มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 มกราคม 2554
 

เวียดนามเหนือ (ฮานอย ซาปา ฮาลองเบย์ ตามก๊อก เจดีย์หอม) ตอนที่ 6

สู่มรดกโลก


เช้านี้เรานัดกับบริษัทคิมทัวร์ให้มารับ ที่โรงแรมเพื่อเดินทางสู่ฮาลองเบย์มรดกโลกที่น่าจดจำ ราคาตั๋วที่เราหาซื้อได้คือ 554000 ดองต่อ 2 คนซึ่งก็ตระเวนหาและต่อราคาในย่านโอลด์ควอเตอร์นั่นแหละครับแต่หากขี้เกียจ ก็ลองดูจากเวบไซต์ //wwwtourvietnam.com เพื่อตรวจสอบราคาเอาไว้อ้างอิงก็ได้ เดิมทีนั่นเราลองถามราคาทัวร์นี้จาก Mrs. Nga พบว่าคุณเธอเรียกราคามาที่ 21 ดอลล่าห์ต่อคน เราก็ปฏิเสธไม่เอาและไปหาเอาเองดีกว่า


จากโปรแกรมที่เราซื้อมานั้นเป็นการเที่ยว หนึ่งวันโดยรถจะมารับประมาณ 08:00-08:30 น. ขึ้นอยู่กับว่ารถจะไปรับโรงแรมไหนก่อนหลังและจะเดินทางไปถึงอ่าวฮาลองประมาณ 11:30-12:00 น. เมื่อลงเรือแล้วก็จะรับประทานอาหารกันบนเรือและล่องเรือชมเกาะต่างๆ รวมทั้งแวะชมถ้ำ Thien Cung และถ้ำ Dau Go จนกระทั่งขึ้นบกเวลาประมาณ 16:30 น.และกลับมาถึงฮานอยประมาณ 19:00-20:00 น. แต่หากว่าใครที่มีเวลาเหลือเฝือและอยากจะสัมผัสกับอ่าวฮาลองนานกว่านี้ก็ สามารถซื้อทัวร์ประเภท 2 วันหรือ 3 วันก็ได้


แปดโมงตรงรถมารับเราที่หน้าโรงแรม ผมรู้สึกดีมากที่รถค่อนข้างใหญ่ที่นั่งกว้างนั่งสบายไม่เบียด แล้วรถก็ไปรับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ วนไปเวียนมารอบๆ โอลด์ควอเตอร์ แล้วก็มาจอดที่บริษัทคิมทัวร์ 137 HangBac เพื่อเปลี่ยนรถ ปรากฏว่ารถคันใหม่นั้นเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่นั่งแคบ เหม็นกลิ่นอับคละคลุ้ง ระหว่างทางลิงห์ไกด์สาวของเราก็เล่าประวัติของอ่าวฮาลองและฮานอยให้เราฟัง พร้อมกับบอกเราว่าฮาลองเบย์อ่านเป็นภาษาเวียดนามจะออกเสียงสั้นๆ ว่า “ฮะ-ลอง”


Travel Tips: ฮาลองเบย์มรดกโลก
ฮา ลองเบย์หรือที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอ่าวมังกรร่อนลง เป็นมรดกโลกที่องค์การยูเนสโกให้การรับรองในปีค.ศ. 1994 จากนิยายปรัมปรากล่าวว่ามีมังกรโบราณเคยร่อนลงในอ่าวนี้ หลังจากที่ได้ช่วยปกป้องและสกัดกั้นชาวเมืองจากผู้บุกรุกด้วยการพ่นหยกออก เป็นชืิ้นๆ เมื่อตกสู่ทะเลก็กลายเป็นเกาะต่างๆ ดังที่เห็นในปัจจุบันฮาลองเบย์ (หวิงห์ฮาลอง) นั้นตั้งอยู่ที่จังหวัดกว่างหนิงห์ อยู่ห่างจากฮานอยไปประมาณ 160 กิโลเมตร และใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งประกอบไปด้วยเกาะหินปูนขนาดต่างๆ กว่า 3000 เกาะ จุดท่องเที่ยวนอกเหนือจากชมเกาะเหล่านี้แล้ว คือการแวะชมถ้ำหินปูนเช่นถ้ำเทียนกึง (ThienCung) และถ้ำเด่าโก๋ (Dau Go) นอกจากนี้ยังมีหมู่เกาะกัดบาซึ่งมักเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ไปเที่ยวฮาลองเบ ย์นานกว่า 1 วัน ประกอบไปด้วยเกาะ 366 เกาะ อยู่ห่างจากเมืองไฮฟองประมาณ 20 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 190 ตารางกิโลเมตร การเดินทางไปอ่าวฮาลองนั้นเราสามารถเดินทางด้วยตัวเองก้ได้ แต่หากคิดถึงความสะดวก ผมว่าซื้อทัวร์จากบริษัทในย่านโอลด์ควอเตอร์น่าจะเหมาะสมกว่า ยกเว้นว่าเรามีเวลาเหลือเฝืออยากจะเดินทางเอง สำหรับราคาทัวร์นั้นก็แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ว่าบริษัททัวร์จะ “ฟัน” เท่าไร เพราะว่าบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการทัวร์ไปฮาลองเบย์หรือแม้แต่ที่ท่องเที่ยว อื่นๆ ก็มักจะมีอยู่ไม่กี่บริษัทเท่านั้น เช่นของคิมทัวร์ ซึ่งไปๆ มาๆ นักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์จากหลากหลายบริษัทก็ต้องมารวมตัวกันที่คิมทัวร์ เหมือนกัน ดังนั้นผมว่าหาซื้อทัวร์ราคาที่ถูกที่สุดนั่นแหละครับ ไม่ต้องไปสนใจคำโฆษณาของบริษัททัวร์


