สาวป.โท นักเขียนมือใหม่ เขียนจากชีวิตจริง ประสบการณ์จริง 100%
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
22 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
สาวป.โท แฉชีวิตในตลาดสด ตอนที่ 1-4

ตอนที่ 1 ชีวิตช่างผกผัน
ใครจะเชื่อ..ว่าฉันคนนี้ คนที่จบจากโรงเรียนมัธยมชื่อดังย่านสีลม โรงเรียนที่บรรดาพ่อแม่ต้องไปนั่งเฝ้าหน้าห้อง...เพื่อให้ลูกได้เข้าเรียน คนที่ได้รับรางวัลเรียนดีทุกปีจากโรงเรียนที่เข้ายากแสนยาก และคนที่สอบเข้ามหาลัยชื่อดังที่ทุกคนใฝ่ฝัน คณะที่เข้ายากแสนยาก จะต้องมีชีวิตผกผันมาอยู่ในตลาด...ตลาดที่เรียกได้ว่ามันเป็นตลาดสดจริงๆ...กลิ่นน้ำเน่านอง กลิ่นจากกองขยะและเสียงโวยวาย มันช่างต่างจากชีวิตของฉันที่เคยมีเหลือเกิน...แล้วตกลงมันดีหรือไม่ดีกันแน่..มันทำให้ฉันรู้อะไรเพิ่มขึ้นหลายๆอย่าง...เรียนรู้..และเป็นประสบการณ์ที่แปลกที่แม้แต่ในโรงเรียน หรือมหาลัย หรือการออกภาคสนามก็ไม่อาจสอนได้...

ฉัน..ไม่อยากยอตัวเองหรอกนะว่า ค่อนข้างเป็นคนเรียนเก่งคนหนึ่ง เรียกได้ว่าอยู่ในระดับต้นๆของชั้น บางครั้งก็ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง เลยทำให้รู้สึกลำพองตัวหน่อยๆ คิดอยู่เสมอว่า ฉันต้องเรียนหมอ เรียนอะไรก็ได้ที่คนเก่งๆเค้าเรียนกัน เคยมีเพื่อนสนิทสมัยประถมคนหนึ่งเคยบอกกับฉันว่า อ...เธอเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงมากเลยนะ..

แล้วก็เป็นอย่างๆที่ทุกคนคาดการณ์รวมทั้งตัวฉัน..พบใกล้จบชั้นมัธยมต้น ฉันได้ไปสอบเทียบมัธยมปลายแล้วก็ได้ประกาศนียบัตรมา โอ..มันช่างง่ายดาย..ตอนนั้นฉันอยู่มัธยมปีที่ 4 แต่มีประกาศของคนจบมัธยมปีที่ 6 แล้ว (เรื่องจริงนะ)

ใจฉันตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ไปเรียนสอบเทียบตามเพื่อนๆ แต่พอได้มันมาจริงๆ ก็ตามๆเพื่อนไปสอบเอ็น แหม..ใครจะไปคิดว่ามันจะติดละ..แถมยังไปติดมหาลัยที่เด็กทุกคนอยากจะเข้าด้วย..ไม่อยากเชื่อตัวเองเลย...ตอนนั้นเวลาที่รู้ผลเอ็น..ก็เป็นอีกเวลาที่ฉันต้องตัดสินใจว่าจะเรียนมัธยมต่อ..หรือไปเรียนมหาลัยเลย..ด้วยความที่เป็นเด็ก ยังเด็ก ก็คิดแค่ว่า..เออ..เราไปเรียนมหาลัยเลยดีกว่า เท่ห์ดี..เป็นเด็กน้อยในหมู่คนแก่ คงมีคนเอ็นดูเราแน่ๆ

เดี๋ยวจะไม่เข้าเรื่องของตลาดสดสะที คนอาจสงสัยว่าเอ๊ะ มันวนเวียนๆอยู่แต่ในสมัยเด็ก ไหนละตลาด..คือ..อยากจะบอกว่าการเข้ามหาลัยนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด และมันมีผลอย่างมากที่ทำให้เรากลายมาเป็นเช่นฉะนี้...ด้วยความที่อ่อนต่อโลก ไม่เคยสัมผัสชีวิตวัยรุ่นมัธยมปลาย แบบที่ใครๆเค้ามีกัน แต่ก้าวกระโดดไปสู่การเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ทำให้อะไรตอนเรียนหลายๆอย่างมันไม่ค่อยเข้าท่าเท่าที่ควร หรือมันไม่เป็นไปอย่างที่ฝันๆไว้

เพราะเราเห็นการทำกิจกรรมเป็นเรื่องที่ดูแปลกๆ เพราะเราไม่ได้ผ่านความสนุกของการใช้ชีวิตวัยรุ่น เราเลยไม่สนใจกิจกรรมมากเท่าไรนัก เรียนๆๆๆอย่างเดียวเพื่อเอาเกรด



