นิยายชีวิต กับการมีสติ
คำว่าสตินี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ และสามารถช่วยให้เราจดจำเรื่องราวที่ผ่านมา แม้นานได้ แต่เราก็มักจะหลงลืมขาดสติไปด้วยเพราะจิตนี้มีปรกติไหลไปตามอารมณ์ ซึ่งก็มีทั้งอารมณ์ที่ผ่านมาแล้วในอดีต อารมณ์ที่กำลังมาไม่ถึงไม่แน่นอนในอนาคต และอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ในอารมณ์ของจิตทั้งสาม อารมณ์ในปัจจุบันเท่านั้นที่จิตรู้แล้วสติจึงจะเกิดขึ้นมาได้ ส่วนอารมณ์ในอดีตและอารมณ์ในอนาคตที่จิตไปคิดนึกนั้น ไม่อาจทำสติเกิดได้เลย การมีสติจำต้องรู้สึกเท่านั้น การคิด การนึกไม่ได้เป็นสติ แต่เอาการคิดการนึก นำมาพิจารณาให้เกิดปัญญาได้ แต่ในที่นี้จักขอกล่าวถึงการมีสติแต่เพียงนั้น
ปัญหาคือจะทำอย่างไร ในการให้มีสติเกิดขึ้นได้อย่างยาวนาน และสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังปรากฎมีขึ้นอยู่ในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน คำตอบคือต้องจดจำ สังเกตุ บันทึก สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้ได้มาก สิ่งใด เรื่องใดที่เป็นสิ่งควรจำควรให้ความสำคัญ ก็ยิ่งต้องมีการจดจำรายละเอียดของสิ่งๆนั้นให้ได้มาก
และจะมีการจดจำ สังเกตุอย่างไร ที่จะช่วยเกื้อหนุนการมีสติแบบ ง่ายๆ บ้าง? เราทุกๆคนคงได้เคยอ่าน นิยาย นวนิยาย หรือเรื่องสั้น ต่างๆ มากันมากบ้าง น้อยบ้าง เราจะสังเกตเห็นได้ว่า ผู้แต่ง ต้องมีความฉลาดในการแต่งเรื่อง ให้ผู้อ่านได้เห็นภาพจากคำต่างๆ ที่ผู้แต่งสรรสร้างขึ้น
แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นอาจจะจริง หรือไม่จริง ก็ไม่สำคัญ ความสำคัญคือเราจะใช้ประโยชน์อะไรได้ไหม จากนิยายหรือเรื่องแต่งต่างๆเหล่านั้น ซึ่งต้องขอตอบว่าได้ถ้านำมาแต่งเป็นนิยาย ,นวนิยาย ชีวิตของเรา แต่หากจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ตรง และถูกต้อง ก็ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ความจริงเรื่องของสติ เป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน (ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เวลานี้ ขณะนี้ วินาทีนี้) การที่เราจะแต่งเรื่องราวในลักษณะนี้ จะต้องใช้ในเวลาที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ได้หมายถึงว่า คิดแต่งเรื่องที่ผ่าน หรือเรื่องที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต เช่น เวลาทานข้าว เราอาจเคยทานตามปรกติไม่ได้รู้สึกอะไรมาก บางครั้งก็กำลังทานอยู่ แต่ใจกลับไปคิดนึกถึงเรื่องอื่นๆเสีย แต่สมมติว่า เรากำลังจะทานข้าวกับแกงส้ม เราก็แต่งนิยายขณะนั้น (อาจแตกต่างกันไป) เช่น ในขณะที่ผม,ฉัน,ดิฉัน นั่งลงกำลังจะทานข้าวมื้อเย็น สายตาทั้งสองข้างของ ผม,ฉัน,ดิฉัน มองเห็นแกงส้มกุ้งอันร้อน วางลงอยู่บนโต๊ะ หรือ ขณะเวลาทำงาน มีโทรศัพท์ดังขึ้นเราได้ยิน แต่เพื่อนร่วมงานไปรับสายแทน ขณะนี้ผม,ฉัน,ดิฉัน กำลังนักเขียนรายงานถึงผู้จัดการเรื่องการร้องเรียนของพนักงาน ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชานิ เพื่อนร่วมงานของผม,ฉัน,ดิฉัน ไปรับสายแทน
หรือ ขับรถอยู่ดีๆ ก็มีคนขับรถตัดหน้าเราและเรารู้สึกไม่พอใจ ขณะนี้ผม,ฉัน,ดิฉัน กำลังขับรถ ทันใดนั้นก็มีรถเก๋ง กระบะ บรรทุก สีนั้น หมายเลขทะเบียนนั้น ได้ขับรถของเขา ตัดหน้ารถของผม,ฉัน,ดิฉัน ผม,ฉัน,ดิฉันรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็รู้สึกว่าความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี ผม,ฉัน,ดิฉัน จึงละความโกรธ ความไม่พอใจนั้นเสีย อย่างนี้เป็นต้น สิ่งที่ผมยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง และเปรียบเทียบนั้น จะต้องใช้ให้เกิดขึ้นในเวลานั้นทันที แต่ตัวอักษรที่เขียนนี้ จำต้องเขียนไปตามลำดับ ไม่ได้มีความหมายว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นก่อนแล้วมาแต่งเป็นนิยายในตอนหลัง แต่อย่างใด
และหากนิยายชีวิตที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆกับเรา เราทำคล้ายกับนิยาย จะทำให้เราจดจำ เรื่องต่างๆได้อย่างแม่นยำ เมื่อเวลาในอนาคตหากเราจะใช้ประโยชน์ สติก็คือปากกาของจิตได้บันทึกไว้ที่จิตของเราแล้ว อาการหลงลืมก็จะลดน้อยลง การจดจำเรื่องในอดีตก็จะแม่นยำ และเมื่อจะนำมาตัดสินใจเรื่องใดๆ ก็สามารถนำเรื่องราว มาเป็นเหตุ มาเป็นผล ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจให้มีความถูกต้องขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรู้จักเป็นผู้ฉลาด โดยเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นให้แต่งเหมือนนิยายว่าเราไม่ได้อ่านเอง (เพราะเราจะให้ความสำคัญในเรื่องราวของปัจจุบันลดลงไป) แต่กำลังมีบุคคลอื่นกำลังอ่านอยู่ กำลังสนใจนิยายชีวิตของเราที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ซึ่งนั่นก็จะช่วยให้เรารู้สึกว่าต้องเก็บรายละเอียดต่างๆทั้งในความรู้สึกของจิตใจและของกาย รวมไปถึงบุคคล สถานที่ วันเวลา ซึ่งยิ่งเก็บรายละเอียด(ที่สำคัญ)ได้มากเท่าใหร่ ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์เท่านั้น เพราะความจริงคนที่อ่าน และใช้ประโยชน์จริงๆก็คือตัวของเราเอง
(คำว่านิยาย ผมนำมาเปรียบเทียบเท่านั้น จะใช้คำอื่นใดก็ได้ ความสำคัญเพื่อเจริญสติเท่านั้นเอง) .................................................................... สำหรับนักปฏิบัติธรรม หากจะนำไปใช้กับวิปัสสนา ก็เพียงเปลี่ยนจากคำว่า ผม,ฉัน,ดิฉัน เป็น "รูป" แทนกาย เปลี่ยนจาก จิตใจ เป็น "นาม"
...ขออนุโมทนาสาธุครับ
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2552 10:36:26 น. |
Counter : 615 Pageviews. |
|
|
|