1. มีศรัทธาเป็นกำลัง ต้องศรัทธาพระพุทธเจ้าให้ได้ก่อน ศรัทธาได้ก็ถึงพุทโธได้
2. เมื่อศรัทธาพระพุทธเจ้าก็ย่อมถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า คือเรื่องกรรม(ตามบทอุเบกขาที่ให้ไปข้างต้น)
3. เมื่อเข้าใจเรื่องกรรมแล้ว พระตถาคตนั้นย่อมสอนให้ทำเหตุแห่งกุศลให้ดี คือ ศีล ทาน ภาวนา
หลวงปู่บุญกู้ อนุวัฑฒโน ท่านสอนว่า
- ละโลภ.. ได้.. ทาน
- ละโทสะ, ละความเบียดเบียน.. ได้.. ศีล
- ละโมหะ, ละความหลง.. ได้.. ภาวนา
วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ หลวงปู่บุญกู้ อนุวัฑฒโน ท่านสอนให้ทำความเข้าใจในธรรม รู้คุณและโทษจากการรู้ธรรมและปฏิบัติกับไม่รู้ธรรมและไม่ปฏิบัติ อานิสงส์โดยย่อ ถอดจากเทปบางส่วน หากถอดจากเทปไม่ผิดเพี้ยนเนื่องจากเสียงเบามาก ได้ความดังนี้ว่า..
สุขทางโลกมันคือสุขทางกาย..มันไม่เที่ยงนานสุดก็แค่หมดลม
สุขทางธรรมมันคือสุขใจ..มันอิ่มเต็มรู้จักพอด้วยบุญกุศลบารมี มันติดตามไปในทุกภพทุกชาติ
ขึ้นชื่อบุญนีั้..เป็นชื่อความดี ให้ผลงอกเงยเจริญมีความสุขตอบแทนเราไม่เร็วก็ช้า ตอบแทนด้านจิตใจซะก่อน ทำทานก็อิ่มใจ ศีลก็เย็นใจ ภาวนาก็มีพลังใจ เจตนาดีก็สุขใจ
(
โดยส่วนตัวที่เราพอจะเข้าถึงเห็นว่า..คือ ความอิ่มเต็มใจ อิ่
ป็นสุขใจไม่ต้องถวิลตะเกียกตะดกาย
- ทำศีล ก็เย็นใจ
(โดยส่วนตัวที่เราพอจะเข้าถึงเห็นว่า..มีจิตเป็นปกติไม่เร่าร้อน)
- ทำภาวนา ก็มีพลังใจ
(โดยส่วนตัวที่เราพอจะเข้าถึงเห็นว่า..ก. ขั้นสมถะและปัญญาในสมถะ..
.. จิตมีอาการวูบเหมือนขนลุกวูบหนึ่ง เกิด ความสงบ สติตั้งมั่น จิตจดจ่อเป้นอารมณ์เดียว วูบรวมดิ่งลงไปที่เดียวมีอาการเหมือนกำลังจะหมดสติ จะวูบหลับ นิ่ง แช่ ว่าง ..อาการนี้จิตได้เข้าไปพักปิดสวิทซ์การทำงานของจิต.. เมื่อพักเสร็จจิตเริ่มมีพลังทำให้ไม่ฟุ้งซ่านน้อมเข้าเป็นทาสของอุปกิเลสอกุศลวิตก จิตเริ่มมีกำลังอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง
ไม่กระเพื่อสัดส่าย
ไม่น้อมไป
ไม่กระเพื่อสัดส่าย
ติดหลงอารมณ์นิวรณ์เครื่องหดหู่ฟุ้งซ่านติดหลงอกุศลให้เร่าร้อน,ร้อนรุ่มใจ..
