Breakfast ของโรงแรมกับวิวที่โคตรสวย แถมมีหมา แมว มานั่งโพสท่าอาบแดดต้อนรับ ทำให้อาหารเช้านี้อร่อยมากเป็นพิเศษ 

“Hey I’m ready to check out and it’s time to say good bye” ก่อนลากับฟรอนท์สาว ผมถามว่าเธอเคยมาประเทศไทยรึยัง “Oh Thailand is very very very far from here and very beautiful right? My boyfriend and me need to go in someday” ผมตอบ Yes! ด้วยความภาคภูมิใจ เชิญเค้าให้มาเที่ยวบ้านเราและก็ชื่นชมบ้านเค้าไปยกใหญ่ “you know when I shared photos on my Instragram and Facebook everybody said this place is awesome and so beautiful” อวยกันไปอวยกันมา แฮปปี้เอ็นดิ่งทั้งสองฝ่ายครับ

รถบัสพาเรากลับมาที่ Fira bus Station และเราก็เริ่มตามหาโรงแรม Rena’s Rooms & Suites ที่เราจองไว้ ด้วยความช่วยเหลือของ application CityMap2Go เราเดินไม่เกิน 15 นาทีจากท่ารถ ก็เจอโรงแรม จุดขายของโรงแรมนี้คือสระว่ายน้ำกับวิวเมืองที่เป็นเหมือนฉากละคร แต่ด้วยอากาศ 10º กว่าๆ จุดขายที่ว่าก็ไม่มีทางดึงดูดเราได้ 555+

เก็บของเสร็จก็ออกสำรวจ Fira ตามหาภาพวิวในฝันกันต่อ  ที่นี่ใหญ่กว่า Oia และมีความเป็นเมืองมากกว่า  ผู้คน รถ พลุกพล่าน ร้านค้า ร้านอาหาร เยอะมาก จากถนนใหญ่เราเดินผ่านซอยเล็กๆ ที่เชื่อมถึงกันได้ ผ่านร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร จนมาถึงจุดชมวิว บนหน้าผา 

ตอนนี้ปล่องภูเขาไฟ Nea Kameni ที่เป็นที่มาของภาพที่เห็นจากโปสการ์ด และหนังสือ มันอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ผมถ่ายรูปและยืนมองมันอยู่นานมาก นานจนพี่สาวร่วมทริปแซวว่า “หาข้าวเปล่ามากินกับภูเขาไฟไหมแก ฉันหิวแล้ว หาไรกินเถอะ เอาร้านที่มองเห็นวิวภูเขาไฟก็ได้”…”โอเคเจ๊  ดิล!” 

หลังอาหารเราเดินเก็บบรรยากาศเมือง Fira ท่าเรือเฟอร์รี่ เคเบิ้ลคาร์ในมุมสูง โบสถ์กลางเมือง 

อาร์ทแกลเลอรี่ ถนนทางเดินซอกซอย ทั้งหมดมันเป็นเสน่ห์ในแบบ Fira จริงๆ 

ก่อนจะไปช้อปปิ้งหาของฝากกันต่อ พนักงานขายของถามเราว่ามากจากไหน “we are from Thailand have you ever been to Thailand?”  “Thailand No!  you know Greece's economy is in trouble my husband and me try to save money because he want to travel around the world when he retire and Thailand is the one of our destination also” 

ผมตัดบทแบบให้กำลังใจก่อนสถานการณ์จะดราม่าไปมากกว่านี้ “Yes we heard the news but you know every country has its problems too it will be better soon” 

และด้วยบทสนทนาที่ดูมีน้ำใจของเรา เค้าเลยลดราคาของให้ 6 €  ขอบคุณเช่นกันครับ

ระหว่างเดินเล่นเราเจอกับน้องผู้หญิงคนไทยสองคน “พี่บินกับ  Aegean Airlines รึเปล่าคะ คือว่า?” “ครับพี่บินจาก Mykonos มา Athens และก็บินต่อมา Santorini สวดมนตร์ตลอดเลย 555+”... “ใช่ไหมคะพี่...สวดเหมือนกันเลยคือมันเป็นเพราะอากาศใช่ไหมคะ”...“ใช่ครับลมแรงมากจริงๆ”...หลังแลกเปลี่ยนประสบการณ์เสียวปนขำเราก็แยกย้ายกันไป มันคือมิตรภาพดีๆระหว่างนักเดินทางครับ

เราเดินเล่นต่อกันอีกพักใหญ่ก่อนจะกลับเข้าโรงแรมเพื่อยัดของลงเป้ 

เตรียมเดินทางกลับตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น 

เช้านี้อากาศสดใสเราบิน  Ryanair จาก Santorini กลับไป Athens และรอเวลาบิน Etihad Airways จาก Athens ไป Abu Dhabi คอนเนคไฟล์ทจาก Abu Dhabi กลับประเทศไทย

8 โมงเช้าวันสงกรานต์ Etihad Airways ก็พาเราแลนด์ดิ่งถึงสนามบินสุวรรณภูมิ  ภาพของกรีซยังคงติดตา วนเวียนอยู่ในหัว เหมือนกับภาพในความฝัน...ผมเชื่อว่าทุกคนมีความฝันด้วยกันทั้งนั้นแหละ เพราะความฝันช่วยทำให้ชีวิตเรามีแรงขับ  มีทิศทางเดินไปข้างหน้า มีเป้าหมายบ้าๆบอๆ ที่แตกต่างจากคนอื่น ...ชัยชนะบนความฝันของคนเราคงมีแค่ตัวเราเท่านั้นที่รู้  เพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะไม่มีใครทำความฝันแทนกันได้ยังไงละ...หวังว่าวันนึงอาจมีโอกาสกลับไปเจอกันอีกนะ กรีซ...ณ ตอนนี้ ตอนที่ความฝันกลายเป็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า ความจริงที่เราจะไม่มีวันลืม

ไปตลอดชีวิต  Greece; you are in front of me…