มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 มกราคม 2554
 

รีวิวประเทศอินเดีย-นิวเดลี-อัครา-ราชสถาน ตอนที่ 3

Udaipur


เรา ตื่นกันไม่เช้ามาก ราวๆ หกโมงกว่าได้(ปกติตื่นเช้ากันสุดๆ เพราะต้องรีบเดินทาง) เรานัดกับเจ้าของบ้านทานอาหารเช้ากันตอนเจ็ดโมง วันนี้เด็กๆ ก็ตื่นแต่เช้าเลย เข้ามาหาเราในห้อง(มีเด็กสองคนเหมือนว่าจะชอบเล่นกับพวกเรามากๆ คนพี่ชื่อว่าลัคกี้ เหมือนชื่อ GH ส่วนคนน้องไม่รู้จักชื่อ ==') พิมพ์โชว์มือให้ดูเป็นอันดับแรกเลย ปรากฎว่าแอบนอนไปโดน หลุดไปบ้าง แล้วเห็นลางๆ ฮ่าๆ .. (เด็กๆจะเสียใจเปล่านี่)


เรา ลงมาที่ห้องครัวกันเหมือนเดิม นั่ง ถ่ายรูปเล่นกันต่อ พวกเราชอบโครงหน้าน้องลัคกี้มาก (พี่สาวคนโตก็หน้าตาคมคาย แต่ว่าโตเป็นสาวแล้ว เลยจะเงียบๆ และสุขุมมากกว่า ไม่ได้มายุ่งไรกับพวกเรา) เลยถ่ายรูปเล่นกับลัคกี้อย่างสนุกสนาน จนน้องอีกคนต้องมาขอแจม แต่ด้วยความที่ลัคกี้ชอบเล่นกล้อง และถ่ายรูปขึ้นมากๆ เลยได้รูปลัคกี้มาเยอะมาก เราสัญญาว่าจะส่งรูปไปให้ แต่จนบัดนี้ ตั้งแต่ต้นปี เกือบจะกลางปีอยู่แล้ว ก็ยังไม่ได้ส่งรูปไปให้พวกเค้าเลย =='


เช้า นี้เราทานจาปาตีกันเหมือนเดิม แต่จิ้มกับแกงผักโขมบด(บดละเอียดและเป็นแบบเหนียวๆ ไม่มีน้ำ เผ็ดนิดๆ อร่อยสุดๆ ค่ะ เป็นมื้อที่น่าประทับใจที่สุดมื้อนึง อาหารบ้านๆ ที่หาไม่ได้ตามโรงแรมหรือร้านอาหารทั่วไป แต่รสชาตินี่แซ้บอีหลีเด้อค่ะ) เราทานกันไปเยอะมาก เพราะอร่อย แล้วตบท้ายด้วย Lassi หรือโยเกิร์ตเค็มสไตล์อินเดีย เห็นเค้าเคี่ยวโยเกิร์ตกับมือเลย แล้วโยเกิร์ตนี้ก็ทำจากนมควายตัวที่เราไปรีดนมกันมาเมื่อคืนด้วย ฮิๆ แต่รสชาติมันช่างไม่คุ้นเคยเอาซะเลย เปรี้ยวๆ นิดๆ แปลกๆ ทานแล้วแอบจะอ้วก จนต้องขอเกลือเค้ามาใส่จนเค็มปี๋ถึงทานได้ค่ะ ใส่เกลือจนเจ้าของบ้านตกใจว่าจะกินได้ไหมนี่ =='


และ แล้วก็ได้เวลาอำลากันเสียที ก่อนออกจากที่พัก ก็ต้องเช็คเอาท์กันนิดนึง โดยถามค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อวานตอนมาก็ถามราคาห้องอยู่แล้ว เค้าบอกว่าคืนละ 300 รูปี ตอนแรกๆ คิดว่ารวมค่าอาหารแล้วซะอีก แฟนยังบอกเลยว่าประทับใจมาก ควรให้ไปมากกว่านั้น อย่างน้อยก็น่าจะให้ซัก 600 รูปี(อยากให้อยู่แล้ว แม้ว่าเค้าไม่ได้ร้องขอ) แต่เอาเข้าจริง ค่าห้องกับค่าอาหารรวมกัน เค้าคิดเรารวม 600 พอดีค่ะ แหม.. ตรงกับที่เราอยากจะให้พอดีเป๊ะเลย เอาน่า ไหนๆ เราก็คิดจะให้อยู่แล้ว (ก็แค่แอบงงเล็กน้อย ที่เค้าไม่บอกค่าอาหารเราแต่แรก เราคิดว่ารวมกันอยู่ใน 300 รูปีนั่นซะอีก แต่ถือว่าคุ้มเลย อาหารสองมื้อ สองคน เพิ่มมาอีกแค่ 300 ได้ทานอาหารฝีมือชาวบ้านรสแซ้บ) 


จาก นั้นเราต้องไปรอรถที่จะตรงไป Udaipur ตรงวงเวียนที่ลงจากรถเมื่อวาน(โชคดีที่มีรถสายตรง ไม่ต้องต่อรถให้ยุ่งยากแบบเมื่อวาน) มีคนรอตรงนั้นหลายคนทีเดียว ก่อนไป เด็กๆ ทำหน้าอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากให้เรากลับ เราเองก็รู้สึกดีกับเด็กๆ นะ อยากอยู่เล่นกันต่อ ยิ่งเด็กๆ เดินออกมาส่งเราด้วย ยิ่งไม่อยากกลับเลย


รถ มาค่อนข้างตรงเวลาคือ ประมาณ 9.00 น. โชคดีที่คนไม่เยอะมาก แล้วคงเป็นต้นๆ สายด้วย เราเลยมีที่นั่งกัน(คนขับรถใจดีอีกตามเคย หาที่นั่งให้เรา คือชี้ให้เราไปนั่งตรงเบาะหน้า หลังคนขับ)


จริงๆ แล้วต้องเดินทางกันประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าจะถึง Udaipur แต่ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุยางหลังรถแตกข้างหนึ่ง ต้องเปลี่ยนยาง และเสียเวลาเปลี่ยนไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ช่วงระหว่างรอ เราบอกให้แฟนลงไปถ่ายรูปผู้คนเก็บไว้ แฟนเราก็ไม่กล้าถ่ายเท่าไร ก็แอบเล็งๆ ไกลๆ บ้าง สักพัก เราเองก็อยากไปถ่ายเองเหมือนกัน เลยลงไปเอากล้องจากแฟนเพื่อมาถ่ายเอง(ขี้เกียจควักกล้องออกมาหลายตัว)


ปกติ เวลาเราอยู่บนรถ ทุกคนจะมองเราเหมือนตัวประหลาดอยู่แล้ว แล้วพอเรามายืนด้อมๆ มองๆ ก้มๆ เงยๆ ถ่ายรูปอยู่ด้านล่าง หันไปที่รถ จะเห็นแววตาหลายคู่มองมายังเรา แล้วพอดีเห็นเด็กคนหนึ่งยื่นหน้ามา เราเลยวิ่งเข้าไปขอถ่ายเค้ากับคุณแม่(แต่ว่าไม่โผล่หน้ามาโดนแดด เลยไม่ได้รูปมา) ทุกคนยิ่งมองมาที่เราเยอะขึ้น ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ เห็นหญิงสาวอีกคนหน้าตาสวยใช้ได้ริมหน้าต่าง เราเลยกล้าๆ หน่อย เข้าไปหา แล้วบอกว่าขอถ่ายรูปเธอด้วยนะ(ชี้มาที่กล้อง และชี้ไปที่เค้า ภาษามือล้วนๆ ฮ่าๆ) เค้าก็หันไป แล้วเรียกลูกสาวมา แหนะ.. มีการอวดลูกด้วยนะ.. เราก็เลยถ่ายทั้งแม่ทั้งลูก แล้วเค้าก็ขอดูรูป น่ารักมากๆ เลย ไม่คิดว่าเค้าจะชอบถ่ายรูปกัน ไม่เหมือนกับคนในเมือง เราไม่กล้าเข้าไปถ่าย ได้แต่ดักยิงไกลๆ  เพราะกลัวโดนด่าว่าจะถ่ายอะไรกันนักหนา(เจอมาหลายหนจนเข็ด) 


