ฉันเคยบิน บิน ไป....
แม้ว่าจะไม่ใช่การขึ้นเครื่องบินครั้งแรก แต่ที่เคยขึ้นมาเพียงไม่กี่ครั้งก็เป็นการบินระยะแค่ กรุงเทพ-เชียงใหม่
เครื่องออกจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพ ตอน สี่ทุ่ม พ่อ แม่ กับหลาน มาส่งที่สนามบิน เช็คอิน...โอ้ น้ำหนักกระเป๋าเกิน T-T เสียมาม่าไปหลายซองเพราะเอามาอัดลง แบ็คแพค ได้ไม่หมด
ไม่รู้คนอื่นเค้าร่ำลาครอบครัวกันยังไง แต่สำหรับคนที่ติดบ้านเอามากๆ แค่ไปอยู่กรุงเทพไม่กี่เดือน ยังหาเรื่องกลับบ้านได้เดือนละเกือบสองครั้ง แล้วคราวนี้จะต้องไปที่ไกลมาก ไกลจนหาเรื่องกลับบ้านบ่อยๆไม่ได้ แล้วไปตั้งสามเดือนแน่ะ เศร้าแน่เลยเรา....คิดได้อย่างนี้ พอเช็คอินเรียบร้อย ก็บอกให้คนมาส่งกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องรอเป็นเพื่อน ......กลัวว่านานกว่านี้จะยิ่งทนเข้มแข็งไม่ไหว
สี่ทุ่มขึ้นเครื่องมาลงดอนเมือง เดินตามทางสำหรับไปขาออกต่างประเทศ คนเยอะจัง หาที่นั่งรอหน้าเกทได้ก็หลับซบกระเป๋าไปพลางๆ
เครื่องดีเลย์.....T-T จากที่ควรจะออกเที่ยงคืนกว่าๆ ตีสองยังเพิ่งได้ขึ้นเครื่อง ระหว่างรอก็มองคนที่จะร่วมไฟล์ทไปพลางๆ คนไทยเยอะเหมือนกันแหะ จะได้นั่งติดกับคนไทยไหมน้อ แต่เอาเข้าจริงไม่ได้นั่งติดใครเค้าเลยค่ะ ดีจังๆ ไม่ดีอยู่หน่อยก็ตรงที่นั่งด้านหลังเป็นพ่อกับลูกชาว....อะไรสักประเทศ ที่แน่ๆไอ้เด็กนี่ไร้มารยาท(มาก) เตะเก้าอี้ตลอด ขนาดหันไปมองหน้าแล้วก็ยังไม่เลิก พ่อเด็กก็เหมือนเตือนหน่อยๆไม่ได้จริงจังอะไร แย่จังไอ้เราก็ดันเป็นพวกวีนไม่เป็น แค่มองหน้านี่ก็เต็มมาตรฐานการโกรธของตัวเองแล้ว
อาหารบนเครื่อง...ตอนตีสองกว่าๆเนี่ย ง่า ไม่รู้เพราะไม่อร่อยจริงๆ หรือ เพราะมันเลยเวลากินมาโขแล้วเลยกินไปได้แค่กะว่าหายหิวไปได้สักพักใหญ่ก็พอ
กินเสร็จ จะนอนก็ไม่ได้ (ไอ้เด็กนั่นยังไม่เลิก) ไม่ง่วงด้วย เลยเขียนบันทึก กับ โปสการ์ด ดีกว่า ความที่ปกติไม่เขียนบันทึกประจำวัน เลยเขียนได้สั้นๆ บ่นเด็กไปหลายบรรทัด เบื่อ อ่านหนังสือดีกว่า งัดหนังสือนิยายที่เอาติดมาสองเล่ม มาอ่าน เลือกเรื่อง "ทะเลหัวใจที่ปลายฟ้า" มาอ่านก่อน น่ารักดีเหมือนกัน อ่านไปได้หน่อย พี่นางฟ้า(ไม่แน่ใจว่าเรียกเค้าว่าพี่จะได้ไหมนะเนี่ย -"-) ก็เดินผ่านมาถามว่าสนใจน้ำอะไรเพิ่มไหม เลยได้น้ำเปล่ามาแก้วนึง พร้อมกับคำถามว่า "สนุกไหมคะน้องเล่มนี้ เรื่องเป็นยังไงเหรอ"
