilhelm II ซึ่งเป็นหลานของพระราชินี Victoria เอง




สถานที่แรกที่เป็นไฮไลท์ในการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวในว้นนี้คือ

Buckingham Palace

พระราชวังบัคกิ้งแฮม เป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ช่วงที่สร้างใหม่ๆเป็นสถานที่ประทับของ Duke of Buckingham แต่พระเจ้า George ที่ III ได้ทรงซื้อต่อมาเป็นของทรัพย์สินส่วนพระองค์ในปี 1761 นอกจากเป็นที่ประทับแล้วยังเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอีกด้วย

พระราชวังบัคกิ้งแฮมเป็น Landmark ที่สำคัญของลอนดอน จุดเด่นคือมีพิธีเปลี่ยนกะของทหารรักษาพระองค์ (Queen's guard)

ไปถึงก็มีทหารม้าลาดตระเวนแถวนั้น





พิธีเปลี่ยนกะของทหารรักษาพระองค์หรือ Changing guard ไม่ได้มีทุกวัน โดยเฉพาะฤดูหนาว เข้าไปดูข้อมูลที่
https://changing-guard.com/dates-buckingham-palace.html


ชุดที่ทหารใส่ของฤดูหนาวกับฤดูร้อนก็ไม่เหมือนกัน ในรูปจะเป็นชุดของฤดูหนาว แต่ภาพที่เราเห็นชินตาที่เป็นทหารใช้ชุดสีแดงๆนั้นเป็นชุดประจำฤดูร้อน

วันที่ไปไปถึงประมาณ 10 โมงกว่าๆ พิธีจริงๆเริ่มเวลา 11.00 น. ขนาดไปก่อนเวลาแต่คนก็ยังเยอะมาก ถ้าอยากถ่ายรูปวิวสวยๆต้องมาจองที่ตั้งแต่เนิ่นๆมากๆ

วงโยธวาทิตบรรเลงเพลงเจมส์บอนด์ (Seriously ??)







มีตำรวจถือปืนคุ้มกันด้วย




จากข้อมูลที่อ่านและสรุปมาสำหรับผู้ที่มาเป็นทหารรักษาพระองค์ (Queen's guard) ต้องมีคุณสมบัติคร่าวๆดังนี้คือ

1. เป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักรหรือประเทศในเครือจักรภพ
2. อายุ 16 ปี ถึง 35 ปี 6 เดือน
3. ส่วนสูง แต่ก่อนเอาที่ไม่ต่ำกว่า 6'2'' (188+ ซม.) ปัจจุบันลดเกณฑ์ลงเหลือ 5'10'' (ประมาณ 178 ซม.)
4. เป็นผู้ที่อยู่ในกองทัพบกของสหราชอาณาจักร (British army) ขั้นต่ำคือต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกายตามแบบทหารทั่วไป ตรวจสุขภาพ
5. จะต้องสังกัดเหล่าใดเหล่าหนึ่งดังต่อไปนี้  the Grenadiers, the Coldstream, the Scots, the Welch หรือ the Irish 

อย่างไรก็ตามถ้าหากเข้าคุณสมบัติแล้วก็ต้องลุ้นว่าจะได้รับการจัดสรรมาให้อยู่หน่วยทหารรักษาพระองค์รึเปล่า ขึ้นอยู่กับการจัดสรรของกองทัพ ว่าจะให้ไปปฏิบัติภารกิจที่ไหน การเป็น Queen's guard เป็นแค่หนึ่งในภารกิจ ซึ่งภารกิจอื่นๆก็คือเป็นภารกิจของทหาร ซึ่งอาจจะถูกส่งไปรบอิรัก อัฟกานิสถานก็ได้

ค่าตอบแทน ในระหว่างฝึกทหาร จะมีรายได้ปีละ 15,985 ปอนด์ (ตกเตือนละ 1,332 ปอนด์ เทียบเป็นเงินไทยก็ 57,000 บาทต่อเดือน ถ้าผ่านการทดสอบการฝึก ได้รับการบรรจุเป็นพลทหารแล้ว รายได้ก็จะอัพไปเป็น 20,400 ปอนด์ต่อปี หรือเดือนละ 1700 ปอนด์ เทียบเป็นเงินไทยก็ 73,000 บาทต่อเดือน !!!