ไหนๆ ก็ไหนๆ อีกรอบ เราขอถ่ายเก็บคนที่ยื่นหน้ามาที่หน้าต่างให้หมดเลยละกัน ฮ่าๆ  




เรา มาถึง Udaipur ตอนช่วงเกือบบ่าย (จำภาพไม่ได้แล้วว่าลงรถตรงไหน และเข้าไปในโรงแรมยังไง) เราจะพักกันที่ Panorama GH ซึ่งตั้งอยู่ในย่าน Hanuman Ghat กันสองคืน ว้าวๆ เค้าว่ากันว่าที่นี่เป็นเมืองโรแมนติก จะจริงสมคำร่ำลือหรือไม่ อยู่ตั้งสองคืนแหน่ะ


วัน แรกคงไปเที่ยวไหนไม่ได้ไกลมาก หลังจากเช็คอิน เก็บของที่โรงแรมแล้ว เราก็เดินข้ามมาอีกฝั่งเพื่อไปดู City Palace กัน (วังอยู่ติดริมแม่น้ำเลย แต่ตัวโรงแรมที่เราพักซึ่งอยู่อีกฝั่งไม่ได้ติดริมแม่น้ำ ต้องเดินเข้าไปในซอกในซอยอีกนิดหน่อย)


เวลา เราเข้าไปตามสถานที่ต่างๆ บางทีค่าเข้าไม่เท่าไรนะคะ(บางสถานที่เราจะเสียในราคาเท่าคนอินเดีย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในสนธิสัญญา BIMST-EC ด้วย อย่างทัชมาฮาล เราก็เสียค่าเข้าเท่าคนอินเดียค่ะ ก่อนไปอินเดีย สามารถปริ้นท์รายชื่อที่ท่องเที่ยวไปดูด้วยก็ดีค่ะ เพราะบางที่ก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้) แต่เราเสียค่ากล้องไปเยอะมาก อย่างที่วังนี่ ค่าเข้าคนละ 50 รูปีเอง แต่ค่ากล้อง 200 รูปีเลยทีเดียว กระซิกๆ T_T


ภาย ในวังก็มีห้องต่างๆ มากมาย จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมกัน รอบนี้เราเจอกองถ่ายอีกแล้ว แต่เป็นกองถ่ายภาพนิ่งนางแบบค่ะ เห็นหลังนางแบบแว้บๆ สูงยาวเข่าดี ขาวเชียว.. แล้วเค้าก็หยุดถ่ายทำกันที่หนึ่งตรงทางเดินชั้นสอง เราก็เดินผ่านมา และลงมาชั้นหนึ่ง เงยหน้าขึ้นไป อ้าว..เห็นมุมสวยมากจากชั้นสอง คือตรงกลางจะโล่งๆ แล้วมองขึ้นไปเห็นระเบียงหน้าต่างที่อยู่ชั้นสองค่ะ เลยบอกแฟนว่าอยากขึ้นไปถ่ายตรงนั้น แบบยื่นหน้าลงมาจากหน้าต่าง แล้วให้แฟนถ่ายภาพขึ้นไปจากด้านล่าง เราเลยตัดสินใจเดินย้อนขึ้นไปชั้นสอง ต่อ แต่ทว่า รปภ. กั้นมือเอาไว้ ถามว่าจะไปไหน เราก็บอกว่า เราจะไปตรงหน้าต่างที่เดินผ่านมาเมื่อกี้ เค้าก็บอกว่า ลงไปแล้ว ย้อนกลับมาไม่ได้ (เดินตามหมายเลข) จริงๆ เราคิดว่าก็น่าจะได้แหละ คงไม่ซีเรียสมาก แต่เรื่องของเรื่องคือเค้าถ่ายทำกันอยู่พอดี เลยปิดทางไว้ชั่วคราว ฮื่อๆ อดเลย..ไม่ถ่ายก็ได้ หน้าแตก เดินคอตกกลับมาเหมือนเดิม T_T




จริงๆ ส่วน ของวังมีมากกว่านี้ แต่อีกส่วนหนึ่งเค้ากั้นไว้ เป็นเขตที่มีโรงแรม และภัตตาคารสุดหรูอยู่ มีแต่ลูกค้าเท่านั้นที่เข้าไปได้ หรือหากไม่ได้เป็นลูกค้า จะซื้อบัตรเข้าต่างหากก็ได้ แต่เราคิดว่าคงไม่มีอะไร ก็คงเป็นแค่โรงแรมและภัตตาคาร เลยเดินออกจากวังกันไปที่ริมแม่น้ำฝั่งที่ติดกับวังนั่นแหละค่ะ ผู้คน ชาวบ้าน กำลังอาบน้ำซักผ้ากันอยู่เลย (เอิ่ม น้ำดำขนาดนี้เนี่ยนะ.. แต่ทำยังไงได้หละ เค้าคงชินกันแล้ว เพราะใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เกิด)


ใน ช่วงที่ถ่ายรูปกันอยู่แถว ๆ นี้ มีเด็กคนหนึ่ง เป็นลูกชายของหญิงที่ซักผ้าด้านบน เข้ามาขอเงิน one pen one pen เหมือนเด็กที่อื่นๆ แฟนพิมพ์เลยให้ปากกาไป .. เด็กทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกเลย หยิบไปดู แล้วก็ยื่นคืน ฮ่าๆ แล้วก็ยังขอเงินอยู่เหมือนเดิม แฟนเลยพูดไปว่า ก็นี่ไง one pen (คิคิ) สุดท้ายเลยให้ไปกี่รูปีจำไม่ได้ และแลกมาด้วยรูปถ่าย พอได้เงินไปแล้ว ยังจะมาขออีกแหนะ โลภจริงๆ ... เราเลยไม่ให้อีกละ (แต่พอแม่เค้าเห็นว่าลูกมาขอเงิน แม่เค้าก็ว่าลูกนะคะ บอกว่าไม่ให้มาขอ หรือมายุ่งกับเรา)




เรา เดินกลับห้องพัก เพื่อไปเอาขาตั้งกล้องเตรียมตัวไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกและช่วงทไวไลท์ที่ฝั่ง โรงแรมของเรา แต่ต้องเดินออกมาอีกหน่อย อยู่ช่วงปลายๆ ย่าน Hanuman Ghat 


ตอน แรกๆ เราเดินหามุมกันอยู่นาน ว่าจะถ่ายตรงไหนดีที่ให้มองออกมาแล้วเห็นตัววังชัดเจน เดินกันสักพักใหญ่ ก็ถึงจนได้ อยู่ตรงข้ามเยื้องๆ กับวังหน่อยๆ แล้วก็สุดทางแล้วด้วย เดินต่อไม่ได้ คนนั่งจู๋จี๋กันตรงนั้นเล็กน้อย เราก็เริ่มปฏิบัติการเล็ง และตั้งขากล้อง จองทำเลไว้ เอาที่ที่ถ่ายวังได้ชัด และถ่ายพระอาทิตย์ตกได้ด้วย(พระอาทิตย์ตกฝั่งที่เรายืน) ที่ที่เราไปเตรียมตัวถ่ายรูปกันนั้นอยู่สุดทางพอดี เป็นอาคารเหมือนจะร้าง (แต่ด้านในมีวัดด้วย ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้า) อยู่ริมน้ำ แล้วด้านข้างๆ ใกล้ๆ กัน จะเป็นภัตตาคารกลางน้ำ ซึ่งมีบริการนั่งเรือมาจากฝั่งพระราชวัง


รูป ภัตตาคารกลางน้ำ ถ่ายมาแค่เสี้ยวๆ เพราะเน้นบรรยากาศข้างๆ มากกว่า เห็นกำลังมีควันสวยงาม อิอิ เป็นควันไฟนะคะ ไม่ใช่หมอก แต่แอบดูโรแมนติกเหมือนหมอกเลย รูปนี้พิมพ์ลงมาถ่ายตรงพื้นดินที่เป็นเกาะเล็กๆ ข้างๆ ตึกที่เรายืนถ่ายรูปกันค่ะ ประมาณว่าน้ำแห้ง แล้วมีส่วนของดินโผล่ขึ้นมา  ประกอบกับมีคนเอาหินมาวางไว้เป็นทางเดินให้ด้วย เลยเดินไปถ่ายตัวภัตตาคารใกล้ๆ (พิมพ์ประเดิมลงไปเป็นคนแรกเลย อีกฝั่งถ่ายเห็นตัววัง พอหันหลังกลับ เห็นวิวพระอาทิตย์ตก และข้างๆ เป็นตัวภัตตาคารกลางน้ำ งานนี้ได้มาหลายมุม เกือบรอบตัวเลยค่ะ จากนั้นเริ่มมีนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ เช่น จีน และญี่ปุ่น เดินลงมาถ่ายกันบ้าง นักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยมากันเยอะแล้ว)


