มีนาคม 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
31
 
ทำงานจนเครียดลงกระเพาะ
สวัสดึค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน

ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ค่อยได้เข้ามาอัพเดทบล๊อคนี้เลย (เจอพี่ปานตะวันกระทุ้งเตือนอยู่ นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้มาเขียนอะไรในนี้ตั้งนานแล้ว....)

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาปรับตัวกับงานใหม่ค่ะ ตื่นเช้าตั้งแต่หกโมง เข้างานเจ็ดโมงครึ่ง เลิกงานสี่โมงเย็น บางวันก็ต้องทำOTด้วยเพราะว่าคนไข้มีปัญหา ก็ต้องแก้ปัญหาให้เค้าถึงจะกลับบ้านได้ พอกลับมาก็เกือบห้าโมง..หรือบางวันก็ห้าโมงกว่าแล้ว กินข้าว อาบน้ำ นอนตอนสี่ทุ่ม แทบจะไม่มีเวลาให้กับตัวเองเลย.....

บางคนก็อาจจะสงสัยว่าจูนทำงานอยู่แผนกอะไร ตอนนี้จูนทำงานอยู่ในห้องพักฟื้นค่ะ (recovery room) พูดง่ายๆก็คือว่าคนไข้ที่คุณหมอตรวจกระเพาะหรือลำไส้แล้วจะมาอยู่ในห้องจูน แล้วจูนก็แค่ตรวจดูอาการว่าคนไข้โอเคแล้วก็ปล่อยกลับบ้าน

งานที่ทำก็ค่อนข้างจะ"ง่าย"กว่าพยาบาลที่ทำงานอยู่ในรพ.ทั่วๆไป เพราะว่าที่นี่เป็นคลีนิคผ่าตัดเฉพาะทาง คนไข้จะใช้เวลาอยู่กับเราเพียงแค่ประมาณสองชม.เท่านั้นแล้วก็กลับบ้าน เพราะฉะนั้นเราแทบจะไม่ต้องใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับพวกเค้า เหมือนกับไม่ต้องเหนื่อยใจเท่าไหร่ สองชม.จบ

แต่จะว่าไปมันก็มีความเครียดอยู่ในตัว เพราะว่ามันเหมือนมันมีเวลาของมัน ในห้องพักฟื้นมีช่องว่าง(เตียง)ให้คนไข้อยู่แค่หกเตียง แต่วันๆหนึ่งมีคนไข้ประมาณ20-30คน จะทำยังไงที่จะหมุนเตียง หมุนคนไข้ให้ออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แก้ปัญหาให้เร็วและดีที่สุด (เช่น ถ้าคนไข้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือว่าหน้ามืด เป็นลมไปเฉยๆ จากการอดข้าวติดกันหลายๆวันเพื่อล้างลำไส้) เสร็จแล้วก็ต้องเขียนchartไปว่าคนไข้เป็นยังไงบ้าง แล้วก็ต้องโทรตามเช็คคนไข้ของวันที่แล้ว ดูว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถ้ามีก็ต้องดูว่าเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ต้องหาทางแก้ปัญหาต่อไป

ส่วนใหญ่งานก็จะไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ ตรงที่ว่าจะมีผู้ช่วยพยาบาลอีกคนสลับกันมาช่วย (มีสี่คน สามคนจะอยู่ในห้องผ่าตัดและจะสลับกันมาทำงานอยู่ในห้องพักฟื้น) ก็ยังพอทำได้อยู่ แต่ปัญหามีอยู่ที่ว่ามีผู้ช่วยคนหนึ่งเกิดลาออกกระทันหัน อารมณ์แบบว่าข้าไม่อยากทำงานแล้วก็ไม่โผล่หน้ามาทำงานเลย แถมผู้ช่วยอีกคนก็ลาพักไปอีกสองวัน โอ้ว แทบตาย ต้องจัดการกับคนไข้ทั้งหมดคนเดียว ไม่มีใครมาแบ่งเบาภาระเลย จำได้ว่าทำแค่สองวันอย่างนั้นแหละ....อยู่ๆก็แสบท้องขึ้นมาเฉยๆ อืม คงหิวข้าวมั้ง.... คิดกับตัวเองอย่างนั้น แต่ว่าผ่านไปสองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว ก็ยังแสบท้องอยู่

