สี่กษัตริยาปตานี ๖ :ราชินีกูนิง รักที่เลือกไม่ได้ และบทสุดท้ายของตำนานรักเพื่อแผ่นดิน
ราชินีกูนิง : รักที่เลือกไม่ได้ และบทสุดท้ายของตำนานรักเพื่อแผ่นดิน
พุทธศักราช ๒๑๗๘
หลังพระราชพิธีฝังพระศพราชินีอุงงู สุลต่านยะโฮร์ทรงลามเหสีกูนิงกลับไปบริหารราชการแผ่นดินในรัฐยะโฮร์ของพระองค์ โดยขอให้พระมารดาและพระอนุชาประทับอยู่ต่อที่นครปตานีพร้อมทั้งทหารของนครยะโฮร์จำนวนหนึ่ง เพื่อถวายคำปรึกษาและอารักขามเหสีกูนิง ซึ่งได้รับการสยุมพรเป็นเจ้านครปตานีองค์ใหม่
เมื่อขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่ราชินีกูนิงทรงทำคือบริจาคราชทรัพย์ส่วนพระองค์เข้าพระคลังหลวง ซึ่งเล่ากันว่าทรัพย์สมบัติของพระนางนั้นมากมายมหาศาลต้องใช้เวลาขนถึง ๓ วัน ๓ คืน ตำนานนครรัฐปตานียังเล่าว่าราชินีกูนิงทรงเป็นเจ้านครที่มั่งคั่งที่สุดทั้งจากราชทรัพย์ที่ตกทอดมาจากอดีตเจ้าผู้ครองนครหลายพระองค์ และจากกิจการค้าส่วนพระองค์ ในรัชสมัยของพระนาง องค์กูนิงมิได้ทรงใช้งบประมาณจากพระคลังเลย ทรงมีรายได้จากการค้าขายพืชผลจากสวนเกษตรส่วนพระองค์ โดยมี "นักโฮดา ซันดัง"๑๙ เป็นผู้จัดการผลประโยชน์ให้ ประชาชนเรียกนักโฮดา ซันดัง ผู้นี้ว่า "พ่อค้าของพระราชินี"
ยุคของราชินีกูนิงเป็นยุคที่การค้าของปตานีรุ่งโรจน์ที่สุด แต่ตำนานรักของพระนางที่ถูกบันทึกไว้นั้นกลับแสนเศร้า
ตำนานนครรัฐปตานีเล่าว่า เมื่อสุลต่านยะโฮร์ต้องกลับไปบริหารบ้านเมืองของพระองค์ พระอนุชาของสุลต่านได้ข่มเหงพระนาง หลังจากนั้นกลับเปลี่ยนผันปันใจไปมีสัมพันธ์สวาทกับนางดัง สีรัต นักร้องในคณะอุปรากรของวังหลวง ดัง สีรัต เป็นหญิงร่างใหญ่ ใบหน้าอัปลักษณ์ แต่มีเสียงไพเราะมาก เจ้าชายยะโฮร์ทรงหลงใหลนางมาก ประทานทุกอย่างที่ดัง สีรัต ปรารถนาและวางแผนที่จะแยกไปตั้งเมืองใหม่และสถาปนานางเป็นพระชายา พระมารดาของสุลต่านและพระอนุชาที่ยังประทับอยู่ที่ปตานีพร้อมพระนมของเจ้าชายเชื่อว่า นางดัง สีรัต ใช้มนต์ดำทำเสน่ห์ให้พระอนุชาลุ่มหลง บรรดาเสนาบดีและข้าราชบริพารในราชสำนักปตานีต่างไม่พอใจกับพฤติกรรมของเจ้าชายเมืองยะโฮร์ และเมื่อข่าวที่เจ้าชายจะสถาปนา ดัง สีรัต เป็นพระชายาแพร่สะพัดทั่วนครปตานี เหล่าเสนาบดีจึงเข้าเฝ้าเพื่อขอให้ราชินีกูนิงมีพระราชวินิจฉัย แต่พระราชินีกลับมอบหมายให้เป็นภารกิจของเสนาบดีที่จะตัดสินว่าจะจัดการอย่างไร เพียงแต่ขอให้ไว้ชีวิตของเจ้าชายไว้
เจ้าชายแห่งยะโฮร์มิทรงล่วงรู้ถึงแผนการใดของคณะเสนาบดีแห่งองค์ราชินีปตานี ด้วยอยู่ในภวังค์ลุ่มหลงนางดัง สีรัต เจ้าชายทรงเรียกคณะมนตรีแห่งนครรัฐเข้าเฝ้าและมีรับสั่งให้ตามเสด็จพระองค์ไป ณ ตัมบังงัน๒๐ เพื่อร่วมพิธีสถาปนานางดัง สีรัต เจ้าชายเสด็จล่วงหน้าพร้อมนางดัง สีรัต และมหาดเล็กชาวอาเจะห์ของพระองค์พร้อมไพร่พลทหารจากนครยะโฮร์ ประทับรอคณะเสนาบดีแห่งราชสำนักปตานีที่ไม่ปรากฏกายจวบจนราตรีผ่านพ้น