ถ้า คุณลุงคนหนึ่งไม่บอกให้เราลองลงไป ถ่ายด้านล่างดู เราก็คงไม่คิดจะลงไปหรอกค่ะ แต่พอเค้าบอกแบบนี้ แสดงว่าลงได้ เลยรีบลงไป ถ่ายได้สักพักก็ขึ้น งานนี้คงต้องรอถึงค่ำมืด เพราะหลักๆ เลยคือต้องการถ่ายตัววัง กับแสงทไวไลท์ที่ได้ฟ้าสีน้ำเงินเข้ม(ต้องรอช่วงพระอาทิตย์ตกไปก่อน) พอแฟนพิมพ์ตั้งขากล้องด้านบนเสร็จ ก็บอกให้พิมพ์เฝ้าอยู่ตรงนั้นก่อน พี่เค้าจะไปหาซื้อเสบียง น้ำ ขนมมายืนทานกันตรงนี้แหล่ะ


ช่วง ที่รอ ร้อ รอ เวลาให้พระอาทิตย์ตก นักท่องเที่ยวเริ่มมากขึ้น ทั้งชาวอินเดีย และชาวต่างชาติ คุณลุงชาวอินเดียคนหนึ่งที่บอกให้ลงไปถ่ายรูปด้านล่างแต่แรก คุยกับคนนั้นคนนี้ และสุดท้ายก็หันมาคุยกับแฟนพิมพ์อีกรอบ ไม่แน่ใจว่าคุยอะไรกันบ้างเยอะ แยะ(คุณลุงกำลังหาเหยื่อค่ะ เลยต้องคุยกับหลายๆ คน แต่มาถูกชะตากับเราซะงั้น ว่าแต่หาเหยื่ออะไรหรอ อิอิ เดี๋ยวค่อยบอก)


เรา ทานขนมกันไป(มันฝรั่ง) ถ่ายรูปกันไป หันไปถ่ายฝั่งวังที ถ่ายอาทิตย์ตกที่ ถ่ายภัตตาคารกลางน้ำที พออาทิตย์เริ่มตกไปแล้ว นักท่องเที่ยวก็เริ่มหาย แต่เรา...ยังคงอยู่..(พวกเค้าหารู้ไม่ว่า สิ่งที่สวยงามกว่าพระอาทิตย์ตก ก็คือแสงช่วงทไวไลท์นี่แหล่ะค่ะ)


ใน ขณะที่เรายังอยู่ (ตรงนั้นเหลือแค่ไม่ กี่คน) คุณลุงก็มากระซิบว่า จะขึ้นไปถ่ายบนดาดฟ้าของตัวอาคารมั้ย วิวดีนะ ถ่ายจากมุมสูงลงมา เห็นตัววังชัดเจน ปกติเค้าจะไม่ให้คนทั่วไปขึ้น(คุณลุงเป็นคนดูแลอาคารค่ะ แกบอกแบบนั้น) เราตัดสินใจกันพักนึง เอาก็เอา ถ่ายจากข้างบนลงมา ก็น่าจะเห็นแม่น้ำชัดกว่า เพราะมุมสูงกว่า(ถ่ายเก็บตัววังกับแม่น้ำ) 


คุณ ลุงคงจับจุดได้ว่าพวกเราชอบถ่ายรูป เป็นชีวิตจิตใจ เลยเลือกพวกเราเป็นเหยื่อ ฮ่าๆ (เพราะถ้าหากชวนคนอื่นที่ไม่ได้ชอบการถ่ายรูป เค้าก็คงคิดว่าจะถ่ายข้างบนข้างล่างก็คงเหมือนกันนั่นแหละ) แกเลยพาเดินเข้าไปด้านใน ชั้นแรกเป็นวัด แล้วก็พาเดินขึ้นบันไดข้างๆ จนถึงดาดฟ้า(ขี้นกเต็มเลย ดีนะที่มีถุงเท้า แต่รองเท้าต้องถอดไว้ด่านล่าง) เราตั้งกล้องกันสักพัก แล้วก็เริ่มถ่ายเลยฝั่งราชวัง แสงกำลังดี..ฟ้าเริ่มเข้มขึ้น พอถ่ายจนโอเคแล้ว ลุงก็มาถามว่าโอเคหรือยัง(แอบไล่อ้อมๆ ) เราก็หันไปอีกฟาก ฝั่งที่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว ท้องฟ้าแดงๆ กำลังสวยงาม ฝั่งที่พระอาทิตย์ตก ฟ้าจะออกม่วงแดง ไม่ได้เป็นสีน้ำเงินเข้มแบบฝั่งตรงข้าม สภาพแสง และความสวยงามต่างกันนะคะ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมีอะไรเป็นวัตถุให้ถ่ายบ้าง และโชคดี ที่ฝั่งตรงข้ามมีราชวังเป็นวัตถุ ส่วนฝั่งพระอาทิตย์ตก มีโรงแรมระดับหรูให้ถ่ายค่ะ โรงแรมสวย ยิ่งใหญ่และอลังการมาก แต่คงไม่มีปัญญาพัก เพราะคืนละหลายหมื่น (คุณลุงบอกมา)


รูปฝั่งพระอาทิตย์ตก หลังจากที่ฟ้ามืดไปแล้ว มองเห็นโดมของโรงแรมสุดหรู แต่ในรูปจะดูสว่างกว่าความเป็นจริงนะคะ เพราะใช้ขาตั้งกล้องถ่าย ถ่ายด้วยความเร็วชัตเตอร์ที่ slow สุดๆ เพื่อให้ได้แสงที่สว่างตามความต้องการ และให้ได้ไฟแฉกๆ เล่นไวท์บาลานซ์ในกล้องนิดหน่อย เพื่อให้ออกมาสีม่วง


พอ ถ่ายตรงนี้เสร็จ เราก็บอกคุณลุงว่าโอเคแล้วกลับได้ ...ตอนก่อนเดินลง ให้เงินแกไป 100 รูปีค่ะ (เพราะเป็นอันรู้กันอยู่แล้วว่าของฟรีไม่มีในอินเดีย) แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่แกเลือกเราเป็นเหยื่อนะคะ


ระหว่าง ที่เดินลง รวมถึงก่อนหน้านี้ที่คุยกับแฟนพิมพ์ คุณลุงชวนเราไปดื่มน้ำชาที่บ้านค่า... โอ้.. น่าแปลกใจ ใจดีผิดวิสัยชาวอินเดีย >..< พิมพ์รู้สึกตะหงิดๆ อยู่ในใจ เลยบอกแฟนไปว่าให้ปฏิเสธไป เพราะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ หลังๆ แฟนพิมพ์เองก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน (แกบอกเราอยู่ช่วงหนึ่ง จำไม่ได้ว่าช่วงไหน บอกว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ขึ้นข้างบนพระราชวังพอดี จะเห็นขึ้นมาอยู่บนราชวังช่วงสองทุ่ม) แฟนพิมพ์เลยบอกไปว่า ไว้ก่อนนะ อยากรอถ่ายรูปช่วงพระจันทร์ขึ้น แต่ว่ายังเหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมงเลย ลุงแกเลยคะยั้นคะยอให้ไปดื่มน้ำชาบ้านแกก่อน โอย.. จะปฏิเสธยังไงอีกหละ(นี่ถ้าบอกว่าอยากกลับห้องไปพักผ่อนแต่แรก(แล้วย่องมา ถ่ายรูปกันทีหลัง) คงจะปฏิเสธได้ไปแล้ว แต่ดันบอกว่าจะรอถ่ายตอนพระจันทร์ขึ้นนี่สิ ==') สุดท้ายเลยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เดินตามไปบ้านคุณลุง(บ้านอยู่ระหว่างทางที่เราไปถ่ายรูป และทางที่เราต้องเดินกลับโรงแรมพอดีค่ะ) พอถึงก็เลยถึงบางอ้อ มิน่าตะหงิดๆ อยู่ในใจ ที่แท้บ้านคุณลุงแกขายพวกภาพเพนท์บนผ้าค่ะ(ที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่อง ภาพเพนท์ มีร้านขายอยู่เกลื่อนเมืองเลย)


เมื่อ ตอนกลางวัน เราก็เดินผ่านร้านนี้กันนะ จำได้ มีชายหนุ่มเรียกเข้าร้าน เรายังปฏิเสธกันอยู่เลย ที่ไหนได้ ตกเย็นก็หนีไม่พ้น แง่ๆ ต้องเตรียมตัวเสียเงินอีกแล้ว เพราะดันไปผูกมิตรกับลุงแกไว้มาก ไม่น่าเล้ย T_T