เราใช้ชีวิตในมหาลัย 8 ปีเต็ม ขอย้ำ ว่าเต็มๆ ปริญญาตรี 4 ปี ปริญญาโท 4 ปี ไอ้ตรงปริญญาตรีนี่ก็ไม่แปลกเท่าไร แปลกตรงที่ปริญญาโทนี่สิ ทำไมถึงเรียนตั้ง 4 ปีเต็มๆ สาเหตุไม่ใช่ใดอื่น ก็เพราะเรียนไป ขายของในตลาดไปค่ะ

วันหนึ่ง..ขณะที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่ในบ้าน เสียงของพ่อตะโกนมาบอกว่า เอ้า..พรุ่งนี้เราจะย้ายบ้านกัน เราจะย้ายบ้านไปรวมกับโรงงาน เอ..งง..มันคืออะไร
ลืมบอกไปค่ะ เราก็เป็นลูกผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่ได้เรียนโรงเรียนมัธยมสุดหรูย่านสีลมบางรักหรอกค่ะ..ที่บ้านเรา..คุณพ่อคุณแม่มีกิจการโรงงานเป็นของตัวเอง เดิมที โรงงานอยู่ที่หนึ่ง บ้านอยู่ที่หนึ่ง พ่อเราหุ้นอยู่กับลุงของเราเอง ลุง คือพี่ชายแท้ๆของแม่นะค่ะ แล้วสาเหตุที่ย้ายบ้านนะเหรอ มันก้อคือว่า...

วันหนึ่ง..ลุง..ที่ฉันเคยเรียกว่าลุง...ตอนนี้ขอเรียกว่ามัน..แอบไปทำธุรกิจแบบเดียวกันกับที่ทำอยู่ แต่คนละที่ และมาขอแยกตัว โดยทิ้งให้พ่อและแม่ฉัน(ซึ่งเป็นน้องแท้ๆ) โดดเดี่ยว คว้างในวงการธุรกิจที่ไม่คุ้นเคย เรื่องของเรื่องคือมันซับซ้อน ประมาณศึกสายเลือด..ซึ่งไม่ขอพูดถึง ณ ที่นี้ แต่มันก็มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับฉันต่อไป

สรุป..พ่อต้องมาทำธุรกิจเอง แบบไม่มีคนช่วยนอกจากแม่..วันนั้นแหละ..ที่พ่อบอกว่า ..ย้ายบ้านกันเถอะ เอาบ้านไปรวมกับโรงงาน พูดง่ายๆคือ ต่อจากนี้ไป เราจะกินนอนที่โรงงานนั่นเอง

ตอนนั้นเอง ที่ทำให้ชีวิตมหาลัยที่เกือบจะหรูและเฟรชสุดๆ (เพราะยังเด็ก)ของฉัน เปลี่ยนไป..ตอนนั้น ฉันเรียนปริญญาตรีปี 4 แต่ด้วยสภาวะทางบ้าน ทำให้ต้องเรียนไป ออกมาช่วยพ่อหาทางแก้ไขเรื่องธุรกิจให้ไปรอด เท่าที่กำลังตัวเองจะทำได้ (ต่อตอนที่ 2)

ตอนที่ 2 – ก้าวแรกสู่การขายของ

ฉันและน้องสาว มานั่งคิดกันว่า จะทำยังงัยดี จะช่วยพ่อยังงัย ตอนนี้ในโรงงานมีสินค้าในมือ (ขอไม่บอกนะค่ะ ว่าคืออะไร เดี๋ยวแม่ค้าจำได้หมด เพราะกำลังจะมาเผยไต๋หลายๆอย่างในตลาด)
อะ ต่อ มีสินค้าในมือ แต่ไม่มีลูกค้า ไม่มีตลาด ตอนนั้น การเปิดท้ายรถขายของเพิ่งเริ่ม ยังไม่นิยมเท่าปัจจุบัน ฉันเลยตัดสินใจ เอาของขึ้นท้ายรถ ขับตระเวนไปตามร้านค้าต่างๆ เพื่อเสนอขาย แบบว่า ราคาจากโรงงานนะค่ะ สนใจไหม..
จุดหมายร้านแรก..ด้วยความที่ไม่รู้ จึงมุ่งสู้ร้านใหญ่ๆ จะได้ขายได้มากๆ ลงของเยอะๆ แต่มันช่างเป็นความคิดที่ผิด ร้านใหญ่ๆมักมีขาประจำมาส่งอยู่แล้ว และมักไม่เสี่ยงที่จะเอาของยี่ห้อใหม่ๆที่ตัวเองไม่รู้จักมาอยู่ในร้าน ยกเว้น แจกฟรีค่ะ....ใครจะไปแจกฟรี...
เจ๊ : ไม่เอาหรอก ที่ลงอยู่มีเครดิต 2 เดือน ของเค้าไม่มีปัญหา เอาลงมาเดี๋ยวขายไม่ได้ ไม่มีที่ลงด้วย ของแน่นไปหมด ไม่มีเด็กจัดให้ มันกลับบ้านกันหมด
ฉัน : หนูลงให้ก่อนก็ได้ค่ะ ขายได้เมื่อไรค่อยมาเก็บเงิน ประมาณอาทิตย์หน้าก็จะมาถามเจ๊อีก (แอบตั้งเงื่อนไขว่าเครดิตอาทิตย์เดียวนะพี่ ไม่ใช่บอกชาตินี้ขายไม่ได้ก็ไม่เก็บเงิน แต่ทำฟอร์มเป็นใจกว้างไปงั้น)
เจ๊ : ไม่เอาละ ยุ่งๆมากเลยวันนี้ ของมาลงหลายเจ้า (แล้วก็ทำเป็นยุ่งๆ)
ฉัน : ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะเจ๊ (แอบคิด ทีใครทีมันละกันนะ เจ๊)