เจ้าชายทรงรับทราบข่าวร้ายเมื่อฟ้าสางว่า คล้อยหลังขบวนเสด็จของพระองค์ ราชสำนักปตานีสั่งปิดประตูเมืองและติดตั้งปืนใหญ่รอบป้อมเมือง พระองค์รับสั่งให้มหาดเล็กไปสืบข่าวและดูให้เห็นกับตา เมื่อทราบว่าข่าวร้ายเป็นจริง เจ้าชายทรงพานางดัง สีรัต โดยเสด็จมุ่งหน้าสู่ปาซีร์ เบนดาราจา (Pasir Bendaraja) ระหว่างทางขบวนเสด็จของพระองค์ถูกชาวปตานีตามไล่ล่า มหาดเล็กชาวอาเจะห์ของพระองค์ถูกฆ่า ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเจ้าชายทรงตัดสินพระทัยสังหารนางดัง สีรัต ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองที่หมู่บ้านตีนเขาตาบิห์ (Bukit Tabih) ศพของนางดัง สีรัต ถูกฝังไว้ ณ ตีนเขาตาบิห์แห่งนี้ เรื่องราวของเจ้าชายเมืองยะโฮร์และนางดัง สีรัต ถูกเล่าสืบต่อ ณ หมู่บ้านที่กลายเป็นสุสานของนางดัง สีรัต เป็นบทเพลงท้องถิ่นขับขาน ความว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมา นกเขาตัวหนึ่งโรยแรงสิ้นลม
...เจ้านกเขาตกตายอยู่ใต้พุ่มไม้
กาลครั้งหนึ่งนานมา เจ้าชายแห่งนครยะโฮร์เสด็จมา ณ ที่แห่งนี้
...พระองค์เสด็จมาที่นี่และสังหารดัง สีรัต
จากนครปตานีสู่ตันหยง
...เจ้าชายถูกไล่ล่าแตกพ่ายไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้...
เมื่อฝังศพนางดัง สีรัต แล้ว เจ้าชายยะโฮร์ประทับช้างทรงบ่ายหน้าสู่เมืองสาย เมื่อราชินีกูนิงทรงทราบข่าว จึงมีพระบัญชาไปยังเจ้าเมืองสายให้จัดเตรียมเรือไว้ให้เจ้าชาย
เจ้าชายและไพร่พลที่เหลือของพระองค์ลี้ภัยกลับถึงนครยะโฮร์อย่างปลอดภัยได้ด้วยเรือ ๒ ลำและเสบียงอาหารที่เจ้าเมืองสายจัดเตรียมไว้ให้ตามพระบัญชาของราชินีแห่งนครรัฐปตานี
ตำนานนครรัฐปตานีเล่าไว้ว่า องค์กูนิงยังมีพระเมตตาบัญชาให้ราชาเลลา๒๑ เชิญเสด็จพระมารดาของสุลต่านแห่งยะโฮร์รวมทั้งพระประยูรญาติและบ่าวไพร่ไปส่งยังนครยะโฮร์อย่างปลอดภัย
แต่ในจดหมายด่วนของพ่อค้าชาวดัตช์ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต๒๒ ที่ส่งโดยเรือเที่ยวพิเศษจากมะละกาไปยังนครปัตตาเวีย๒๓ กลับเล่าเรื่องราวแตกต่างไปจากบันทึกในตำนานนครรัฐปตานี เขาเล่าว่า ความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้นระหว่างนครยะโฮร์และปตานีได้รับการยืนยันจากหลายฝ่ายว่ามีความเห็นไม่ลงรอยกันระหว่างสุลต่านยะโฮร์และบรรดาขุนนางในราชสำนักปตานี พระอนุชาของสุลต่านยะโฮร์ทรงหนีรอดไปได้ แต่พระมารดา พระประยูรญาติ และบ่าวไพร่ของพระองค์ถูกสังหารหมด
บุหงามาศ-บรรณาการสานสัมพันธ์กับสยาม
ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับปตานีในรัชสมัยพระมารดาอุงงูนั้นแสนขม บ้านเมืองไพร่พลต้องกรำศึกตั้งรับการรุกรานของสยามอยู่เสมอ แต่เมื่อองค์กูนิงขึ้นครองราชย์และกษัตริย์สยามทรงเปลี่ยนนโยบายแสดงพระราชประสงค์ที่จะรื้อฟื้นไมตรีกับปตานี โดยมีสุลต่านเมืองเคดะห์๒๔ เป็นผู้เชื่อมสัมพันธ์ ราชินีพระองค์ใหม่จึงทรงโอนอ่อนเมื่อพระเจ้าปราสาททองทรงส่งคณะทูตจากสยามมาเข้าเฝ้า๒๕ ราชินีกูนิงได้ทรงส่งคณะผู้แทนไปเยือนราชสำนักสยามเพื่อทูลถวายบุหงามาศ๒๖ เป็นบรรณาการสานสัมพันธ์สองนคราเช่นกัน และในปีพุทธศักราช ๒๑๘๔ พระนางเจ้าหญิงกูนิงได้เสด็จเยือนอยุธยา เพื่อตอกย้ำสัมพันธไมตรีที่ยุติสงครามระหว่างสยามกับปตานีตราบจนสิ้นรัชสมัยของพระนาง
ศึกสายเลือดเมืองกลันตัน กับบัลลังก์นครรัฐปตานี