(ข้อมูลจาก https://apply.army.mod.uk/roles/infantry/guardsman )


Buckingham Palace Store

ร้านขายของที่ระลึก อยู่แถวๆพระราชวังนี่แหละ





ร้าน Whittard of Chelsea





Tower of London

ขึ้น tube ไปลงสถานี Tower Hill และก็เดินไปตามป้ายเลย







แวะทาน Fish and Chips ก่อน

คนขายเป็นคนไทยด้วย รู้ได้ไง อุตส่าห์ไม่แสดงตัวว่าเป็นคนไทย





หอคอยแห่งลอนดอน ปราสาทที่สร้างโดยพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 (William the Conqueror)





คยใช้เป็นพระราชวัง ป้อมปราการป้องกันเมือง และใช้เป็นที่คุมขัง ทรมานนักโทษ เป็นลานประหาร คลังเก็บอาวุธ

ขึ้นชื่อว่า เฮี้ยนสุดๆ

สมัยนั้นกษัตริย์คือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ปกครองอังกฤษ มีพระโอรสสองพระองค์คือ เอ็ดเวิร์ดที่ 5 และริชาร์ด

ได้ถูกนายทหารคนสนิทของ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 (ที่ถูกยึดอำนาจ) หลอกว่าจะพาไปหลบซ่อนในที่ที่ปลอดภัย เพราะกำลังจะมีสงคราม

หลังจากนั้นไม่มีใครพบเห็นเจ้าชายทั้งสองพระองค์อีกเลย

อีกหลายร้อยปีต่อมาได้พบหีบไม้ที่บรรจุโครงกระดูกของเด็กจำนวน 2 ร่าง บริเวณส่วน White tower และผู้คนก็ร่ำลือว่าได้เห็นวิญญาณเจ้าชายสองพระองค์ กุมพระหัตถ์กัน และก็เลือนหายจางๆไปกับกำแพง บางคนก็เล่าว่าเคยได้ยินเสียงเด็กสองคน วิ่งเล่น หัวเราะกัน แต่ปรากฎว่าแถวนั้นไม่มีใครเลย

นอกจากตำนานเรื่องเล่าของเจ้าชายทั้งสองพระองค์ ยังมีเรื่องเล่าของผีของพระนาง Anne Boleyn พระราชินีที่เป็นมเหสีของที่ 2 ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8

ขอท้าวความที่มาของเรื่องนี้ด้วยประวัติศาสตร์สั้นๆก่อน

โดยในช่วงปีคริสตศตวรรษที่ 15-16 กษัตริย์ Henry VII เป็นพระราชาที่ปกครองประเทศอังกฤษในช่วงนั้น พระองค์มีบุตร 7 พระองค์ แต่เสียชีวิตไป 3 คน เหลือที่มีชีวิตคือพระโอรส 2 พระองค์คือ Arthur และ Henry VIII พระธิดา 2 พระองค์คือ Margaret และ Mary

โดยกษัตริย์ Arthur นั้นเป็นพระโอรสคนโต ดังนั้นจึงได้เป็นคนที่สืบทอดราชบัลลังก์ในอันดับที่ 1

ซึ่งยุโรปสมัยก่อน กษัตริย์ของประเทศต่างๆในยุโรปก็จะส่งบุตรหลานไปแต่งงานกับบุตรของราชวงศ์ประเทศอื่น จุดประสงค์คือเป็นการสร้างพันธมิตรทางการเมืองและการทหาร

สมัยนั้นอังกฤษเป็นศัตรูกับฝรั่งเศส สเปนก็เป็นศัตรูกับฝรั่งเศส สเปนก็เลยส่งพระธิดาคือ Catherine of Aragon ( Click here : พระธิดาของ Isabel I แห่ง Castille และ Ferdinand II แห่ง Aragon รายละเอียดอ่านใน blog ตอนที่พาเที่ยวสเปนเมือง Malaga และ Grenada ได้ โดยสองพระองค์นี้มีความสำคัญคือเป็นผู้ที่ทำสงครามไล่แขกมัวร์ที่ยึดครองสเปน และได้มีการรวมชาติสเปนเกิดขึ้นมาในที่สุด) มาแต่งงานกับ Arthur เพื่อกระชับความสัมพันธ์ เป็นการสร้างพันธมิตรในการต่อต้านฝรั่งเศส

แต่โชคร้ายที่ Arthur สวรรคตตั้งแต่ตอนอายุ 15 ด้วยโรคที่สมัยนั้นไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร แต่มีอาการหลักคืออาการทางระบบหายใจ มีไข้ และเนื่องจากผู้ป่วยมีเหงื่อออกเยอะด้วย ตอนนั้นจึงให้ชื่อโรคนั้นว่า sweating sickness ก็มีการสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นวัณโรค หรือเป็นโรคกาฬโรค หรือเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจน

หลังจาก Arthur สวรรคตแล้วคนที่จะมาสืบทอดราชบัลลังค์ต่อก็คือ Henry โดยที่พระบิดา (กษัตริย์ Henry VII) ก็ได้ขอให้ Catherine มาแต่งงานกับ Henry แทน ในขณะที่ Henry (คนลูก) อายุ 17 ปี คนพ่อ (Henry VII) ที่เป็นกษัตริย์ก็ได้สวรรคต Henry จึงได้ขึ้นครองราชย์ต่อเป็นกษัตริย์ Henry VIII และ Catherine of Aragon ก็ได้เป็นพระราชินี (คนแรก)

จากนี้เองที่ความบันเทิงกำลังจะเริ่ม โดย Henry VIII นั้นมีวีรกรรมในทางชู้สาวที่เยอะมาก โดยพระองค์ได้มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับนางสนมในวังหลายคน โดยคนหลักที่ทำให้เกิดความบันเทิงก็คือ Anne Boleyn ที่เป็นนางสนมเอกของราชินี Catherine นั่นเอง

Anne Boleyn ได้ให้ท่ากษัตริย์ Henry VIII จนพระองค์เกิดความสนใจ หลังจากนั้นได้คบหากันเป็นกิ๊กแบบลับๆ จนถึงจุดนึง Anne Boleyn ก็มีความทะเยอทะยาน อยากแต่งงานกับกษัตริย์เพื่อให้ตนเองได้เป็นราชินี

Anne Boleyn ได้วางกลอุบายหลอกล่อให้ Henry VIII นั้นหย่ากับพระราชินี Catherine เช่น บอกว่าการแต่งงานภับภรรยาของพี่ชายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสายตาของพระเจ้า พระเจ้าจะลงโทษด้วยการทำให้ไม่มีลูก ซึ่ง Anne เสนอว่าถ้ามาแต่งงานกับตัวเองแล้วทำให้ Anne เป็นพระราชินีได้ สามารถมีลูกให้ได้แน่นอน ลูกชายด้วย

สุดท้ายติดปัญหาคือทางศาสนจักร Pope Clement VII (นิกายคาทอลิก) นั้นไม่ให้การรับรองให้หย่าตามหลักศาสนา Anne ก็ได้ยุยงให้กษัตริย์ Henry VIII นั้นประกาศตัดขาดกับศาสนจักรโดยสิ้นเชิงไปเลย โดยให้เหตุผลว่าทางศาสนจักรนั้นมีแต่การคอรัปชั่น แถมต้องส่งส่วยส่งภาษีไปให้ บวกกับอังกฤษนั้นยิ่งใหญ่พอที่จะไม่ต้องพึ่งพิงศาสนจักร

จึงได้เกิดการปฏิรูปศาสนาคริสต์ในประเทศอังกฤษ (English reformation) สร้างนิกายใหม่ขึ้นมาเลยคือ Church of England ซึ่งเป็นโปรเตสแตนท์ในปัจจุบัน หลังจากนั้นการหย่ากับ Catherine ก็เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ และได้แต่งงานกับ Anne Boleyn ทำให้กลายเป็นราชินีคนใหม่โดยสมบูรณ์

แต่ทว่าหลังจากที่ Anne Boleyn ขึ้นเป็นราชินีได้ 3 ปี กลับมีลูกสาวให้แค่ 1 คน ตั้งท้องอีกหลายคนที่เป็นลูกชายก็แท้งหมด ก็คือไม่สามารถทำตามที่รับปากไว้ได้ และเนื่องจาก Henry VIII เป็นคนเจ้าชู้อยู่เดิม เกิดการทรงพระเบื่อพระนาง Anne Boleyn ขึ้นมาตามกาลเวลา พระองค์ก็เลยก็ได้ไปมีชู้กับนางสนมคนใหม่คือ Jane Seymour

ก็เข้าสู่วังวนเดิม โดยการหาทางกำจัดภรรยาคนปัจจุบัน เพื่อจะได้คบ+แต่งงานกับคนใหม่ได้อย่างเปิดเผย

วิธีการของรอบนี้คือ ใช้วิธีการตั้งข้อหาให้ Anne Boleyn ว่าไปมีชู้กับชายคนอื่นหลายๆคน บวกกับคนในวังก็ไม่ค่อยชอบ Anne อยู่เดิม เลยยิ่งมีคนมาช่วยเป็นพยาน มาช่วยใส่ไฟ ก็ยิ่งทำให้กษัตริย์ Henry VIII มีความชอบธรรมในการหาเรื่องการกำจัด Anne ทิ้งได้

