" จั ด ชี วิ ต ~ ใ ห้ เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ "
Group Blog
 
 
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
17 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 
ตอนที่ 1 ศักยภาพ ( ความสามารถที่เป็นไปได้ของเด็กเล็ก )




ได้ อ่านหนังสือ เรื่อง “ รอให้ถึงอนุบาล ก็สายเสียแล้ว” ของ คุณ มาซารุ อิบุเกะ ผมรู้สึก ว่า มันมีประโยชน์ มาก ๆ สำหรับคุณพ่อ - คุณแม่ รวมทั้ง คนในครอบครัว ที่มีเด็กเล็ก ๆ ที่ เตรียมพร้อม เติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต พ่อแม่เวลานี้ไม่เข้าใจกระบวนการเติบโตและการพัฒนาการของเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องที่วัดได้ เด็กเล็กนั้นอยู่ในจุดเริ่มต้นที่วิกฤตของการสร้างพื้นฐานคุณภาพชีวิต แต่ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาเรามองและให้ความสนใจเฉพาะวัยรุ่น ซึ่งสายเสียแล้ว เอาเป็นว่าผมถือ โอกาสเอา มาเขียนเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนที่ไม่ได้อ่าน แล้วกันนะครับ ..... (ก็ไม่เล็กน้อย หรอกนะ กะ ว่า ย่อ กันมาทั้งเล่ม สำหรับผู้ไม่มีเวลา อิ อิ ๆ ๆ)



อัจฉริยะบุคคลไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์หรือสายเลือดแต่เกิดจากการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม




1.รอให้เข้าโรงเรียนอนุบาลก่อนก็สายเสียแล้ว

ก่อนอื่น คุณลองนึกสมัยที่เราเป็นนักเรียนสักหน่อย ในชั้นเรียนคุณคงมีคนที่หัวดี มากๆ และมีคนที่หัวทื่อ ไม่เอาไหนใช่ไหมครับ คนหัวดี ทั้ง ๆที่ไม่ได้ คร่ำเคร่งอะไร มาก แต่ได้คะแนนดี เยี่ยมทุกที ส่วนคนหัวทื่อ ต่อให้ขยันดูหนังสืออย่างไร ผลลัพธ์ก็คงเหมือนเดิม ฝ่ายครูมักปลอบใจว่า “คนเราไม่ได้เกิดมาโง่หรือฉลาด มันขึ้นอยู่กับความพยายามนะนักเรียน” แต่ความรู้สึก พวกเรามักคิดว่า ฉลาดหรือโง่ คงถูกกำหนดมาตั้งแต่กำเนิดแล้ว ที่จริงมันเป็นอย่างไรนะ

จริง ๆ แล้วก็ถูกทั้งคู่ และก็ผิดทั้งคู่ นั่นแหละ


จากบทสรุป กล่าวว่า ความสามารถและอุปนิสัยของคนเราไม่ได้เป็นของติดตัวมาแต่กำเนิด
แต่จะถูกกำหนดภายในระยะเวลาหนึ่ง !!



การศึกษาทางชีววิทยา เกี่ยวกับสมอง และกรรมพันธุ์ก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งพบว่า ความสามารถและอุปนิสัยของคนเรานั้น ส่วนใหญ่ก่อรูปเรียบร้อยระหว่างอายุ 0-3 ขวบ กล่าวคือ คนเรานั้นตอนเกิดมาเหมือนกันหมด ไม่มีคนที่เกิดมาเป็น “อัจฉริยะบุคคล” หรือเกิดมาเป็น “ไอ้งั่ง” อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่า เราจะสามารถทำให้คนเป็นอัจฉริยะเมื่อไรก็ได้ เช่น โคเป็นผู้ใหญ่ก็ทำได้ เพราะความสามารถและอุปนิสัยส่วนใหญ่ของคนเราจะถูกกำหนดในช่วงอายุ 0-3 ขวบ รอให้เข้าโรงเรียนอนุบาลก็สายเสียแล้ว