ทีแรกก็นึกว่าเรากินข้าวไม่ตรงเวลาเพราะว่ากว่าบอสจะเข้ามาบอกว่าให้ไปกินข้าว เค้าจะช่วยดูแลคนไข้ให้ก็เกือบบ่ายสองโมงทุกวัน ตัวเองกินข้าวเช้าตอนประมาณเจ็ดโมงเช้าได้...กระเพาะมันก็คงจะทรมานเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา..เรามาเป็นตอนที่ไอ้นั่นลาออกนี่นา....แถมยังเครียดเรื่องคนไข้อีก มีปัญหากับผู้ช่วยพยาบาลอีกคนนึงอีก... มีแต่เรื่องนะ

นั่นสินะ...เราทำงานอยู่ในคลินิคกระเพาะลำไส้ก็น่าจะรู้ดีว่า คนที่เป็นโรคกระเพาะนั้นมาส่วนใหญ่มาจากความเครียดทั้งนั้น วินิจฉัยโรคตัวเองว่า น่าจะเครียดจนกระทั่งร่างกายเริ่มประท้วง....

มันเหมือนมันปลุกให้ตัวจูนตื่นขึ้นมาดูตัวเองว่า หยุดทรมานตัวเองได้แล้ว หยุดเครียดได้แล้ว เครียดแล้วมันได้อะไรขึ้นมา? เครียดแล้วไอ้คนที่ลาออกมันจะกลับมาทำงานให้เราเหมือนเดิมไหม? สังเกตตัวเองว่าเป็นคนที่ต้องเพอร์เฟคหมดทุกอย่าง ถ้าอะไรไม่เป็นไปตามที่คาดไว้จูนจะหงุดหงิดมาก ถ้าคนไข้มีจูนจะเครียดมาก ทั้งๆที่เค้าก็ไม่ใช่ว่าจะตายหรืออะไรอย่างนั้น ถ้าหมอทำเคสช้าก็โมโห ทำไมชักช้าอะไรอย่างนี้ เมื่อไหร่จะได้กลับบ้านกันเนี่ย ถ้าผู้ช่วยพยาบาลทำงานช้าก็หงุดหงิด ทำไม่ได้ดั่งใจ ถ้าคนไข้พูดมาก ถามมาก ก็รำคาญ ถามอะไรกันนักกันหนา หงุดหงิดไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง

เลยต้องเริ่มกินยาแก้โรคกระเพาะ แต่ที่สำคัญจูนเริ่มฝึกคุมอารมณ์ตัวเอง เริ่มหันกลับมาอ่านหนังสือธรรมะใหม่หลังจากที่วางมือไปนานตั้งแต่เริ่มงาน อืมนะ เริ่มเห็นสัจธรรมของชีวิต ท่านว. วชิรเมธีกล่าวเอาไว้สั้นๆ

"ไม่แน่ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์"

จริง... ขนาดร่างกายของเรา ที่คิดว่ามันน่าจะเชื่อฟังเรา เราดูแลมันอย่างดี มันยังไม่ฟังเราเลย แสบท้องเป็นบ้า มาประท้วงซะ แล้วมันจะมีอะไรที่จะเป็นไปอย่างที่เราต้องการไหม??? ท่านจะย้ำบ่อยๆว่าเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่จะเปลียนได้ก็คือตัวเราเอง

ก็เลยเริ่มสงบสติอารมณ์ หันมาดูอารมณ์ตัวเอง เลิกทำตัวฉุนเฉียว พร้อมกับกินยาแก้โรคกระเพาะ แล้วก็เริ่มออกกำลังกายใหม่หลังจากที่ผลัดวันประกันพรุ่งวันแล้ววันเล่า

