มกราคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
19 มกราคม 2551

บทนำ: องศา

ผมชื่อองศาหรือฟิล์ม แต่บางคนอาจเรียกผมว่า เข้มหรือมืด ถ้าสนิทมาก ๆ หน่อยก็เรียกไอ้เขียว หรือตามแต่จะสร้างสรรค์กันไปเพราะจุดนี้ผมไม่ถือ มีอาชีพเป็นช่างภาพอิสระ และเป็นเจ้าของร้าน 360◦ ที่เป็นเหมือนทุกอย่างในชีวิตเพราะผมฝันถึงมันมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เงินที่ใช้ในการเปิดนั้นได้มาจากการรับทำงานพิเศษตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมยันมหาวิทยาลัยซึ่งในตอนแรกผมตั้งใจจะเอาไปซื้อรถมอเตอร์ไซด์ แต่พอเริ่มโตขึ้นผมก็กลายเป็นพวกรักษ์โลกรักษ์สิ่งแวดล้อมชนิดเข้าเส้น (ปัจจุบันเลิกขวางโลกขนาดนั้นแล้ว) จากที่ตั้งใจว่าจะซื้อรถมอเตอร์ไซด์จึงกลายเป็นจักรยานเก่า ๆ หนึ่งคัน
ร้าน 360◦ เป็นสตูดิโอขนาดเล็กที่อาจไม่มีขนาดใหญ่สะดุดตา ไม่มีการโฆษราเปิดตัวอย่างอลังการ และไม่มีโปรโมชั่นลดแลกแจกกระหน่ำมากมายเหมือนร้านอื่น แต่ลูกค้าก็ยังไว้ใจให้เราบริการพวกเขาอย่างไม่ขาดสายเพราะได้อณิสงฆ์มาจากคุณทรงเดชผู้กำกับมือหนึ่งของเอเชียหรือเรียกได้อีกอย่างว่าท่านพ่อ
บางครั้งผมเองก็อึดอัดกับการมีพ่อเป็นคนดังเหมือนกัน เพราะมันทำให้ผู้คนรอบข้างคาดหวังว่าผมจะต้องยิ่งใหญ่เหมือนพ่อ ทั้งที่ผมแค่ต้องการทำในสิ่งที่ผมรัก คนกินง่ายนอนง่ายอย่างผมขอเพียงมีกินไปวัน ๆ เท่านี้ผมก็พอใจแล้ว แต่พ่อกลับไม่เป็นอย่างนั้น ชีวิตพ่อดูยุ่งยาก ซับซ้อน และวุ่นวายจนผมไม่แน่ใจว่าพ่อมีความสุขกับชีวิตแบบนี้แน่หรือเปล่า
ถึงอย่างไรผมก็หนีความจริงไม่พ้นว่าลูกค้าที่ก้าวมายัง 360◦ ส่วนหนึ่งนั้นต้องการงานคุณภาพจากลูกชายผู้กำกับทรงเดช ลูกค้าหลักของร้านคือกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย ครอบครัว คู่รัก หรือคู่แต่งงาน ผมถือเป็นงานที่มีความสุขนะ เพราะคนที่มา 360◦ ทุกคนรักกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะแบบเพื่อน ครอบครัว หรือคู่รัก ไม่อย่างนั้นพวกเขาเหล่านั้นคงไม่มาถ่ายรูปเก็บไว้แทนความทรงจำหรอก
นอกจากงานในร้านแล้วผมยังรับงานภายนอกตามใจตัวเองอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ่ายหมา แมว หรือมนุษย์ผมก็รับหมด ถ้าช่วงไหนนึกครึ้มก็จะขับรถออกต่างจังหวัดไปถ่ายภาพเล่น เผือมูลนิธิไหนขอความร่วมมือมาผมจะได้มีไว้ทำบุญกับคนอื่นบ้าง (เป็นลูกผู้กำกับดังก็อย่างนี้แหละ) ห้องแถวไม้แห่งนี้มีฐานที่มั่นอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่มากนักเนื่องผมรู้สึกผูกพันกับที่นั่น ขนาดลูกจ้างในร้านที่เกือบจะขี่คอผมอยู่รอมร่อยังเป็นรุ่นน้องในชมรมเลย
คนหนึ่งชื่อมดตะนอย เป็นประชาสัมพันธ์และช่างถ่ายภาพเคลื่อนไหวหรือที่เรียกว่าถ่ายวีดิโอ ไอ้นี่ได้มาเพราะมันมาตื้อของานทำ บอกไม่ถูกใจไม่ต้องจ่ายเงินเดือนก็ได้ ในเมื่อมันหน้าด้านขนาดนี้ผมจึงยอมรับมันร่วมงานด้วยแบบไม่ต้องคิดมาก ทำไปทำมาจนปัจจุบันมันแต่งงานมีลูกมีสามีกับเขาอย่างละหนึ่งคนแล้ว นอกจากนี้ผมยังมีช่างถ่ายภาพนิ่งแบบพาร์ทไทม์อยู่อีกหนึ่ง เธอชื่อกุญแจใจ รายนี้ผมเป็นคนชวนมันเอง กุญแจใจไม่ได้จบนิเทศศาสตร์มาโดยตรงแต่มันก็พอมีความรู้เกี่ยวกับกล้องมาบ้างเพราะจบมาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่สำคัญผมเป็นของสอนมันมากับมือ ดังนั้นกุญแจใจจึงเป็นคนเดียวที่ผมไว้ใจให้ทำงานที่ร้านนี้
ความจริงแล้วเป็นเพราะผมอยากช่วยมันด้วยแหละ กุญแจใจมันเหลือตัวคนเดียว เมื่อช่วงที่กุญแจใจเรียนอยู่ปีสองส่วนผมก็อยู่ปีสาม คุณน้าทั้งสองคนเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สึนามิในขณะที่มันเป็นคนเดียวที่รอดตาย ตอนแรกที่ได้คุยกันทางโทรศัพท์ผมนึกว่ามันจะยิ้มไม่ออกไปตลอดชีวิตแล้วเสียอีก หากในที่สุดมันกลับมาเรียนพร้อมกับรอยยิ้มหลังจากหายไปสองอาทิตย์เต็ม ๆ ตั้งแต่นั้นมันจึงต้องทำงานเลี้ยงดูและส่งเสียตัวเองเรียนมาตลอด ดังนั้นเมื่อผมกลับมาจากเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกาและมีโครงการนี้ขึ้นในหัว ผมจึงคิดถึงมันเป็นคนแรก
ความจริงแล้ว...ผมเคยแอบชอบกุญแจใจมานานแล้ว ชอบมาตั้งแต่เห็นมันครั้งแรก ผู้หญิงตัวเล็ก แต่ชอบทำอะไรเกินตัว มีนิสัยจริงใจ ร่าเริง มีกึ๋น มองโลกในแง่ดีและมีน้ำใจ รูปร่างหน้าตาถ้ามองเผิน ๆ อาจไม่สะดุดตา แต่ผมว่ามันซ่อนความน่ารักไว้ภายใต้ใบหน้าและการแต่งกายที่ปราศจากเครื่องปรุงแต่งนั้น คนอย่างมันถ้าผู้ชายคนไหนได้รู้จักจะต้องอยากเข้าใกล้ทุกราย มันคงไม่รู้ตัวหรอกว่ามันเป็นคนมีเสน่ห์ และทั้ง ๆ ที่กลัวว่าใครจะตัดหน้าไป แต่ผมก็ยังไม่กล้าจีบมันอยู่ดี พอดีมันมีตัวอย่างให้เห็นเสียก่อน รุ่นน้องในชมรมคนหนึ่งจีบมันอย่างเป็นทางการ ผลปรากฏว่าถูกหมางเมิน ดูครับ บทมันจะใจร้ายก็เอาเสียผมกลัวไปด้วยเลย แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าจีบมัน ผมก็ต้องทำตัวเป็นรุ่นพี่ผู้ใจดี คอยกันท่าผู้ชายคนอื่นไปวัน ๆ แบบไม่ให้มันรู้ตัว เคยมีคนถามมันเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ยอมมีแฟนเสียที มันก็ตอบกลับมาแบบเจียมเนื้อเจียมตัวว่า มันยังไม่พร้อมจะมีใคร แค่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย มันคงไม่มีปัญญาไปดูแลใครหรอก ถ้าฝืนมีแฟนไปตอนนี้จะกลายเป็นภาระของกันและกันเปล่า ๆ เอากับมันสิ พูดเหมือนมันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ตอนนั้นผมคิดว่า พูดมาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนั่นหมายความว่า ถ้าผมไม่มีสิทธิ์คนอื่นก็ย่อมไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน ในขณะที่ผมจะมีโอกาสมากที่สุดเพราะผมอยู่ใกล้มันมากที่สุด (งงไหม? ถ้างงก็ขออภัยที่ไม่อธิบายต่อแล้วกัน) หากความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
ในปีที่ผมเป็นประธานชมรมการแสดง ชมรมของเราจัดโครงการร่วมกับองค์การนักศึกษาในการจัดแสดงละครประจำปีโดยมีพระเอกและนางเอกเป็นเดือนและดาวมหาวิทยาลัย และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความหายนะ ผมไม่เข้าใจว่าทั้งคู่เริ่มสนิทกันได้อย่างไร แต่รู้ตัวอีกทีทั้งคู่ก็สนิทกันมากจนกลายเป็นข่าวลือสะพัดไปทั่ว ก็คนหนึ่งน่ะเป็นเดือนมหาวิทยาลัย ส่วนอีกคนก็พูดเองว่าไม่อยากมีแฟน แล้วเชื่อไหมว่าผมกล้าถามด้วย
“อยู่กับพี่ฟิล์มแล้วสบายใจดีเนาะ” อยู่ ๆ มันก็พูดขึ้นในขณะที่ซ้อนท้ายจักรยานของผมไปชมรม เล่นเอาผมเกือบพาจักรยานคู่บุญถลาลงคูเลยเหมือนกัน ใครจะรู้ว่าคนหน้าโหดอย่างผมจะใจเต้นด้วยความดีใจกับคำพูดแค่นี้
ผมไม่ถามกลับแต่รอมันอธิบาย
“รู้ไหมว่าพี่เป็นคนเดียวที่ไม่เซ้าซี้หนูเรื่องข่าวลือนั่น แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเอาไปลือกันด้วย”
ทำไมจะไม่อยากเซ้าซี้วะ ผมแค่ไม่กล้าเซ้าซี้เพราะรู้ว่ามันต้องรำคาญแน่นอน อุตส่าห์สร้างภาพพจน์พี่ชายแสนอบอุ่นอารมณ์ดีมาตั้งนาน ถ้าจะให้เซ้าซี้เป็นเด็กคงเสียคะแนนไปอีกหนึ่งแต้ม แต่...ไม่รู้สิ คงเพราะอยากรู้มากเลยมั้ง ผมเลยลองหยั่งเชิงดู
“ไม่เซ้าซี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากรู้นะเว้ย”
กุญแจใจเงียบไปเหมือนตะลึงกับคำพูดของผม
“เฮ้ย! ตกรถไปหรือยังวะ” ผมแกล้งถามแต่ไม่ได้รับคำตอบกลับมา ผมจึงลองหยุดพูดเพื่อฟังเสียงหัวใจตัวเองพักหนึ่งก่อนจะรวบรวมคำพูดออกไป
“ฉันก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าแกมีความสุขไหม” ผมบอกไปตามความรู้สึก “ที่แกเคยบอกว่ายังไม่พร้อมจะรักใครน่ะ ฉันก็ยังเชื่ออย่างนั้นอยู่นะ แต่ฉันแค่อยากฟังกับหู ดีกว่าไปฟังจากปากคนอื่นหรือเดาเอาเอง”
“ทุกวันนี้หนูก็ยังทะเลาะกับตัวเองตลอด เพราะหนูก็ยังไม่อยากมีแฟนเหมือนเดิม ” กุญแจใจพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลในขณะที่ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าอาจจะได้กินแห้ว “แต่พอคิดจะไล่เขาไปทีไรใจของหนูมันก็เจ็บทุกที หนูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกดีเวลาอยู่กับเขา ทั้งที่ตอนนี้แค่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปสักวันหนูอาจกลายเป็นตัวถ่วงต่ออนาคตของเขาก็ได้”
กุญแจใจไม่ได้บอกว่ารักปกเกล้าสักคำ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันกำลังบอกรักปกเกล้าให้ผมฟัง โอ๊ย...เจ็บไม่ใช่เล่นเลยแฮะ! ผมควรจะทำอย่างไรดี บอกให้เธอตัดใจหรือให้กำลังใจเธอดี
“แล้วแกมีความสุขไหมละ”
“ก็เพราะมีความสุขนี่แหละ หนูถึงได้...ทะเลาะกับตัวเอง”
“มีความสุขก็ดีแล้วนี่ แกอย่าคิดอะไรให้มันซับซ้อนนักเลยวะใจ” ผมบอกพลางนึกถึงตัวเอง บางทีถ้าผมไม่คิดกังวลจนวุ่นวาย ผมอาจเป็นคนที่ทำให้เธอมีความสุขอยู่ก็ได้ “บางคำถามสมองตอบแทนหัวใจไม่ได้หรอกนะ”

ฮึ! ไม่รู้จะสมน้ำหน้าตัวเองดีหรือเปล่า เป็นผู้กำกับดี ๆ ไม่ชอบ อยากเป็นเพื่อนพระเอกผู้เสียสละ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นไปได้ขนาดนี้ด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาการตัดใจไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม อย่างมากก็แค่ใจหายแต่เพียงไม่นานผมก็กลับมาเป็นคนเดิมได้อย่างไม่ฝืนตัวเอง หากผมกลับตัดใจจากกุญแจใจยากเย็นเข็ญใจเหลือเกิน รู้สึกเหมือนตัวเองจะทนเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ดังนั้นเมื่อพ่อเสนอโครงการเรียนต่อที่เมืองนอกมาผมจึงไม่ต้องคิดนาน ขอเพียงหลบไปเลียแผลใจสักพักให้อาการทุเลาลงบ้างเท่านั้น เรื่องนี้ถ้ารู้ถึงไหนคงอายถึงนั่น คนอย่างนายองศาเนี่ยนะ ถึงกับต้องหนีไปเรียนเมืองนอกเพราะแอบรักผู้หญิงเพียงคนเดียว แต่ก็ช่างเถอะ สำหรับคนเคยรักเธออย่างผม ขอแค่เห็นกุญแจใจมีความสุขอย่างนี้ผมก็ดีใจแล้ว

โปรดติดตามตอนต่อไป

ณ จันทร์


Create Date : 19 มกราคม 2551
Last Update : 19 มกราคม 2551 16:11:07 น. 0 comments
Counter : 176 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ป้าตูน
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นางสาวกลัวฝน: ถึงจะกลัวเปียกฝนแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ชอบเวลาฝนตก
[Add ป้าตูน's blog to your web]