ฟังไปฟังมาผมชักจะเวียนหัวเพราะกลิ่นอับ ของรถ จนสมองไม่สามารถรับรู้อะไรได้มากกว่านี้แล้ว เราต้องทนนั่งอยู่ในรถทั้งเหม็นทั้งแคบจนกระทั่ง 11:00 น. รถก็แวะพักที่ร้านขายของที่ระลึกชื่อ Thai Son ที่ Thai Son นี้เป็นร้านขายของที่มีบรรดาทัวร์แวะมาจอดอยู่เต็มไปหมด ลิงห์บอกเราว่าให้เวลาแวะพัก 20 นาที ภายในมีเครื่องถ้วยชามเซรามิค ภาพวาด ภาพปัก ด้านหลังของร้านเป็นที่ทำ work shop ซึ่งมีคนงานกำลังทำพวกเครื่องปั้นดินเผาอยู่ ผมมาติดใจกับภาพปักซึ่งมีความสวยงามมาก ผมบอกกับน้องพิมว่าซื้อไปเป็นของที่ระลึกไหมเพราะตอนที่ผมไปมองโกเลียก็ได้ ซื้อผ้าปักงานฝีมือเก็บเอาไว้จะได้ทำเป็นของสะสมในแต่ละประเทศที่เราได้ไป เยือน แต่พอสอบถามราคาพบว่า รูปเล็กสุดราคา 30 ดอลล่าห์ รูปขนาดกลาง 100 ดอลล่าห์ และรูปใหญ่สุดราคาเกือบๆ 1000 ดอลล่าห์


เราออกเดินทางกันต่อและมาถึงท่าเรือของ อ่าวฮาลองเวลาเที่ยงกว่าๆ ที่ท่าเรือมีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล ไกด์ก็วิ่งไปซื้อตั๋วที่สำนักงานขาย ผมจึงไปด้อมๆ มองๆ ราคาตั๋วกรณีที่เรามาเองโดยไม่ได้ซื้อทัวร์ พบว่าเราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งค่าเช่าเรือและค่าเข้าชม คิดไปคิดมาค่าใช้จ่ายต่อคนจะอยู่ประมาณคนละ 124000 ดอง (แต่เราจ่ายค่าทัวร์ที่รวมค่าเดินทางจากฮานอย-ฮาลองเบย์-ฮานอย และอาหารเที่ยงแต่ไม่รวมค่าน้ำดื่มอยู่ที่ 277000 ดอง) ก็ลองดูไว้เป็นราคาอ้างอิงก็แล้วกันนะครับ


หลังจากที่ไกด์ซื้อตั๋วแล้วก็ต้อนพวกเราลง ไปในเรือซึ่งเรือที่เรานั่งชื่อว่า Minh Phuong 02 ลักษณะเป็นเรือไม้ มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นโต๊ะอาหารทางไกด์บอกให้นั่งโต๊ะละ 5 คน ส่วนชั้นบนเป็นดาดฟ้าเรือ เมื่อเรือเริ่มออกจากท่า เราก็เริ่มเห็นภาพที่ชินตาตามโปสการ์ดท่องเที่ยว เกาะแก่งที่มีรูปร่างสวยงาม ถูกวางกระจัดกระจายไปทั่วท้องทะเล แต่เป็นที่น่าเสียดายมากคือวันนี้ท้องฟ้าปิด เป็นสีขาวโร่ ไม่มีแม้แต่คำว่า”ฟ้า” ให้สมกับชื่อท้องฟ้าเลย



เรือแล่นไปครึ่งชั่วโมงทางไกด์บอกว่าเราจะ แวะกันที่หมู่บ้านลอยน้ำก่อนที่จะได้กินข้าวเที่ยง ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าจะรอทำไมเพราะตอนนี้ก็บ่ายโมงเข้าไปแล้ว ขนมที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อเช้าก็หมดฤทธิ์ไปตั้งนานแล้วด้วย ก่อนที่จะถึงหมู่บ้านลอยน้ำ จะมีเรือเล็กแล่นมาเทียบเรือของเราเพื่อขายผลไม้ นัก
ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้ ให้ความสนใจอะไรมากนักอาจจะเป็นเพราะว่าราคาคงไม่ถูก ที่หมู่บ้านลอยน้ำนั้นจริงๆ แล้วก็คือกระชังปลาไว้เพาะเลี้ยงปลา กุ้งและปู เพื่อขายให้กับนักท่องเที่ยว ในกลุ่มของเรานั้นมีนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามซื้อกุ้งและปู เพื่อเป็นอาหารเที่ยงโดยให้ทางกุ๊กบนเรือทำให้ ผมก็มาถึงบางอ้อว่าทำไมไกด์ไม่ยอมเสริฟอาหารเที่ยง ก็เพราะจะได้ ให้นักท่องเที่ยวหิวและหาซื้ออาหารทะเลไปทำกิน หากกินอาหารเที่ยงก่อนถึงกระชังปลาแล้วใครจะมาซื้ออาหารทะเลพวกนี้กินหล่ะ ครับ



ไกด์เริ่มเสริฟอาหารเที่ยงซึ่งเป็นเต้าหู้ ผัด ผัดผัก ปอเปี๊ยะและผัดปลาหมึก ตบท้ายด้วยส้มคนละซีก หากใครต้องการเครื่องดื่มก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มราคาที่ขายบนเรือเช่นน้ำโค้ก กระป๋องละ 15000 ดอง แต่โชคดีที่เรานำโค้กมาจากฮานอยซึ่งซื้อมาในราคากระป๋องละ 8000 ดอง


“คุณต้องจ่ายค่าโค้ก 15000 ดองค่ะ” พนักงานในเรือกล่าวกับผม


“ผมเอามาเองครับ ไม่ได้เอาของที่เรือ” ผมบอก


“คุณเอามาเองจากข้างบนหรอ คุณต้องจ่าย 15000 ดอง” พนักงานยังคงเข้าใจว่าผมไปหยิบมาเองจากดาดฟ้าเรือ


“เฮ้ย ก็บอกว่าซื้อมาเองไม่ได้เอาของที่เรือไม่เข้าใจหรือไง (ฟะ)” ผมเริ่มหงุดหงิด โชคดีที่นักท่องเที่ยวสาวชาวฟิลิปปินด์ที่นั่งโต๊ะเดียวกับผมยืน
ยันว่าโค้กกระป๋องนี้ผมเอามาเองไม่ได้สั่งจากในเรือ พนักงานจึงยอมแล้วก็เดินไปเก็บเงินโต๊ะอื่นๆ


ออกจากกระชังปลา เรือก็เริ่มผ่านเกาะไก่จูจุ๊บ (Kissing Rocks)ซึ่งรูปร่างเหมือนกับไก่สองตัวกำลังจูบกัน ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของอ่าวฮาลองเลยทีเดียว



ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาเริามาถึงถ้ำเทียนกึงและถ้ำเด่าโก๋ ลิงห์บอกเราว่าเรามีเวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้นเพื่อดูถ้ำทั้งสอง ซึ่งลิงห์ก็บอกเพิ่มเติมว่าถ้ำเทียนกึงเป็นถ้ำขนาดใหญ่มีความสวยงามดังนั้น ควรให้เวลากับถ้ำนี้ก่อน เธอจึงเดินนำหน้าขึ้นบันไดไปจนถึงถ้ำเทียนกึง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นเท่านั้นเบื้องหน้าของเราเป็นถ้ำที่มี อีกชื่อว่า ถ้ำพระราชวังสวรรค์ มีหินงอกหินย้อยสวยงามพร้อมทั้งมีแสงสีประดับประดาให้น่าตื่นตาตื่นใจ ลิงห์บอกว่าที่นี่นับว่าเป็นถ้ำที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาถ้ำในอ่าวฮา ลอง หินงอกหินย้อยต่างๆมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมังกรบ้าง เห็ดบ้าง ช้างบ้าง ตามนิยามปรำปราเล่าว่ามีหญิงสาวชื่อ May ได้แต่งงานกับเจ้าชายมังกรในถ้ำแห่งนี้ และภาพสถานที่ต่างๆ ในช่วงของวันงานแต่งตลอด 7 วัน 7 คืนก็ยังคงปรากฎอยู่ในถ้ำจวบจนปัจจุบัน



เหลือเวลาอีกไม่กี่นาที ลิงห์รีบพาเราไปที่ถ้ำเด่าโก๋ ซึ่งถ้ำนี้ได้ขนานนามว่าถ้ำมหัศจรรย์ (Grotte des Merveilles) ในอดีตมีการกล่าวขาน
กันว่าอาวุธไม้ที่นายพลตรันฮึงดาว (Tran Hung Dao) ได้สั่งให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการบุกรุกของศัตรูถูกเก็บไว้ ในถ้ำแห่งนี้ ภายในถ้ำจะมีทางเดินไม้ ให้เดินเข้าไป ความน่าสนใจหรือความสวยงามของถ้ำนี้ ผมว่าเทียบกับถ้ำแรกที่เราเข้าไปไม่ได้เลย มิน่าลิงห์ถึงได้บอกว่าถ้ำที่สองดูเพียงแป๊ปเดียวก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นเราจึงเดินลงมาเบื้องล่างเพื่อกลับไปยังเรือ ระหว่างที่เดินทางกลับ พนักงานบนเรือก็เริ่มเอาของที่ระลึกจำพวกสร้อยมุกแหวนมุกมาเร่ขายตามโต๊ะ เพื่อหาเงินอีกทางหนึ่ง เรามาถึงฝั่งกันเวลาประมาณ16:30 น.


หกโมงกว่าๆ รถแวะจอดที่ร้านขายของที่ระลึกชือว่า 559 NhaHang ซึ่งขายพวกของจำพวกของกินเช่น เยลลี่ แป้งทอด ขนุนอบแห้ง ถั่ว เราจึงได้ถั่วตัดมา 1 ถุงในราคา 20000 ดองเพราะว่าเราทั้งคู่หิวจัด และกว่าจะถึงฮานอยก็คาดว่าอีกหนึ่งชั่วโมง


สองทุ่มกว่าเรามาเดินที่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ ยม เพื่อหาข้าวเย็นกิน เราไม่ค่อยสนุกกับการเดินหาของกินในฮานอยกันนัก เพราะว่าราคาส่วนใหญ่มักจะบอกแพงกว่าความเป็นจริงมาก ดังนั้นเราพยายามหาร้านที่ติดป้ายราคาบอกอาหารเอาไว้ เราเดินผ่านหน้าโรงละครหุ่นกระบอกน้ำเจอกับรถเข็นขายแบ๋งหมี่ติดป้ายไว้ตรง กระจกว่าราคา 15000 ดอง เรามองหน้ากันแล้วก็ส่ายหน้าพร้อมกับทำหน้าเลี่ยนๆ เบื่อๆ กับอาหารชนิดนี้แล้ว


ในที่สุดเรามาได้ร้านขายบะหมี่ซึ่งตรงเมนูหน้าร้านเขียนเป็นภาษาไทยชัดเจนว่า หมี่แห้ง (My kho) หมี่น้ำ (My van than) และเกี๊ยวน้ำ
(Sui cao) ผมจึงถามราคาก่อนเพื่อความแน่ใจ ปรากฎว่าผู้ชายที่รับออเดอร์นั้นสามารถพูดภาษาไทยได้แม้ ไม่ชัดนัก เราจึงตัดสินใจเข้าร้านนี้พร้อมกับสั่งหมี่แห้งและหมี่น้ำอย่างละชามสนนราคา ชามละ 25000 ดอง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ถูกเลยเมื่อเทียบกับปริมาณที่ได้ แต่ว่ารสชาติถือว่าดีกว่าเฝอธรรมดามากนัก แต่ที่สะดุดตาสะดุดใจก็คือ พื้นของร้านจะเต็มไปด้วยกระดาษทิชชูทั้งๆ ที่มีถังขยะเล็กๆ อยู่ตามโต๊ะต่างๆ และสุดท้ายที่เจอคือระหว่างกินนั้นแม่ครัวบ้วนน้ำลายกลางครัวให้เห็นกับตา


 


เที่ยว Tam Coc


เมื่อคืนเราได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาว ที่อยู่ชั้นล่างผ่านช่องระบายน้ำของห้องน้ำ เอ...รู้สึกว่าห้องข้างล่างจะเป็นคนไทยนี่นา...ผมรู้สึกคุ้นๆ อย่างนั้น เพราะว่าที่โรงแรมนี้เราจะเจอกับคนไทยทุกวัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวบ้างไม่ได้คุยกันบ้างแล้วแต่โอกาสจะ อำนวย แต่ในวันนี้เรา
เจอกับนักท่องเที่ยวไทยหนุ่มสาวคู่หนึ่งเล่าให้เรา ฟังว่าพวกเขามาถึงเวียดนามในตอนกลางคืน และตั้งใจจะไปนั่งรถเมล์สาย 17 แต่ระหว่างที่เบียดเสียดกันขึ้นรถปรากฎว่าแฟนสาวโดนกระชากผมลงมาจากรถโดย ? (ใครไม่แน่ใจ แต่หนุ่มคนนั้นบอกว่าเป็นฝีมือของคนขับรถแท็กซี่) ทำให้ต้องตกรถเมล์สายนั้นไปและด้วยความที่ดึกมากแล้ว พวกเขาจึงจำใจต้องนั่งแท็กซี่เข้าเมืองด้วยราคา 10 ดอลล่าห์


“โห...ทำกันขนาดนั้นเลยหรือเนี่ย” ผมตกใจในสิ่งที่พวกเขาเจอ


“มาถึงวันแรกก็เจอเลย แย่มากๆ” หนุ่มคนนั้นบอกเล่าความในใจ


“เป็นผมก็คงแย่เหมือนกันครับ คงไม่มีใครอยากจะเจอเหตุการณ์แบบนี้หรอก แต่ก็หวังว่าวันต่อๆ ไปคงจะไม่เจออะไรที่แย่ไปกว่าคืนนั้นนะครับ” พูดจบผมก็ต้องรีบขอตัวเพราะว่ารถมารอรับเราไปตามก๊อก (Tam Coc) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “ฮาลองบก” แต่ก่อนจะก้าวเดินออกจากโรงแรมหนุ่มคนนั้นก็ตะโกนบอกว่า


“ขอให้โดนฟันโดยสวัสดิภาพ” ผมชอบคำนี้แฮะ...ฟังดูแปลกๆ ดี เอ...เสียงของหญิงสาวที่ร้องเมื่อคืนจะเป็นของคู่นี้หรือเปล่าน้า...???


Travel Tips: ฮาลองบก
ตามก๊อก หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าฮาลองบก พวกฝรั่งจะเรียกว่า Halong bay on land หรือ Haloag bay in the rice fields เนื่องจากว่าลักษณะของภูมิประเทศโดยรอบมีลักษณะคล้ายคลึงกับฮาลองเบย์เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากน้ำทะเลมาเป็นน้ำจืด และนั่งเรือพายเพื่อชมถ้ำทั้งหมด 3 แห่งซึ่งคำว่า “ตามก๊อก” ก็แปลว่า สามถ้ำนั่นเองตามก๊อกอยู่ห่างจากจังหวัดนิงห์บิงห์ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 9 กิโลเมตร หรืออยู่ห่างจากฮานอยไปทางใต้ประมาณ 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง ถึง 2.5 ชั่วโมงหากจะเดินทางไปนิงห์บิงห์เองจากฮานอยก็สามารถใช้บริการรถเมล์ได้ที่สถานีรถ Giap Bat ในฮานอย ซึ่งจะมีรถไปนิงห์บิงห์ทุกๆ 15-30 นาทีหรืออาจจะใช้บริการ open tour ก็ได้ซึ่งจะมีรถจากฮานอยไปเหมือนกัน


“หึ่ง” ไกด์หนุ่มของเราในวันนี้ ได้เล่าให้ฟังระหว่างการเดินทางว่าฮานอย มาจากคำเวียดนามสองคำ คือ ฮา ซึ่งแปลว่า แม่น้ำ ในที่นี้คือแม่น้ำซงโห่ง ส่วนคำว่า นอย แปลว่า ข้างใน รวมๆ แล้วฮานอยแปลว่าดินแดนที่อยู่ระหว่างแม่น้ำ (หึ่งบอกอย่างนั้นนะครับ) นอกจากนี้หึ่งยังให้ความรู้เกี่ยวกับเมืองซาปาและฮาลองเบย์ด้วย แต่ข้อมูลดังกล่าวก็ซ้ำๆ กับที่ผมได้รับทราบมาจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เมื่อหึ่งพูดจบ รถก็มาจอดที่ Tam Viet ซึึ่งเป็นร้านขายของที่ระลึก ของที่ขายก็คล้ายๆ กับวันที่เราไปอ่่าวฮาลอง แต่ว่าของน้อยกว่า และที่สำคัญผ้าปักแบบที่ผมชอบนั้นไม่ยักกะมี คือที่นี่ก็มีผ้าปักแต่ว่า
ความ ละเอียดปราณีตของภาพสู้เมื่อวานไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นแล้วเงินดองกระเด็นออกจากกระเป๋าผมแน่นอน เสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน 30 ดอลล่าห์ก็เถอะ


เราแวะพักกันเพียง 20 นาทีแต่ก่อนจะออกเดินทางต่อ ผมซื้อส้มหนึ่งถุงจากแม่ค้าที่เร่ขายอยู่หน้าร้าน ราคาถุงละ 1 ดอลล่าห์ ครั้งนี้เราไม่ได้ต่อราคานะครับ เพราะเห็นว่าปริมาณกับราคายอมรับได้


จุดหมายปลายทางต่อมาเราไปที่ฮวาลือ (Hoa Lu) ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจาก Tam Viet ฮวาลือนี้อยู่ห่างจากนิงห์บิงห์ 13 กิโลเมตรซึ่งเคยเป็นเมืองเอกในศตวรรษที่ 10 ของไดโกเวียด ซึ่งในช่วงศตวรรษดังกล่าวมีราชวงศ์ดิงห์และราชวงศ์เลปกครองอยู่ สาเหตุที่ราชวงศ์ดิงห์เลือกฮวาลือเป็นเมืองหลวงก็เพราะว่าที่แห่งนี้มีภูเขา ตรังอันอยู่สามด้านและด้านสุดท้ายเป็นแม่น้ำฮว่างลองเพื่อปกป้องเมืองหลวง จากศัตรูซึ่งก็คือจีนนั่นเอง


ในช่วง 42 ปีของการปกครองของราชวงศ์ทั้งสองนั้นได้สร้างพระราชวัง วัด และสถูปมากมาย และเมื่อมีการย้ายเมืองหลวงไปยังทังลองซึ่งก็คือฮานอยในปัจจุบัน จึงได้มีการสร้างวัดเพื่ออุทิศให้กับกษัตริย์ดิงห์เตียนฮว่าง (Dinh Tien Hoang) หึ่งเล่าให้ฟังว่าดิงห์หมายถึงลำดับแรก ฮว่างหมายถึงกษัตริย์และกษัตริย์เลไดแฮงห์ (Le Dai Hanh) ขึ้นที่ฮวาลือ วัดทั้งสองจึงเรียกกันว่าวัดดิงห์และวัดเลนั่นเอง