เมื่อมันไม่สวยหรูอย่างที่คิดไว้ ร้านใหญ่ๆ สี่ห้าร้านไม่เอาของ เริ่มท้อแล้ว เลือบไปมองร้านริมทางเล็กๆ เอานะ ลองโฉบเข้าไปดู..ได้ผล..เค้าซื้อเราแฮะ..แต่ซื้อน้อยมาก..จนมาถึงร้านนึง เฮียแกแนะนำว่า ทำไมไม่ลองเอาไปขายที่ตลาดละ ตรงไปข้างหน้า มีตลาดเปิดท้ายอยู่นะ ลองไปดูสิคนเยอะมาก แม่ค้าใช้......เยอะ

ขับรถตรงไปเรื่อยๆ มีตลาดตั้งอยู่ริมถนน คนเยอะมาก มากถึงมากที่สุด แม่ค้าขายของเรียงรายไปตามพื้น พอมีทางเดินให้เดินลดเลี้ยวไปมาเพื่อซื้อของ ฉันปีนไปหยิบของตัวอย่างท้ายรถ เดินดุ่มๆเข้าไปในตลาด มองหาแม่ค้าที่หน้าตาแบบว่าใจดีๆหน่อย
ฉัน – เอา...ไหมค่ะ หนูมาจากโรงงานเอง ราคา...เองค่ะ
แม่ค้า – ไม่เอาจ๊ะ เพิ่งซื้อไป
ฉัน – ขอบคุณค่ะ..พลางเดินต่อไป ได้ยินเสียงเรียก
... – หนูๆเท่าไร
ฉัน – 30 บาทค่ะ
แม่ค้าอีกคน – เอาอันนึง (แล้วก็ทำท่าแอบๆหยิบเงิน แอบๆเอาของไป เหมือนกลัวใครเห็น)
อารามดีใจที่ขายได้ รีบวิ่งกลับไปที่รถ ไปเอามาเพิ่ม คราวนี้เอามาเยอะขึ้น ให้น้องสาวช่วยแบกมาด้วย
ฉัน+น้อง – เอา ...ไหมค่ะ
เงียบ.....สักพักมีแม่ค้าคนนึง กวักมือเรียกมาไกลๆ
แม่ค้าคนนั้น – หนูๆ ตลาดนี้เค้ามีคนคุมนะ แล้วไอ้นี่นะ..(มือชี้มาที่ของ) เค้าก้อขายอยู่ เค้าบังคับว่า ถ้าใครจะเช่าที่ในนี้ ต้องมาซื้อเค้า ห้ามซื้อคนนอก แง่ว..สายตามองตามไปที่มือแม่ค้าคนนั้นชี้ เห็นมีคนดำๆตัวใหญ่ๆกำลังขายของวุ่นอยู่ที่แผงแบบว่าทำเลดีสุดๆ ทองเต็มตัว แต่หน้าดุดัน สงสัยคงยังไม่ทันเห็นเรามาเดินขาย

จากนั้น ฉันและน้องก็รีบเผ่นออกมาไม่คิดชีวิต ใจก็นึกว่า หวิดไปแล้วเรา เพิ่งรู้นะเนี่ย ตลาดมันมีคนคุมด้วยสิ

เมื่อการขับรถไปตระเวนขายของไม่ดีอย่างที่คิดไว้ ก็เริ่มคิดแผนการใหม่ว่า จะทำยังงัยดี ใจหนึ่งก็เบื่อ ทำไมตูต้องมาทำแบบนี้นะ ทำไมไม่ไปเดินสยาม ทำไมไม่ไปนั่งยืดผมในร้านสุดฮิต (ตอนนี้ไม่ฮิตแล้ว โดนด่าเยอะ) ทำไม..ทำไม ว่าแล้วก็พลางเดินไปร้านค้าแถวบ้านหาซื้อน้ำกิน เพราะหิวและร้อน