2.ไม่ว่าเด็กคนไหนก็เลี้ยงให้ดีได้


มี พ่อคนอยู่คนหนึ่ง ที่มีปัญหาในเรื่องลูก กล่าวไว้ว่า มีลูกปัญญาอ่อนอยู่คนหนึ่ง ในช่วงที่ลูกยังอยู่ในวัยเด็กเล็ก ผมไม่รู้เลยว่าเด็กที่มีชะตากรรมแบบนี้ ก็มีโอกาสพัฒนาความสามารถขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง ถ้าหากเริ่มทำตั้งแต่แรกเกิด สิ่งที่ทำให้ผมตาสว่างในเรื่องนี้คือ พูดของอาจารย์ซูซูกิ ซินอิชิ ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการสอนไวโอลินแก่เด็กเล็ก ท่านกล่าวว่า “ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ดีได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยง” เมื่อผมได้ยินเรื่องนี้ และได้เห็นผลงานที่น่าทึ่งสมคำพูดของท่าน ทำให้ผมรู้สึกเสียดายที่สุด ที่ผมในฐานะผู้เป็นพ่อ ไม่ได้ทำอะไรให้แก่ลูกของผมเลย




3.การศึกษาในวัยเด็กเล็กไม่ใช่การผลิตอัจฉริยะบุคคล


จุดประสงค์ประการเดียวของการศึกษาในวัยเด็กเล็กคือ “เพื่อสร้างเด็กให้เป็นคนที่มีไหวพริบดี ร่างกายแข็งแรง ร่าเริงและอ่อนโยน”
เรื่องที่เด็กกลายเป็นเด็กฉลาด เด็กโง่ เด็กที่มีนิสัยอ่อนโยนหรือดื้อรั้น หยาบกระด้างนั้น ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ ไม่ว่าเด็กคนไหน ถ้าหากได้รับสิ่งที่เขาควรจะได้รับในเวลาที่เหมาะสม เขาจะกลายเป็นคนที่มีปัญญาและอุปนิสัยดีเลิศในอนาคต

การให้เด็กฟังดนตรีดี ๆ ให้เด็กเรียนไวโอลิน ไม่ใช่เพื่อสร้างอัจฉริยบุคคลทางดนตรี การสอนภาษาอังกฤษ สอนให้อ่านหนังสือ ไม่ใช่เพื่อสร้างอัจฉริยบุคคลทางภาษา รวมทั้งไม่ใช่การเตรียมเด็กเพื่อเข้าโรงเรียนอนุบาลดี ๆ หรือโรงเรียนประถมดี ๆ แต่อย่างใด การเรียนไวโอลิน ภาษาอังกฤษ และการอ่านตัวอักษร เป็นเพียง รูปแบบอย่างหนึ่งในการค้นหาความสมารถอันมหาศาลของเด็กเท่านั้น




4.เด็กแรกเกิดนั้นอ่อนแอแต่มี “ศักยภาพ”มหาศาล



ระยะแรกเกิด คนเรามีความสามารถแค่ร้องไห้กับดูดนมเท่านั้น ความสามารถของเด็กแรกเกิดนั้นขึ้นอยู่กับการศึกษาหลังจากที่ลืมตาดูโลกแล้ว ถ้าอยากให้เด็กแรกเกิดมีความสามารถอะไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเขียนอะไรลงไปในกระดาษขาวนั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากในระยะแรกเกิดนี้เราปล่อยปละละเลยไม่สนใจเด็กก็อาจจะหยุดอยู่ในสภาพสมองว่างเปล่าเช่นนั้น




5.เส้นสายของเซลล์สมองก่อรูปภายใน 3 ขวบ


เซลล์สมองคนเรา กล่าวกันว่ามีถึง 14,000 ล้านเซลล์ แต่สมองของเด็กแรกเกิดอยู่ในสภาพกระดาษขาว และเซลล์สมองส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทำงาน การทำงานของเซลล์สมองเหล่านี้จะถูกกำหนดภายในอายุ 3 ขวบ

ถ้าเราดูภาพของสมองที่ขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นว่าหลังจากที่เด็กเกิดมาแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปเด็กเรียนรู้มากขึ้นจะมีสายโยงเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างเซลล์มากขึ้น