เมื่อลงจากรถ ณ วัดดิงห์ เราจะเจอกับร้านขายของที่ระลึกข้างทางแม่ค้าจะเดินเข้ามาแล้วมักจะถามว่า ซื้อโปสการ์ดไหมราคาชุดละ 1 ดอลล่าห์ แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะได้จึงไม่ได้ซื้อเอาไว้ เมื่อเดินไปได้สักพักจะเจอกับสัญลักษณ์ของวัดทั้งสองก็คือ...คุณลุงชาว เวียดนามขี่ควาย ชักชวนให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปด้วย แต่เมื่อนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปจะไปถ่ายรูปจะมีเจ้าหน้าที่มาบอกว่าไม่ให้ ถ่าย ผมก็คิดว่าเป็นกฎห้ามถ่าย แต่พอสังเกตไปๆมาๆ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนัก ยังปล่อยๆ ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย นานๆ จะเดินมาห้ามสักครั้งแล้วก็เดินกลับไปยืนหน้าวัดดิงห์


เรามายืนอยู่ประตูทางเข้าของวัดดิงห์จะ เห็นว่ามีป้ายเขียนค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 10000 ดอง แต่ว่าเราไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มแล้วเพราะว่าค่าทัวร์ได้เหมารวมไปหมดแล้ว (ราคาทัวร์วันนี้เราได้มาถูกมากๆ คือ 340000 ดองต่อ 2 คน หรือว่าทางทัวร์คิดให้ผิดหว่า...)


ตรงประตูทางเข้าจะเป็นเสาปูนขนาดไม่ใหญ่ นัก และตรงกลางจะเป็นประตูไม้ที่ดูเก่าแก่ทรุดโทรมไปพอสมควร เมื่อเดินเข้าไปข้างในจะเจอกับประตูทางเข้าวัดที่ประกอบไปด้วยช่องทางเดิน 3 ช่อง ซึ่งหึ่งบอกว่าช่องกลางไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์เดินเท่านั้นและช่องที่เหลือ ไว้สำหรับคนทั่วไป


หึ่งยังเล่าอีกว่าตรงประตูทางเข้าจะมีม้า หินแกะสลักเป็นรูปมังกร ม้าหินนี้มีไว้สำหรับให้ราษฎรผู้ซึ่งต้องการจะเข้าไปพบกษัตริย์ได้นั่งรอ เมื่อเราข้ามผ่านประตูแล้วจะเจอกับสระปทุมทั้งสองข้างทาง ตรงกลางเป็นทางเดินปูด้วยหินสีแดงไว้สำหรับให้กษัตริย์เดิน เมื่อผ่านสระปทุมแล้วจะเจอกับประตูวัดอีกหนึ่งประตู ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับประตูแรก


เราเดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ จนกรทั่งเจอกับตัวอุโบสถหลัก ตรงด้านหน้าจะมีม้าหินอีกหนึ่งอันซึ่งอันนี้ไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น ตรงหลังคาจะมีสัญลักษณ์ของมังกรและดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลางของหลังคา ฟังไปฟังมาผมชักงงว่าที่เรามานี่คือวัดหรือพระราชวังกันแน่ ในที่สุดหึ่งก็เฉลยบอกว่า ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นพระราชวังและต่อมาเมื่อพระราชวังพังลงจึงได้มีการสร้าง วัดขึ้น ณ ที่เดิม เมื่อเราเดินเข้าไปข้างในของอุโบสถ จะเจอกับรูปปั้นของกษัตริย์ดิงห์เตียนฮว่างอยู่ตรงกลาง ทางด้านขวามือคือองค์รัชทายาทอันดับที่หนึ่งชื่อว่าดิงห์กว็อกเลี่ยน ทางด้านขวามือเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่สามและที่ลำดับที่ห้า (เอ...แล้วลำดับที่สองและสี่หายไปไหนหว่า..หึ่งไม่ได้พูดถึง)



หลังจากนั้นเราเดินออกจากวัดดิงห์เพื่อไป ยังวัดเล ซึ่งวัดเลนั้นอยู่ห่างจากวัดดิงห์เพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ประตูวัดเลนั้นก็เหมือนกับวัดดิงห์ที่มี 3 ช่อง เมื่อเดินเข้ามาก็จะเจอกับสระปทุมเช่นกัน และตรงทางเดินภายในจะมีเกี้ยวสำหรับกษัตริย์และพระราชินีอยู่ทางด้านซ้ายมือ แต่ที่เห็นนั้นเป็นเพียงเกี้ยวที่จำลองขึ้นมาเท่านั้น


หึ่งเล่าประวัติของกษัตริย์เลเอาไว้ว่า เมื่อสิ้นกษัตริย์ดิงห์และองค์รัชทายาทแล้ว ในที่สุดพระราชินีเยืองวันงา ได้ทรงเลือกนายพลเลฮวานขึ้นมาปกครองแทน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบนหลังคาของอุโบสถในวัดเลจะไม่มีรูปมังกรอยู่ ซึ่งแตกต่างจากวัดดิงห์ รวมทั้งม้าหินตรงหน้าอุโบสถเองก็ไม่มีรูปแกะสลักมังกรเช่นกัน เหตุที่ไม่มีก็เพราะว่ากษัตริย์เลไม่ได้มาจากเชื้อพระวงศ์ ต่อมาพระราชินีเยืองวันงาก็ได้อภิเสกสมรสกับกษัตริย์เล ซึ่งพระราชินีเยืองวันงาคือ
พระราชินีองค์แรกในเวียดนามที่แต่งงานสอง ครั้งกับสองกษัตริย์ ดังนั้นจึงมีรูปปั้นของพระราชินีเยืองวันงาอยู่ทางด้านซ้ายมือของรูปปั้น กษัตริย์เลฮวานในวัดเลนั่นเอง


เราออกจากวัดดิงห์และวัดเลด้วยจักรยานที่ เช่าจากหึ่ง โดยทิ้งเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ ไว้ในรถ ซึ่งพวกเขาจะนำหน้าเราไปรอที่ตามก๊อก ราคาค่าเช่านั้นตั้ง 100000 ดองต่อคัน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็แพงเพราะราคานี้ก็คือค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ในซาปาเลย แต่ด้วยความที่เราไม่่มีข้อมูลมาก่อนว่าสามารถขี่จักรยานจากวัดดิงห์ไปตาม ก๊อกได้ก็เลยไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไรและด้วยความที่อยากไป สัมผัสกับธรรมชาติของฮวาลือ-ตามก๊อกมากกว่าแค่นั่งรถเราจึงตัดสินใจเช่า จักรยานโดยไม่มีอิดออด