ตอนกำลังจ่ายเงิน ตาก็เลือบไปเห็นสินค้าที่เหมือนกับที่บ้านผลิต แต่คนละยี่ห้อ ปากก็พูดเล่นๆว่า พี่ซื้อหนูไหม หนูมีขายถูกๆเอง ด้วยความที่พี่เค้าเห็นเราเป็นลูกค้าประจำมานาน ก็เลยตกลง บอกให้ไปเอามา เราก็ดีใจนะ รีบวิ่งกลับไปที่บ้านไปเอาของมาส่ง ในใจก็นึกได้ว่า เอ๊ะ ทำไม เราไม่ลองเปิดตลาดจากแถวบ้านๆที่เราพอจะรู้จักหน้าแม่ค้าก่อนนะ ทำไมต้องขับรถไปไกลๆ ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า วันเสาร์ที่จะถึงนี้ มีตลาดนัดใกลบ้านนี่นา ไปเดินประจำทุกเสาร์ ลองไปดูดีกว่า

ตอนที่ 3 – จุดเริ่มต้นในตลาดนัด

และแล้ววันเสาร์ก็มาถึง เราเดินถือของที่ขะขายไปพร้อมกับการจ่ายตลาด พอไปถึงร้านที่พอจะรู้จัก ก็เสนอขายของ มีการซื้อบ้างไม่ซื้อบ้าง แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง พอสักพัก (ก้อประมาณ 1-2 เดือน) ของเริ่มติดมากขึ้น แม่ค้าซื้อกันเยอะขึ้น การเดินถือไป เดินไปเดินมาเพื่อเอาของในรถชักจะไม่ไหว จึงได้เริ่มคิดแผนการอำนวยความสะดวกตัวเองและน้องมากขึ้น โดยการเอารถเข็นใส่ตะกร้า และเอาของใส่มาทีเดียวเยอะๆ แล้วไปเข็นขายในตลาด จุดนี้เอง ทำให้เรารู้ถึงสัจธรรมอย่างหนึ่งของแม่ค้า

เรื่องสำคัญมากๆของแม่ค้าทุกคน คืออะไร รู้ไหมค่ะ

ใครไม่เคยขายของในตลาดจะไม่รู้ อะไรที่สำคัญสำหรับแม่ค้ายิ่งกว่าทอง ไม่ใช่สามี ไม่ใช่ลูกค้า (ไม่มีหรอกค่ะ ลูกค้าคือพระเจ้า) แม่ค้าส่วนใหญ่ 80 % รวยๆทั้งนั้น ออกรถกันเงินสด แต่ทำเงียบๆ ซึ่งเป็นเทคกะนิคของการขายอย่างหนึ่ง ทำจนๆเข้าไว้ แล้วจะขายออกเอง (จะพูดถึงต่อไป)
เฉลยค่ะ...ที่ ..ที่คะ...ที่ขายของ เป็นเช่นดังยิ่งกว่าทองคำ 99.99 ถึงขนาดใครล้ำที่ใครไป เพียงแค่1 มม. แทบจะฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่ง

เมื่อเราเริ่มเข็นรถไปขายของ คนหลายคนเริ่มสนใจ คนซื้อของเดินไปเดินมา แรกๆก็มองผ่านๆ แต่เมื่อมีคนหนึ่งมาซื้อ สองคนมาซื้อ สามคนสี่คนมามุง ที่เหลือๆจะมามุงกันอัตโนมัติแบบว่า มีอะไรกันเหรอ มีอะไรกัน.. น่าจะเคยๆเห็นบ้างที่มุงๆตามตลาด ก็ใช้เทคนิคนี้ละค่ะ บางคนจ้างคนมามุงก็มี
ครั้งหนึ่ง..คนมุงกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนรถเข็นเราไปบังหน้าร้านเจ๊ขายผักคนหนึ่ง เจ๊แกโวยวายใหญ่ (ทั้งๆที่เรายืนขายบนถนน )ว่าไปบังหน้าร้าน ลูกค้าเข้าร้านไม่ได้ เราก็ต้องรีบหลบรถเข็นไป ทำหน้าไร้เดียงสา แบบว่าหนูไม่รู้ค่ะ ขอโทษนะค่ะ ในใจก็นึกว่า อีเจ๊นี่ งกจริงๆ ลูกค้าไม่เข้าร้าน ยังมาโทษ ปกติก้อไม่เห็นคนจะเข้าร้านเท่าไร (เริ่มติดๆนิสัยแม่ค้าแล้ว)
ทีนี้ พอเกิดปัญหามากๆเข้า การขายของโดยใช้รถเข็น เข็นเข้าไปก็ไม่ดี เพราะบางทีก็เข็นไปๆมาๆ มันก็ไม่สะดวก ไหนจะบังหน้าร้านเจ๊ๆทั้งหลาย (ที่ใจดำ) และไหนจะเข็นหลบรถที่เข้าออก จึงเริ่มคิดแผนการหาหลักแหล่งลงที่ดีกว่านี้

หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่า แล้วเรื่องเรียนละ ไปถึงไหนแล้ว
ขอบอกว่า ตอนที่กำลังเริ่มหาหลักแหล่งอยู่นี่ กำลังเรียนป.โทอยู่ค่ะ ต่อที่เดิม จากที่จบตรี เนื่องจากเกรดถึง จึงสามารถต่อโทสาขาเดิมได้ทันที จริงๆสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากจบตรี เจอกับพิษเศรษฐกิจไม่ดี กับกำลังไม่อยากหาอาชีพอื่น นอกจากช่วยพ่อปล่อยของ เปิดตลาด เลยเรียนต่ออะค่ะ ตอนนั้นยังเอ๊าะนะค่ะ สำหรับคนจบตรี

ช่วงนี้ขายด้วยรถเข็นไม่ดีอย่างที่บอก เพราะต้องหลบหลายสิ่งที่น่ากลัวในตลาด หน้าตาบริสุทธิ์ และดวงตาใสซื่อ บวกกับความไฮนิดๆ ใช้ไม่ได้ในการขอความเห็นใจจากแม่ค้าด้วยกัน ย้ำเลยว่าไม่มีทาง ความรู้ที่ใช้มาตอนเรียนนอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังไม่สามารถมาอวดอ้างได้ในตลาด ความน่าสงสารและความจนเท่านั้นที่แม่ค้าจะมองเห็นมา

ประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้รู้ว่า แม่ค้าช่างเห็นใจและขี้อิจฉาอย่างยิ่งยวด คือ มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากที่ยังหาหลักแหล่งไม่ได้ เมื่อของในรถเข็นหมด เราจึงเดินไปเอาของที่รถเรา และวันนั้น ช่างบังเอิญอย่างมากที่เราเอารถเก๋งมา ขอย้ำ รถเก๋งที่ว่าไม่ใช่ปอร์เช่ หรือรถราคาเป็นล้านนะ แค่รถเล็กๆเครื่อง 1400-1500 แต่บังเอิญอย่างที่สอง คือมีแม่ค้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกค้ามาหลายงวด และซื้อเพราะความสงสาร (เพราะเค้าเคยบอกว่า สงสาร ช่วยซื้อเด็กๆ 2 คน มาขาย ตากแดดกัน) เดินมาเห็นรถเราเข้าพอดี

จากสายตาที่เค้ามองมา ภาพที่เรากำลังเอาของออกมาจากรถคันน้อยๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรถเก๋ง (สำหรับแม่ค้า รถเก๋งก็คือรถเก๋ง เหมือนๆกัน คือ แพงมากถึงมากที่สุด ต้องรวยถึงซื้อได้) ขอตั้งชื่อว่าป้าลำใยนะค่ะ (เพราะเค้าขายน้ำลำใย)

ป้าลำใย ทำหน้าตกใจสุดขีด ปานกับว่าเรากำลังงัดรถเราเอง แล้วก้อมองเราจนเหลียวหลัง แล้วก้อทำปากขมุบขมิบอะไร ในใจเราตอนนั้น..ไม่ได้คิดไรเลย...เพราะเรายังไม่เข้าถึงสัจธรรมของแม่ค้าดีพอ...

ป้าลำใย..ทำพิษ....
เสาร์ต่อมา...เราเอาของมาขายตามปกติ ทุกอย่างปกติมาก..ผิดอย่างเดียว คือ ป้าลำใยและแผงข้างเคียงไม่ซื้อ ด้วยสาเหตุที่ว่า “มีแล้ว..ยังมีอยู่..ซื้อแล้ว” ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าของมันเกิดกันได้ แต่ความจริงกลับเปิดเผยเมื่อเราเดินผ่านหลังแผงของป้า (ที่เคยแสนดี) ได้ยินเค้าพูดกะแผงข้างๆประมาณว่า “รวยแล้ว อย่าไปอุดหนุนเลย”

