กระดาษกันปลอม (Security paper) เป็นกระดาษที่จัดทำขึ้นพิเศษ สำหรับป้องกันการปลอมแปลง ใช้ทำสิ่งพิมพ์ที่ต้องการไม่ให้มีการเลียนแบบ และสามารถตรวจสอบได้ เช่น ธนบัตร
กระดาษการ์ด (Card board) เป็นกระดาษที่มีความหนาและแข็งแรงประกอบด้วยชั้นของกระดาษหลายชั้น ชั้นนอกสองด้านมักเป็นสีขาว แต่ก็มีการ์ดสีต่าง ๆ ให้เลือกใช้ ความหนาการ์ดอยู่ระหว่าง 110 400 แกรม ใช้ทำปกหนังสือ บรรจุภัณฑ์
กระดาษถนอมสายตา (Green read paper) เป็นกระดาษไม่เคลือบผิว บางที่มีสีออกนวลเหลืองช่วยถนอมสายตา สมัยนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในการทำเป็นหนังสือ
กระดาษแบงก์ (Bank Paper) เป็นกระดาษบางที่ไม่เคลือบผิว ความหนาที่นิยมใช้คือ 55,70 และ 80 แกรม มีสีให้เลือกหลายสี ใช้สำหรับงานพิมพ์แบบฟอร์ม บิลใบเสร็จรับเงิน ที่มีสำเนาหลายชั้น
กระดาษปรู๊ฟ (Newsprint) กระดาษปรู๊ฟมีความหนาประมาณ 40 55 แกรม มีสีเทาอมน้ำตาล เป็นกระดาษที่ี่มีราคาถูกแต่จุดด้อยก็คือ มีความแข็งแรงน้อย นิยมใช้สำหรับพิมพ์หนังสือพิมพ์ และเอกสารที่ไม่ต้องการคุณภาพมาก ที่เห็นทั่วไปคือใช้เป็นชั้นสุดท้ายของบิลใบเสร็จรับเงิน
กระดาษแฟนซี (Fancy Paper) ถ้าพูดเป็นภาษาเข้าใจง่ายก็คือ เป็นกระดาษที่พิเศษ นิยมใช้เพื่อความแตกต่าง แปลกใหม่ และดูมีระดับ แต่มีราคาที่สูงมาก งานจำพวกนามบัตร หัวจดหมายที่ต้องการความสวยงาม จะใช้กระดาษแฟนซี (มีหลากหลายแบบ หลายขนาด และความหนา)
กระดาษสติ๊กเกอร์ (Sticker Paper) หรือเรียกสั้นๆโดยเข้าใจง่ายว่า สติ๊กเกอร์ เป็นกระดาษที่ด้านหลังเคลือบด้วยกาวเพื่อนำไปพิมพ์ภาพหรือตัวอักษรแล้วนำไป ติดบนวัตถุอื่นก่อนใช้งานจะมีกระดาษรองด้านล่าง โดยสติ๊กเกอร์จะมีหลายแบบ เช่น สติ๊กเกอร์กระดาษขาวเงา สติ๊กเกอร์เนื้อ PVC นิยมใช้พิมพ์ เป็นฉลากสำหรับติดกับตัวสินค้า
กระดาษน้ำตาล (Kraft Paper) กระดาษน้ำตาลใช้สำหรับพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษห่อของ ถุงกระดาษหรือที่เห็นบ่อยๆก็คือหน้าปกใบแรกของแบบฟอร์มใบเสร็จ มีความหนาอยู่ระหว่าง 80 180 แกรม เป็นกระดาษที่มีราคาไม่สูงนักเมื่อเทียบกับคุณภาพ
กระดาษอาร์ต (Art Paper) กระดาษอาร์ตมีสีขาว มีความหนาระหว่าง 80 160 แกรม ใช้สำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการความสวยงาม งานพิมพ์สอดสี เช่นแคตตาล็อก โบร์ชัวร์ ฯลฯ กระดาษอาร์ตเป็นกระดาษชนิดหนึ่งที่มีบทบาทอย่างสูงในวงการพิมพ์และโฆษณาของ โลกเลยก็ว่าได้ เพราะสังเกตดีๆ นิตยสารเกือบทั้งหมดจะใช้กระดาษอาร์ตทั้งสั้น
กระดาษเอ็นซีอาร์หรือกระดาษเคมี (Carbonless Paper) เป็นกระดาษที่นิยมใช้สำหรับพิมพ์แบบฟอร์ม หรือบิลใบเสร็จรับเงินที่ใช้ในสำนักงาน (บิลใบเสร็จของพวกบริษัท ห้างร้านทั่วไป) ลักษณะพิเศษคือ สามารถเขียนบนใบแรกแล้วใบที่สองที่อยู่ด้านล่างก็เขียนติดด้วย ภาษาชาวบ้านก็คือ กระดาษก๊อปปี้
ขนาดของกระดาษในวงการโรงพิมพ์
กระดาษ ในวงการพิมพ์นั้น โดยลักษณะคือ จะเป็นกระดาษขนาดใหญ่ที่ผ่านกรรมวิธีผลิตมาจากโรงงานผลิตกระดาษ ไม่ใช่ขนาดเล็กๆที่เราเห็นตามท้องตลาด หรือตามร้านซี-ร็อกซ์ทั่วไป ขนาดหลักๆมีดังนี้
24×35 นิ้ว
25×35 นิ้ว
และ ขนาดที่ใหญ่ที่สุดก็คือ 31×43 นิ้ว