เส้นสายสัมพันธ์ของเซลล์สมอง จะเพิ่มตัวอย่างรวดเร็วมากระหว่างอายุ 0-3 ขวบ จนกระทั่ง 70 – 80% ของสายโยงทั้งหมดจะก่อรูปภายในอายุ 3 ขวบ ความเจริญเติบโตของเส้นสายในสมองนี้ ทำให้น้ำหนักสมองเพิ่มขึ้นและน้ำหนักสมองนี้จะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว ภายในอายุ 6 เดือน และเมื่อถึงอายุ 3 ขวบก็หนักถึง 80 % ของสมองผู้ใหญ่ เส้นสายสมองส่วนที่ก่อรูปหลังจากอายุ 4 ขวบ คือ สมองส่วนหน้า ก่อนอายุ 3 ขวบ คือ สมองส่วนหลัง ข้อแตกต่างระหว่างก่อน และหลังอายุ 3 ขวบคือ ถ้าจะเปรียบเทียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว

ก่อน 3 ขวบ จำฝังแน่น เปรียบได้กับ ส่วน “ฮาร์ดแวร์” ของเครื่อง คือเปรียบเสมือน “ตัวเครื่อง”

ส่วนหลัง 3 ขวบ ลืมง่าย เปรียบได้กับ “ซอร์ฟแวร์” ของเครื่อง คือส่วนที่เป็น “การใช้เครื่อง” นั่นเอง

ระบบย่อยข่าวสารขั้นพื้นฐานซึ่งสำคัญมากนี้จะถูกสร้างภายในอายุ 3 ขวบ ส่วนในเรื่องความนึกคิด ความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจ อารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องระดับสูง จะถูกสร้างหลังจากอายุ 3 ขวบ




6.การศึกษาในปัจจุบัน “เข้มงวด” และ “ปล่อยอิสระ” อย่างผิดเวลา


หลายคนเข้าใจว่า การปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ ลงในหัวน้อย ๆ ของเด็ก จะทำให้เด็กกลายเป็นคนจุกจิกจู้จี้ เด็กในวัยทารกและเด็กเล็กควรปล่อยให้เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ บางคนถึงขนาดปล่อยให้เด็กทำอะไรตามอำเภอใจ โดยถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ
มีคุณแม่จำนวนมากที่เชื่อทฤษฎีนี้ นิยมชมชื่นกับ “ลัทธิอิสรเสรี”พอใจที่ตนเองเป็นคุณแม่หัวก้าวหน้า ใจดีและเข้าใจลูก

แต่ทว่า


พอลูกคุณเข้าโรงเรียนอนุบาล หรือ ประถม คุณแม่ก็เปลี่ยนลัทธิทันที เมื่อก่อนเคยปล่อยให้ลูกทำอะไรตามใจ คิดว่าลูกเป็นเด็ก ลูกเข้าโรงเรียน คุณแม่เริ่มจะอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดโดยอ้างว่า “หนูโตแล้ว เข้าโรงเรียนแล้ว”
คุณแม่ที่แสนใจดีสารพัด กลายเป็น คุณแม่ ยอดดุ

อันที่จริงความคิดนี้ ขัดกับลักษณะการเจริญ เติบโตของสมองมนุษย์
จริง ๆแล้ว การเลี้ยงเด็กปฐมวัยนี่แหละ ที่คุณแม่ควรเป็นคุณแม่แก่วิชา มุ่งมั่นในการอบรมศึกษาลูก และคุณแม่จะหวังผลนั้นได้ในอนาคตด้วย
คุณแม่ที่เลี้ยงลูกอย่าง “เข้มงวด” และ “ปล่อยอิสระ” อย่างผิดเวลา คือในวัยที่ควรจะเข้มงวดกลับปล่อย แต่ในวัยที่ควรปล่อยกลับเข้มงวด นี่แหละที่สร้างปัญหา จนใครๆ จะตั้งฉายาว่า “คุณแม่จอมจุ้น”

ระยะปฐมวัย (วัยเด็กอ่อนและวัยก่อนอนุบาล) ควรเป็นวัยที่คุณแม่ต้องฝึกลูกอย่างเข้มงวดและอ่อนโยน และ หลังจากเด็กอายุ เกิน 3 ขวบขึ้นไป เด็กเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เราต้องเริ่มเคารพความรู้สึกนึกคิดของเด็กเช่นกั