ตอนนั้น เราถึงบางอ้อว่า เอาเข้าแล้ว มีรถมันรวยตรงไหน รถยังผ่อนไม่หมดนะป้า ที่มาขายของนี่ก้อเอาเงินไปผ่อนรถนะ ไม่ใช่มาหาที่โชว์รถ เฮ้อ...คิดได้งัยละเนี่ย...และตั้งแต่นั้นมาบรรดาป้าๆที่ขายของแผงใกล้ป้าลำใยรวมถึงป้าลำใยที่แสนใจดีคนนั้น ที่เคยตักย้ำลำใยให้เนื้อเยอะคนนั้น ..ก้อเลิกซื้อของๆเราเลย ด้วยไม่มีสาเหตุ (แต่เรารู้สาเหตุ) และนับแต่นั้น ไม่เคยมีแม่ค้าคนไหน ได้เห็นรถเก๋งเล็กๆของเราอีกเลย ถ้าจำเป็นต้องเอาไปจริงๆ ก็เอาไปจอดไกลๆ ไปซ่อน รีบลงจากรถอย่างเร็วประหนึ่งติดเราเค้ามาไม่ใช่ของหนูนะป้า...และหนูก็เลิกซื้อน้ำป้าเหมือนกันค่ะ

ตอนนี้อาจารย์ที่ปรึกษาเราเริ่มบ่นเรื่องที่เราทำวิทยานิพนธ์ส่งช้า อาจทำให้เราต้องเสียเวลาเรียนนาน แต่ทำงัยได้ละ ไม่มีเวลาไปหาข้อมูลเลย ตอนนี้มองหาแต่ที่จะหย่อยก้นขายของในตลาด จะบอกว่า หัวข้อวิทยานิพนธ์ยังไม่ผ่านเลยอะ


ตอนที่ 4 พี่แตงโมแสนดี และ ลุงขายไก่แกล้งเซ่อ
การดำเนินหาแผงลงหลักแหล่งยังคงดำเนินต่อไป แล้ววันหนึ่ง ที่ที่ใช้จอดรถเข็น (หรือจุดพักรถ) ประจำ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ไปขวางแผงแม่ค้าคนไหนๆ ซึ่งถึงแม้จะมีทำเลที่ไม่ดีนัก เพราะมีกองขยะอยู่ด้านหลัง (เป็นที่ทิ้งขยะ) และมีเล้าไก่ ของลุงที่ขายไก่ชนมาตั้งไว้อยู่ข้างๆ กลิ่นขยะอ่อนๆ ยามที่มันปะทะสายลมหลังฝนตก บวกกับเสียงไก่ที่มันขันทั้งวี่ทั้งวัน ทำให้ตรงจุดนี้ เป็นรูโหว่ กลายเป็นที่สำหรับไว้ให้เราได้พักรถเข็นได้

ฉันและน้อง มานั่งคิดกันว่า ลองทำฟอร์มจอดรถเข็นมันตรงนี้เลยละกันนะ สะดวกดีไม่ต้องเข็นไปๆมาๆ เผื่อมีคนเดินไปมามาแวะซื้อได้ด้วย