คำถาม ก็คือ ทำไมถึงต้องมี 3 sizes หลักๆนี้ด้วย ถ้าพูดแบบภาษาโรงพิมพ์ ก็คือจะเหมาะกับ ขนาดหน้างานของเครื่องพิมพ์มากกว่า และสามารถ นำมาซอยเป็นขนาดมาตรฐานงานทั่วไป ได้ง่ายกว่า เช่นงานที่นิยมทั่วไป อย่าง สมุดขนาด A3,A4 หรือ A5 เป็นต้น
หลักการเลือกใช้โรงพิมพ์
โรงพิมพ์ในประเทศไทยมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งขนาดใหญ่ กลางและขนาดเล็ก การเลือกโรงพิมพ์สำหรับพิมพ์งานนั้น จึงไม่ควรเลือกจากขนาดโรงพิมพ์ที่มีขนาดใหญ่อย่างเดียว ทางผู้เขียนได้แนะนำเกณฑ์ในการเลือกโรงพิมพ์ ดังนี้
ราคา
สิ่งแรกที่ลูกค้าต้องการรู้ และนำมาเป็นเกณฑ์ตัดสินใจก็คือ ราคา ซึ่งก็ไม่ผิดแต่อย่างใด เพราะใครๆก็ย่อมอยากได้สินค้าที่มีราคาถูก และแน่นอนคำว่า ถูกและดี คงไม่ได้หากันง่ายๆ ควรจะมองหาคำว่า ราคาเหมาะสมงานออกมาดีมากกว่า เพราะโรงพิมพ์ในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันกันสูงมาก ทำให้บางแห่ง ที่ต้องการที่จะได้งานพิมพ์ ต้องทำการตัดราคาลงมาเพื่อให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งนี้นั้นส่งผลเสียต่อทั้งวงการพิมพ์ และไม่ใช่แค่นั้น ลูกค้าก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นกัน เนื่องจาก งานพิมพ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากราคาอันแสนถูกนี้ จะมาจากการลดต้นทุนของวัสดุ อุปกรณ์ และค่าแรงต่างๆ นั่นหมายความว่า จะเป็นงานที่ไม่มีคุณภาพ นั่นเอง
การบริการ
ใครๆก็ต้องการที่จะได้รับการบริการที่ดี เพราะจะรู้สึกถึงความประทับใจในการเป็นลูกค้า ผู้เขียนขอบอกเลยว่า การบริการที่ดีไม่เกี่ยวกับขนาดของโรงพิมพ์ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แต่อยู่ที่ความเอาใจใส่ของโรงพิมพ์และผู้ดูแลลูกค้ามากกว่า สังเกตง่ายๆ ว่าถ้าโรงพิมพ์แห่งไหนที่มีการบริการที่ดีนั้น จะเป็นฝ่ายโทรหาลูกค้าเพื่อแจ้งถึงความก้าวหน้าในขั้นตอนงานพิมพ์ ว่าถึงขั้นตอนไหนแล้ว
การส่งมอบงาน
เป็นสิ่งที่สำคัญ ในการเลือกโรงพิมพ์ เพราะเมื่อถึงระยะเวลาที่จะต้องใช้งานพิมพ์แล้ว แต่ว่าโรงพิมพ์กลับยังไม่สามารถพิมพ์งานให้เราเสร็จได้ จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก ทางผู้เขียนแนะนำว่า ควรจะตกลงกันตั้งแต่แรกว่า จะสามารถส่งมอบงานได้ตามสัญญาเมื่อไหร่ ขั้นตอนการผลิตเป็นอย่างไร ใช้เวลาแต่ละขั้นตอนเท่าไหร่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้ง 2 ฝ่าย ทางลูกค้าก็จะได้รับความสบายใจว่างานพิมพ์ที่ตัวเองได้สั่งซื้อนั้น จะสามารถรับได้เมื่อไหร่ และทางโรงพิมพ์ก็ได้ฉุกคิดและวางแผนการผลิต เพื่อสามารถส่งได้ทันตามสัญญาส่งมอบที่ลูกค้าต้องการ
คุณภาพของงานพิมพ์
คุณภาพของงานพิมพ์เป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าสำคัญมากทีุ่ดเลยก็ว่าได้ แต่ว่าลูกค้าส่วนมากกลับไม่ให้ความสำคัญกับส่วนนี้เท่าไหร่ ให้ลองคิดภาพดูง่ายๆ บริษัทลูกค้า จะทำการออกบู๊ทสินค้า ทุกอย่างได้จัดเตรียมพร้อม ตกแต่งอย่างดี ดูสวยงามหมดแล้ว ขาดแค่โบรชัวร์งานพิมพ์ที่รอมาส่งอย่างเดียว เมื่อโบรชัวร์สินค้ามาส่ง กลับกลายเป็นว่า สีของสินค้าในโบรชัวร์กลับเพี้ยน ตัวหนังสือดูไม่ชัดเจน ทำให้สิ่งต่างๆที่เตรียมมาอย่างดี กลับต้องมาดูแย่เพราะตัวสิ่งพิมพ์อันนี้ ลูกค้าที่ได้เห็นโบรชัวร์ ก็ต้องมองบริษัทในแง่ลบ ดังนั้น ผู้เขียน จึงคิดว่า คุณภาพของงานพิมพ์เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ด้านอื่นๆ