.. จิตตั้งมั่นมีพลังไม่เจือปนกิเลส แม้จะหวนระลึกนึกคิดถึงอกุศลเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ไม่ว่าจะนึกรูปผู้หญิงแก้ผ้าขึ้นมาได้แต่มันก็ไม่สำคัญใจในราคะ จิตมันก็เอาลงในธรรมหมด มีความรู้เห็นของจริงอยู่ เห็นความเป็นไป เห็นเหตุปัจจัยทั้งปวงที่ทำให้เกิดมีขึ้นซึ่งสมมติของปลอม ของแท้เป็นอย่างไร เพ่งอารมณ์ที่เกิดขึ้นไปอยู่อย่างนั้น จะโยกไปดูทางนี้ที ทางโน้นทีก็ได้ คิดนั่นคิดนี่ได้ คิดว่าดูตรงนี้ก็ได้ มุมโน้นก็ได้ ความคิดแยกจากนิมิต บังคับนิมิตให้เป็นดั่งใจได้ มีความคิดที่ไม่สำคัญใจใน ราคะ โทสะ โมหะ มีความสำคัญใจไปตาม
กิเลสน้อยมาก
.. จนเมื่อ
จิตมีกำลังเพ่งอารมณ์นิมิตแช่อยู่ได้นานมากขึ้นไม่หลุดไปง่ายๆ จิตมันจะเกิดความตรึกหน่วงนึกจับเอานิมิตหรืออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งโดยเฉพาะของมันเอง
(คำว่า ความตรึกหน่วงนึก ไม่ได้หมายถึงเวทนาไรๆทั้งสิ้น แต่หมายเอา..อาการความรู้สึกที่จิตมันมีอาการที่ตรึกหน่วงนึกจดจ่อตั้งมั่นในอารมณ์หรือนิมิตเดียวจมแช่อยู่ได้
นาน อันที่เราสัมผัสได้บ่อย
นั้นว่า มันเป็นความตรึกหน่วงนึก)
จิตตั้งมั่นอยู่เพียงอารมณ์เดียว มีความนึกคิดสลับกับไม่มีความนึกคิดแต่นิ่งแช่ในอารมณ์อยู่บ้าง
เหมือนจิตกำลังวูบจมดิ่งไปในสิ่งที่เพ่งที่รับรู้อารมณ์อยู่นั้นแม้จะเป็นความว่างก็ตามแล้วสลับกับอาการมีความคิด
เมื่อจิตมันดิ่งไปกับอารมณ์มีกำลังจดจ่อตั้งมั่นมากขึ้น จิตที่เป็นตัวรู้มันก็จะเกิดขึ้นทำหน้าที่แลดูอยู่ด้วยอาการที่สักแต่ว่ารู้
แช่ว่างอยู่ แยกกับจิตที่มันตรึกหน่วงนึกไปกับอารมณ์หรือนิมิตที่มันเพ่งอยู่เบื้องหน้านั้น ผู้รู้ท่านเรียกอาการนี้ว่า "จิตมันสำเหนียกรู้อยู่ " บ้างมันเห็นจิตที่ตรึกหน่วงนึกมนสิการอารมณ์ต่างๆ ทำอาการต่างๆ
ตรึกหน่วงนึกมันจะอยู่เฉพาะกับนิมิตในเบื้องหน้าเท่านั้น บ้างเหมือนจิตมันตรึกนึกอารมณ์ มันตรึกนึกรู้ในอาการที่เกิดขึ้นให้มันรู้ในบื้องหน้าอยู่นั้นแต่แยกจากตัวที่ทำหน้าที่แลอาการที่ตรึกนึกนั้นิอยู่ก็ตามแต่มันจะเกิดว่างหรือมีนิมิตอะไรเกิดขึ้นเองโดยไม่กำหนดขึ้นด้วยสัญญา
เช่น ครั้งนึงเข้าสมาธิมาในอาการนี้ จิตที่หน่วงนึกอารมณ์อยู่นั้น
มันเพ่งในที่ว่าง แล้วจิตที่เป็นผู้แลอยู่เห็นเหมือนจิตที่หน่วงนึกอารมณ์มันลอยไปบนฟ้า ที่มีแต่ว่างอยู่เท่านั้น แล้วก็เหมือนมันเห็นพระจุฬมณีเจดีย์บนสวรรค์(จิตมันรู้ของมันเอง) เหมือนเห็นพระพุทธเจ้าที่เบื้องหน้า(จิตมันรู้ของมันเองทั้งสิ้น) แล้วมันก็ทำการกราบระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าด้วยตัวของมันเองทันที มันหน่วงนึกตรึกนึกของมันเองเหมือนไม่ได้ยินเสียงแต่เข้าใจและรู้สิ่งที่มันทำอยู่ทั้งหมดทั้งสิ้น จนเมื่อจิตที่เป็นตัวรู้มันเข้าใจว่าจิตที่มันหน่วงนึกตรึกถึงคุณพระพุทธเจ้าอยู่นั้นมันเป็นประโยคสั้นๆไม่ยาวแต่ถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารับรู้ได้ เมื่อตัวรู้มันเห็นดังนั้นก็เกิดความยินดีเจาะจงในคำเหล่านั้น อยากจะจำคำเหล่านั้นไว้ให้หมด แล้วมันก็ได้ยินเสียง แล้วมันก็ค่อยๆวูบหลุดออกมาจากจิตที่ตั้งมั่นนั้น แล้วอาการนั้นๆหายไป กลับมาอยู่จำเพาะสมาธิที่วิเวกว่างอยู่แล้วสักพักวูบนึงก็หลุดจากสมาธิเกิดความคิดความรู้สึกมากมาย"ทำให้เห็นธรรมชาติของจิต..ว่ามีความตรึกนึกที่สงบ ไม่มีโทษอันปราศจากอกุศลธรรมอันลามกจัญไรทั้งปวง แล้วปัญญาเห็นชอบอันเรียกว่าสัมมาทิฐิเกิดขึ้นสังขารโดยรอบด้วยความระลึกชอบนั้น..