7.ความยาก-ความง่ายในความคิดของผู้ใหญ่ใช้กับเด็กไม่ได้


ผู้ใหญ่ ชอบพูดกันว่า “หนังสือเล่มนี้ยากเกินไปสำหรับเด็ก” อันที่จริงเด็กทารกยังไม่มี อคติว่า ไอ้นี่ยาก ไอ้นี่ไม่ชอบ ดังนั้น ไม่ว่า ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น หรือ จะเป็นเพลงคลาสสิก เพลงเด็ก เพลงพื้นบ้าน ทุกอย่างเด็กเพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรก จึงน่าจะเหมือนกัน เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่แล้ว เด็กอ่อนนั้นเถรตรงมาก สิ่งไหนที่เด็กรู้สึกชอบ เด็กจะสนใจจนกระทั่งลืมตัวทีเดียว ...
เรา ผู้ใหญ่ต้องคอยสังเกต และ ให้การสนับสนุน ให้ได้มากที่สุด เท่านั้นเอง..





8.เด็กจำอักษรยาก ๆ ได้ง่ายกว่าอักษร ง่าย ๆ


หลาน ผม อายุ 2 ขวบ มาเที่ยวที่บ้าน เอามือชี้ที่ป้ายโฆษณา แล้วพูด กับผมว่า “ไอ้นั่น ฮิตาชิ ไอ้นี่โตชิบา” ผมนึกดีใจว่าหลานเก่ง อ่าน หนังสือออกแล้ว หันไปถามแม่เด็กว่า “สอนลูกอ่านหนังสือแต่เมื่อไร นะ” ความจริงหลานผมไม่ได้อ่านหนังสือออกหรอกครับ แต่ แกจำเครื่องหมายการค้าของบริษัทพวกนี้ได้ ก็เลยถูกล้อว่าเป็นคนเห่อหลาน ไปเลย

เรื่องเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า เด็กเล็กๆมีความสามารถแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ได้เกินกว่าที่พวกเราผู้ใหญ่คิดกันเสียอีก เด็กมีความสามารถจดจำรูปแบบของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ต้องอาศัยเหตุผล เด็กทารกส่วนใหญ่จะร้องไห้เมื่อถูกคนอื่นอุ้ม แต่พอแม่อุ้ม หรือ คุณตาอุ้มกลับหยุดร้องและยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กคงเข้าใจในความรัก และจดจำรูปแบบของหน้าตา รวมทั้งวิธีการอุ้มของแม่ และ คุณตาเอาไว้ได้ด้วย




9.สำหรับเด็กเล็ก พีชคณิต ง่ายกว่า เลขคณิต



พื้นฐาน คณิตศาสตร์สมัยใหม่ คือ เซต ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใหญ่ ที่เริ่มเรียนเลขคณิต ไปจนถึง พีชคณิต แต่กับเด็กเล็ก สามารถเข้าใจ เหตุผลของทฤษฎี เซต ได้อย่างง่ายดาย นักคณิตศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า เรา สอนเด็กเรื่อง “เซต” ได้เร็วแค่ไหนก็ได้ ถ้า พูดง่าย ๆ เซต คือ กลุ่มของสิ่งของ เด็กหยิบไม้บล็อก ของเล่นออกจากกล่องที่ละชิ้น และแยกเป็น ทรง สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม เป็นกอง นั่น แหละ เรียก “สับเซต” ซึ่งเป็น พื้นฐาน ของทฤษฎีเซต ถ้าเรา เข้าใจว่ามันมีเหตุ มีผล ของมันอย่างนี้ ก็ไม่ยากเลยที่เด็กจะสามารถเข้าใจได้




10.เด็กอายุ 3 เดือน ก็ชอบเพลงคลาสสิกของบาค


ผลสำรวจ ของเด็ก อายุ 2-3 ปี ว่า ขอบเพลงแบบไหน ผลออกมาเป็นที่น่าแปลกใจมาก ว่า เพลงที่เด็กให้ความสนใจมากที่สุดคือ เพลงซิมโฟนี่หมายเลข 5 ของบีโธเฟน รองลงมาก็คือ เพลงยอดนิยมที่วิทยุโทรทัศน์ เปิดกันเช้าจรดเย็น แต่เพลงเด็ก ซึ่งแต่งมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เด็กกลับชอบน้อยที่สุด