เราขี่รถไปตามทางซึ่งรอบๆ จะเป็นทิวทัศน์คล้ายๆ กับฮาลองเบย์เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในน้ำเท่านั้นเอง ภูเขาโดยรอบจะคล้ายคลึงกัน เราขี่จักร-ยานลัดเลาะไปตามเส้นทางเฉพาะสำหรับชาวเวียดนามซึ่งไม่ใช่เส้นทาง เดียวกับรถทัวร์ ระยะเวลาในการขี่จักรยานจากฮวาลือไปตามก๊อกนั้นประมาณ 40 นาที


เราไปถึงร้านอาหารซึ่งอยู่ตรงข้ามกับลาน จอดรถทีี่ตามก๊อก เมื่อขึ้นไปที่ร้านปรากฏว่ากลุ่มทัวร์ของเรากินกันเกือบจะเสร็จหมดแล้ว ผมถามหึ่งว่ามาถึงนานหรือยัง หึ่งตอบว่าก็ก่อนหน้าที่ผมจะถึงประมาณ 20-25 นาที หลังจากนั้นหึ่งจึงจัดที่นั่งให้เราใหม่โดยให้เป็นโต๊ะพิเศษคือ นั่งกินที่ระเบียงชั้นสองเพียง 2 คนเท่านั้น เราจึงนั่งกินไปเห็นวิวข้างนอกพิเศษกว่าคนอื่นๆ ระหว่างที่เรานั่งกินอยู่กลุ่มของเราก็ลงไปยืนรอเข้าคิวเพื่อที่จะลงเรือ ผมจึงบอกน้องพิมว่าให้เร่งกินกันไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงของกลุ่ม และด้วยความที่เราทั้งสองคนนั้นจะว่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนที่กินข้าวค่อน ข้างเร็ว จึงสามารถทำสปีดได้ทัน


ระหว่างรอขึ้นเรือ หึ่งบอกเราว่าเรือที่ ให้บริการนั้นมีทั้งหมด 2000 ลำ ซึ่งการให้บริการก็จะเริ่มนับไปตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ผู้พายนั้นมีลูกค้าได้เพียง 1 ครั้งต่อเดือน แต่เท่าที่ผมสังเกตนั้นคิดว่าหึ่งพูดเกินความจริงไปเนื่องจากจำนวนคนที่ใช้ บริการนั้นผมว่ามีมากและไม่คิดว่าเรือที่มาลงทะเบียนจำนวน 2000 ลำนั้นจะมีฝีพาย 2000 คนด้วย ดีไม่ดีอาจจะมีฝีพายเพียงหลักร้อยเท่านั้น (เป็นแค่ความคิดของผมเท่านั้น)



ฝีพายที่เราได้นั้นมีสองคนซึ่งเป็นแม่ลูก กัน ดังนั้นในเรือหนึ่งลำจึงมีเราสองคนและฝีพายอีกสองคน ผมเองแปลกใจว่าฝีพายหลักคือคนที่เป็นแม่ ซึ่งอายุอานามน่าจะเรียกยายได้ ไม่กระดากปากนัก ทำไมคนเป็นลูกถึงไม่เป็นฝีพายหลักหรือว่ายังพายไม่ชำนาญก็มิอาจทราบได้


ตามเส้นทางจะมีทุ่งนาอยู่ข้างๆ ซึ่งจะเห็นภาพของชาวนากำลังไถนาอยู่ริมตลิ่งที่มีน้ำท่วมขา ภาพของภูเขาที่มองเผินๆ จะเหมือนกับเกาะต่างๆ ที่ฮาลองเบย์นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ชื่อตามก๊อกมีอีกชื่อว่า ฮาลองบก นั่นเอง คุณยายพายเรือไปนานนับชั่วโมง จนกระทั่งเราเห็นสถูปอยู่บนเขาทางด้านซ้ายมือผมไม่รู้หรอกว่าสถูปนี้ชื่อว่า อะไร แต่ว่าใกล้ๆ กับสถูปนั้นจะมีรูปปั้นมังกรตัวยาวๆ อยู่ เสียดายที่คุณยายไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ไม่อย่างนั้นแล้วผมคงจะได้รู่้ว่าข้างบนนั้นเป็นอะไร


ไม่นานนักเราจะเห็นป้ายสีน้ำเงินตัวอักษร สีเหลืองและขาวเขียนเอาไว้ว่า Hang Ca ซึ่งเป็นชื่อของถ้ำแรก มีความยาวของถ้ำ 127 เมตรและกว้าง 20 เมตร คุณยายก็บึดจ้ำบึดจ้ำบึดเร่งสปีดอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันกลุ่มของเราที่อยู่ ห่างออกไปข้างหน้า


เรานั่งเรือลอดถ้ำหินปูนไป ระหว่างที่ลอดถ้ำก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ศีรษะชนกับเพดานถ้ำเพราะในบางจุด เพดานถ้ำจะต่ำ เมื่อผ่านถ้ำแรกไปแล้วไม่นานประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะเจอกับถ้ำที่สองมีชื่อว่า Hang Hai มีความยาวเพียง 60 เมตร และกว้างเพียง 18 เมตร และถ้ำสุดท้ายชื่อ Hang Ba มีความยาวสั้นกว่าถ้ำที่สองอีกซึ่งยาวเพียง 45 เมตร และกว้าง 18 เมตร เมื่อเราโผล่จากถ้ำสุดท้ายแล้ว เรือก็วกกลับทันที ซึ่งจะเจอกับบรรดาเรือแม่ค้าที่จอดรอเราอยู่ คุณยายก็คงรู้หน้าที่ แกรีบพายเข้าไปอยู่ในดงเรือแม่ค้า (ใครบอกว่าแม่ค้าจะพายมาหาหว่า...) เหล่าแม่ค้ารีบนำขนม น้ำกระป๋อง ผลไม้ต่างๆ แม้แต่กาแฟก็นำเสนอ หากเราไม่ซื้อ แกก็จะบอกว่าซื้อให้ฝีพายก็ได้ ผมรับทราบมาว่าหากจะให้หลุดพ้นไปได้ก็ต้องอุดหนุนอะไรสักหน่อย จึงตัดสินใจซื้อกล้วย 1 หวีราคาตั้ง 20000 ดองแนะ