นี่ทำให้เห็นเลยว่าธรรมชาติของจิตมันอยู่โดยปราศจากกิเลส มันไม่ได้ชอบกิเลสเลย แต่มันมีปกติที่อยู่ด้วยความปราศจากกิเลสทั้งสิ้น แต่เพราะจิตมันไม่มีพลังจึงต้องยอมน้อมไปหากิเลสตามอวิชชาอันอนุสัยกิเลสมันสร้างของปลอมทับถมมานับไม่ถ้วนไม่รู้กี่อสงไขย กี่แสนมหากัปป์ "
เมื่อจิตมีพลังที่จะจดจ่อแลดูมากขึ้นความตรึกนึกมันก็ดับ
แม้จะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ความคิดก็ไม่มี ไม่มีเรื่องราว นอกจากอารมณ์ความรู้สึกรอบๆที่จิตมันรู้ปัจจุบันอยู่ในเท่านั้น พร้อมอาการของจิตที่นิ่งจมแช่ไปกับอาการนั้นๆอยู่เท่านั้น
จิตตั้งมั่นแน่วแน่ปักหลักอยู่ไม่หวั่นไหวจนเกิดความรู้เห็นตามจริงความเป็นไปทั้งปวง
ก็จนเมื่อจิตมีกำลังคลายความเพ่ง
อารมณ์หน่วงนึกแนบแน่นซึ่งอารมณ์นั้นอยู่ได้ จิตก็จะมีกำลังขึ้นมาอีกก็จะได้รู้จักความอิ่มเต็มความอิ่มล้นจนพอของจิตจริงๆผู้รู้ท่านเรียกว่าความอิ่มใจเป็นสุขจากความที่มันไ
ม่ยึด ไม่เอาสิ่งไร ไม่มีความคิด ไม่ต้องน้อมไปหาอารมณ์ จิตได้พักเต็มที่
เปรียบเหมือนหลอดไปที่ปิดไว้ไม่ต้องเปิดใช้งาน มันก็ไม่ร้อนเพราะไม่ต้องเปิดรับกระแสไฟที่ร้อนไหม้เข้ามาอยู่ทุกๆขณะ ไม่ต้องคอยเปิดรับกระแสไฟที่ส่งมากระตุ้นให้ไส้หลอดมันร้อนเพื่อทำงานให้แสงสว่าง
หลอดไฟนั้นมันจะอยู่ปกติของมันโดยไม่ร้อนเป็นที่เย็นสบาย
จิตที่ได้พักก็สงบอิ่มเต็มไม่เร่าร้อนกับผัสสะที่มากระทบอยู่ทุกขณะตลอดเวลาฉันนั้น
ทำให้จิตมันมีกำลังด้วยตัวของมันเองไม่อ่อนแอซ้องเสพย์สิ่งไรๆ มันอิ่มเต็มใจ
ด้วยตัวของมันเอง มันสุขแบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต แม้ว่าเกิดมาเราจะมีความสุขสำเร็จในทางโลกสมหวังปารถนาในทางโลกทั้งปวงดั่งใจนึก ก็ไม่สุขเท่าสิ่งนี้ ความที่มันไม่หลงติด มันไม่ยึด ไม่หลง ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆ ไม่ต้องคอยรับผัสสะสมมติของปลอมไรๆมันเป็นสุขที่สุด ไม่เ่ราร้อน ไม่เศร้าหมอง จิตมันเป็นปกติที่สุขหาที่เปรียบไม่ได้ นี่แค่โลกียะยังขนาดนี้ถ้าเถึงโลกุตระจะสุขขนาดไหน