เราไม่ได้พูดว่าเพลงคลาสสิกนั้นดีเลิศไปทั้งหมด แต่ ความสามารถของเด็กซึ่งเข้าใจเพลงซิมโฟนี่อันสลับซับซ้อนได้ดีนี้น่าทึ่งยิ่งนัก เท่านั้นเอง




11.เด็กอ่อน อายุ 6 เดือน ก็ว่ายน้ำเป็น



จากการทดลองพบว่า ถ้าเอาเด็กวัย 3 เดือนมาฝึกในสระน้ำ ประมาณ 9 เดือน เด็กจะหงายตัวลอยน้ำและรู้จักวิธีหายใจด้วย

การที่เด็กอายุไม่ถึงขวบว่ายน้ำเป็นเช่นนี้ แสดงถึงศักยภาพที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของเด็กเล็ก

แต่การทดสอบ ต่าง ๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสอนว่ายน้ำ หรือ ไวโอลิน การว่ายน้ำทำให้เด็กนอนหลับดี เจริญอาหาร ประสาทตอบสนอง (Reflex) ว่องไว กล้ามเนื้อพัฒนาดี และเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ศักยภาพเด็กเล็กเบ่งบานออกมา





12.สมองเด็กวัยก่อน 3 ขวบนั้น
เราจะยัดเยียดอะไรให้มากแค่ไหนก็รับได้



ข่าวพาดหัว หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น “สองพี่น้องผู้เก่งกาจปราดเปรื่องถึง 5 ภาษา อังกฤษ สเปน อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส กับคุณพ่อบ้าดีเดือด
ยอดคุณพ่อคือ คุณ มาสุโอะ นางาตะ ซึ่งยอมลาออกจากการเป็นครู มาอยู่บ้านสอนลูกอย่างเต็มที่ ลูกชายคนโต ตอนนั้นอายุ 2 ขวบครึ่ง และ ลูกสาวอีกคน อายุ เพียง 3 เดือน ตอนนั้นใคร ก็ว่า คุณนางาตะว่า ยัดเยียดอะไรให้เด็ก มากเกินไป

เราไม่พูดถึงการที่พ่อ ลาออกมาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน และการให้การศึกษาลูกเอง นั้นถูก หรือผิด นะครับ แต่วิธีการสอนของคุณ นางาตะ ช่วยแสดงให้พวกเราตระหนักถึงศักยภาพของเด็กเล็ก
คุณ นางาตะ เล่า ว่า “ ภาษาอังกฤษ อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส ผมเริ่มสอนเกือบพร้อมกันหมด พอฟังรายการสอนภาษาทางวิทยุนะครับ เวลาสอนภาษาฝรั่งเศส บางครั้งก็อธิบายด้วยภาษาอังกฤษ ถ้าอย่างนั้นเราก็เรียนพร้อมกันซะทีเดียวเลย จะได้รู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองภาษา ... ผมคิดอย่างนั้น ผมถูกถามบ่อย ๆ ว่า สอนทีเดียว 5 ภาษา เด็กไม่งง แย่เลยหรือ แต่แกก็แยกได้ถูกต้องนี่ครับ การเรียนภาต่างประเทศ ผมอาศัยวิทยุ เป็นเครื่องมือ รายการภาษานี่เขาจัดได้ดีมี เมตตามากนะครับ การออกเสียงอะไร เขาพูดช้าชัดถ้อยชัดคำ พวกเด็ก ๆ ก็อ้าปาก หัดออกเสียงตามเลย รู้สึกว่า เด็กอายุ ก่อน3 ขวบจะมีพลังสมองในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ มหาศาล กว่าสมองของผู้ใหญ่อย่างเราเสียอีกนะครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าเรายัดเยียดให้มากเกินไป ควรกลัวว่าเราให้เขา น้อยเกินไปหรือเปล่า ด้วยซ้ำ”