และฝันก้อเป็นจริง เราจอดรถ (เข็น) ประจำตรงนั้นได้สองถึงสามอาทิตย์ โดยไม่มีใครสนใจ ขายของ ส่งของสะดวกขึ้น และเมื่อย่างเข้าสัปดาห์ที่ 4 ฝันร้ายก็มาเยือน
เจ๊ขายแตงโมหน้าตาสะสวย ที่ตั้งแผงตั้งโน่นน..ห่างไปประมาณ 20 แผง เดินมาหาเรา พร้อมกับบอกว่า “หนูๆ ที่ตรงนี้นะที่ของพี่ ปกติแฟนพี่จะมาตั้งแผงขายแตงโมอีกแผง พี่จ่ายค่าหัวเตียงไปสองแสน แล้วก้อเสียเช่าต่างหาก พอดี หน้านี้แตงโมน้อย เลยยึบเหลือแผงเดียว ถ้าน้องจะตั้งรถตรงนี้ พี่เก็บค่าเช่าถูกๆนะวันละร้อยละกัน ”
ฉัน – เอ่อ..ลดให้หน่อยได้ไหมค่ะ เพราะมาขายแปบเดียวเอง”
พี่แตงโม - งั้นน้องต้องไปตกลงกับลุงขายไก่ที่เอาไก่ชนมาวางนะว่าให้เค้าช่วยออกได้ไหม เพราะตรงนั้นก้อเขตที่พี่เหมือนกัน นั่นงัย ตั้งแต่เสาไฟฟ้าต้นนี้ไปถึงเส้นนั้น (พลางชี้มือวาดจากเสาไฟฟ้าต้นข้างหลังเรา ไปจบกับรอยปูนเล็กๆบนฟุตบาทที่เหมือนมีใครเอามีดไปขูดๆ ให้มันมีรอยนิดๆ
ฉัน – ขอหนูไปคุยกับลุงก่อนนะค่ะ
แล้วฉันก็เดินไปหาลุงขายไก่ชนที่กำลังตะโกนโหวกเหวกขายไก่ชน ให้กับพวกผู้ชายที่มาจอดรถมอเตอร์ไซด์รอเมียจ่ายกับข้าวในตลาด (ซึ่งมีเรื่องจะเมาท์ถึงคนพวกนี้ต่อไปต่อไป)
ลุง – ตัวนั้นสี่แสน ตัวนี่สามแสนห้า (จริงๆคือ 400 กับ 350 แต่ลุงคนนี้ชอบพูดเป็นหลักแสน จนป่านนี้ก้อไม่รู้ทำไม)
ฉัน – ลุงค่ะ ลุง เจ๊ที่ขายแตงโมบอกว่าจะขอเก็บค่าที่ร้อยนึง เค้าให้หนูมาเอากะลุง หนูช่วยออกให้ลุง 50 ดีไหมค่ะ แบ่งกันนะค่ะ (ใครจะว่าฉันเลวก้อช่าง แต่บอกได้ว่าการใช้ชีวิตในตลาด ต้องทันเล่ห์คน ต้องฉลาดออกแกมโกงหน่อยๆ ถึงจะเอาตัวรอด)
ลุง (ทำหน้าดุๆ) – นี่ กะแล้วต้องมีปัญหา มาตั้งไก่ตรงนี้เป็นสิบปี ไม่เคยเสียค่าที่ พอหนูมาตั้งก็มาทำความเดือดร้อนให้เลย
ฉัน (คิดในใจ) – อะไร อะลุง ตั้งมาเป็นสิบปีไม่จ่ายค่าที่ โกงนี่นา 50 บาท โวยวายจังวุ้ย
ฉัน (พูด) – ตายแล้ว เหรอค่ะลุง (ทำหน้าใสซื่อสุดๆ) งั้นเดียวหนูจ่ายให้เองดีกว่าค่ะ
ลุง - เอ่อ.. เดี๋ยวลุงช่วยออก 20 แล้วกันแล้วรีบขวักแบงค์ 20 เก่าๆยื่นมาให้
คงด้วยความกลัวความลับจะเผยว่าไม่เคยจ่ายค่าที่ เลยจ่ายค่าปิดปากมา 20 จากนั้นมา เราก็จะจ่ายเงินให้เจ๊ขายแตงโม 100 ทุกครั้งที่เจ๊เดินมาทวง ส่วน 20 บาท เราก็เอาบ้างไม่เอาบ้าง เพราะส่วนใหญ่ พอตั้งท่าจะเดินไปเอา ลุงแกก็หลับทุกที แล้วเวลาก็ผ่านไปสองสามเดือนวันดีคืนดีเจ๊แตงโมก็หายไป จะด้วยเหตุผลที่เราไม่รู้ แต่ได้ยินพวกแม่ค้านินทากันว่าหนีหนี้เจ้าของตลาดไป เจ๊แกชอบเล่น เล่นทุกอย่าง ขายได้เท่าไรเล่นหมด เล่นกันทั้งผัวทั้งเมีย ยืมเงินจากหลายแผงไป ดีนะ..ไม่มายืมเรา

ผ่านไปอีกอาทิตย์ หลังจากที่เจ๊แตงโมหายสาบสูญไป วันหนึ่งก็มีเจ๊อีกคนตัวอ้วนๆ เดินมาหา แล้วบอกว่า “เราเคยจ่ายค่าตลาดหรือยัง”

เหลือบตาไปมอง เสียงมาจากเจ๊ขายไข่จอมจุ้นนั่นเอง เจ๊คนนี้เราสังเกตมาหลายทีแล้ว จะวุ่นวาย จุ้นจ้านกับทุกๆคนที่เดินเฉียด เข็นรถเฉียด หรือแผงข้างๆเคียงเฉียดๆ ประมาณว่า ตะโกนด่าขอทานที่คลานไปคลานมาหน้าร้านว่า อย่าบังหน้าร้านมั่ง คอยเดินไปเดินมาถามรถเข็นขายของพวกขายขนมปังปิ้ง ขายผลไม้บ้างว่าจ่ายค่าตลาด ค่าที่หรือยัง คอยทำหน้าที่เก็บเงินคนพวกนั้นประหนึ่งเหมือนว่า เป็นลูกน้องเจ้าของตลาด ปากก็บอกว่าเจ้าของตลาดฝากมา จริงเท็จไม่รู้ แต่ก็อาศัยเสียงโวยวาย หน้าตาเอาเรื่องและหุ่นล่ำบึกเข้าข่มและได้เงินไปทุกครั้ง 50 บาทบ้าง 100 บาทบ้างว่ากันไป