.. เมื่อจิตมันสุขเต็มที่แล้ว สุขมันก็ดับ จิตมันก็จะไม่ยึดสุขอีก แต่มันจะมีสติที่ตั้งมั่นบริสุทธิ์ทำให้เกิดปัญญาเห็นจริงอย่างหนึ่งว่า แม้แต่กายเรา แม้แต่โลกนี้ทั้งใบ แม้สิ่งไรๆมันคือความไม่มี มันไม่มีอะไรทั้งสิ้น เราหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน สิ่งที่จริงๆแล้วมันเกิดขึ้นเพียงวูบวาบแว๊บนึงก็ดับไป ไม่มีตัวตน นั่นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่นั้น ในนั้นไม่มีเรา เราไม่มีในนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ว่าสิ่งไรก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร มันไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้จะสว่างมองเห็นไปทั่วแต่มันว่างสุดลูกหูลูหตาไปหมดสิ้นไปไม่มีประมาณ จนหมดสิ้นนี้มันไม่มีอะไรจะให้ยึดเหนี่ยวตัวตนสิ่งใดได้เลย "สมดั่งพระพุทธเจ้าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแสดงธรรม มีพระอรหันต์และครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านถ่ายทอดมาว่า ให้ปฏิบัติเพื่อถึงความไม่มี ความดับ ความสูญสิ้น ความสละคืน เพื่อถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้".. เพราะจริงๆแล้วสิ่งทั้งปวงมันไม่มี โลกนี้มันไม่มีอะไรสิ่งใดเลยทั้งสิ้น..ดังนี้จะเกิดญาณทัสสะคือปัญญา จะตัดสังโยชน์ได้ไม่ได้ก็อยู่ที่เราทำเหตุสะสมมาดีแล้วหรือยัง ขั้นต่ำก็คลายอุปาทานทั้งปวงลงได้บางครั้งบางคราวแต่ไม่เสมอไป.., "ไม่ใช่ปฏิบัติให้มันมี ให้มันเห็นนั่นเห็นนี่" อันนั้นผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะต้องการเห็นธาตุ เห็นนามรูป เห็นแสง เห็นนั่นเห็นนี่ จะต้องเห็นต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็ถ้ามีธาตุมีนามรูปมีทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เป็นการเห็น คิดผิด พูดผิด ทำผิด เลี้ยงชีพผิด เพียรผิด ระลึกผิด ตั้งมั่นผิด ปัญญาผิด หลุดพ้นผิด
ข. ขั้นวิปัสสนาและปัญญาในวิปัสสนา.. ผลอันเกิดจากจิตมีกำลังการรู้เห็นตามจริงจากญาณทัสสนะในสมถะตามข้อ ก. ทำให้จิตมันรับรู้สภาพจริงเท่านั้น ขันธ์ก็แยกไม่รวมกันอยู่ใครอยู่มัน เห็นเป็นกองๆเท่านั้น เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความหน่ายด้วยปัญญาที่รู้เห็นว่าทั้งหมดสิ้นโลกนี้ล้วนเป็นสมมติของปลอม หลงสมมติของปลอม หลงสิ่งไม่จริงอยู่ จิตมีกำลังก็เกิดวิราคะ อันเป็น ปัญญา คือ ตัด ตัดสิ้นสมมติของปลอมที่อนุสัยกิเลสสร้างขึ้นมาหลอกให้จิตหลงเสพย์หลงยึดสิ้นไป
)
(