สมองของเด็กเล็ก สามารถ ดูดซับทุกสิ่งได้เหมือน ฟองน้ำและเมื่ออิ่มตัวก็จะหยุดดูดเข้าไปเอง สิ่งที่พวกเราควรเป็นห่วงในตอนนี้ไม่ใช่เรื่อง “ให้มากเกินไป” แต่เป็นเรื่อง “ให้น้อยเกินไป” ต่างหาก



13.เด็กเล็กจดจำทุกสิ่งที่ตนสนใจ


เด็กอ่อนเพียงแต่จดจำสิ่งที่ถูกป้อนให้เหมือน robot เท่านั้นเด็กไม่สามารถเลือกสรรหรือทำความเข้าใจกับกับสิ่งเหล่านั้นได้ พูดง่าย ๆ คือสิ่งที่แกได้รับจะฝังเป็นเส้นสายอยู่ในหัวทั้งอย่างนั้น

เด็กเล็ก นั้นถ้าสนใจอะไร แกจะดดเข้าไปอย่างดื่มด่ำและจดจำเอาไว้ และในระหว่างขบวนการนี้แหละ ที่สิ่งสำคัญต่าง ๆ เช่น ความกระตือรือร้น ความคิดสร้างสรรค์ ความมุมานะพยายามจะเคิบโตขึ้นมา และสิ่งเหล่านี้มีบทบาทสำคัญมากต่อการทำงานของสมองและการสร้างอุปนิสัย

ไม่ว่าใครเมื่อมีลูกมักอ่านหนังสือนิทานหรือเล่านิทานให้ลูกฟัง ทั้ง ๆที่ไม่รู้ว่าลูกรู้เรื่องหรือเปล่า เมื่ออ่านให้ฟังหลายครั้งหลายหนเข้า เด็กก็จำนิทานได้ทั้งเรื่อง คุณพ่อคุณแม่เผลออ่านผิดเมื่อไหร่เป็นโดนลูกท้วงทันที เด็กเล็กจดจำนิทานทั้งเรื่องได้อย่างถูกต้อง โดยที่แกไม่เข้าใจเนื้อเรื่องเลย
ต่อมาเด็กเริ่มติดใจในนิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และเกิดความอยากอ่านเองขึ้นมาบ้าง เด็กยังอ่านอักษรไม่ออกหรอกครับ แต่แกดุรูปภาพไปพลางเปรียบเทียบกับความจำของแกไปพลาง แล้วก็ “อ่าน” หนังสือเล่มนั้นได้อย่างคล่องแคล่วทีเดียว ในระยะนี้แหละที่เด็กสนใจถามว่า ตัวนี้อ่านว่าอะไร ๆ ที่แกถามย้ำบ่อย ๆ อย่างนี้แสดงว่าแกสนใจมาก
คุณแม่ของเพื่อนผมคนหนึ่งฉวยโอกาสนี้สอนให้ลูกจำตัวอักษรจนยากๆ ได้อย่างสบาย ดังนั้น เด็กอายุ 3 ขวบ สามารถจดจำอะไรต่ออะไรได้อย่างสบายในเรื่องที่แกสนใจ




14.มีหลายสิ่งที่จำเป็น ต้องเรียนรู้ในวัยเด็กเล็ก
มิฉะนั้นจะเรียนรู้ไม่ได้ดีไปตลอดชีวิต



เด็กชายอายุ 1 ขวบ 2 เดือน คนหนึ่งอาศัยอยู่ข้างบ้านผม แกออกสียงภาษาอังกฤษได้ชัดแจ๋วทีเดียว แตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างเรา ผมคิดว่าความแตกต่างนี้ เกิดจากการที่เราเรียนภาษาอังกฤษ ตอน ประถม แต่เด็กคนนี้ฟังเสียงภาษาอังกฤษจากแผ่นเสียงตั้งแต่อายุยังไม่ถึงขวบ และในขณะที่แกกำลังจะเริ่มพูดภาษาตัวเอง แกก็เริมเรียนภาษาอังกฤษกับชาวอเมริกันแล้ว