เมื่อเราหลุดจากบรรดาแม่ค้าทั้งหลายแล้ว เพียงไม่กี่นาทีฝีพายผู้เป็นลูกก็เริ่มหยิบเสื้อผ้าต่างๆ มาวางไว้บนตักน้องพิม พร้อมกับหยิบให้ดู เราเตรียมใจอยู่แล้วว่าจะเจอเหตุการณ์นี้จึงไม่ได้ตกอกตกใจ แต่ตั้งใจว่าจะซื้ออุดหนุนด้วยซ้ำ น้องพิมจึงเลือกและสอบถามราคากันอยู่นานสองนาน จนในที่สุดน้องพิมจึงซื้อเสื้อสีเหลืองและสีแดงสไตล์เวียดนามในราคารวม 610 บาท เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้วเพียงอึดใจเดียวเราก็กลับมาถึงท่าเรือของหมู่บ้านวัน ลาม หึ่งได้บอกกับลูกทัวร์ตั้งแต่ก่อนลงเรือแล้วว่าน่าจะให้ทิปกับฝีพายนิดๆ หน่อยๆแต่เราก็ไม่ได้ให้ทิปเพราะตอนที่ซื้อเสื้อนั้นเราได้ให้เงินเกินไป จากราคาเสื้อพร้อมกับบอกว่าไม่ต้องทอนให้เป็นทิป เมื่อขึ้นถึงฝั่งเราจะเห็นตลาดขนาดเล็กขายของต่างๆ ซึ่งจะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวบางคนก็ซื้ออาหารการกินโดยเฉพาะพวกผลไม้จากที่ ตลาดแห่งนี้ก่อนจะขึ้นรถกลับไปฮานอย


เรามาถึงฮานอยประมาณหกโมงเย็นจึงสมควรแก่เวลาหาอาหารมื้อเย็น ในตอนแรกตั้งใจว่าจะไปกินที่ร้านขึ้นชื่อจากหนังสือ 1000 places to
SEE before you die ชื่อว่าร้าน Cha Ca La Vong ซึ่งตั้งอยู่บนถนนCha Ca แถวๆ ย่านโอลด์ควอเตอร์ หาไม่ยากเลยครับ หาถนน Cha Ca ให้เจอแล้วก็จะเจอร้านนี้เอง คำว่า Cha Ca แปลว่าปลาทอด แต่เมื่อไปถึงพบว่ามีผู้คนแห่กันไปกินมากมายจนต้องมีการยืนออกันหน้าร้าน เราอดทนยืนรออยู่ 5 นาทีก็เรียกว่าเกินพอกับคำว่า to SEE ตามชื่อหนังสือแล้ว (ก็ไม่ได้บอกว่าต้องมากินนี่หว่า) เราก็เดินไปหาอาหารอื่นกินดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาคอยด้วยเดินไปเดินมาก็มาโผล่ที่ตลาดดองซวน (Dong Xuan) ซึ่งในค่ำคืนนั้นมีร้านขายของเช่น รองเท้า แว่นตา กระเป๋า ต่างหู เข็มขัดเป็นต้น เราเดินไปด้านข้างของตลาดจะเจอกับร้านอาหารตามสั่งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด เมื่อดูราคาเมนูที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว จึงตัดสินใจลองเสี่ยงดูที่ร้าน Hai Trung เพราะราคาที่เห็นในเมนูนั้นคือราคาทั่วไปที่เราเจออยู่เสมอๆ จะเรียกว่าเป็นราคามาตราฐานสำหรับนักท่องเที่ยวก็ไม่น่าจะผิดเท่าไรนัก เพราะตั้งแต่เรามาเหยียบเวียดนามก็เจอแต่ราคาประมาณนี้ ดังนั้นผมจึงอยากจะให้ดูเป็นตัวอย่างเอาไว้อ้างอิงกล่าวคือหากคุณมาเวียดนาม แล้วหาร้านอาหารทั่วๆไปเมื่อเทียบราคาแล้วแพงกว่าก็ไม่ต้องไปกิน หากถูกกว่าก็จะได้กินอย่างสบายใจไม่โดนฟันเท่าไร (เพราะผมยังเชื่อว่าราคาคนเวียดนามกินยังไงก็ถูกกว่าราคานี้แน่นอน)


เราสั่งอาหารง่ายๆ คือข้าวผัดซึ่งจากราคาในเมนูคือ 25000 ดองต่อจาน แต่พอตอนเก็บเงินทางร้านเก็บเพียง 20000 ดองต่อจาน ซึ่งผมก็คิดว่าราคาเมนูยังสามารถลดได้อีกแน่นอน...อิ่มท้องแล้วก็กลับไปที่ โรงแรมนอนหลับสบาย


 


เดินทางสู่้เจดีย์หอม วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่เวียดนามแบบเต็มวัน รถทัวร์มารับเราที่หน้าโรงแรมตรงเวลาเช่นเคย ลิงห์ไกด์สาวที่พาเราไปฮาลองเบย์ก็ได้มีโอกาสมารับใช้เราอีกครั้ง เธอเองก็ดูเหมือนจะดีใจไม่น้อยเพราะเราทัั้งคู่นับว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ ไม่เรื่องมากแล้ว Perfume Pagoda หรือเจดีย์หอมคือจุดหมายปลายทางในวันนี้ ลิงห์เล่าให้ฟังระหว่างนั่งอยู่บนรถว่า เจดีย์หอมเรียกตามภาษาเวียดนามว่าจั่ว เฮวือง (Chua Huong) ซึ่งอยู่ห่างจากฮานอยไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประ-มาณ 60 กิโลเมตร ที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญอีกแห่งหนึ่งในเขตเวียดนามเหนือ


ประมาณชั่วโมงหน่อยๆ รถทัวร์ก็พาเรามาแวะจอดที่ Tam Vietอีกครั้งหนึ่ง ในวันนี้ผมและน้องพิมจึงไม่ได้เดินเข้าไปดูอะไรมากมายเพราะรู้อยู่แล้วว่า ไม่ค่อยมีอะไรให้ดู เราจึงออกมายืนรอนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ อยู่ด้านหน้า พร้อมกับซื้อส้ม 1 ถุงที่บรรดาแม่ค้ามาขายเหมือนเดิมอีกหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงหมู่บ้าน Duc Khe ซึ่งเป็นที่ที่เราจะต้องนั่งเรือพายเพื่อพายไปยังเจดีย์หอม ในครั้งนี้ผม น้องพิม และลิงห์ได้นั่งอยู่ลำเดียวกันโดยที่มีฝีพาย 1 คน ตลอดเส้นทางของการพาย 1 ชั่วโมงกับระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เราจะเจอกับภูเขาฮว่างเซินซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่เจอที่ฮาลองบก ทำให้เราแทบจะไม่ได้รู้สึกแปลกตาตื่นเต้นสักเท่าไร เล่ากันว่าภูเขาฮว่างเซินแห่งนี้เทียบได้กับกุ้ยหลินของจีนเลยทีเดียว ระหว่างทางเราจะเจอกับการตกปลาโดยใช้ไฟฟ้าช็อตปลาซึ่งผมคาดว่าคงเป็นเรื่อง ปกติสำหรับที่นี่


