ผู้เขียนเคยดูหนังสารคดีเรื่อง The Fog of War ประเด็นว่าด้วยประวัติศาสตร์สงครามอเมริกาที่ล้วนแต่มีเหตุตั้งต้นมาจากความคลุมเครือของสถานการณ์ ความไม่รู้ทำให้เราฟุ้งซ่านและโต้ตอบกับสิ่งที่คิดว่าเป็นอันตรายนั้นด้วยความโง่เขลา ความไม่รู้ที่ต่อยอดเป็นความหวาดระแวงส่งผลสืบเนื่องเข้าสู่สงครามเย็นกับชาติมหาอำนาจ เหตุการณ์ประเภทนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่ เพราะก่อนที่โลกจะรู้จักคำว่า สงคราม การตอบโต้กับสิ่งที่ไม่รู้จริงก็เคยเป็นไปอย่างไร้ซึ่งเหตุผล ( ความเกรงกลัวต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นที่มาของการบูชายัญ หรือการทรงเจ้าเข้าผีตามลัทธิต่างๆ ) แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่เหตุการณ์เก่าเก็บในอดีตซะทีเดียว ทุกวันนี้โลกเรายังดูเหมือนไม่เคยเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต อย่างที่เห็นๆ กัน การรับมือกับสิ่งที่ไม่รู้จริงหรือสถานการณ์ที่คลุมเครือ ยังคงเป็นไปอย่างฟุ้งซ่านสะเปะสะปะ ไม่มีทิศทางที่แน่นอนและขาดจุดยืนที่มั่นคง
The Mist คือหนังเรื่องใหม่ของผู้กำกับแฟรงก์ ดาราบองต์แห่ง The Shawshank Redemption และ The Green mile เช่นเคย ดาราบองต์มาพร้อมบทภาพยนตร์ซึ่งดัดแปลงมาจากงานเขียนของสตีเฟน คิง หัวใจของเรื่องมีประเด็นเดียวกันกับ The Fog of War ว่าด้วยหมอก ความคลุมเครือ และความสูญเสียที่เกิดมาจากความไม่รู้
เช่นเดียวกับ The Shawshank Redemption หนังเรื่อง The Mist ชี้ให้เห็นพลังของความหวัง ความหวังที่นำมาซึ่งทางออกได้เสมอ (หนังเรื่อง The Shawshank Redemption กล่าวถึงทางออกในการแหกคุกชอร์แชงค์ของแอนดี้และทางออกจากความผิดบาปสู่อิสรภาพในใจของเรด ) และเช่นเดียวกับ The Green mile หนังเรื่อง The Mist ชี้ให้เห็นว่าคุกที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกจองจำอยู่ในความมีชีวิต
The Mist จบลงอย่างหดหู่ทว่าฝากแง่คิดที่ทรงพลังถึงผู้ชมว่าอย่าได้ละทิ้งความหวังแม้เพียงเสี้ยววินาที
เพราะโดยส่วนตัวเราจะคิดว่า รออีกเนอะเถอะ เผชิญหน้ากับความกลัวอีกนิด เราอาจจะไม่ต้องกลัวมันอีก ให้มันกลัวสุดๆกันไปเลย
แต่ในเมื่อคำตอบของหนังเป็นแบบนั้น มันก็มีนัยยะแฝงอยู่ให้คนดูกับไปคิดต่อกันเอง
แต่ดูจบแล้วชอบค่ะ