เส้นสายของสมองของเด็กอายุยังไม่ถึง 3 ขวบนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการวางสาย เพราะฉะนั้น ถ้าวางเส้นสายภาษาญี่ปุ่น (ภาษาไทย) คู่ไปกับเส้นสายภาษาอื่น ๆ ก็ทำได้ง่าย ดังนั้นเด็กอายุก่อน 3 ขวบจึงสามารถพูดภาษาอื่น ๆ ไม่ว่าภาษาอะไรได้เหมือนกับภาษาแม่ของตนโดยไม่ยุ่งยาก ลำบากอะไรเลย

นอกจากภาษาต่างประเทศแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ในระยะปฐมวัย มิฉะนั้นจะสายเกินไป เช่น การฝึกประสาทหูให้รู้จักแยกแยะเสียง การฝึกประสาทกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหว ซึ่งกล่าวกันว่าสิ่งเหล่านี้จะถูกกำหนดภายในอายุ 3 เดือน




15.เด็กหูพิการ ถ้าได้รับการสอนในระยะปฐมวัยอาจได้ยินเสียง


“อัตโตะจัง” เป็นเด็กชายอายุ 6 ขวบ ตอนคลอดออกมาแกเป็นเด็กที่แข็งแรงมาก ตอนที่คุณพ่อ คุณแม่ เริ่มสงสัยว่า “หูของลูกผิดปกติหรือเปล่านะ” อัตโตะ อายุ 1 ขวบเศษ แต่เด็กบางคน พูดได้ช้า คุณพ่อคุณแม่ไม่ห่วงคิดว่าเด็กพูดช้า พออายุ ได้ ขวบครึ่ง พ่อแม่เห็น อัตโตะไม่พูดอะไรซักคำ จึงพาไปตรวจที่ธรงพยาบาล ผลปรากฏว่า หูของแกเกือบไม่ได้ยินอะไรเลย ทั้งสอง กลุ้มใจมาก จึงพาไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านหู ของเด็กระยะปฐมวัย คุณ มัทซึซาวา ซึ่ง ท่านได้เริ่มสอน ฝึกฟังด้วยเครื่องฟัง ฝึกจำชื่อของตัวเอง จำความหมายของคำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้ แกคุยกับพ่อแม่ ได้โดยไม่ติดขัด

คุณมัทซึซาวา ได้เขียนไว้ว่า เด็กอายุ 1 สัปดาห์ เวลาได้ยินเสียงดังแกก็กระตุกแขนขาของแกแล้ว เมื่ออายุเกิน 1 เดือน หรือ 2 เดือน เด็กจะจำเสียงของแม่ได้ พออายุ 4 เดือน แกก็รู้จักชื่อของตัวเอง

เด็กทั่วไป จะจดจำภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ภายในอายุ 3 ขวบ เพราะฉะนั้นระยะนี้แหละที่เด็กหูพิการ สมควรได้รับการฝึกที่สุด






"ผูกพัน"








Create Date : 17 มีนาคม 2550
Last Update : 9 กรกฎาคม 2550 0:36:18 น. 1 comments
Counter : 551 Pageviews.

 
หนังสือเล่มนี้พ่อเราเป้นคนซื้อมาค่ะ (พ่อเราเป็นครู) เห็นด้วยง่ากว่าจะ 2 ขวบ เด็กก็มีนิสัยเป็นของตัวเองแล้ว ข้ออ้างที่ว่า ยังเล็กอยู่ ไม่รู้เรื่องหรอก คงใช้ไม่ได้แล้ว


โดย: Sowilo วันที่: 19 มีนาคม 2550 เวลา:14:29:33 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

" จัดชีวิต ~ ให้เป็นระเบียบ "
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชีวิต ทุกวันนี้ อะไร ๆ ก็ ดู ซับซ้อนขึ้น..

บ่อย ครั้งที่เรามักได้ยินคำพูดจาก

ใครคนใดคนหนึ่ง ว่า

" ชีวิต มันไม่ ง่ายเหมือน ดังแต่ก่อน "

หลายครั้ง เรา รู้ สึกเหน็ดเหนื่อย

ในใจ บอก เรากลับมา ว่า

" ปล่อยวาง ซะบ้าง ก็คงจะดี "



เวลา ขณะนี้
Google

ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
Friends' blogs
[Add " จัดชีวิต ~ ให้เป็นระเบียบ "'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.