คุณ ลุงสั่งน้ำชามาให้เราดื่มตามที่แกบอก ไว้ แล้วก็แนะนำชายหนุ่มในร้านว่าเป็นลูกศิษย์ของแก แล้วภาพวาดทั้งหลายลูกศิษย์ก็วาดเอง(ใช้สีจากแร่ธาตุธรรมชาติ พวกหินสีต่างๆ อ่ะค่ะ เอามาบดๆ แล้วผสมกับน้ำอะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้ว)


แต่ ยอมรับเลยว่า งานคุณภาพ และละเอียดมากๆ มองตาเปล่ายังไม่อึ้งเท่ากับใช้แว่นขยายส่องดูค่ะ แบบว่าละเอียดยิบทุกรายละเอียดจริงๆ เราก็นั่งอึ้ง ทึ่ง และที่สำคัญที่สุดคือ เสียว(ว่าจะได้เสียเงินมากแน่ๆ เพราะแต่ละภาพราคาไม่ถูกเลย)... เค้าเอารูปใหญ่มาให้ดูด้วย ภาพนั้นหมื่นกว่าบาท โอ้.. แม่เจ้า เราคงไม่มีปัญญาซื้อ เลยดูรูปที่เล็กๆ มาหน่อย เอาแบบใส่กรอบได้พองาม ดูไปดูมา ก็ได้ภาพแผ่นละหลายพันบาทมา T_T (จำราคาไม่ได้แล้ว น่าจะสองสามพันอ่ะค่ะ ภาพเล็กนิดเดียว ไม่ถึง 8*10นิ้ว) เป็นรูปพระราชาขี่ช้างเดินเข้าวัง(ทิวทัศน์แถบๆ นั้นหนะค่ะ) โทนสีฟ้าสวยงาม (ว่างๆ แล้วจะถ่ายรูปมาลง) จริงๆ เราจะไม่ซื้อก็ได้นะ แต่ยังไงหละ แบบว่าเกรงใจด้วย ปฏิเสธไม่ถูก แล้วรูปเค้าก็ของดีมีคุณภาพน่าเก็บสะสมด้วย แต่ก็มีปัญญาซื้อได้แค่นี้ เลยเอามาแค่รูปเดียว (แถมรูปเล็กๆ มาให้ด้วยหนึ่งรูป เล็กประมาณฝ่ามือค่ะ เป็นรูปอูฐสีทอง บนผ้าจัตุรัสสีดำ สวยงาม) คุณลุงยังถามอีกแหน่ะ ว่าไม่เอาอีกเหรอ เอาไปเป็นของฝาก(ได้คืบจะเอาศอกนะคุณลุง) แต่พวกเราก็ต้องปฏิเสธกันไป (จริงๆ เราไปเที่ยวกันมาหลายที่ ของที่ระลึกที่ได้กลับมาส่วนใหญ่จะเป็นรูปภาพค่ะ เลยกะว่าหากไปไหน ไม่ต้องหอบอะไรกลับมาละ ไหนๆ ก็เก็บรูปเป็นคอลเล็คชั่นแล้ว ก็ควรจะเก็บต่อไป ฮ่าๆ)


และ แล้วก็ได้เวลาถ่ายรูปพระจันทร์ขึ้น เกือบสองทุ่มแล้ว หาข้ออ้างปลีกตัวออกจากร้านลุงได้แล้ว ก่อนที่จะเสียเงินมากกว่านี้....และนี่คือสาเหตุที่บอกไว้แต่แรกแล้วว่า เราถูกเลือกให้เป็นเหยื่อ ลุงแกคงนึกในใจว่า ไม่เอามาก วันนึงขอแค่คนนึงก็พอ ได้ไปหลายพัน ==' (เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าได้ไว้ใจชาวอินเดียที่มาตีสนิทกับคุณ ไม่ว่าจะตีบท(คนใจดีมีน้ำใจ)แตกแค่ไหน สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ >..<)


รูป ช่วงประมาณสองทุ่ม พระจันทร์ขึ้นมาอยู่เหนือพระราชวังพอดีค่ะ ดวงกลมโต แล้วค่ำคืนนี้ของเราก็สิ้นสุดกันแค่นี้ (แต่เหมือนว่าจะขึ้นไปทานข้าวบนร้านอาหารของโรงแรมเราก่อนเข้าห้องพัก)


คืน นี้พระจันทร์เต็มดวงสวยงามจริงๆ โชคดีที่เราได้ห้องด้านที่เห็นแม่น้ำและพระราชวัง ไม่มีทิวทัศน์หรือตึกอื่นมาบดบัง แถมห้องด้านที่เป็นระเบียงเป็นบานกระจกใสทั้งแถบปิดด้วยผ้าม่าน คืนนี้เราเลยนอนเปิดม่านชมจันทร์ พร้อมกับหลับฝันดี...แอบเพลียด้วย (วิวที่เห็นจากห้องโรแมนติกอยู่เหมือนกันนะ^^)



 


<วันต่อมา>


 


วัน ที่ 10 ของทริป เที่ยวที่ Udaipur อีกหนึ่งวัน วันนี้เหนื่อยสุดยอดมาก เพราะไปเช่าจักรยานขี่รอบเมืองกันทั้งวันจากร้าน Heera Cycle Store(อยู่ฟากเดียวกับพระราชวัง ในย่านตลาด ร้านค้าต่างๆ) และจุดหมายปลายทางของวันนี้คือ Fateh Sagar Lake/ Shilpgram / Monsoon Palace 


เรา เตรียมแผนที่ไว้ และขี่ตามเส้นทาง ไปถึงทะเลสาบ Fateh Sagar ก่อนค่ะ แรกๆ ก็สนุกดีค่ะ กำลังมีแรง ฮ่าๆ ... ตอนไปถึงทะเลสาบก็ลงแวะจอดเป็นพักๆ เมื่อเห็นวิวสวยๆ ตรงกลางเหมือนมีเกาะอยู่ด้วย มีสวนสาธารณะกลางเกาะ และมีอาคารขาวๆ เหมือนว่าจะเป็นภัตตาคาร ตรงริมทะเลสาบ บางจุดมีให้เช่าเรือถีบด้วย และบางจุดชาวบ้านก็กำลังอาบน้ำซักผ้ากันอยู่ ไม่กล้าถ่ายรูปมามาก เพราะกลัวว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิของเค้า(ก็เค้าอาบน้ำกันอยู่อ่ะนะ)


ขี่ ไปสักพัก แฟนบอกว่าหิวมาก เจอร้านอาหารอยู่ข้างทาง คุณพี่เลยไปซื้อและยืนทานอยู่ตรงนั้น บอกว่าอร่อยใช้ได้เลย แต่พิมพ์ไม่หิว เพราะปกติไม่ทานข้าวเช้า ก็เลยรออยู่แถวๆ นั้น และถ่ายรูปไปเรื่อยๆ (เรากำลังจะขี่อ้อมทะเลสาบกัน เพื่อไปยัง Shilpgram)


Shilgram ไม่ได้อยู่แถวๆ ริมทะเลสาบซะทีเดียว แต่ต้องเข้าไปในทางแยกเล็กๆ อีกไกลพอสมควร ที่นี่เป็นหมู่บ้านจำลองชีวิตของชาวอินเดียในแต่ละภาค ด้านในจะมีบ้านทรงต่างๆ ของชาวอินเดียสมัยก่อน และมีการแสดงต่างๆ อยู่เป็นจุดๆ รวมถึงมีร้านขายสินค้าพื้นเมืองมาตั้งอยู่เป็นบางที่(อาจเพราะช่วงที่เราไป ไม่ค่อยมีคนมา และยังสายๆ อยู่ ร้านเพิ่งมาตั้งแค่ไม่กี่ร้านเอง) ส่วนการแสดง คิดว่าคงไม่ได้แสดงตามเวลา เพราะเท่าที่เห็นคือ เวลานักท่องเที่ยวเดินมา เค้าถึงจะแสดงให้ดู แต่ต้องมากลุ่มใหญ่ๆ นะคะ คนสองคน เค้าก็ไม่แสดงอะค่ะ(เราไปกันสองคน ก็อาศัยเข้าไปดูตอนที่มีทัวร์กลุ่มอื่นๆ มา หรือบางทัวร์จ้างไกด์ ไกด์บอกให้แสดง เค้าก็แสดงกันนะ แม้ว่าคนจะแค่ไม่กี่คน)


เนื่องจากข้างในไม่ได้ใหญ่มาก ร้านค้าน้อย การแสดงก็มีแค่ไม่กี่จุด เราเลยเดินเล่นๆ ไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปกันไป




พอ ทานอาหารกลางวันเสร็จก็นั่งกันได้สัก พักหนึ่ง แล้วขี่จักรยานกลับออกมาสู่เส้นทางเดิม และเลาะริมทะเลสาบไปอีก แต่คราวนี้จักรยานของแฟนดันมีปัญหาตรงช่วงโซ่ เพราะน็อตหลวม (อาจหลุดออกมาทั้งยวง) ก็เลยต้องปั่นไป ไขน็อตไป และตัดสินใจว่าคงต้องปั่นกลับไปเปลี่ยนรถที่ร้านก่อน แล้วค่อยขี่ไปที่จุดหมายปลายทางสุดท้าย คือ Monsoon Palace


ตอน ปั่นกลับก็อ้อมทะเลสาบและไปบรรจบตรง เส้นทางเดิมที่มาเมื่อเช้า แล้วเข้าสู่ตัวเมืองไปเปลี่ยนรถที่ร้านจักรยาน ตอนขากลับเหมือนจะเร็วกว่าตอนขามาเลยนะ หรือเพราะว่าเริ่มชินทางแล้วก็ไม่รู้...


ช่วง บ่ายๆ ก็ปั่นกลับมาต่อ แต่ไม่ได้แยกเข้าไปวนตรงทะเลสาบเหมือนเดิมแล้ว คราวนี้ยิงตรงไปเลย เห็น Monsoon Palace อยู่บนเขาสูง ริบๆ ไกลๆ... แดดเปรี้ยงแบบนี้ ไหนต้องปั่นจักรยานอีก แขนไหม้กันเป็นแถบๆ แอบเริ่มเมื่อยขาแล้วด้วย เพราะรู้สึกว่าลุยมาหลายวัน และขี่จักรยานมาตั้งแต่เช้า แต่ว่ามันคือที่สุดท้ายที่เราจะไปแล้ว เลยต้องฮึดกันหน่อย ปั่นสุดกำลัง ด้วยความรวดเร็ว ปั่นไปพักไป ด้วยการปั่นให้เร็วที่สุดตอนขึ้นเนิน(เล็กๆ) และปล่อยให้ไหลไปเอง ตอนทางลง ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว (เป็นเนินถนนนะคะ ไม่ใช่ภูเขา) แฟนแอบถามว่า ทำไมแรงเยอะจัง ฮ่าๆ ... ก็บึกบึนซะขนาดนี้ เมื่อยก็เมื่อยนะ แต่แอบฮึด.. ร้อนด้วย.. ขี่เร็วๆ รับลม จะได้เย็นขึ้นบ้าง...


แต่ ด้วยความที่ปั่นเพลินไปหน่อย นำหน้าแฟนอยู่ตั้งไกล และ Monsoon Palace ก็เริ่มใหญ่ขึ้นทุกทีๆ แต่ทว่า... แฟนแอบสงสัยว่าไปทางนี้แน่เหรอ จึงแวะถามชาวบ้านที่เดินอยู่แถวๆ นั้น ได้ความว่า เรามาผิดทางแล้ว มันมีทางแยกเล็กๆ อยู่ข้างๆ อีกทางหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ให้เข้าตรงนั้น แอ่ว... แฟนรีบเรียกเราทันที (อุตส่าห์ปั่นแซงไปได้ตั้งไกลละ ==') ในที่สุดก็ต้องขี่ย้อนกลับมาหน่อย แล้วเข้าทางเล็กๆ อีกทางหนึ่ง


ปั่น ไปสักพักก็ถึงประตูทางเข้า และเป็นที่จำหน่ายตั๋วเพื่อขึ้นไปบนเขา เราเอาจักรยานไปฝากไว้ด้านใน จ่ายค่าตั๋วและค่ารถที่จะพาเราขึ้นไป มีอินเดียบางกลุ่ม เดินขึ้นไปเองด้วย กว่าจะถึงคนอื่นเค้าคงกลับกันมาหมดแล้ว ฮ่าๆ เพราะมันสูงมากๆ ชันด้วย อย่าเดินขึ้นเด็ดขาด ภูเขาลูกนึงเลยนะนั่น เดินตั้งแต่ตีนเขา ถึงยอดเขา แล้วทางก็โค้งไปมา ก็คงปาไปหลายกิโล


พอ ไปถึงก็นัดแนะกับคนขับรถว่า เราจะเข้าไปดูสักประมาณชั่วโมงนึง ให้มารับช่วงสี่โมงกว่าๆ (จำเวลาที่แน่ชัดไม่ค่อยได้แล้วค่ะ แต่ประมาณๆ นี้) แล้วเค้าก็ขับรถลงไปรับผู้โดยสารต่อ(ทั้งๆ ที่บางคัน รอจนกว่าลูกค้าจะออกมาแล้วค่อยกลับ)


จาก บนเขามองลงมา เห็นตัวเมือง และ City Palace รวมถึงทะเลสาบที่เราไปมาเมื่อเช้านี้อยู่ไกลๆ เราขึ้นไปที่ Monsoon Palace แต่ข้างในแทบไม่มีอะไรเลย เหมือนกำลังก่อสร้างอยู่ แต่ยังสร้างไม่เสร็จ ขอบอกว่าไม่มีอะไรเลยจริงๆ เฮ่อ ปั่นมาตั้งนาน.. ข้างๆ มีร้านอาหารตะวันตกอยู่ เห็นคนนั่งทานอาหารกัน ชมวิวรอบข้างไปด้วย ก็สวยไปอีกแบบนะ แต่ตัว Monsoon Palace ช่วงที่เราไปนั้น ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ค่ะ ต้องใช้คำว่า"ร้าง" เลยก็ได้ เจอแต่คู่หนุ่มสาวมาจู๋จี๋กันอยู่ตามมุมหน้าต่าง เราก็เลยขอจองบ้าง มุมนึง


ข้าง ใน Monsoon ไม่มีอะไรเลย มีแต่อุปกรณ์ก่อสร้างวางอยู่ เราก็เลยออกมาด้วยความรวดเร็ว ถ่ายรูปด้านนอกและวิวด้านล่างภูเขากันพักนึง ก็ออกมานั่งรอรถ และถ่ายลิงไปด้วย ลิงเยอะมากเลยค่ะ แอบกลัว เพราะมีตัวนึง แยกเขี้ยวใส่ตอนกำลังจะถ่ายรูป =='


เรา ออกมารอรถ แต่เค้าไม่ได้มาตามเวลาที่นัดไว้ เลทเป็นชั่วโมงเลย แทนที่จะได้รีบกลับไปรอถ่ายพระอาทิตย์ตกตรงที่เดิมเมื่อวานนี้ เพราะวันนี้อยากถ่ายรูปคู่กัน (เมื่อวานถ่ายวิว วันนี้อยากถ่ายเก็บคนไปด้วย) กลายเป็นว่าต้องมานั่งรถรถอีกเป็นชั่วโมง เสียเวลาเที่ยวมากๆ จนแฟนพิมพ์หงุดหงิดมาก และได้บ่นกับชายอินเดียคนหนึ่งซึ่งเค้าบอกว่าเค้าเป็นไกด์อยู่บนนั้น(แต่คาด ว่าคงไม่มีใครจ้าง เพราะข้างบนไม่มีอะไรเลยจริงๆ ทำไมต้องเสียค่าไกด์ด้วยหละ) เค้าก็เลยบอกว่า ให้ว่าไปเลย และไม่ต้องจ่ายเงิน (แต่จริงๆ เราจ่ายเงินไปก่อนแล้วพร้อมค่าตั๋ว ไม่ได้เช่ามาจากในเมืองเหมือนคนอื่น)


พอ เวลาผ่านไป กว่าคนขับรถเราจะมา ชาวบ้านเค้าก็จะกลับกันหมดแล้ว พอจอดปุ๊บ ลูกค้าฝรั่งยังไม่ทันจะลงจากรถ แฟนเรารีบเข้าไปว่าเลย "ทำไมมาช้าจัง คุณนัดเราไว้กี่โมง" เค้าก็ได้แต่โอเคๆ ฉันรู้แล้ว พอเราขึ้นไปบนรถหลังจากฝรั่งลงเสร็จ เค้าก็เงียบ ไม่พูดแม้แต่คำขอโทษ พวกเราก็เงียบเหมือนกัน จนมาถึงข้างล่าง ก็ยังไม่ขอโทษ แฟนเลยเข้าไปพูดกับคนขายตั๋วแทน แต่คนขายตั๋วก็ได้แค่ยิ้มๆ ไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรสักอย่าง.. เลวร้ายจริงๆ แต่ก็ทำอะไรเค้าไม่ได้ซักอย่าง (ช่วงที่เราลงมา เจอกับกลุ่มแรกที่เดินขึ้นไปด้วย ฮ่าๆ เดินเกือบสองชั่วโมงเลย กว่าจะถึงยอดเขา ชาวบ้านเค้ากลับกันเกือบหมดแล้วจริงๆ ด้วย ไหนจะต้องเดินลงอีก >..<) 


ห้า โมงกว่าแล้ว เรารีบปั่นจักรยานกลับไปคืนร้าน และแวะซื้อภาพวาดบนผ้าแผ่นเล็กๆ ไปเป็นของฝากให้เพื่อนที่เมืองไทยด้วย ราคาไม่แพงมาก ส่วนคุณภาพก็ตามราคาอ่ะค่ะ(ช่างต่างกับที่เราซื้อภาพเมื่อวานลิบลับ ก็แหงหละ ราคาต่างกันมากมายนี่ เหอะๆ) จากนั้นเราก็เดินข้ามฟากกลับไปห้องพัก เตรียมขาตั้งกล้องไว้ถ่ายวิวพระราชวังช่วงทไวไลท์เย็นนี้ บนร้านอาหารที่เราจะไปทานกัน (ไม่ไปถ่ายพระอาทิตย์ตกกันแล้ว เพราะเหนื่อยๆ กันด้วย)


วันนี้ เราจะไปทานอาหารกันที่ดาดฟ้าของ โรงแรม Dream Heaven GH (เห็นคนไทยหลายคนมาพักที่นี่ และถ่ายรูปพระราชวังจากบนดาดฟ้าของโรงแรมนี้ จะเรียกว่าเป็นมุมยอดฮิตก็ได้ค่ะ) ส่วนอาหารก็มาตรฐานโรงแรมทั่วไป ไม่พ้นข้าวผัด กับแกงกะหรี่(หากมีเมนูไก่ ก็จะสั่งไก่มาทุกงานเลยค่ะ)





New Delhi


บินกลับไปนิวเดลี


เรา เช็คเอาท์กันแต่เช้ามืด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ให้ทางโรงแรมโทรไปรีคอนเฟิร์มตั๋วเครื่องบินที่เราจองไว้ อีกครั้ง พร้อมทั้งให้โรงแรมหารถที่จะไปส่งที่สนามบินให้ด้วย


เรา นั่งรอรถอยู่ในโรงแรมสักพักหนึ่ง (พนักงานโรงแรมยังนอนอยู่บนพื้นหน้าเคาท์เตอร์อยู่เลย ปิดไฟมืด ดีที่เราไม่เหยียบหัว เพราะเห็นลาง ๆ  แม้เค้าจะรู้ว่าเราเดินออกมารอรถ ก็ยังไม่ลุกขึ้นมาอีกแหนะ พอรถมา ถึงจะลุกขึ้น)


จาก โรงแรมถึงสนามบินใช้เวลาหลายสิบนาที สนามบินที่นี่แม้ว่าไม่ใหญ่มาก แต่ดูสะอาดสะอ้าน ดูไฮโซกว่าอาคารขาเข้าที่เราออกมาจากนิวเดลีซะอีก


เราถึงนิวเดลีและพักกันที่ Smyle Inn ย่าน Paharganj ห้องพักและห้องน้ำแคบมาก แต่ก็สะอาดใช้ได้


ย่าน นี้อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟนิวเดลี พอดี สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า เสื้อผ้า ของที่ระลึก และพวกโรงแรมต่างๆ มีตลาดสด และร้านอาหารด้วย แต่ว่าบนท้องถนนค่อนข้างสกปรก และผู้คนพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา


เรา เก็บของแล้วก็เตรียมตัวเที่ยวต่อ แต่ก่อนออกคงต้องหาร้านทานอาหารกลางวันกันสักหน่อย ตอนแรกเดินข้ามฝั่งมาที่สถานีรถไฟ เพราะกะว่าคงจะมีไรให้ทานบ้าง แต่พอมีคนมาถามว่าเราจะไปไหน ก็บอกไปว่าจะหาไรทาน เค้าก็เลยชี้มาที่ริมถนนฝั่งตรงข้าม บอกว่าตรงนั้นร้านอาหารเยอะ ลองไปสิ พอพวกเราหันไปก็เออ.. จริงแฮะ ทำไมเมื่อกี้ไม่เห็น ฮ่าๆ


ริม ถนนตรงข้ามสถานีรถไฟที่เราว่า เป็นร้านอาหารติดๆ กันหลายร้าน แถมขายของเหมือนกันอีก คือเป็นข้าวและมีเมนูสารพัดอย่างที่เป็นไก่ เราจะเห็นไก่แขวนอยู่ด้านหน้าเต็มไปหมดเลยในหลายๆ ร้าน มื้อนี้เราเลยได้กินแกงไก่กันอีกรอบ ราคาแพง แต่อร่อยใช้ได้เลยค่ะ


พอ อิ่มแปร้ก็มีกำลังเดินต่อ(แต่วันนี้ ยังไม่ได้ใช้กำลังอะไรเลย) เราตั้งใจว่าจะไปขึ้น MRT เพื่อไปเยี่ยมชม Jama Masjid กัน แต่ปัญหาคือหาสถานี MRT ไม่เจอ ตอนแรกตามแผนที่บอกว่าอยู่ด้านหลังสถานีรถไฟ แต่พอเราเดินเข้าไปสถานีรถไฟแล้ว ไปชะโงก ชะเง้อชะแง้ ก็ไม่เห็นมีทางไป MRT หรือมีป้ายบอกไว้เลย เลยเดินออกมา แล้วเดินเลาะริมถนน ตรงไปข้างหน้า เผื่อจะเจอ แต่ข้ามแยกเดินไปได้สักพัก ก็ถามคนแถวนั้นว่า MRT ไปยังไง เป็นเรื่องแปลกมากที่บางคนก็ไม่รู้ แต่มีคนหนึ่งบอกว่า ให้ไปตรงแยกที่ผ่านมาเมื่อกี้แล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปเรื่อยๆ


เรา ก็เดินไปเรื่อยๆ ตามที่เค้าบอก ท่ามกลางฝุ่นควันตามท้องถนนที่มีเยอะมากๆ บางแห่งยังอยู่ในเขตก่อสร้างด้วย เดินไปไกลพอสมควรเลยค่ะ ก็ไปถึงอีกทางแยกหนึ่ง รถเต็มไปหมด ก็ถามชาวบ้านแถวนั้นอีกว่า MRT ไปขึ้นตรงไหน เค้าก็เลยชี้ๆ ไป มองเห็น MRT อยู่ไม่ไกลนัก


พอเดินข้ามถนน เข้า MRT กันแล้วก็ไปซื้อตั๋ว ได้เป็นเหรียญพลาสติกกลมๆ ไว้สำหรับติ๊ดๆ ตอนผ่านเข้า(ตอนขาออกก็หยอดไปเลย)


เรา มาลงกันที่สถานีนึง จำชื่อไม่ได้แล้ว(ผ่านมาแค่ไม่กี่สถานีเองค่ะ) ออกมา แล้วเดินต่ออีกหน่อย ถนนที่เราใช้เดินต่อนี่ คนแน่น และเยอะมากๆ ทั้งสองข้างทาง และกลางถนน(มาทำไรกันเยอะแยะเนี่ย) ตรงปลายสุดถนน เรามองเห็นโดมของมัสยิดอยู่ไกลๆ และดูยิ่งใหญ่มาก(เหมือนจะเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดด้วยมั้งคะ)


ที่ มัสยิดแห่งนี้ ไม่เสียค่าตั๋วเข้า แต่ต้องเสียค่ากล้อง 200 รูปี(เลยเสียค่ากล้องแค่ตัวเดียวพอ เพราะแพงมาก และคิดว่าคงมีไรให้ถ่ายไม่มาก) ก่อนเข้าผู้หญิงชาวต่างชาติทุกคนต้องใส่เสื้อคลุมที่เค้าให้มาด้วย(จ่ายค่า เสื้อคลุมไปสิบรูปีตอนเดินออก) และต้องถอดรองเท้าฝากไว้ด้านนอก(ให้ค่า ฝากรองเท้าไปสิบรูปีเหมือนกัน) แต่เราก็เห็นบางคนเดินถือเข้าไปข้างในได้(แอบงงเหมือนกัน)


ตรง ลานข้างหน้ามัสยิด มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วย มีคนมาล้างมือ ล้างหน้า แม้แต่ล้างเท้าก็ยังมี แถมรู้สึกว่าบางคนเอาไปแปรงฟันบ้วนปากด้วยนะ อึ๋ย...กล้าเนอะ... แต่มันก็คือความเชื่อ เค้าก็คงไม่ถือกัน




ใน นี้มีนักท่องเที่ยว และชาวอินเดีย ชาวมุสลิมเยอะมากๆ แต่เราก็ไม่กล้าไปเล็งถ่ายรูปเค้ามาเท่าไร เพราะมีความรู้สึกว่า ตอนนี้ไม่ว่าเราจะเดินไปไหน ก็มีแต่คนมอง ทั้งๆ ที่ต่างชาติคนอื่นก็เยอะแยะ ทำไมไม่มอง แอบงงว่าเราสวยขนาดนั้นเลยหรอ ฮ่าๆ ... สักพักมีวัยรุ่นกลุ่มใหญ่มาก ส่งตัวแทนเข้ามาคนนึงมาพูดกับเราว่า ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ย.. เรางงเล็กน้อย แล้วบอกว่าได้สิ เค้าก็เลยกรูเข้ามาถ่ายรูปกับเราและแฟน .. แล้วบางคนยังขอถ่ายแบบคู่กับเราเฉยๆ ด้วย ได้ยินบางคนพูดแว่วๆ ชมเราว่า บิวตี้ฟุล... โอ้ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าหน้าตาเราสเป็คคนอินเดีย เหอๆ...หรือเป็นตัวประหลาดในสายตาเค้ากันแน่นะ (แต่ก็แปลกที่ต่างชาติประเทศอื่น เช่น ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งเป็นเอเชียเหมือนกัน พวกเค้าก็จะเฉยๆ กันนะ เราเลยงงๆ แกมสงสัยว่า ท่าทางว่าเราจะสวยในสายตาเค้าจริงๆ ฮ่าๆ)


พวก เราเดินไปเดินมาในนั้น ถ่ายรูปก็ไม่ค่อยได้ถ่ายเพราะไม่รู้จะถ่ายอะไร คนก็เยอะมาก ใจจริงอยากถ่ายคน แต่อย่างที่บอกว่า เหมือนหลายคนมองมาทางเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเป้าสายตา เลยไม่กล้ายกกล้องขึ้นมาเล็งใครเลย


บ่าย แก่ๆ แสงเริ่มอ่อนแรง เราจึงได้เวลากลับกันแล้ว เดินกลับทางเดิม ไปขึ้น MRT และไปลงที่สถานีนิวเดลี(ที่อยู่หลังสถานีรถไฟ) และมีป้ายบอกตลอดว่าสถานีรถไฟไปทางไหน พอเราเดินออกมา ก็มีสะพานให้ข้ามไปที่สถานีรถไฟด้วย โถ่เอ้ย ตอนแรกๆ ที่เรามาที่สถานีรถไฟ แล้วหา MRT ไม่เจอ เพราะเราไปดูผิดที่ แล้วก็ไม่รู้ว่าสะพานลอยที่อยู่ด้านข้างๆ นั้นจะเชื่อมโยงไปถึง MRT ได้(จริงๆ แล้วเราไม่ทันได้สังเกตเห็นสะพานที่ว่าด้วย เนื่องจากเป็นสะพานที่อยู่ริมๆ ติดตัวอาคารเลย เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของอาคารเลยก็ว่าได้ค่ะ ==' )


จำ ได้ว่าเย็นนี้เราไม่ได้หาร้านอาหารทาน ข้าวเย็นกัน เพราะว่าซื้อไส้กรอกกับแซนด์วิชมาจากร้านที่อยู่ใน MRT และซื้อส้มจากร้านหน้าปากซอยมาตุนไว้


พอกลับ เข้าห้อง เราแกะส้มทานก่อนเป็นอันดับแรกเลย เพราะไม่นิยมทานอาหารฝรั่งแบบพวกขนมปัง หรือแซนด์วิช แล้วก็แอบนอนเล่น ดูทีวีจนเผลอหลับไป(ยังไม่ทันได้อาบน้ำเลย) แฟนเราเองก็หลับไปแล้วเหมือนกัน แต่พี่เค้าอาบน้ำไปแล้ว แล้วกินไส้กรอกไปแล้วด้วย..




 


<วันต่อมา>


 


พอ ตื่นเช้ามา เราต้องทิ้งแซนด์วิชที่ซื้อมาในส่วนของเรา เพราะบูดไปแล้ว แล้วอาบน้ำแต่งตัว จัดของแบบไม่เร่งรีบ เพราะว่าวันนี้มีเวลาอีกมากมาย กว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่องช่วงค่ำๆ นู่นเลย


มี เวลาทั้งวัน แต่กลับไม่มีที่ให้เราเที่ยวเลยในเดลี เราคาดว่าคงได้มาอยู่ที่เดลีอีกในทริปอื่นๆ ก็เลยกะว่าสถานที่ไกลๆ ไปลำบาก และกำลังจะมี MRT ไปถึง(แต่ตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จ) ไว้ค่อยไปเที่ยวรอบหน้า และหวังว่า ณ ตอนนั้น MRT คงจะสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราเลยนั่ง MRT ไปลงที่ใกล้ๆ ก่อนละกัน นั่นก็คือ Akshardham (//www.akshardham.com/) เป็นวัดศาสนาพุทธที่ยิ่งใหญ่ อลังการและสวยงามมากๆ น่าเสียดายที่ไม่สามารถนำกล้องเข้าไปได้ มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ต้องฝากแทบทุกอย่างไว้ด้านนอก ห้ามนำอาหาร โทรศัพท์ และกล้องเข้าไปเด็ดขาด เอาเข้าได้แค่กระเป๋าสตางค์และพาสปอร์ตเท่านั้น(แต่น้ำเปล่าเห็นบางคนถือ เข้าได้ และจำไม่ได้ว่ากระเป๋าสะพายผู้หญิงเอาเข้าไปได้ด้วยหรือไม่ แต่ที่จำได้ เราฝากไว้ทุกอย่างจริงๆ เดินกันตัวเปล่าเลยค่ะ กระเป๋ากล้องและทุกสิ่งทุกอย่างฝากไว้ข้างนอกหมด ยกเว้นกระเป๋าสตางค์ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเดินเที่ยวตัวเบาเลย) อ้อ แล้วค่าเข้าก็ฟรีด้วยค่ะ


สถาปัตยกรรม ภายในวัดดูแล้วคล้ายๆ ของเขมร มีแกะสลักช้างโดยรอบ ซึ่งพระสงฆ์ในนั้นบอกว่าช้างแกะสลักนำเข้ามาจากเขมร และพระพุทธรูป นำเข้ามาจากเมืองไทยเรานี่เอง สิ่งก่อสร้างสวยงามตระการตา จนรู้สึกเสียดายสุดๆ ที่ไม่มีโอกาสได้เก็บภาพมา


แม้ ว่าด้านในจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่เราเห็นมีร้านถ่ายรูปอยู่ถึงสองร้านด้วยกัน(คงประมูลมาได้)  รูปใบละ 100 รูปี ก็ถือว่าไม่แพงนะ กับการถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะได้รูปใบค่อนข้างใหญ่ ขนาดน่าจะประมาณ 8*10นิ้ว แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปคู่กันมาเลย(รอบหน้าค่อยว่ากัน) เราอยากได้ภาพจริงๆ ที่ไม่ใช่การตัดต่อ(กลัวไม่เนียน) เพราะตอนช่วงเราไป กล้องที่เค้าตั้งมุมไว้มันย้อนแสง ฟ้าขาว ไม่แจ่มเลย แต่รูปที่ถ่ายออกมามุมนั้นกลับฟ้าแจ่มทุกรูป แหม..ตัดต่อชัดๆ เราเลยกะว่าหากรอบหน้าได้มาอีก คงต้องมารอบบ่ายๆ ฟ้าแจ่มๆ สีน้ำเงินเข้ม จะได้ไม่ต้องมานั่งตัดต่อ แล้วดูหลอกตา


เรา เดินวนกันใกล้ทางออกแล้ว แต่ว่าเจอร้านอาหารก่อน  คล้ายๆ ฟู้ดเซนเตอร์กลางแจ้ง(แต่ไม่มีโต๊ะให้นั่ง ต้องไปหาที่นั่งเอาเองตามเก้าอี้ข้างทาง) เลยแวะทานกัน ตอนนั้นหลายร้านก็ยังไม่เปิด เพราะเพิ่ง 10-11 โมงเองมั้งคะ 


เรา สั่งข้าวผัดแฉะๆ กับอะไรสักอย่างมาทาน จำไม่ค่อยได้แล้ว แล้วก็เดินออกมา รับของที่ฝากไว้ กลับเข้ามาที่ MRT แล้วนั่งรถเพื่อไปชมสถานที่ต่อไป นั่นก็คือ Red Fort หรือป้อมแดง