ผ่านมาได้อีกหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้อาการแสบกระเพาะหายไปแล้วค่ะ ดีใจมากๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่จะต้องทำงานโดยที่ไม่มีผู้ช่วยพยาบาล(เพราะอีกคนลางาน) แต่ก็ไม่เครียด แม้จะมีปัญหาที่เข้ามาเป็นระลอกๆ ก็ไม่หวั่น ความทุกข์เป็นของสาธารณะ อย่าเอามาใส่ตัว ท่านว. ว่าไว้ เก็บคำพูดของท่านไว้ตลอดเวลา ทำงานอย่างมีสติวันนี้บอสยังบอกว่า เออ..แปลกนะ ยูยังยิ้มได้อยู่ทั้งๆที่งานยุ่งสุดๆ เห็นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วยูหัวเสียน่าดู เราก็ยิ้มรับ

หงุดหงิดไปก็ไม่ใช่ว่างานจะเสร็จเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นทำงานไปยิ้มไปดีกว่า เสร็จเหมือนๆกันกับทำไปหงุดหงิดไป

รู้สึกขอบคุณร่างกายที่ป่วยขึ้นมา ทำให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ กลับมาเริ่มต้นใหม่ แหม...เพิ่งจะได้ทำงานไม่ถึงสามเดือนโรคกระเพาะถามหาแล้ว เป็นพยาบาลนี่ยากกว่าที่คิดไว้เยอะเหมือนกัน แต่ก็จะสู้ต่อไปค่ะ ถอยไม่ได้แล้ว

คงจะอีกนานเหมือนกันว่าจะอัพเดทอีกรอบ แต่จะพยายามอัพให้เร็วที่สุดค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานทุกๆคนค่ะ






Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 8:20:05 น.
Counter : 2109 Pageviews.

4 comments
  
"ไม่แน่ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์" ขอหยิบไปท่องด้วยคนค่ะ อย่าเครียดดีที่สุดแล้วค่ะ
โดย: settembre วันที่: 24 มีนาคม 2555 เวลา:17:10:01 น.
  
แวะมาเยี่ยมยามเย็น...สวัสดีครับ
โดย: **mp5** วันที่: 24 มีนาคม 2555 เวลา:18:40:49 น.
  
ดูแลตัวเองดี ๆ วางบ้างก็ได้ ใช้ชีวิตสบาย ๆ ผ่อนคลายบ้าง นะ



พาพระจันทร์ มาฝาก ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ


. . . ถ้า " อ๊อกซิเจน " ทำชีวิตนี้ดำรงอยู่ได้ . . .
. . . " ความรัก " . . . ก็ทำให้ . . .
. . . การมีชีวิตนั้นมีความหมายมากยิ่งขึ้น . . .


..HappY BrightDaY..

โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 29 มีนาคม 2555 เวลา:20:48:04 น.
  
เคยเป็นเหมือนกันค่ะ ทรมานมาก เกือบตายเลย ทั้งอาเจียน ทานอะไรไม่ได้ ต้องนอนโรงบาลให้น้ำเกลือ

แถมอยู่ต่างแดนอีก ตอนนั้นโหดร้ายมาก ขอให้หายเร็ว ๆๆนะค่ะ
โดย: หนูริวจัง วันที่: 5 เมษายน 2555 เวลา:21:03:14 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Horohoro
Location :
Boston  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



-จบป.ตรีสาขาพยาบาลมาสดๆ ซิงๆ จากมหาวิทยาลัยในรัฐMassachusetts
-หลังจากหางานมาเกือบสี่เดือน ก็ได้งานทำอยู่ในคลีนิคเล็กๆแห่งหนึ่งที่รัฐ Rhode Island
-ตอนนี้กำลังหาความหมายของการชีวิต
-รักการเขียนและวาดรูปมาก จึงอยากจะถ่ายทอดแบ่งปันประสบการณ์ชึวิตให้กับเพื่อนๆทุกคน