เจ๊แกเหล่ๆเรามาหลายรอบแล้ว ตั้งกะยังหาที่ลงไม่ได้ อ้อ เราลืมบอกไปว่า ณ ตอนนี้ เราตั้งเป็นโต๊ะเล็กๆ วางของขายตรงนั้นแล้ว (ตรงที่ด้านหลังเป็นที่ทิ้งขยะ บวกกับมีไก่ชน) พูดถึงเจ๊กันต่อ เจ๊เหล่มา เราก็หลบตา ทำยุ่งๆเข้าไว้ แล้วก็ประจวบว่าวันนั้น เจ๊เดินมาถามว่า “เราเคยจ่ายค่าตลาดหรือยัง”
ฉัน – ค่าตลาด อ๋อ ค่าที่จ่ายให้พี่คนที่ขายแตงโม ทุกอาทิตย์นะค่ะ
เจ๊ไข่ - ไม่ใช่ๆ ค่าตลาด ไม่ใช่ค่าที่ เป็นค่าเก็บขยะ ค่าถนน ค่าทำความสะอาดตลาด
ฉัน (คิด) – ค่าเก็บขยะไรวุ้ย ขยะข้างหลังเหม็นจะตาย แมงวันฟุ้งเชียว ไม่เห็นเคยมีคนเก็บ ค่าถนนไรอะ งง (แต่ก้อแกล้งตีหน้าน่าเอ็นดูสุดๆ)
ฉัน - เท่าไรเหรอค่ะเจ๊
เจ๊ไข่ – 100
ฉัน – โห แต่หนูมาตั้งแปบเดียวเอง เดี๋ยวเที่ยงก็กลับแล้ว
เจ๊ไข่ – ไม่รู้สิ เจ้าของตลาด (ขาใหญ่) เค้าฝากบอกมาว่า 100
ฉัน – ค่ะๆ (รีบควักจ่ายให้ ในใจก็คิดว่าทำบุญไปละกัน เจ๊แตงโมก็หายไปแล้ว ถือสะว่านี่เป็นค่าที่ ค่าตลาด ค่านั่นนี่โน่นไป 100 ก้อ 100)

หลังจากนั้น เจ๊ไข่ก็จะตะโกนมาทุกครั้งเพื่อทวงเงิน 100 และบางครั้งฉันต้องรีบวิ่งเอาไปให้ก่อนแกจะแหกปากออกมาอย่างกับว่า ฉันติดหนี้แกมานานนับปี ใจหนึ่งก็รำคาญ เบื่อที่ต้องมานั่งสู้รบตบมือแบบนี้ ใจหนึ่งก็เสียดายลูกค้าที่เริ่มติดสินค้า วันใดที่ฉันเลิกขายก็จะต้องมีคนอื่นมาเสียบแน่นอน ใจหนึ่งก็หวาดผวา ตูจะต้องมาเสียค่าอะไรอีกไหมเนี่ย
ความน่ากลัวของเจ๊ไข่ ยังไม่หมดแค่นี้ แล้วเราจะมาพูดกันต่อเมื่อแกได้มาแผลงฤทธิ์อีกครั้ง โหดกว่าเดิม งี่เง่ากว่าเดิม






Create Date : 22 พฤษภาคม 2551
Last Update : 23 พฤษภาคม 2551 9:22:50 น. 10 comments
Counter : 529 Pageviews.

 
มาเป็นกำลังใจให้จ้า

สู้ สู้



โดย: ตาอ้วนชวนคุย วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:10:56 น.  

 
สู้ๆคะ
จะมาติดตามอ่านคะ


โดย: uncha วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:32:11 น.  

 
ขอจงมีกำลังใจที่เข้มแข็งและมุ่งมันต่อไปครับ


โดย: sherief วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:47:43 น.  

 
น่าติดตามค่ะ


โดย: Oops! a daisy วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:15:15:15 น.  

 
เล่าได้น่ารักจังค่ะ


โดย: ปริศนา ณ วังศิลาขาว วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:15:23:15 น.  

 
อิอิ รออ่านต่อนะคะ


โดย: Sweetiiez - Kim Sam Su วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:46:38 น.  

 
ใครที่สนใจติดตามอ่านที่นี่ได้อีกนะค่ะ
ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่ให้กำลังใจ
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6627920/W6627920.html


โดย: ขอความจริงใจจากคนรัก IP: 124.120.119.79 วันที่: 23 พฤษภาคม 2551 เวลา:9:07:20 น.  

 
เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจดีค่ะ เลยตามมาอ่านตอนแรกก่อน
แล้วจะกลับไปอ่านตอนต่อๆไปค่ะ สู้ๆนะคะ


โดย: Complicatedgirl วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:15:36:41 น.  

 
เดาเองเองว่า "โรงเรียนมัธยมชื่อดังย่านสีลม" น่าจะเป็นโรงเรียนในเครือเดียวกับโรงเรียนที่เราเคยเรียน

อ่านแล้วสนุกมากเลยค่ะ ต้องอ่านตอนต่อไป


โดย: ayopolie วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:15:17:26 น.  

 
สุดยอดครับ.สักวันก็จะสบาย


โดย: Nasai IP: 61.7.143.52 วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:16:00:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขอความจริงใจจากคนรัก
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ขอความจริงใจจากคนรัก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.