นักวิชาการและกลุ่มสิทธิมนุษยชน โจมตีมาตรการป้องกันอีโบลาของรัฐบาลออสเตรเลีย ด้วยการยกเลิกหนังสือเดินทางของผู้ที่จะเดินทางมาจากกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ว่ามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาของรัฐบาลออสเตรเลีย โดยการยกเลิกวีซ่าผู้ที่เดินทางจากภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ถูกโจมตีอย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และกลุ่มสิทธิมนุษยชน
ดร.อดัม คัมราดต์-สกอตต์ นักวิชาการจากสถาบันโรคติดเชื้อและความปลอดภัยทางชีวภาพมารี บาเชียร์ แห่งมหาวิทยาลันซิดนีย์ กล่าวว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการตัดสินใจทางการเมือง โดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และตรรกะด้านการแพทย์ในการอ้างอิงเพียงน้อยนิด เพราะเมื่อพิจารณาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะตั้งอยู่โดดเดี่ยว ออสเตรเลียมีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อดังกล่าวน้อยมาก โดยมาตรการยกเลิกวีซ่านี้ นอกจากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ แล้ว ยังทำให้เกิดบรรยากาศของความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในหมู่ประชาชนด้วย
ด้านนายเกรแฮม ธอม โฆษกขององค์กรนิรโทษกรรมสากล (เอไอ) ประจำออสเตรเลีย กล่าวว่ามาตรการนี้ไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับหลักฐานและคำอธิบายทางการแพทย์ เพราะยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากในการเฝ้าระวังหรือกักตัวผู้ต้องสงสัยเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยจากการติดเชื้อ รวมถึงในการยื่นขอวีซ่ามนุษยธรรม ผู้ยื่นจำเป็นต้องผ่านการคัดกรองและตรวจสอบสุขภาพอยู่แล้ว ดังนั้นการยกเลิกวีซ่าจึงไม่ต่างกับการปล่อยทิ้งให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ติดค้างอยู่ในพื้นที่อันตราย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นการจัดการกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร้ความรับผิดชอบในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมโลก
ทั้งนี้มาตรการป้องกันดังกล่าวที่นายสกอตต์ มอร์ริสัน รมว.กระทรวงตรวจคนเข้าเมืองออสเตรเลีย แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ ระบุว่าให้ระงับวีซ่าชั่วคราวทุกประเภทของผู้ที่จะเดินทางมาจากกลุ่มประเทศในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา ส่วนผู้ที่ถือวีซ่าถาวรและยังเดินทางมาไม่ถึงออสเตรเลีย จะถูกกักตัวเพื่อรอดูอาการ 21 วัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีโทนี แอบบอตต์ ยังคงยืนยันคัดค้านการส่งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้าช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพื้นที่เสี่ยงด้วย.