เมื่อเรือเข้าจอดเทียบท่าลิงห์ได้นัดแนะกับนักท่องเที่ยวทุกคนว่ามีเวลา จนถึงบ่ายสองโมงแล้วค่อยกลับมากินข้าวเที่ยงด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงทางขึ้นเขาสำหรับเราทั้งคู่นั้นได้ซื้อตั๋วเคเบิลคาร์ไว้เรียบ ร้อยแล้วจึงเดินตามลิงห์ขึ้นไปเพื่อไปยังถ้ำเขาจั่วเฮวือง เพียงไม่กี่นาทีเคเบิลคาร์ก็พาเราขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุด เราสามารถมองเห็นวิวโดยรอบของภูเขาแถบๆ นี้ ระหว่างเดินเพื่อจะไปยังถ้ำจะพบกับบรรดาร้านขายของที่ระลึก แต่ที่น่าสังเกตคือหลายร้านจะมีตุ๊กตาเด็กผู้ชายที่แก้ผ้าร่อนจ้อน ลิงห์บอกว่าเจดีย์หอมแห่งนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเวียดนามมาเพื่อขอ ให้มีลูก


เมื่อก้าวผ่านประตูหินทางเข้าเพื่อลงไปชมถ้ำ เราจะต้องเดินไปตามบันไดหินลงไปเบื้องล่าง ผมเดินตามลิงห์ไปเรื่อยๆ จนเจอกับหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าถ้ำ ลิงห์หันมาบอกผมว่านี่แหละเจดีย์หอม



“ดูสิเหมือนเจดีย์ไหม” ลักษณะของเจดีย์หอมนี้คล้ายๆ กับปากของมังกรทางด้านซ้ายมือจะมีระฆังแขวนอยู่ ผมไม่รู้หรอกครับว่าระฆังตรงนี้มีความสำคัญหรือมีความหมายอะไร เพียงแต่สังเกตเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวหลายคนแวะถ่ายรูปกัน เมื่อเดินอ้อมเข้าไปข้างหลังของปากมังกร จะมีพระพุทธรูปขนาดไม่ใหญ่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา เราใช้เวลากันไม่นานนักในถ้ำแห่งนี้ จะว่าไปแล้วก็ถือว่ามีขนาดเล็กไม่ค่อยสมกับการถ่อขึ้นมาข้างบนยิ่งใครไม่ได้ ขึ้นเคเบิลคาร์และต้องเดินขึ้นมานั้น ผมคิดว่าคงจะรู้สึกแอบเซ็งก็เป็นได้


เรานั่งเคเบิลคาร์ลงมาด้านล่างอีกครั้ง ผมดูเวลาแล้วยังเพียงพอต่อการเดินเยี่ยมชมวัด Den Trinh ในวันนี้มีการซ่อมแซมวัดทำให้ ไม่ค่อยสะดวกในการเยี่ยมชมเท่าไร ผมเดินผ่านประตูไม้ทางเข้าซึ่งมีการแกะสลักลวดลายฝีมือแบบหยาบๆ เบื้องหน้าเป็นอุโบสถไม้รูปทรงโดดเด่นแปลกตาบนเสาจำนวน 16 ต้น เมื่อเดินต่อไปจะเจอกับลานกว้างเบื้องหน้าเป็นอุโบสถหลัก ซึ่งมีนักท่องเที่ยวหลายคนแวะเวียนกันมาสักการะ ลิงห์บอกกับนักท่องเที่ยวใน
ทริ ปนี้ว่าให้ขึ้นไปดูถ้ำก่อนเพราะสวยกว่าวัด Den Trinh แห่งนี้ แต่เมื่อผมได้เดินชมทั้งสองส่วนแล้ว ขอออกความเห็นว่าวัดนี้น่าสนใจกว่าถ้ำมากนัก



หลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลานั่งเรือกลับไปยังรถ ทัวร์ สำหรับ one day trip นี้เรากลับมาถึงฮานอยตอนประมาณหกโมงกว่า สำหรับคืนสุดท้ายในฮานอยผมจึงบอกกับน้องพิมว่า เราไปหาร้านอาหารที่ Lonely Planet แนะนำสักแห่งหนึ่งดีกว่า ในที่สุดเมื่อเราเดินแบบไร้จุด
หมายใน ย่านโอลด์ควอเตอร์ ผมก็เห็นร้าน Ladybird Restaurant ซึ่งตั้งอยู่ที่ 57 Hang Buom บรรยากาศในร้านดูน่านั่งดี คนไม่ค่อยพลุกพล่าน
เหมือนร้าน Little Hanoi อาหารมื้อนี้ผมจึงสั่ง Cha Ca ถึงแม้ไม่ได้ทานที่ร้าน to See แต่อย่างน้อยก็ได้ลิ้มชิมรสอาหารชนิดนี้ที่นี่แทน หลังจากนั้นเรา
จึง เดินทางกลับไปยังที่พักเพื่อเตรียมตัวเก็บข้าวของสำหรับเดินทางกลับบ้าน สำหรับเส้นทางจากโอลด์ควอเตอร์กลับไปยังสนามบินก็สามารถขึ้นรถเมล์สายเดิม ได้ที่ฝั่งเดียวกับโอลด์ควอเตอร์ (สามารถเดินไปได้ครับ ไม่ไกลเลย) หรือหากอยากสะดวกสบายหน่อยก็สามารถเรียกแท็กซี่ในราคาประมาณ 10-12 ดอลล่าห์


จบ


(By maeil and pim: ขอสงวนสิทธิ์เนื้อหาและรูปทั้งหมดในทุกกรณี)






 

Create Date : 04 มกราคม 2554
0 comments
Last Update : 4 มกราคม 2554 19:55:15 น.
Counter : 3174 Pageviews.

 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Maeil
 
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หากต้องการใช้รูป หรือ เนื้อหา กรุณาสอบถามก่อนนำไปใช้
ห้ามนำไปใช้ก่อนได้รับอนุญาติ
[Add Maeil's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com