หลังจากที่ตั้งข้อหา พระนาง Anne ก็ได้ถูกส่งไปขังใน Tower of London หลังจากนั้นไต่สวนจนถึงที่สุดแล้วสุดท้าย Anne Boleyn ได้ถูกตัดสินพิพากษาให้ประหารชีวิตด้วยการตัดพระเศียร


มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนกลางคืนที่ Tower of London มีคนเห็นวิญญาณผู้หญิงหัวขาด ถือหัวตัวเอง ก็น่าจะเป็นผีของ Anne Boleyn นั่นเอง

และก็เรื่องเล่าอื่นๆอีกมากมายยย







นอกจากนี้ยังมี Crown Jewel

บริเวณที่เก็บมงกุฏของราชวงศ์ ไม่ให้ถ่ายรูปด้านใน





หน้าอาคารมีทหารยืนเฝ้า Don't mess with Queen's guard !!





คลังอาวุธและยุทโธปกรณ์ต่างๆ











สะพาน Tower Bridge





สะพาน London Bridge

London Bridge is falling down, my fair lady.





แม่น้ำ Thames





Shakespeare's Globe

โรงละครเช็คสเปียร์

เป็นโรงละครที่ถูกสร้างในช่วงปีคริสตศตวรรษที่ 16 ผลงานละครส่วนใหญ่ของ William Shakespeare ถุกแสดงในโรงละครแห่งนี้ ถูกไฟไหม้ในปี 1613 แต่ก็มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี 1614 จนกระทั่งปี 1644 นั้นก็ถูกทุบทำลายทิ้งเพื่อเอาพื้นที่ส่วนนั้นมาสร้างเป็นพื้นที่อยู่อาศัย 

ในปี 1977 มีการสร้างใหม่เลียนแบบสถาปัตยกรรมแบบเดิมคือสถานที่ในรูป

"All the world's a stage, And all the men and women merely players: They have their exits and their entrances; And one man in his time plays many parts."
– in "As You Like It" by William Shakespeare







Millenium Bridge





St.Paul Cathedral





โบสถ์ที่เป็นที่ฝังศพของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์อังกฤษมากมาย ที่สำคัญคือ

Admiral Nelson ผู้บัญชาการทหารเรือสมัยสงครามนโปเลียน

Duke of Wellington ผู้นำทัพปราบนโปเลียนที่สมรภูมิ Waterloo

Sir Winston Churchill นายกรัฐมนตรีอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

Margaret Thatcher นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอังกฤษที่ถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อปี 2013

หลังจากนั้นขึ้น tube กลับมาแถวๆ Buckingham Palace อีกครั้ง เพื่อมาแวะซื้อชาร้าน Whittard of Chelsea

อนุสาวรีย์ Duke of Wellington





Arthur Wellesley, 1st Duke of Wellington

คือชื่อเต็มๆของ Duke of Wellington ชายผู้เปลี่ยนยุโรปตลอดกาล เป็นนายทหารชาวไอริชที่มารับราชการในกองทัพอังกฤษ





(แต่ก่อนอังกฤษผนวกไอร์แลนด์ทั้งเกาะเป็นส่วนนึงของ United Kingdom of Great Britain and Ireland ตามพระราชบัญญัติ Act of Union ปี ค.ศ.1801 ปัจจุบันเหลือแค่ Northern Ireland เนื่องจาก Ireland ส่วนที่เหลือประกาศเอกราช แยกตัวจากอังกฤษเมื่อปี 1916 เป็น Republic of Ireland)

ได้นำทัพเพื่อเอาชนะกองทัพฝรั่งเศสของนโปเลียนในสมรภูมิ Waterloo ได้ และเนรเทศนโปเลียนไปอยู่เกาะ Saint Helena ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก
 
Warp to สมรภูมิ Waterloo, Belgium

นำไปสู่ความสงบสุขคืนสู่แผ่นดินยุโรปอีกประมาณ 100 ปี ก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1

หลังจากเสร็จศึกสงครามครั้งนี้ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษถึงสองสมัย

Wellington Arch




Piccadilly Circus

เป็นชุมทางของถนนในลอนดอน มีร้านค้าต่างๆมากมาย





Soho China Town




M&M World

ศูนย์รวมของผลิตภัณฑ์ M&M ทุกอย่างที่สามารถจินตนาการได้









Swiss Glockenspiel



Trafalgar Square

The National Gallery บริเวณ Trafalgar Square







Nelson's Column อนุสาวรีย์ของ Admiral Nelson ผู้บัญชาการทหารเรืออังกฤษ

ด้านบนเป็นรูปปั้นของท่าน Nelson





Admiral Horatio Nelson ผู้บัญชาการทหารเรือ ผ่านศึกมามากมาย สู้รบจนเสียแขนไปข้างนึง และก็ตาบอดข้างนึง

จนในสงคราม Battle of Trafalgar ปี ค.ศ.1805 ที่สมรภูมิแหลม Trafalgar บริเวณตอนใต้ของสเปน

ฝ่ายอังกฤษมีเรือ 33 ลำ ฝ่ายฝรั่งเศส-สเปน (Franco-Spanish) มีเรือ 44 ลำ

ภายใต้การนำทัพของ Admiral Nelson ฝ่ายอังกฤษสามารถเอาชนะกองทัพเรือของสเปน+ฝรั่งเศสได้

แต่สุดท้ายขณะที่เรือเข้าต่อสู้กันในระยะประชิด มีการยิงต่อสู้ ตะลุมบอนกัน ก็โดนทหารสเปนที่เป็นพลซุ่มยิง (Sharpshooter) ลอบยิงจนเสียชีวิต

ถึงจะเสียชีวิตแต่สุดท้ายกองทัพเรืออังกฤษก็เป็นฝ่ายชนะอยู่ดี สุดท้ายฝ่ายอังกฤษสูญเสียทหารไป 1666 นาย ส่วนฝ่าย สเปน+ฝรั่งเศส สูญเสียทหารไป 13,781 ราย !!

สงครามครั้งนี้มีความสำคัญคือ หลังจากฝรั่งเศส-สเปน พ่ายแพ้ ความเป็นมหาอำนาจทางทหารในทะเลเหนือ และฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกก็ได้จบลง

ภัยคุกคามทางทะเลที่นโปเลียนวางแผนจะบุกขึ้นยึดเกาะ Britain ก็จบสิ้นลง

Admiral Nelson ได้ถูกยกย่องว่าเป็น Greatest naval war hero และเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญของกองทัพเรืออังกฤษ





หลังจากนั้นเดินออกมาแถวๆ Westminster เจอกลุ่มคนประท้วงกัน





London Eye

ชิงช้าสวรรค์ที่เคยสูงที่สุดในโลก ล่าสุดถูกทำลายสถิติโดยชิงช้าสวรรค์ในจีนและสิงคโปร์





Big Ben and Palace of Westminster





Palace of Westminster ก็คือรัฐสภาของอังกฤษ และหอนาฬิกา Big Ben คงไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นหอนาฬิกาของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์

ชื่อจริงๆของ Big Ben คือ Elizabeth Tower





Westminster Abbey




ข้างในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปอีกแล้ว

มหาวิหาร Westminster สถานที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกกษัตริย์แห่งอังกฤษมาเกือบพันปี

และเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์อังกฤษหลายพระองค์ เช่น Elizabeth I, Bloody Mary ฯลฯ

และบุคคลสำคัญอื่นๆเช่น Isaac Newton, Charles Darwin ฯลฯ

เดินต่อมาอีกนิดเดียวก็เป็น Churchill War Rooms





ที่บัญชาการของ Winston Churchill สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ห้องทำงานของ Churchill

Quiet Please เนื่องจาก Churchill เกลียดเสียงรบกวนสมาธิมาก





พิมพ์ดีดพิเศษที่ส่งเสียงรบกวนน้อยที่สุด สำหรับเลขาของท่าน Churchill





แผนที่ยุโรปสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง





ห้องประชุมเพื่อวางแผนการรบ





สุดท้าย ท้ายสุด เดินทางมาที่สถานี Knightsbridge

Harrods

ห้างที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ





สินค้าต่างๆมากมาย







จบ Blog ของการท่องเที่ยวอังกฤษและเวลส์อย่างเป็นทางการ

ปล.มาอังกฤษรอบนี้ฝนไม่ตกเลย มีแต่หมอก



Create Date : 06 มีนาคม 2560
Last Update : 13 กรกฎาคม 2565 14:41:12 น.
Counter : 1979 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Mickeytae
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



มีนาคม 2560

 
 
 
2
4
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
6 มีนาคม 2560