สถานี ที่เราลง ไม่ได้อยู่ติดกับ Red Fort เราต้องเดินไปตามถนนอีกไกลพอสมควร (ตอนนี้มึนๆ และสับสน นึกภาพไม่ออก ว่าถนนเส้นไหนเป็นเส้นไหนแล้วค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศมาเลย ถ่ายเก็บแต่สถานที่ท่องเที่ยวอย่างเดียว ==') รู้สึกว่าถนนเส้นที่เราเดินไป จะไปตัดกับถนนสายช้อปปิ้งนะคะ ซึ่งถนนสายช้อปปิ้งที่ว่านี้ก็อยู่ด้านหน้าของ Red Fort นั่นเอง


เรา เสียค่าเข้า Red Fort เพียงแค่ 10 รูปี(BIMST-EC) แต่ด้านในดูเงียบเหงามาก คนน้อย เหมือนเป็นสวนสาธารณะให้ผู้คนมานั่งเล่นนอนเล่นกันมากกว่า เพราะว่าเห็นชาวอินเดียส่วนใหญ่จะไปนั่งตากแดดกันอยู่กลางสนามหญ้า บ้างก็นั่ง บ้างก็นอน บ้างก็คุย บ้างก็จู๋จี๋กัน ด้านในมีอาคารพิพิธภัณฑ์เล็กๆ อยู่ แล้วก็หลายอาคารดูร้าง ช่างต่างกับป้อมปราการอื่นๆ ที่เราไปจริงๆ


เห็น เค้านั่งกัน เราก็เลยหาที่นั่งบ้าง เห็นฝรั่งคนหนึ่งนั่งกินส้ม เราก็เลยเอาส้มออกมากินบ้าง (ตอนแรกหิว แต่ไม่กล้า เพราะไม่รู้ว่าเค้าให้ทานอาหารในนี้ได้หรือเปล่า แต่คนอื่นทำได้ไม่มีใครว่า เราเลยทำตาม อิอิ) มองไปไกลๆ เห็นร้านอาหารอยู่ แต่ดูอีกที เด็กเสิร์ฟแต่งตัวหล่อมาก ท่าทางจะไม่ไหว คงแพงน่าดู (เราแค่กะจะไปหาที่นั่งเล่นเฉยๆ) ก็เลยนั่งที่เดิมกันต่อไป ถ้าเทียบกับวันอื่นที่ลุยมาตลอด วันนี้เลยกลายเป็นวันที่น่าเบื่อไปเลย แล้วปกติเราจะชอบเป็นนางแบบถ่ายรูป แทนที่จะเอากล้องออกมาถ่ายรูปเล่นกัน ก็เปล่า เหมือนกับว่าจะไม่มีอารมณ์ทั้งคู่ ทั้งตากล้อง และนางแบบ =='


เรา นั่งกันพักใหญ่ เลยเดินออก แต่ช่วงที่เดิน มีร้านอาหารแบบดูพื้นบ้านๆ อยู่ด้วย อาหารน่าทานมาก แฟนอยากลองเข้าไปชิม แต่คนช่างมากมายเหลือเกิน ก็เลยเข้าไปถามคนขายกันว่าไอ้ที่เราอยากกินมันเรียกว่าอะไร จะได้สั่งบ้าง แล้วเค้าก็ตอบเราแบบไม่ได้สนใจ มือก็ทำอาหารให้คนอื่นอยู่ ตาก็ไม่ได้มอง เราก็เลยแอบไม่ค่อยพอใจ (ตรูอยากสั่ง อยากกิน สนใจตรูหน่อยสิ ==') เลยมาหาโต๊ะนั่งกันก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีที่นั่ง พอได้ที่นั่ง ก็ไม่รู้จะสั่งกันยังไงอีก สรุป เราก็เดินออกมากันเฉยๆ ไม่กินก็ได้ เพราะสั่งไม่เป็น ฮ่าๆ (แฟนอยากกินมาก แต่อดเลย >.,<)


เรา ออกมา เดินตรงถนนเส้นที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งกันสักพักนึง เจอร้านอาหารอีกแล้ว คนเยอะอีกเช่นเคย เหมือนเป็นร้านขายของฝากด้วย อาหารน่าทานทั้งนั้นเลย บางอย่างบรรจุใส่ถุง ใส่กล่องอย่างดี คนอย่างกับมด เราเลยขึ้นไปหาที่นั่งกันบนชั้นสอง และไปๆ มาๆ เหมือนว่าไม่ได้สั่งอะไรอีกเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะกินไรกันดี ฮ่าๆ (งงเนอะ เวลาไม่มีที่ไป มันเป็นแบบนี้นี่เอง)


ใน ที่สุดก็เดินกลับ ฆ่าเวลาไปได้พอสมควร แต่นี่ยังเหลือเวลาอีกเยอะเลยนะ เลยนั่ง MRT กลับไปตรงย่านที่เราพัก เดินในตลาดต่อ ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรทำ หมดอารมณ์ถ่ายรูปด้วย แทนที่จะได้รูปผู้คน ชีวิตชาวบ้าน พ่อค้าแม่ค้าตามท้องถนน แบบที่เราเคยอยากถ่ายนักอยากถ่ายหนา แต่ ณ เวลานั้น มันดูน่าเบื่อมาก เราเดินจนกระทั่งได้เวลาอาหารเย็น เลยแวะร้านอาหารร้านหนึ่งที่เล็งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เห็นว่าร้านนี้ฝรั่งเข้าเยอะด้วย เลยแวะบ้าง อาหารก็พอใช้ได้นะ แต่เหมือนเค้าจะทำเครื่องดื่มให้เราผิด พอเราถามว่าอันนี้ใช่ที่เราสั่งหรอ เค้าก็บอกว่าใช่ แต่ดื่มแล้วมันไม่ใช่อ่า ก็เลยแอบเสียความรู้สึกเล็กน้อย (วันนี้ยิ่งเบื่อๆ อยู่นะ) เหมือนว่าเราจะสั่งน้ำสตรอว์เบอรี่ปั่นไป แต่ไอ้ที่เราดื่มมันโกโก้ชัดๆ สตรอว์เบอรี่ตรงไหน..(แต่แฟนสั่งโกโก้ ได้อะไรมาก็ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว เหอะๆ) แต่ก็ไม่อยากวีนมาก.. จำเอาไว้เลย ร้านนี้ โดนเราดิสเครดิตอีกแล้ว


เรา แอบนั่งฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ทำเป็นทานช้าๆ (ไม่งั้นเดี๋ยวโดนเค้าไล่) และในที่สุด เค้าก็เริ่มมาไล่จริงๆ เพราะแอบนั่งนาน เค้าก็มาไล่เราอ้อมๆ นะ แบบมาคิดบิลให้ และเก็บจาน(เป็นอันรู้กันว่าไล่แล้ว)


เรา เลยกลับโรงแรมไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้ ตั้งแต่เช้า(เช็คเอาท์ตั้งแต่เช้าแล้ว) พร้อมขอเข้าห้องน้ำด้วย แล้วมานั่งรอที่บริษัททัวร์ที่เราได้เช่ารถไปสนามบินเอาไว้ เพราะเดินผ่านแล้วเห็นว่าราคาถูก (อยู่แถวๆ โรงแรมที่เราพัก และแถบๆ นั้นบริษัททัวร์จะเยอะหน่อย) พอถึงเวลานัด น่าจะประมาณสองทุ่ม รถก็ยังไม่มา (แอบเลทไปครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังมีเวลาเหลือเฟืออยู่) ในที่สุดเราก็ได้นั่งรถไปสนามบิน ได้กลับบ้านแล้ว เย่ๆๆๆๆ... คิดถึงเมืองไทยที่สุด ^^ (รายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก รูปก็เยอะ หากมีเวลา วันหลังจะทำแยกวันกันไว้ค่ะ เผื่อให้ข้อมูลเรื่องการเดินทาง และค่าใช้จ่ายด้วย จะได้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวทั้งแบบแบ็คแพ็คและไป กับทัวร์ อย่างน้อยก็เอาไว้เป็นไกด์ไลน์ว่าน่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ^^)




 


(by maeil and pim: เรื่องและรูปถ่ายทั้งหมดขอสงวนลิขสิทธิ์ห้ามนำไปใช้ในทุกกรณี)






 

Create Date : 04 มกราคม 2554
0 comments
Last Update : 5 มกราคม 2554 5:58:04 น.
Counter : 1324 Pageviews.

 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Maeil
 
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หากต้องการใช้รูป หรือ เนื้อหา กรุณาสอบถามก่อนนำไปใช้
ห้ามนำไปใช้ก่อนได้รับอนุญาติ
[Add Maeil's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com