ในฐานะเจ้าผู้ครองนครรัฐปตานี อันเป็นศูนย์กลางของสหพันธรัฐปตานี๒๗ ราชากูนิงถูกเรียกร้องให้เข้าไปจัดการปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักกลันตันซึ่งเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐปตานีที่จัดตั้งขึ้นในรัชสมัยของราชาบีรู กษัตริยาองค์ที่ ๒ แห่งนครปตานี กับสุลต่านอับดุลกาเดร์แห่งกลันตัน
แม้ว่าเงื่อนไขในการรวมตัวเป็นสหพันธรัฐปตานีนั้น ระบุว่าเมืองกลันตันยังคงอำนาจปกครองเหนือดินแดนตนเอง และจะไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการหรือภาษีจากกลันตันให้กับนครปตานี แต่เมื่อมีความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจปกครองเกิดขึ้นภายในราชสำนัก เจ้าผู้ครองนครรัฐปตานีใหญ่ (สหพันธรัฐ) ถูกเรียกร้องให้เข้าไปจัดการปัญหา
เรื่องราวความขัดแย้งภายในของเมืองกลันตันที่ถูกเล่าไว้ในหนังสือ "ประวัติศาสตร์ปัตตานี" ที่เขียนโดย อาหมัด ฟัตฮี อัล-ฟาตานี เป็นความขัดแย้งระหว่างเชื้อสายของอดีตสุลต่านอับดุลกาเดร์ โดยเมื่อสุลต่านสิ้นพระชนม์ เกิดการแย่งชิงบัลลังก์กันระหว่างพระโอรสและพระอนุชาของสุลต่าน
ราชาอับดุลลอฮุ พระอนุชาของสุลต่าน ประกาศปลดปล่อยเมืองกลันตันออกจากนครปตานี ยึดอำนาจปกครองในเขตพื้นที่เมืองลอร์ และเมืองเยอลาซิน (Jelasin) ตรงไปยังตอนเหนือ ฝ่ายราชาซักตีที่ ๑ พระโอรสของสุลต่าน ทรงยึดอำนาจปกครองบริเวณเมืองปังกาลันดาตู และพื้นที่ตอนใต้รวมทั้งหมดของพื้นที่กลันตันตะวันตก
ในช่วงต้นของรัชสมัยของพระนาง ปี พ.ศ. ๒๑๘๑ ราชินีกูนิงทรงได้ให้การรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ราชาซักตีที่ ๑ ว่าเป็นดาตูแห่งกลันตัน๒๘ ที่ถูกต้อง แต่พระนางไม่ทรงจัดการใดๆ กับราชาอับดุลลอฮุที่แยกปกครองกลันตันจนกระทั่งราชาอับดุลลอฮุสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๑๘๙ โดยมีราชาอับดุลราฮิมสืบต่ออำนาจ
การวางเฉยของราชินีกูนิงสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายราชาซักตีที่ ๑ และชาวเมืองกลันตันที่อยู่ข้างพระองค์ ราชาซักตีจึงทรงรวบรวมไพร่พลเข้าโจมตีสุลต่านอับดุลราฮิมก่อนเพื่อรวบรวมกลันตันให้เป็นหนึ่งเดียว เมื่อสังหารสุลต่านอับดุลราฮิมแล้ว ราชาซักตีจึงทรงเดินทัพเข้าโจมตีอำนาจส่วนกลางที่นครปตานี ราชินีกูนิงทรงพ่ายแพ้ในการศึกครั้งนี้ ต้องเสด็จลี้ภัยมุ่งหน้าไปยังรัฐยะโฮร์ของอดีตพระสวามี
หากพระวรกายของพระนางมิอาจตรากตรำกับการเดินทางในสภาพขัดสนและต้องฝ่าคลื่นลมกลางทะเล พระนางทรงประชวรและต้องหยุดประทับพักที่เมืองปังกาลันดาตู ที่กลายเป็นที่ประทับของพระนางชั่วนิรันดร์ พระศพของพระนางถูกฝังไว้ ณ หมู่บ้านปันจอร์
ตำนานของราชวงศ์ศรีวังสาที่สร้างเมืองปตานี และตำนานรักและรบเพื่อแผ่นดินของสี่นางกษัตริย์แห่งอดีตนครรัฐปตานีที่เคยทรงอำนาจเหนือคาบสมุทรมลายูจบลงที่หมู่บ้านชนบทริมฝั่งน้ำกลันตันแห่งนี้
ศิลปวัฒนธรรม วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 28 ฉบับที่ 05
|
1 2 3 4 5 6 7 8 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31
MY VIP Friends |
ไม่เคยอ่านเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย