Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
19 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 

ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักใช้แบบผิดๆ : บางศัพท์ที่คุณไม่เคย Get ตอน 3

I’m glad to see you again. ดีใจที่ได้พบกันอีกครับ

กระทู้วันนี้อาจจะยาวหน่อยนะครับ เพราะบางท่านก็อยากให้ผมพูดเรื่องประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้ได้ผล การเรียนภาษาอังกฤษนั้น เอาแน่เอานอนไม่ได้ครับ ขึ้นอยู่กับบุคคล (เป้าหมาย) บางคนต้องเรียน เพราะหน้าที่การงานบังคับ บางคนเรียนเพราะหวังความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน บางคนเรียนเพราะแค่อยากรู้ ฯลฯ แต่อย่างไรก็คงสู้เรียนเพราะใจรักไม่ได้ และการเรียนภาษาอังกฤษระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่อาจจะได้ผลไม่เหมือนกัน เป็นเพราะ เด็กอาศัยความจำอย่างเดียวและชอบลอกเลียนแบบ (Imitative) ส่วนผู้ใหญ่ ต้องควบคู่ไปกับเหตุผลไปด้วย (คือต้องคิด และหาเหตุผลของความน่าจะเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น) (Analytic) ดังนั้นการเรียนภาษาอังกฤษของผู้ใหญ่อาจจะช้ากว่าเด็กก็เพราะจุดนี้

วันนี้ผมขอเสนอ 3 ตอนนะครับ
ตอน 3/1 ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน และแบบอังกฤษ
ตอน 3/2 เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของประโยคแบบ (สำหรับแปลและแต่ง)
ตอน 3/3 เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษ

ตอนที่ 3/1 American and British English

เคยไหมครับ ที่เรามักจะพบศัพท์ภาษาอังกฤษสองแบบคือ อังกฤษแบบอเมริกัน และอังกฤษแบบอังกฤษ คำไหนเป็นภาษาอังกฤษ คำไหนเป็นแบบอเมริกัน อันที่จริงก็มีเยอะเหมือนกันนะครับ แต่ผมจะบอกเท่าที่สติปัญญา (อันน้อยนิด) ของผมในตอนนี้จะนึกได้ เวลาไปที่ไหน พอเจอปั๊บ ก็รู้ปุ๊บว่า ศัพท์นี้ เป็นภาษาอังกฤษแบบอังกฤษหรือ แบบอเมริกัน ในบ้านเราก็พบเยอะเหมือนกัน
1.อังกฤษแบบอเมริกัน 2. อังกฤษ แบบอังกฤษ
1.Airplane 2. aeroplane
3.Apartment 3.flat, apartment
4.Check / bill 4.bill (ในร้านอาหาร)
5.Crazy 5.mad (บ้า)
6.Doctor’s office 7.doctor’s surgery
8.Movie 8.film
9.One-way (เกี่ยวกับตั๋ว) 9.single (เกี่ยวกับตั๋ว เที่ยวเดียว)
10.Parking lot (ที่จอดรถ) 10.car park
11.Railroad 11.Railway
12.Rest room, bathroom 12.(public) toilet (ห้องน้ำ ห้องส้วม)
13.Store, shop 13.shop
14.Subway 14.underground รถไฟใต้ดิน
15.Two weeks 15.fortnight, two weeks
16.Vacation 16.holiday(s) วันหยุด
17.In a course 18.on a course
19.Live on XXX street 19.live in XXX street
20.Center 20.centre
21.Check 21.cheque (เช็ค)
22.Color 22.colour สี
23.Liter 23.litre (ลิตร)
24.Meter 24.metre (เมตร)
25.Organize 25.organise
26.Practise, Practice 26.Practise (เป็นกิริยา)
27.Realize 27.realise
28.Skillful 28.skilful
29.Theater 29.theatre
30.Traveler 30.traveller
31.Whiskey 31.(สก๊อต) whisky (ไอริช) whiskey
32.Round trip 32.return (การเดินทาง และการตี๋ตัวกลับ)
33.Highway, freeway 33.main road, motorway

มีบ่อยครั้งที่ผมมักจะทะเลาะกับเพื่อน เพียงเพราะเขียนไม่ถูก บางครั้งเขียนเหมือนอเมริกัน แต่เพื่อนบอกว่า แบบอังกฤษผิด แต่ปัจจุบันภาษาอังกฤษแบบอเมริกันค่อนข้างมีอิทธิพลเยอะมาก เช่นในคอมพิวเตอร์เป็นต้นนะครับ บางครั้งเราพิมพ์แบบอังกฤษ ปรากฏว่าในคอมพิวเตอร์ขีดแดง (แสดงว่าไม่ถูก) คือให้เปลี่ยนใช้แบบอเมริกัน อันที่จริงก็มีอีกเยอะนะครับ นึกออกเพียงเท่านี้ ที่ค่อนข้างเห็นบ่อย ตอนที่อยู่เมืองไทย อาจจะพอเป็นประโยชน์บ้าง อย่างน้อยๆ เราก็พอรู้ว่าศัพท์ไหนเป็นอังกฤษหรืออเมริกัน แม้แต่หลักไวยากรณ์บางครั้งภาษาอังกฤษแบบอเมริกันก็ไม่เหมือนกัน เช่น
อังกฤษแบบอเมริกัน อังกฤษแบบอังกฤษ
1.He just went home. 1.He’s just gone home.
2.I’ve never really gotten to know her. 2.I’ve never really got to know her.
3.I see a car coming. 3.I can see a car coming.
4.It’s important that he be told. 4.It’s important that he should be told.
5.He probably has arrived by now 5.He has probably arrived by now.

(ทางโทรศัพท์)
Hello, is this Handsome? Hello, is that Handsome?
(สวัสดีครับ นี่สุดหล่อพูดใช่ไหม? สวัสดีครับ นั่นสุดหล่อใช่ไหม?

เห็นไหมครับว่าภาษาอังกฤษ แบบอเมริกัน และ แบบอังกฤษ ก็ยังไม่ค่อยเหมือนกัน คนไทยบางคนก็ชอบสำเนียงแบบอเมริกัน บางคนก็ชอบสำเนียงแบบอังกฤษ ดังนั้น เราก็อย่าวิตกกังวลให้มากนะครับ ขอแค่พูดให้เรารู้เรื่อง และเรารู้เรื่องเขา แค่นี้ก็น่าจะดีกว่า เวลาพูด เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง เวลาเราฟังก็มึน

ตอน 3/2 เกร็ดเล็กๆน้อยของประโยคแบบ (การแปลและการแต่ง)

มีบ่อยครั้งใช่ไหมครับ ที่เรามักจะแปลภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งก็มีหลากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่รู้ศัพท์เฉพาะ ไม่รู้ประโยคแบบ ไม่รู้หน้าที่ของคำศัพท์ ไวยากรณ์ไม่แม่น อื่นๆอีกมากมาย แต่ที่ผมจะเสนอต่อท่านผู้อ่านต่อไปนี้ เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของประโยคแบบ (เพราะยังมีอีกเยอะมาก) ลองมาดูกันครับ

1. The purpose / aim / goal / objective / ทั้ง 4 ตัวนี้ แปลเหมือนกันก็คือ วัตถุประสงค์ หรือ จุดมุ่งหมาย หากเราเห็นประโยคในลักษณะ.... The purpose / aim / goal / objective of……..is to…. ให้แปลว่า วัตถุประสงค์ หรือ จุดมุ่งหมาย ของ........... คือ.........ได้เลยครับ
ตัวอย่างเช่น... The purpose of every religion is to teach men to do goodness. วัตถุประสงค์ของทุกศาสนาคือสอนให้ทุกคนทำแต่ความดี
อีกตัวอย่างหนึ่ง... The goal of education is to develop the student’s skill and ability.
เป้าหมายของการศึกษาคือ เพื่อพัฒนาฝีมือและความสามารถของเด็กนักเรียน
ในประโยคนี้ก็เช่นเดียวกัน ครับ The duty / task / responsibility / of………is to…….แปลเหมือนกัน
เช่น The duty of a teacher is to help the pupils help themselves. หน้าที่ของครูคือช่วยให้นักเรียนช่วยเหลือตัวเองได้.

2. แต่ประโยคนี้เริ่มจะเปลี่ยนไป จะไม่ใช้ is to แต่จะใช้ is that แทน เช่น The benefit / profit of………. is that …….คุณประโยชน์ หรือ อานิสงส์ ของ.......... คือ...............
ตัวอย่างเช่น The benefit of civility is that it costs nothing but gives you many things. คุณประโยชน์ของการอ่อนน้อมถล่มตน คือผู้กระทำไม่ต้องเสียอะไรเลย แต่กลับได้รับประโยชน์หลายอย่าง

3. It is not / enough / a shame / impossible / (อาจจะมี for….ก็ได้เพื่อให้ข้อความกระชับมากขึ้น) to…………. ให้แปลว่า การที่.....นั้น ยังไม่พอ / ไม่น่าละอาย / ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไม่ได้
เช่น It is not enough for students merely to come to school. They must pay attention to their lessons also. การที่นักเรียนสักแต่ว่ามาโรงเรียนนั้น ยังไม่พอ พวกเขาต้องใส่ใจในบทเรียนด้วย.

-----------เป็นต้น เห็นไหมครับว่า การเรียนภาษาอังกฤษหากเราจับจุดมันได้ ทุกอย่างก็จะง่าย และทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น เฉพาะข้อนี้ สามารถเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม เพราะมีเยอะมาก เกือบ 100 กว่า ตัวอย่าง ส่วนวันนี้เอาแค่หอมปากหอมคอนะครับ

ตอน 3/3 เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษ

บางครั้งเวลาผมอยู่ในห้องน้ำเดียว ผมมักจะคิดถึงวันเก่าๆ เช่น หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษเวลาอาจารย์สอน ผมจะไม่นั่งหลับหลังห้อง จะไม่วาดหนวดให้เพื่อน เวลาเพื่อนหลับ ความเป็นนักเรียนที่ดีย้อนกลับมาทันใดเวลาคิดอะไรเพลินในห้องน้ำ เสียดายเวลาที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเมื่อเรียนอยู่สมัยตั้งแต่ประถม-มัธยม-ป.ตรี ในห้องเรียนผมจะบอกว่าตัวเองโง่ที่สุดในห้องก็ไม่เชิง เพราะมีคนญี่ปุ่นอีกหลายคน เกือบลืม ลาว เวียดนาม เกาหลีอีกเพียบ บางคนภาษาอังกฤษแย่กว่าผมอีก Because what. Why you come here? (แปลกันแบบตรงๆ Because เพราะ What อะไร Why ทำไม You คุณ Come here จึงมาที่นี่=เพราะอะไรทำไมคุณจึงมาที่นี่) มีหลายประโยคที่คนญี่ปุ่นบางคนถามผม งงมาก บางครั้งถึงกับมีการจดลงในฝ่ามือ และผมก็ต้องเอามาเปิดดิกที่ห้อง แต่ก็พอไปด้วยกันได้ เพราะภาษาอังกฤษของพวกเรา แบบ งูๆปลาๆ บางคนเห็นหน้ากันครั้งแรก Who are you? แทนที่จะถามว่า Where are you from? ผมก็ต้องถามย้อนกลับไปว่า Me? ต้องออกเสียง (หมี๋) ไม่ใช่ (มี) เจอคนญี่ปุ่นครั้งแรก ผมคิดเอาเองนะ อย่างน้อย ผมคนหนึ่งหละที่จะไม่สอบตกคนเดียว แต่คนญี่ปุ่นขยันมากๆๆ คนเอเชียพวกคนญี่ปุ่นไม่คบด้วยเลย ผมก็ไม่สนและไม่ง้อ คนเวียดนาม คนลาวก็เยอะแยะ

บางครั้ง ความขี้อาย ก็เป็นอุปสรรคสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกันนะครับสำหรับคนไทย หากคิดจะเรียนภาษาอังกฤษ สังเกตคนที่เรียนภาษาอังกฤษและพูดได้ดี จะไม่มีใครที่สำเนียงไทยสักคน ต้องกระแดะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำเหมือนฝรั่งได้ หากมัวแต่อาย กลัวคนอื่นจะล้อว่า หมอนี่ ยัยนี่ 11 ร ด (แรด) คิดเสียใหม่ครับ ยิ่งดัดจริตให้มากเท่าไร คุณก็จะพูดเหมือนฝรั่ง และฝรั่งก็จะเข้าใจคุณ บางคนพูดจีบปากจีบคอ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ แต่นั่นคือธรรมชาติของการพูดภาษาอังกฤษ การพยายามทำเสียงให้เหมือนฝรั่งไม่ใช่เสียงที่น่าอายครับ แต่ที่น่าอายกว่า นั่นก็คือ พูดภาษาอังกฤษแล้ว ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง (อาจจะเป็นเพราะมีสำเนียงไทยเยอะไปหน่อย) คุณที่พูดกับฝรั่งเวลาคุยภาษาไทยด้วยกันจะเข้าใจความรู้สึกนี้ เวลาฝรั่งออกเสียไม่ชัด คอชอนา (โฆษณา)บางครั้งก็ได้ยินเหมือน เป็น ก.ศ.น. (การศึกษานอกโรงเรียน)

ภาษาอังกฤษอาจจะไม่ใช่ภาษาที่คนไทยส่วนใหญ่พูดกัน แต่หากใครพูดได้ ผมเชื่อแน่ว่า อย่างน้อยๆ คุณเดินไปไหน คุณจะไม่กลัวเลยหากมีฝรั่งมาถามทาง ขอคำชี้แนะบางอย่าง และการไปสมัครงานที่ไหนก็ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่พูดได้แค่ภาษาไทย (ไม่นับรวมเด็กเส้นนะครับ) ผมนับว่าโชคดีที่ได้เพื่อนฝรั่งช่วยเหลือในหลายๆด้านที่เป็นเพื่อนร่วมห้องคอยเตือนเวลาใช้คำพูดผิด บางคนได้ไปเที่ยวรอบโลกมาแล้ว ผมก็ได้เที่ยวรอบโลกกับเขาด้วย จากการได้พูดคุย ได้รับรู้ว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไร ได้รู้ว่าประเทศเปรูเป็นอย่างไร ทั้งที่ตัวเองไม่เคยไป และแตกต่างจากเมืองไทยอย่างไร เป็นการเปิดรับข้อมูลจากคนต่างชาติโดยตรง และทำให้เรามีวิสัยทัศน์กว้างมาก โดยเฉพาะข่าวสารทางทีวี หนังสือพิมพ์ เพราะภาษาที่เขาใช้กันส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ หากคุณฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง แค่อยู่หน้าจอทีวี คุณก็รับรู้ข่าวสารทั่วโลกได้จาก CNN, BBC News การเรียนภาษาอังกฤษแต่ละคน อาจจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน บางคนสามารถพูดกับฝรั่งได้เป็นวัน แต่ให้เขียน เขียนไม่ได้ ผมก็อยู่ในกรณีนี้เช่นเดียวกันนี้ จะให้ผมพูดกับฝรั่งทั้งวันก็พูดได้ แต่จะให้เขียนจดหมายสักฉบับหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ผมจะกังวลมากนั่นก็คือ ไวยากรณ์ บางครั้งก็เขียนศัพท์ผิดๆ ถูกๆ ทั้งที่พูดได้ แต่เขียนไม่ได้ มีบ่อยครั้ง ที่อาจารย์บรรยายแล้วให้ผมจดตาม ผมจดได้ไม่ถึง 50 คำ แค่คำว่า ภาษา (Languages) บางครั้งผมก็ยังเขียนไม่ถูก แต่ให้ผมไปบรรยายหน้าห้อง ผมทำได้ เพราะบางคำผมพูดได้ แต่ผมเขียนไม่ได้ แต่ก็มีเพื่อนผมหลายคนนะครับ เขียนได้ แต่พูดไม่ได้

ในบรรดาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษมีอยู่ 4 อย่างด้วยกันครับนั่นก็คือ
1.ฟัง
2.พูด
3.อ่าน
4.เขียน
(แต่สำหรับคนไทยส่วนมากเราจะเน้น อ่าน เขียน พูด และฟัง)
มีสถาบันสอนภาษาหลายแห่ง ที่สอน:
1.การพูดภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้สอนการเป็นนักพูดที่ดี
2.การฟัง แต่ไม่ได้สอนการเป็นนักฟังที่ดี
3.การอ่าน การอ่านอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จ
4.การเขียนอย่างไร ให้ประสบผลสำเร็จ ตามที่คาดหวัง

หากมีโรงเรียนไหนที่บอกว่า สามารถสอนท่านพูดภาษาอังกฤษได้เพียงแค่ชั่วโมงเดียวอย่าไปเชื่อครับ อย่างน้อยๆ 2-3 ปี เตรียมทำใจเอาไว้เลย ผมเกลียดมาก พวกที่ชอบหากินกับความไม่รู้ของคน หลายปีก่อนมีเด็ก ปี 4 เอกภาษาอังกฤษ (ขอสงวนนามมหาวิทยาลัย) ให้ผมแปลเอกสารรายงานให้ เพราะเธอพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย ผมก็คิดเอาเองนะครับว่า สงสัยได้หลายพันบาทแน่งานนี้ เพราะข้างนอกแปลหน้าหนึ่งประมาณ 100 บาท ก็เลยบอกน้องไปว่า แล้วแต่จะให้ เกือบสองร้อยกว่าหน้า ผมได้แค่ 500 บาท ผมก็เอา (ยังดีกว่าไม่ได้สักบาท กำอุจจาระดีกว่ากำตด) แต่เห็นมือถือที่คุณเธอใช้ เกือบสองหมื่น นี่เป็นผลของการไม่ตั้งใจเรียน (เหมือนผม)
มีบ่อยใช่ไหมครับ ที่เรามีปัญหาในด้านการฟัง อาจเป็นเพราะ 1.ฟังไม่ชัดเอง 2. คนพูดพูดไม่ชัดเจน แต่สิ่งที่เรามักจะเจอนั่นก็คือ ฟังไม่ชัดเอง การฟังภาษาอังกฤษเราต้องฟังอย่างที่เขาพูด ไม่ใช่คิดเอาเอง “คนที่หน้าตาดีๆที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำมานี่ก่อนดิ” คนหน้าตาดี กับคนหน้าตาขี้เหร่ ฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน แต่หากเราฟังว่ามันเหมือนกันเมื่อไหร่ นั่นแหละ ทักษะการฟังเริ่มมีปัญหา การสื่อสารกันชักจะเริ่มไม่รู้เรื่อง และการสนทนาก็เริ่มมีปัญหาไปด้วย แต่การฟังภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่ยากกว่านั้นอีกครับ อาจเป็นเพราะ 1.เราไม่รู้ว่าเขาสื่ออะไร เพราะเราไม่รู้ศัพท์ หากเรารู้ศัพท์แต่ไม่รู้ประโยค ก็ยังพอเดาได้ ไปแบบน้ำขุ่น ว่าเขาหมายถึงอะไร

How about coffee? จะรับกาแฟไหม? มีบ่อยครั้งที่ผมได้ยินคนไทยบอกว่า It’s very hot. มันร้อนมาก (ทั้งที่กาแฟก็ยังไม่มีวางอยู่บนโต๊ะ) สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คนถามอีกอย่าง คนตอบตอบอีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะเราเข้าไม่ถึง การฟังภาษาอังกฤษถือว่าเป็นบันไดก้าวแรกในการเรียนภาษาอังกฤษ หลายสถาบันอาจจะให้ความสำคัญไวยากรณ์ บางสำนักอาจจะเน้นทักษะยุทธ์การพูด แต่มีหลายสำนักมองข้ามการฟัง ในบรรดาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ บางสำนักเน้นการพูด เพราะคิดว่า หากพูดได้ นั่นก็หมายความว่า ฟังเป็นด้วย การพูดภาษาอังกฤษได้ กับการพูดภาษาอังกฤษเป็น แตกต่างกันมากนะครับ การพูดภาษาอังกฤษได้ คุณจะพูดอย่างไรก็ได้ หากคุณอยากจะพูด แต่......การพูดภาษาอังกฤษเป็นคือ ต้องรู้จักกาลเทศะ กาลไหนควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร คำไหนเหมาะสมกับวัย หรือสถานะของคู่สนทนา ว่าต้องใช้ศัพท์อย่างไรถึงจะเหมาะสม นี่คือสิ่งสำคัญสำหรับการที่จะทำการให้การสนทนามีความสนุกและบรรลุตามเป้าหมาย หากเป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ควรสรรหาคำพูดที่เป็นกลางๆ อย่านำคำพูดแสลงมาใช้นะครับ Hello สวัสดีครับ Hi หวัดดี How have you been? เป็นไงบ้าง? ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม เหมือนอย่างเช่น หวัดดีอาจารย์ กับ สวัสดีครับอาจารย์ หวัดดีหัวหน้า กับ สวัสดีครับหัวหน้า อย่างไรเหมาะสมกว่า เราก็ต้องเลือกให้เหมาะสมบุคคล

ดังนั้นเมื่อเราเรียนภาษาอังกฤษ มีทักษะ 4 อย่างด้วยกันที่เราจำเป็นอย่างมากเลยนะครับที่จะต้องเรียนและรู้ และทำให้การติดต่อ(สื่อความหมายของเรา) ถึงจะลุล่วงไปด้วยดี ภาษาอังกฤษอาจจะเป็นภาษาที่ 3 หรือที่ 4 ของใครบางคน หากภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่หนึ่งของเรา เวลาจะใช้จะต้องคำนึงนั่นก็คือ กาลเทศะ บุคคล สถานที่ (บางคนไม่เคยใส่ใจเลย) สักแต่ว่าขอให้พูดได้....และได้พูด
1.การฟัง
2.การพูด
3.การอ่าน
4.การเขียน

ไม่ว่าเราจะเรียนภาษาอะไร ทักษะทั้ง 4 อย่างถือว่าสำคัญเท่าๆกัน แต่การใช้จะแตกต่างกัน ไกด์บางคนพูดได้ แต่ให้เขียนไม่ได้ สิ่งที่เราเคยเรียนในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลหมีน้อย จนถึงอนุบาลหมีโต สิ่งที่เราได้รับนั่นก็คือ 1.ต้องอ่านให้ครูฟัง 2.ต้องเขียนให้ครูตรวจ 3.หากมีเวลาครูก็ให้พวกเราอ่าน 4.เรามีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับฟังภาษาอังกฤษแบบอังกฤษจริงๆ อาจจะมีเหตุผลหลากหลายประการ เช่น บางคาบอาจารย์สอนภาษาอังกฤษพูดภาษาไทยเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ให้นักเรียนอ่าน....หมดชั่วโมงพอดี พอออกนอกห้องก็พูดภาษาไทยทั้งวัน เราเรียนภาษาอังกฤษเพื่อแค่ให้สอบผ่าน เพราะเมืองไทย เราไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษก็ได้ แต่เมื่อเราจบมานี่สิครับ มีปัญหาและเป็นปัญหา....เมื่อไปสมัครงาน บางบริษัทต้องสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ บางคนถึงกับต้องไปติวภาษา เพียงเพราะแค่จะสอบสัมภาษณ์ บางคนก็ท่องไปเลย บางคนต้องหอบแบบฟอร์มกรอกสมัครงานไปให้คนอื่นกรอกให้ เสียเงิน 100-200 บาท ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังคิดว่าภาษาอังกฤษไม่สำคัญ! พนักงานขับรถบางบริษัท มีใบขับขี่ และพูดภาษาอังกฤษได้ เงินเดือนหมื่นกว่า

เวลาผมกลับไปเมืองไทย ผมมักจะพาเพื่อนฝรั่งที่อยู่กรุงเทพไปเที่ยวที่บ้าน ไปเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กกำพร้าและให้ฝรั่งช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็ก แล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย ผมไม่มีความรู้สึกอะไรที่ดีไปกว่า เท่ากับเด็กชอบเรียนภาษาอังกฤษ และไม่กลัวฝรั่ง แต่ปรากฏว่าอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษผมสมัยผมเรียนอยู่อนุบาลหมีน้อยจนกระทั่งหมีจะตายอยู่แล้ว อาจารย์ฟังฝรั่งไม่รู้เรื่องเลย อาจเป็นเพราะว่า 1.อาจารย์ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกับฝรั่งบ่อย 2.ไม่คุ้นสำเนียง (แต่คนไทยส่วนมากเก่งไวยากรณ์นะครับ)

เราจะฟังภาษาอังกฤษได้อย่างไรในเมื่อบ้านเราหาฝรั่งที่จะคุยด้วยลำบาก

คุณเคยถามตัวคุณเองบ้างไหมครับว่า เราเรียนภาษาไทยมาอย่างไร? ในความเป็นจริง เมื่อเราอายุประมาณสองหรือสามขวบ เราก็เริ่มที่จะพูดภาษาไทยหรือภาษาท้องถิ่นเพียงแค่สองหรือสามคำพูดในการเริ่มต้น เช่น แม่หนู หิว (ข้าว หรือ นม) ซึ่งก็ยังไม่เต็มประโยค แต่คุณก็พูดได้ และหลังจากนั้นไม่นานคุณก็ได้เข้ากระบวนการเรียน การฟัง การพูดอย่างแท้จริง โดยพูดตามพ่อแม่บ้าง ตามเพื่อนบ้าง โดยบางครั้ง เราพูดภาษาไทยโดยเราไม่ต้องนึกถึงภาษาท้องถิ่น โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปลจากภาษาท้องถิ่นก่อน ภาษาเหนือ ตั๋วจะไปแหน่ ภาษาไทย คุณจะไปไหน ภาษาอังกฤษ Where you are going? ดูเหมือนมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่ว่ามันไม่ใช่ มันเป็นผลของการสะสมการฟังและเปลี่ยนไปเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างอื่นในเวลาต่อมา 2 หรือ 3 ปีก่อนที่เราจะพูดได้ เราได้ยินพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย พูดตลอดทั้งวันหรือบางคนอาจจะทั้งวันทั้งคืน(ได้ยินคนข้างบ้านทะเลาะกันทั้งคืน) เราได้ยินผู้คนมากมายพูดภาษาไทย สิ่งที่สำคัญมากนั่นก็คือสิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราสั่งสมมาจากการฟัง ตลอดระยะ 2หรือ 3 ปี เป็นกระบวนการต่อการเริ่มหัดพูด ตลอดระยะเวลา 2 ปี กี่คำพูด ที่ได้เข้าไปสู่ผัสสะของการฟัง กี่คำพูดที่ผ่านหูเรา ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะมีข้อสงสัยในการฟังว่า การฟังหรือการสั่งสมการฟัง มีประโยชน์ต่อการจำ การออกเสียง แม้กระทั่ง เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเราอายุ แค่ 3 ขวบ พูดภาษาไทยได้ ทั้งที่ยังเขียนหนังสือไม่ได้สักตัว เขียนชื่อตัวเองก็ยังไม่ได้ แต่เราพูดได้ทั้งวัน ดังนั้นการฟังจึงจำเป็นอย่างมากครับ ต่อกระบวนการออกเสียงให้ถูก

ดังนั้น เราจะฟังภาษาอังกฤษอย่างไร เมื่อประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ผู้คนพูดภาษาอังกฤษ หรือครอบครัวเราไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ และเราก็ไม่ได้เป็นลูกครึ่ง แต่อย่างไรก็อย่าเพิ่งท้อนะครับ มีหนทางมากมายที่เราสามารถฟังภาษาอังกฤษได้ หากเรามุ่งมัน อย่างน้อยๆ ขอแค่สนทนาให้รู้เรื่องก็พอ ไม่ใช่พูดภาษาอังกฤษจนเมื่อยมือ

สำหรับวันนี้ผมมีเคล็ดลับดีๆ สำหรับการเริ่มต้น ฟัง พูด ภาษาอังกฤษมาฝากครับ คิดว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เริ่มจะสนใจเรียนได้บ้าง การเรียนภาษาอังกฤษไม่มีคำว่าสายครับ หากจะสาย นั่นก็คือความคิดของคุณเอง สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อการฟังภาษาอังกฤษของเรา ที่พอจะหาได้ก็คือ

วิทยุ
ปัจจุบันเราสามารถรับฟังภาษาอังกฤษตามสื่อวิทยุได้เกือบทุกประเทศ สองเครือข่ายสถานีที่นับว่ามีชื่อเสียงนั่นก็คือ BBC World Service (สำเนียงอังกฤษแบบอังกฤษ) //news.bbc.co.uk และ Voice of America. (สำเนียงอังกฤษแบบอเมริกัน) //www.voanews.com/english/portal.cfm สถานีทั้งสองแห่งถือได้ว่าเป็นสถานีที่ผู้คนเข้าไปฝึกภาษาเยอะเหมือนกันครับ. เพราะมีบทสามารถให้เราได้อ่านภาษาอังกฤษได้ด้วย และอีกสถานีหนึ่งที่ผมชอบฟังนั่นก็คือ //www.spotlightradio.net หรือ //www.radio.english.net และสถานีเพลงที่ผมชอบฟังนั่นก็คือ //www.virginradio.co.uk/listen ลองเข้าไปฟังหรือเข้าอ่าน โดยที่เราเข้าไปดูเว็ปอื่นก็ยังได้ ทำให้เป็นนิสัยครับ

ทีวี
TV ถือได้ว่าเป็นสื่อที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพอย่างมากต่อการฝึกภาษาอังกฤษ เพราะเราสามารถดูรูป ผู้คน ท่วงทำนอง ท่าที่บุคลิกของผู้พูดได้ สามารถทำให้เราเดาเนื้อเรื่องได้ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม หากบ้านใครติดสัญญาณ UBC ถือว่าคุณมีครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดครับ

Internet
ถือได้ว่าเป็นสื่อที่หาง่ายต่อการฟังภาษาอังกฤษมากกว่าสื่อใดๆ (สำหรับที่คนติดอินเตอร์เน็ต) ถ้าคุณสามารถอ่านกระทู้ของผม คุณก็เหมือนมีครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน และมีสถานทีวิทยุทั่วโลกอยู่ในบ้านเรา และง่ายต่อการที่จะเข้าไปฟังภาษาอังกฤษครับ ฟังบ่อยๆ และฟังการลงเสียงหนักเบา จะช่วยได้มาก.

เพลง
เพลงที่เป็นภาษาอังกฤษถือได้ว่าเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายมากครับ สำหรับการเริ่มฝึกฟังภาษาอังกฤษ แต่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้กับผมท่านไม่ค่อยแนะนำให้ฟัง เพราะค่อนข้างเป็นภาษาที่ยาก บางครั้งก็ส่อไปในทางสองแง่สองง่าม ไม่ต้องไปดูอะไรครับ แค่เพลงไทย ขนาดเราเป็นคนไทยแท้ๆ บางท่อนเราก็ยังงงเลย หากความรู้สึกไม่ถึงจริงๆ แต่ก็จงเลือกเอาเพลงที่ง่ายๆ เช่นเพลงของเด็ก ไม่ต้องอายครับ หากใครบอกว่าเราบ้า หรือปัญญาอ่อน สิ่งเหล่านี้ผมเจอมาหมดแล้ว

หนัง / CD
หากพูดเรื่องหนัง ก็ยิ่งเป็นการง่ายต่อการฝึกเรียนการฟังและรูประโยคของภาษาอังกฤษ เพราะปัจจุบันหนังซีดี มี sub-titles.และสิ่งที่เราจะได้รู้จากหนังมากกว่าสื่ออื่นๆ นั่นก็คือ ศัพท์แสลงครับ และมีให้เราอ่านด้วย หากไม่เข้าใจประโยคไหน ก็สามารถกรอกลับมาดูใหม่ได้ แต่การเลือกดูหนังหากเป็นไปได้ควรเลือกหนังที่เราชอบนะครับ เพราะจะทำให้เราเพลินไปกับการฝึกและการฟัง อย่าเลือกเอาหนังที่ทั้งเรื่อง พูดแต่คำเดียว Oh! Yeah Oh! Yeah เราก็จะได้แค่นี้แหละ (อาจจะได้อย่างอื่นด้วย ไม่แน่ใจ)


เพื่อนๆ
พยายามหาเพื่อนที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะทำให้เราได้ฝึกภาษาด้วย และนี้ก็เป็นการฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด เพราะได้พูดคุย และการพัฒนาภาษาจะพัฒนาได้ดีกว่าวิธีอย่างอื่นๆ หากเราพูดผิด เพื่อนสามารถแนะนำได้ครับว่า เราพูดผิดนะ และการเลือกเพื่อนก็ต้องเลือกคบด้วยนะครับ เพราะฝรั่งบางคนก็ Dirty คือลามก บางคนชวนคุยแต่เรื่องเซ็กส์

สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้จะไม่ช่วยอะไรคุณเลย หากคุณไม่ลงมือทำ การอ่านหนังสือ ย่อมทำให้เราได้รู้กระบวนการที่ดีและถูกต้อง ในการที่จะเรียนรู้ให้ถูกกระบวนการ ต่อให้คุณอ่านคู่มือของมหาวิทยาลัย Oxford ทั้งเล่ม ก็ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ หากคุณไม่ลงมือทำ อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่อาศัยทักษะ หากอายกลัวคนอื่นจะรู้หรือเห็น ก็เข้าไปหัดและฟังเสียงตัวเองได้ในห้องน้ำ (ผมทำบ่อย) เห็นไหมครับว่า เราสามารถฝึกภาษาอังกฤษได้ทุกที่ แต่ที่เราไม่ทำ เพราะหนึ่ง บางคนอาจจะคิดว่ามันไม่สำคัญต่อการดำรงชีวิต ต่ออาชีพการงาน บางครั้งปีหนึ่งก็ไม่เคยพูดกับฝรั่งสักคน เลยไม่รู้จะเรียนไปทำไม แต่สำหรับคนที่เขามีวิถีชีวิตกับภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษคือเงินเดือนของเขาเลยหละ

ประการสุดท้าย อย่ากังวลนะครับ หากเราไม่เข้าใจทุกอย่างที่เราได้ฟัง ฟังบ่อยๆ แล้วเราจะเข้าใจเอง แล้วหลังจากนั้น สำเนียงจะไปของมันเอง (แปลและดัดแปลงจาก How to hear English and how to improve your English; New York University)

ก่อนจะจบวันนี้ ผมพอจะมีสำนวนง่ายๆ ที่อาจจะพาเราเข้าไปสู่กระบวนการพูดคุยกับฝรั่งได้ บางทีเราก็นึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นคุยกับฝรั่งอย่างไรดี (ข้อเสียอีกอย่างนั่นก็คือนิสัยคนไทยเราชอบถามเงินเดือน น้ำหนักกันได้ แต่ฝรั่งเขาถือนะครับ และเราก็จงใช้วิจารณญาณเอาเองว่า อย่างไหนควรจะถามหรือไม่ควรถาม)
Hello สวัสดี หรือหากในบริษัทของเรา มีฝรั่งทำงานด้วย หากจะทักทายแบบคนสนิทกัน ก็สามารถใช้คำว่า What''s up แล้วต่อด้วยชื่อของเขานะครับ เช่น What''up Phongprabhakorn? ซึ่งจะดูเหมาะสมกว่า What''s up man?
How are you?
Where are you from? คุณมาจากไหนเหรอครับ?
How is your family? ครอบครัวคุณเป็นไงบ้าง (สบายดีไหม)
---------------แล้วแต่สถานการณ์จะพาไป (หลังจากนี้ไปก็ตัวใครตัวมัน)----------------
Which foreign languages have you studied? คุณพูดได้กี่ภาษา หรือคุณพูดภาษาอะไรได้บ้าง (ประโยคนี้พูดได้หลายแบบมาก)
How long have you been in Thailand? คุณอยู่เมืองไทยนานแค่ไหนแล้ว
When did you come to Bangkok? คุณมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ (หากรู้อยู่แล้วก็ไม่ต้องถามนะครับ)
What are you doing? ขณะนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ แต่หากอยากจะถามว่า คุณทำงานอะไร ควรจะถามว่า What do you do? แต่หากเดาได้ว่าฝรั่งคนนี้มีงานทำแน่นอน ถามไปเลยครับว่า What‘s your job?
Have you ever been to Hua Hin or Chiang Mai? คุณเคยไปหัวหิน หรือเชียงใหม่หรือยัง?
Who are you waiting for? กำลังคอยใครอยู่เหรอ
You do have time? คุณว่างหรือเปล่า? บางครั้งก็หมายถึง กี่โมงแล้ว
Excuse me. I want some information? ขอโทษครับ ผมอยากจะทราบอะไรสักหน่อย
What does this word mean? คำนี้มีความหมายว่าอะไร? What’s the meaning of this word? ความหมายของคำนี้คืออะไร? How do you pronounce this word? คุณออกเสียงคำนี้ว่าอะไร? Is this expression often used? คำพูดนี้ใช้กันทั่วไปหรือเปล่า?
Have you got any suggestions? คุณมีคำแนะนำบ้างไหม?
What did you say? คุณพูดว่าอะไรนะ ส่วนมากจะใช้กับเพื่อนนะครับ แต่หากเป็นคนที่มีอายุ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ ควรใช้คำว่า Sorry. หรือ Please say that again. หรือ Please slowly. Could you say that again? จะเหมาะสมกว่า
หากมีฝรั่งมาถามทาง มีหลายกรณี ที่เราอาจจะบอก ในกรณีนี้ผมจะพูดในกรณีที่เราไม่รู้นะครับ
I’m sorry. I’m stranger here myself. เสียใจครับ ผมเองก็เป็นคนต่างถิ่น
I’m sorry. I don’t know. ต้องขอโทษนะครับ ผมไม่ทราบ (อย่างน้อยๆ เราก็ไม่ได้เดินหนีและยิ้มให้อย่างเดียว)
If there’s anything I can do, please don’t let me know. หากมีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้ ไม่ต้องบอกให้ผมทราบก็ได้นะครับ. (เพื่อนคนไหนเก่งไวยากรณ์ก็ช่วยแก้ให้ผมด้วยนะครับ)

สุดท้ายท้ายสุด หากมีสิ่งอื่นใดที่ผิดพลาด ผมขอน้อมรับในความด้อยปัญญาของผมเอง และสิ่งที่ผมได้นำเสนอ ถือได้ว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนที่ต้องการรู้ ส่วนสำหรับท่านที่รู้แล้ว จงคิดเสมอนะครับว่า การที่เรารู้ ก็ไม่ได้หมายความว่า คนทั้งโลกจะรู้เหมือนเราทั้งหมด หากไม่อย่างนั้นเมืองไทยก็คงไม่มีสถาบันเรียนภาษาอังกฤษหรอกครับ (ถ้าคนไทยรู้เหมือนอย่างท่าน) หากเพื่อนๆ มีประสบการณ์อะไรที่ดีมีประโยชน์ ก็แบ่งปันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้คนอื่นได้รู้บ้างนะครับ อย่างน้อยๆ การให้แสงสว่างคือปัญญา ก็คือความสุขใจของเรา แลกกับการให้เพื่อนๆ ได้รู้ในสิ่งที่เราอาจจะได้รู้มาแล้ว

Success or Failure depends chiefly on your own effort. ความสำเร็จหรือความล้มเหลว ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวท่านเอง

เห็นท่าจะไม่ค่อยดี เพราะโม้มาเยอะแล้ว ต้องขอโทษสำหรับท่านใด ที่อาจจะบ่นว่า ทำไมมันเขียนเยอะจังฟะ ต้องขอโทษอย่างแรงนะครับ See you แล้วปะกั๋นใหม่ (ปะกั๋น = พบกัน)

ที่มา : //webboard.mthai.com/5/2007-02-17/302978.html




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550
15 comments
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2550 15:04:44 น.
Counter : 1229 Pageviews.

 

โอ้...มาเก็บเกี่ยวความรู้ค่ะ

ขอบพระคุณนะคะ

 

โดย: biebie999 27 กุมภาพันธ์ 2550 13:24:06 น.  

 

ได้ความรู้เพียบเลยค่ะเข้ามาบ้านนี้ สบายดีไม๊ค่ะ

 

โดย: opleee 22 มีนาคม 2550 0:37:15 น.  

 

ขอบคุณมากๆ ค่า สำหรับคำแนะนำดีๆ

 

โดย: คอเล่า IP: 202.44.135.35 12 เมษายน 2550 20:31:53 น.  

 

เนื้อหาดี แต่พื้นและตัวหนังสือสีดำทำให้อ่านยาก มาก ๆ ควรแก้ไขด่วน

 

โดย: jason IP: 117.47.180.251 9 ตุลาคม 2550 11:00:55 น.  

 

ขอบคุณค่ะ ที่ทำสิ่งดีดี

 

โดย: อาริวา IP: 61.19.231.4 1 พฤศจิกายน 2550 15:23:31 น.  

 

 

โดย: mungkud IP: 203.147.40.55 15 กุมภาพันธ์ 2551 16:59:12 น.  

 

ผมไม่ชอบเว็บนี้เลยครับ

ผมเกียจคนที่เขียนที่สุด

อี ห่า ดอก

 

โดย: คุณหมีควาย IP: 117.47.95.202 1 มิถุนายน 2551 20:56:50 น.  

 

รักแม่

 

โดย: ดำ IP: 124.121.48.180 5 สิงหาคม 2551 20:58:25 น.  

 

เน€เธ›เน‡เธ™เธ‡เธฒเธ™เธ—เธตเนˆเธ”เธตเธกเธฒเธเธ„เธฐ เน€เธžเธฃเธฒเธฐเน€เธ›เน‡เธ™เธ›เธฑเธเธซเธฒเธ—เธตเนˆเน€เธœเธŠเธดเธเธญเธขเธนเนˆ เธฃเธนเน‰เธชเธถเธเธ—เน‰เธญเนƒเธˆ เนเธ•เนˆเน€เธกเธทเนˆเธญเธญเนˆเธฒเธ™เนเธฅเน‰เธงเธ—เธณเนƒเธซเน‰เธกเธตเธเธณเธฅเธฑเธ‡เนƒเธˆเนƒเธ™เธเธฒเธฃเน€เธฃเธตเธขเธ™เธกเธฒเธเธ‚เธถเน‰เธ™ เน€เธ›เน‡เธ™เธเธณเธฅเธฑเธ‡เนƒเธˆเนƒเธซเน‰เน€เธ‚เธตเธขเธ™เธ‡เธฒเธ™เธ”เธต เน† เนเธšเธšเธ™เธตเน‰เนƒเธซเน‰เน€เธฃเธฒเน„เธ”เน‰เธญเนˆเธฒเธ™เธญเธตเธเธ™เธฐเธ„เธฐ

thank you very much

 

โดย: sony IP: 222.123.200.239 16 สิงหาคม 2551 0:15:50 น.  

 

ทำไม คห.7 มองโลกในแง่ร้ายจัง

 

โดย: nutty IP: 124.121.66.51 3 กันยายน 2551 20:18:14 น.  

 

เขียนแนะนำมาบ่อยๆนะ ได้ความรู้ดีค่ะ

 

โดย: nutty IP: 124.121.66.51 3 กันยายน 2551 20:20:03 น.  

 

เขียนมาอกีนะค่ะได้ความดีอกีด้วยค่ะ

 

โดย: มด IP: 222.123.72.143 8 กันยายน 2551 12:20:35 น.  

 

ขอนุญาติคะ

 

โดย: จุ๋ม IP: 202.29.38.248 11 กันยายน 2551 11:25:51 น.  

 

thank

 

โดย: tew IP: 125.26.229.182 15 กันยายน 2551 19:24:10 น.  

 

ยะยะยะยะ..ยาวยาวยาวมาก
นะนะนะนะ...เหนื่อยยยยยอ่ะ
ขนาดอ่านยังเหนื่อยขนาดนี้ เขียนจะขนาดไหน
แต่ก้หนุกดีฮ่ะ

 

โดย: no name IP: 58.8.115.184 23 กันยายน 2551 4:46:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


psak28
Location :
ภูเก็ต Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]





คนเราเกิดมาจากเหตุปัจจัยจากกรรมที่เราสร้างขึ้น และด้วยอนุสัยที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตกาล ย่อมมีความสุข และความทุกข์เป็นธรรมดา เราก็แค่เป็นเพียงผู้ดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือนการดูละคร ดูแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน เคยสงสัยเหมือนกันว่าคนเราเกิดมาทำไมกัน แล้วทำไมคนเราจึงไม่เหมือนกันเลย ทั้งรูปร่าง หน้าตา กิริยา และการดำเนินชีวิต ที่กล่าวมาล้วนมีกรรมสรรสร้างให้เป็นอย่างนั้น หน้าที่ของเราก็คือ ละเว้นความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตใจให้ขาวรอบ


อันนี้ลองดูนะครับ หากใครสนใจหวยหุ้น หวยรัฐบาล นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ ได้มากกว่า ^_^



อันนี้น่าสนใจดีครับ จุ๊บลมยางที่สามารถบอกเราได้ว่าลมยางตอนนี้เป็นเท่าไหร่ และเตือนเราในกรณีลมยางอ่อนได้ ลองดูกันนะครับ




: Users Online

Friends' blogs
[Add psak28's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.