พอดีอ่านไปได้ไม่เยอะ ไม่กี่หน้าเลยเล่าคล้ายๆที่อยู่บนปกหลังให้พี่นางฟ้าฟัง แถมความเห็นส่วนตัวนิดๆว่าน่าจะเป็นแนวหวานน่ารักใสไร้มลพิษ ตามสไตล์แจ่มใส
แปลกดีนะ หลังจากนั่งเงียบมาหลายชั่วโมง เพราะไม่รู้จะไปพูดกับใคร พอได้พูดภาษาไทยแค่ไม่กี่ประโยค กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที ขอบคุณค่ะ พี่นางฟ้าใจดี (.....บินกับรักคุณเท่าฟ้าน่ะค่ะ)
หลังจากหลับๆตื่นๆ พักใหญ่ ตอนลุกไปห้องน้ำเห็นผู้โดยสารคนอื่นเปิดช่องกลมๆตรงหน้าต่างที่ติดกับห้องน้ำดูอะไรไม่รู้ พอออกมาเลยดูมั่ง สิ่งที่ได้เห็นคือ แสงอาทิตย์แรกของวัน ทอสีส้มอาบปุยเมฆที่เกาะกลุ่มกันอยู่ให้ดูนวลตา..สวยจับใจ
**จริงๆแล้วรูปนี้เป็นพระอาทิตย์ตกดิน...อาบทอสายหมอกค่ะ เป็นรูปตอนไปเที่ยว sattel หาดูได้จากบล็อกลิสท์ทางขวามือค่ะ**
เพราะย้ายของบางส่วนจากกระเป๋ามาใส่แบคแพ็ค ทำให้ไม่สามารถเอากล้องสุดที่รักออกมาใช้งานได้ เลยได้เพียงแค่ถ่ายทอดความประทับใจไว้ด้วยสายตา...บันทึกไว้ในสมอง...แบคอัพไว้ในหัวใจ
เวลาผ่านไปสิบกว่าชั่วโมง ก็เริ่มมองเห็นแผ่นดินในรูปแบบที่ไม่คุ้นตา ทุ่งหญ้าหรือทุ่งนาปลูกอะไรสักอย่าง สลับสีสวยงามมองเห็นไกลลิบๆเบื้องล่าง เสียงประกาศจากนักบินบอกอีกสักครู่เราจะบินผ่านเทือกเขาแอลป์
....ภูเขาสูง เรียงกันเป็นสันยาว ทอดผ่านไปตามผิวโลก ดูแข็งแกร่ง โดยมีสีขาวของหิมะปกคลุมช่วยลดความแข็งกระด้างลงได้
และแล้วเสียงนักบินก็ประกาศอีกว่าอีกไม่นานเราจะถึงจุดหมาย...ท่าอากาศยานเมืองซูริค
ก่อนมาโดนขู่(จริงๆแนะนำ) ว่าสนามบินเพิ่งเปลี่ยนระบบการรับกระเป๋าพอดี ต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปอีกเทอร์มินัลนึงเพื่อรับกระเป๋า
เอาละวา.....เด็กบ้านนอกอย่างเราจะหลงทางไหมหล่ะนั่น พอเครื่องจอด ได้กระเป๋า(แสนหนัก)มาสะพายหลังเรียบร้อยก็ดำเนินการตามวิธีที่คิดไว้ทันที เดินตามพี่คนไทยสักคนไปก็แล้วกัน แล้วอาศัยรอยยิ้มเป็นใบเบิกทาง
.....ตีสนิท....
โชคดีที่เจอพี่คนไทยคนนึงเค้าอยู่สวิสนี่หล่ะ แล้วกลับไปเยี่ยมบ้าน เลยอาศัยเดินไปกับพี่เขา .... --" กลับกลายเป็นว่าพี่เขากลับไปหลายเดือน...ยังไม่เคยใช้ระบบรับกระเป๋าใหม่นี่เหมือนกัน ดีว่า ทีมพี่นางฟ้าคงพอจะรู้ว่าอาจจะมีปัญหาหลงทางได้ เลยมีคนช่วยนำไปว่าต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ไหน คันไหน
ในที่สุดก็รอดมาจนถึงจุดรับกระเป๋าได้ คุยกับพี่คนไทยไปพลางๆ พี่เค้าอยู่ซูริคเหมือนกันแต่ไม่ใช่ในตัวเมือง
พอกระเป๋ามาก่อนของพี่เขา ก็เลยยืนรอเป็นเพื่อน แล้วเดินออกมาด้วยกัน อาจารย์มารอรับอยู่แล้วเพราะเครื่องดีเลย์อาจารย์เลยมารอได้ทัน
ตอนที่เดินลากกระเป๋าข้ามมาขึ้นรถไฟอีกอาคารนึงเพื่อไปยังมหาวิทยาลัยที่จะต้องไปทำวิจัย มีช่วงสั้นๆ ที่ต้องเดินออกจากอาคารนึง มาอีกอาคารนึง ...ได้สัมผัส อากาศประเทศนี้ครั้งแรก พร้อมๆกับความคิดว่า ไม่หนาวนี่หว่า
อาจารย์บอกว่าวันนี้เพิ่งมีแดดวันแรกในรอบสัปดาห์เลยก็ว่าได้ โชคดีจริงๆเลยเรา
ก่อนจะขึ้นรถไฟ อาจารย์พาไปหาอะไรรองท้อง ได้แซนวิชชิ้นนึง กับชาแก้วใหญ่มาก (เน้น ใหญ่มาก) ทั้งๆที่ตอนสั่งไม่เอากาแฟเพราะมองรอบๆกาแฟแก้วใหญ่กลัวจุก ชาร้อนน่าจะกินได้สบายท้องกว่า ชอบวิธีใส่น้ำตาลมากเลยค่ะ บ้านเราเวลาใส่น้ำตาลเราก็ตักเป็นช้อนๆใส่ไปใช่ไหมคะ แต่ที่นี่เค้าให้เป็นอมยิ้มมาค่ะ คือเป็นก้านแบบก้านอมยิ้มอันใหญ่หน่อย มีน้ำตาลเกาะเป็นผลึก รวมเป็นก้อนกลมๆที่ปลายด้านนึงของก้าน เอาไว้คนๆไปในชาร้อน น้ำตาลก็จะเริ่มละลายทีละนิดๆ หรือใครอยากให้หวานเร็วๆก็อม อมยิ้มไปเลย (ฮา อันนี้ล้อเล่น หรือเค้าทำกันจริงๆก็ไม่รู้สิ)
จบบล็อกนี้ที่ตรงนี้ก็แล้วกันนะคะ ไม่งั้นคงต้องเล่ายาวสามเดือนแน่ๆเลย ^ ^
***รูปประกอบถ่ายเอง แต่ใช้กล้อง Samsung V3 นะคะ***
Create Date : 17 กันยายน 2549 |
|
6 comments |
Last Update : 17 กันยายน 2549 20:09:11 น. |
Counter : 1437 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: zMee 17 กันยายน 2549 21:04:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: Jeedy IP: 58.64.110.84 17 กันยายน 2549 21:44:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: opleee 17 กันยายน 2549 22:17:52 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เมืองช็อกโกแล็ตเลยนะนั่น