โดยส่วนตัวที่เราพอจะเข้าถึงเห็นว่า..คือ ความตั้งใจดีก็เกิดความคิดดี พูดดี ทำดี พระตถาคตตรัสสอนว่า..เจตนาเป็นกรรม เป็นมโนกรรม การกระทำไรๆสำเร็จที่ใจก่อน เจตนาดี กาย วาจา ใจ ก็ดีทั้งนั้น เมื่อทำกรรมดีมันก็คิดแต่สิ่งดี พูดแต่สิ่งดี ทำแต่สิ่งที่ ไม่มีโทษในภายหลัง จิตก็เป็นสุข ไม่เร่าร้อน ทุกข์ร้อน ระแวง หวาดกลัวในภายหลัง ศีล ทาน ภาวนา ล้วนเป็นการสะสมเหตุสร้างเจตนาที่ดีให้เกิดขึ้นแก่จิต เมื่อเจตนาในกุศลมีมากแล้ว ก็ไม่เกิดเจตนาในกุศล ละเจตนาซึ่งอกุศลได้
หลวงพ่อเสถียร ธิระญาโณ ท่านสอนว่า
- ทาน ละกิเลสอย่างหยาบ
- ศีล ละกิเลสอย่างกลาง
- สมาธิ ละกิเลสอย่างละเอียด
4. เกร็ดความรุ้เรื่องการภาวนา
- พระอาจารย์ณัฐพงษ์ ท่านมาจากวัดที่อเมริกาเพื่ออัญเชิญพระพุทธรูปไปวัดที่ตั้งใหม่ที่อเมริกาท่านได้สอนไว้ว่า "ให้รู้ลมหายใจเข้า-ออก จะภาวนาพุทโธด้วยเพื่อเป็นกำลังให้จิตตั้งมั่นไปกับลมหายใจก็ได้ ที่สำคัญ คือ "ทำไว้ในใจถึงความสงบกายใจ เหมือนเราสงบนิ่งเมื่อสมัยเรียนตอนเด็กๆ" แล้วรู้ลมหายใจเข้า-ออกไปเรื่อยๆ
- พระอาจารย์ณรงค์ ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ท่านกลับมาจากไปเผยแพร่ธรรมที่อเมริกาแล้วได้เทศนาสอนว่า หลวงปู่ฝั้นท่านได้สอนเอาไว้ว่า "ทำสมาธิให้เหมือนเราขับรถเดินทางไกล เปรียบรถเป็นลมหายใจ สิ่งต่างๆระหว่างทางก็แค่วิวทิวทัศน์ให้ชมพอเพลิดเพลินเล่นเวลาเดินทาง เวลาเดินทางไกลก็ขับไปตามทางเรื่อยๆ จะเจออะไรระหว่างทางก็แค่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็ขับผ่านไป(เวลาเดินทางไกลระหว่างทางเราจะรู้เห็นอะไร เราก็แค่ดู.. พอรู้ว่าคืออะไรก็ขับรถต่อไปไม่ไปจอดรถติดแช่กับมันให้เสียเวลาเดินทาง) เดี๋ยวมันก็ถึงปลายทางเอง(กล่าวคือทำแค่รู้เท่านั้น โดยไม่มีความติดใจข้องแวะเข้ายึดครองไปร่วมเสพย์มัน แต่ปล่อยให้มันเป็นไปของมัน เราทำแค่รู้ สักแค่ว่ารู้เท่านั้นพอ รู้..แล้วก็ผ่านเลยไป แล้วจิตมันจะเห็นจริงเอง)"
- หลวงน้า..พระครูมหานกแก้ว ท่านสอนดังนี้..หากเข้าสมาธิ ฌาณแล้ว ไม่ว่าเราจะไปเจอนิมิตไรๆ สภาวะไรๆ ให้ทำแค่รู้ ปรกติ วาง
..รู้ (รู้แค่ว่านี้มันคือนิมิต มันอาการหนึ่งๆของจิตตามธรรมชาติทั่วไป)
..ปรกติ (มันเป็นอาการของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นปรกติของจิตสังขาร ไม่มีอะไรเกินนี้)
..วาง (ไม่เอาใจเข้ายึดครองนิมิตที่รู้เห็น จนหลงยึดเอานิมิตมาเป็นตัวตนอุปาทานเป็นเครื่องอยู่ของจิต มันแค่ธรรมชาติหนึ่งๆของจิตตามปรกติเท่านั้น แล้วก็ปล่อยวาง ไม่ให้ความสำคัญกับมัน ไม่เอาใจเข้าเกาะเกี่ยวยึดลุ่มหลงนิมิตนั้น))