เที่ยวไปงงไปกับนาย dont : หลวงพระบาง เมืองผู้ดี 2/2
ถ้าเปิดมาพบหน้านี้ ขอเชิญอ่าน ตอนที่ 1/2 ก่อนนะครับ เพื่อความสนุกสนานอย่างต่อเนื่อง
วัดเชียงทอง (Wat Xieng Thong) ได้ยินชาวลาวเค้าเรียก วัดเซียงทอง เป็นวัดเล็ก ๆ สร้านขึ้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นเจ้ามหาชีวิตที่อยู่หลวงพระบางเป็นองค์สุดท้าย ก่อนจะย้ายไปเวียงจันทน์ครับในบรรดาวัดวาอารามทั้งหมดของหลวงพระบางเนี่ย คงต้องยกให้วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงามที่สุดครับ และยังได้รับการมาเยี่ยมเยือนจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดด้วย นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทองนั้น แสดงสถาปัตยกรรมลาวได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าจะเป็นวัดขนาดเล็กแต่ก็มีลักษณะของสถาปัตยกรรมลาวครบถ้วน เป็นวัดที่มีสีสดมากวัดหนึ่งครับ ขอบอกภาพนี้เป็นโบสถ์พระประธานครับวัดเชียงทอง สีสวยมั้ยครับ
ด้านข้างจะเห็นมีช่อฟ้า ช่อฟ้าของชาวลาวเค้าจะอยู่กลางหลังคาไม่เหมือนช่อฟ้าบ้านเราจะอยู่ที่ด้านหน้ากับหลังอุโบสถน่ะครับ ส่วนใบระกา หางหงส์ไม่เห็นแฮะ เห็นแต่ด้านหน้ามี นาคที่หน้าบรรพ์ เค้าว่ากันว่า ถ้าเป็นกษัตริย์จะมี 17 ช่อ คนธรรมดาจะมี 1-7 ช่อ เค้าที่ว่าคือไกด์นะครับ หากมีความดีอะไร ขอยกเข้าตัว ความชั่วคืนไกด์ไปครับ 5 5 5 5 ตัวอุโบสถวัดเชียงทองด้านข้างครับ เห็นว่ามีช่อฟ้ากลางหลังคา จะเห็นว่า แสงจัดจ้ามาก คิดดูว่าจะร้อนขนาดไหนล่ะครับนั่น (คำให้การแก้ตัวของชายใจบาปผู้แพ้รัศมีธรรม) 5 5 5 5 5
อ่า เด็ก ๆ ครับ "หน้าบัน" นะครับไม่ใช่ "หน้าบรรพ์" คุณพ่อคุณแม่ โปรดใส่ใจหน่อยสิครับ ผิดแล้วทราบกันไหมนั่น หา เดี๋ยวลูกหลานของท่านก็จำไปผิด ๆ จนได้ แหม แย่จัง (หึ หึ)(หลังจากกลบเกลื่อนว่าพิมพ์ผิดสะกดผิดแล้ว) ก็มาดูกันต่อนะครับ โรงเก็บโกศ ชาวลาวเรียก โรงเมี่ยนโกศ แต่ที่ผมเห็นก็เห็นราชรถ (ลาก) คัน "บักเอ๊ก" (เห็นไกด์เค้าว่า แปลว่าใหญ่) น่ะครับ ไม่รู้ทำไมตอนนั้นไม่ได้ฟังละเอียดซะด้วย แหม ๆ ก็งี้ล่ะ เที่ยวไปงงไปครับ (มันแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ)ภาพที่อยู่ด้านหน้าเป็นภาพจากเรื่องรามเกียรติ์เช่นเดียวกันของไทย มียักษ์มีลิง มีมนุษย์ครบล่ะครับ สีทองสวยมาก ไม่รู้ว่าทำจากวัสดุทาสี หรือ ว่าเป็นทองจริง ๆ (น่าจะเป็นอย่างแรก) ภาพโรงเมี่ยนโกศครับ พระอาทิตย์ร้อนแรงมาก ๆ จนสีออกจะหม่นไปเลย
มาดูใกล้ ๆ ก็พบว่าลิง ยักษ์ คน หน้าตาคล้าย ๆ กับบ้านเรานั่นล่ะครับเห็นมั้ยครับสีสวยมาก ด้านขวาเป็นฝั่งยักษ์ ด้านซ้ายเป็นฝั่งกษัตริย์น่ะครับ
สำหรับวิหารน้อย เป็นวิหารที่ขึ้นชื่อเช่นกัน อันนี้เป็นมุมมาตรฐานครับ ใครมาไม่มีภาพมุมนี้ถือว่าเชยมาก ๆ แต่ว่า ตัววัดทั้งวัดมีขนาดไม่ใหญ่มากครับ โอกาสจะได้ภาพสวย ๆ เต็ม ๆ นี่ออกจะยากสักหน่อย ต้องอาศัย Photoshop ลบภาพเอา หรือไม่ก็อาศัยเลนส์พิเศษเอาครับวิหารน้อย เป็นที่เก็บอะไรไม่รู้ (อ้าว...- -'') รู้แต่ว่า ที่หน้าวิหารเป็นไม้ทาสีพื้นออกแดงประดับด้วยกระจกกระเบื้องนี่ล่ะ เป็นลายภาพชีวิตพื้นบ้านครับ ซึ่งทำให้นอกจากจะมีคุณค่าทางโบราณคดีแล้วยังทำให้มีคุณค่าทางด้านมานุษยวิทยาด้วยอย่างมาก เพราะอะไรรู้มั้ยครับเพราะว่า... ไกด์บอกครับ 5 5 5 ผมจะไปรู้อะไรล่ะครับวิหารน้อย มีแต่คนรุมถ่ายภาพครับ ดูสวยสีสันจัดจ้านกว่าตัวพระอุโบสถเป็นไหน ๆ เลย
ภาพโคตรอับครับ (close up - อ้าว ก็ ดูใกล้ ๆ แคบ ๆ พิกลนี่นา) นั่นแหละครับ อืม อันที่จริงควรจะเรียก crop up มากกว่า ขอบคุณ photoshop คร๊าบบบ เอิ๊กส์ลายกระเบื้อง-กระจกสีนี่ล่ะ เอามาปะเป็นภาพนู้นภาพนี้น่ะครับ
เดินไปเดินมาเริ่มเหงื่อตก ตอนนั้นไปเดือนพฤษภาคมครับ น่าจะเป็นหน้าฝน ที่เย็นฉ่ำชื่นใจ แต่กลายเป็นว่า หลวงพระบางตั้งอยู่ในเขตหุบเขาครับ ไอ้เรื่องจะมีลมมีฝนชุก ๆ น่ะ อาจจะยากหน่อย เฮ้อ...หลังจากเช็ดเหงื่อกันจนหนำใจแล้ว เราก็เดินทางไปเที่ยวถ้ำติ่งกันต่อครับ โดยข้ามถนนจากหน้าวัดเชียงทองมาฝั่งริมน้ำ แล้วเดินไปที่ตลิ่ง ก็จะพบกับท่าเรือรับจ้าง ไปถ้ำติ่งครับ แม่น้ำที่เห็นนี้คือ แม่น้ำคานครับท่าเรือ ดูเหมือนบ้านเราสมัยเก่า ๆ ครับ ไม่มีอาคารพักผู้โดยสารหรืออะไร เทือก ๆ นี้ มีเพิงขายของ พวกน้ำ พวกขนมครับ ราคาแพงเป็น USD หมดเลยตอนลงเรือก็ต้องลุยน้ำนิดหน่อยก่อนจะได้ลงเรือ กรุณาเตรียมรองเท้าให้เหมาะสม สาวโสดเตรียมมีเฮครับ นี่กำลังจะ "ลง (น้ำ) คาน" กันถ้วนหน้าแล้วครับ
หลังจากเราขึ้นเรือกันได้ ก็เริ่มแล่นไปตามลำน้ำ (ตามน้ำ แต่ไม่ได้กินสินบนไปด้วยนะครับ หน้าที่ผมไม่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง ลำไยตอนนั้นยังไม่ล้นตลาด เครื่อง CT อ๊อก ก็ยังไม่ประมูล - อุ๊บ โอวว คนอ่านเริ่มไอกัน คุก คุก คุก เลย 5 5 5 5 ) ไปเรื่อย ๆ คุณไกด์ก็เล่าเรื่องไป ส่วนผมอาหารเช้าไฮโซจากโรงแรมไฮซ้อก็เริ่มแผลงฤทธิ์ทันที ป่าว ๆ ไม่ได้อาหารเป็นพิษครับ ง่วงน่ะ มันอร่อย ฟาดซะ...อ่า ตอนเคลิ้ม ๆ ได้ยินเสียงคุณไกด์เล่าเรื่องให้ฟังว่า แต่ก่อน คนเรายังโง่อยู่ อาศัยในถ้ำ เอ๊ย ไม่ใช่ คนเรายังคิดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอิทธิฤทธิ์ สามารถดลบันดาลให้เกิดอาเพธได้ ในบริเวณนี้เป็นที่แม่น้ำคานและน้ำโขงไหลมาบรรจบกันจึงมีกระแสน้ำค่อนข้างแรง เมื่อร่วมกับการมีฝนตก มีพายุเข้ามาเป็นบางครั้ง ก็ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยตามลำน้ำ เกิดเรือล่มบ้าง จมน้ำตายบ้าง ชาวบ้านนั้นใช้เรือเป็นทางสัญจรหลัก ก็เกิดความวิตกกังวลขึ้น เหล่าชาวบ้านที่โดยสารเรือก็เลยเริ่มบนบานให้ตนปลอดภัยเวลาเมื่อมีน้ำหลากตอนออกเรือ พอมีพายุก็พากันมาหลบภัยในถ้ำเมื่อรอดกลับไปได้ ก็จะนำพระพุทธรูปมาถวายที่ถ้ำนี้ คล้าย ๆ กับการแก้บนน่ะครับต่อมา ก็เกิดเป็นประเพณีว่า ต้องการอะไรก็ให้นำพระพุทธรูปมาถวายในถ้ำติ่งนี้ รายที่ร่ำรวยพระพุทธรูปที่นำมาบูชาก็จะเป็นทอง ทองเหลือง นาก เงิน ทำนองนี้ครับ ที่รายได้ต่ำ (รสนิยมไม่สูงเกินไป) ก็จะเป็นพระพุทธรูปไม้ธรรมดา จนกลายเป็นประเพณี แม้แต่เจ้ามหาชีวิตในยุคหลังยังมีประเพณีมาประกอบพิธีด้วยเลยล่ะครับทางขึ้นถ้ำติ่งครับ ยุคน้ำหลากมันคงจะไม่สูงชันขนาดนี้ ที่เห็นบันไดนี้เพิ่งจะมามีในภายหลัง (แต่ไม่ใช่ 2-3 ปีนะครับ หลายปี) แล้วล่ะผมว่า
เมื่อเราไปถึงก็เดินขึ้นไปตามขั้นบันได สิ่งที่ต้องระวังคือ อย่าลืมเอาพัดมาด้วย เพราะว่าร้อนค่อนข้างมากครับ พอออกแรงเดินจะร้อนมากขึ้นมาก ตอนที่ไปลมสงบมากครับ เค้าเรียกกันว่า ถ้ำติ่ง เพราะว่า มันเป็นหินยอกหินง้อย เอ๊ยหินงอก หินย้อย น่ะครับ ถ้ำติ่งนั้นมี 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นชั้นที่มีพระพุทธรูปจำนวนมากประดิษฐานอยู่ ไกด์เล่าว่า เดิมนั้นมีพระพุทธรูปโลหะมีค่าหลายชนิด แต่ว่า ช่วงสงครามถ้ำติ่งกลายเป็นที่ซ่อนของโจร และกลุ่มต่อต้านฝรั่งเศส (เค้าว่างั้นนะครับ) พวกโลหะมีค่ามาก ๆ เช่น ทองหรือเงิน ก็จะเปลี่ยนเป็นเงินเป็นของหมด ส่วนพวกที่มีค่าน้อยลง เช่น ทองแดง ทองเหลือง ก็จะกลายเป็นอาวุธ ที่ยังหลงเหลือจึงมีแต่พระพุทธรูปไม้ครับปัจจุบัน แม้ว่าจะมีพระพุธรูปลดลงมาก แต่ก็ยังมีพระพุทธรูปไม้จำนวนมากอยู่ น่าจะถึงหลายพันเลยครับ สำหรับภายในถ้ำอากาศนิ่ง ไม่มีลมพัดเลยครับ แต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไรมากนัก
สำหรับถ้ำชั้นแรกนี้ มีคนมาเที่ยวอยู่เรื่อย ๆ ครับ สักพักก็จะมีทัวร์ group อื่น เข้ามาอีก เป็นระยะ ๆ ได้ยินเสียง OH~ WOW~~ เป็นระยะเลย สงสัยจะชอบช่องระบายลมครับ นี่ก็มุมมาตรฐานเหมือนกัน ใครมาไม่มีรูปมุมนี้เห็นจะแย่หน่อย
ชั้นบนอีกชั้นนั้น ไม่มีพระพุทธรูปประดิษฐานแล้วครับ เล่ากันว่า พวกโจรป่าที่ว่าได้พัก แล้วเอาพระพุทธรูปไม้ ไปแทนฟืนบนนั้น ยังมีร่องรอยของเศษไม้เศษพระพุทธรูปอยู่เลยครับทางเดินขึ้นเขา ไปยังถ้ำแห่งที่สองที่ว่า ถ้าร้อน ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องปีนไปหรอกครับ ไม่ได้ไกลแต่ว่าก็เป็นถ้ำโล่ง ๆ เอง ไม่มีอะไรต้องเสียดาย
แฮ่ก ๆ ขอหอบคั่นเวลาก่อนนะครับ... หลังจากลงจากถ้ำติ่ง ก็ต้องไปต่อที่หมู่บ้านช่างไหครับ เป็นหมู่บ้านริมน้ำเช่นกัน จอดแวะซื้อของฝากได้ ของราคาไม่แพงเท่าไหร่ แต่ว่า มีที่ถูกกว่าเหมือนกันครับ เอาเป็นว่าดู ๆ ก็ได้ เค้าจะมีการผลิตเหล้าพื้นเมือง จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่ก็รสชาติคล้าย ๆ พวกข้าวหมาก กระแช่น่ะครับ อร่อยดีของขายก็มีทั่วไปพวกผ้าทอน่ะครับ เศษผ้าต่อเป็นปลอกหมอนอิง ผ้าห่มทำนองนั้นท้าวคนนี้ (ท้าว = นาย) ทำเหล้าให้ดู พยายามจะอธิบายเหมือนกันแต่ว่าบัวใต้น้ำแบบผมไม่รู้เรื่องแฮะ ไปหาน้ำอัดลมกระป๋องกินแทน ราคาเท่ากับไทยหรือแพงกว่านิดหน่อยครับ แต่ว่า น้ำน่ะ มาจากจีน และเวียดนามก็มี...
สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอีกที่คือ น้ำตกครับ น้ำตกที่ว่า ชื่อ ตาดกวางสี ครับ อยู่ห่างจากเมืองไปหลายสิบกิโล นั่นก็แปลว่าใช้เวลาเดินทางราว ๆ 2-3 ชั่วโมงขึ้นไปครับ ค่าที่ทางนั้นค่อนข้างจะแย่เลยล่ะระหว่างทางเห็นเค้าว่ากันว่ามีหมู่บ้านชาวลาวดั้งเดิมด้วย แต่ว่า ไม่ได้แวะดูครับ ระหว่างทางคุณไกด์ก็เล่าถึงที่มา ทำนองมีกวาง และมีแม่ชีชื่อศรี (หรือเปล่าเนี่ย) แล้วก็กวางกินน้ำที่น้ำตก ก็ไม่รู้เกี่ยวกันอย่างไร แต่สรุปมาก็กลายเป็น ตาดกวางสีนี่ล่ะครับ (PA)ไปถึงน้ำตก โห!!! หายร้อนหายเหนื่อยเลยครับ น้ำใส บรรยากาศร่มรื่นน้ำตกมีน้ำจริง ๆ และสวยและสูงมากครับ ว่ากันว่ามีหลายชั้น แต่ว่า ไม่ได้ปีนจนครบครับ แค่ไปดู ๆ เฉย ๆ ก็คุ้มแล้ว (จริง ๆ คือขึ้นไปได้ 2 ชั้นก็เหนื่อยแระ) และถ้าไปชั้นสูง ๆ ต้องลุยน้ำไปนะครับ ไม่ได้มีทางปีนขึ้นข้างเขาแล้ว คือว่ามันต้องเดินข้ามน้ำตกไปอีกฝั่ง ก่อนจะขึ้นไปข้างบนได้น่ะครับน้ำตก เย๊ เย เย็นฉ่ำชื่นใจมากเลยครับ
คุณไกด์เล่าเรื่องห้องน้ำว่า ก่อนนี้ไม่มีชักโครก ต่อมา องค์สมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จเยือน เหล่าผู้ต้อนรับก็เกรงว่า พระองค์จะทรงไม่สะดวกพระทัยกับห้องน้ำก็เลยดำริจะทำชักโครกเพื่อต้อนรับ พอทำเสร็จ ก็จะมีข้าราชการชั้นสูงมาตรวจตราว่า ส้วมใช้การได้หรือไม่ ก็พากันเวียนมาเข้า แล้วก็ทดลองกดชักโครกตรวจสอบการใช้งานกันใหญ่ ด้วยว่า เกรงจะทำเอาขายหน้าเรื่องซวยก็มีอยู่ว่า ไม่มีน้ำประปาสิครับ เมื่อองค์พระเทพฯ เสด็จนั้น น้ำในชักโครกก็แทบจะไม่มีแล้ว ค่าที่ได้กดทดสอบไปหลายครั้ง ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งเอาถังตักน้ำไปทีละถึงไปใส่ชักโครกกันเป็นที่สนุกสนาน (ปนเหนื่อยและเซ็งด้วยล่ะน่ะ ผมว่านะ สำหรับพวกเจ้าหน้าที่ลูกกะจ๊อกเนี่ย เข้าใจอารมณ์เลยครับ พวกเดียวกัน...) สุดท้าย สมเด็จพระเทพฯ ก็เสด็จกลับครับแต่ได้ความอย่างว่า ชาวลาวนั้นรักองค์สมเด็จพระเทพฯ ของไทยมาก ๆ ครับ สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นนั้นก็ยังได้รับการถวายความจงรักภักดีไม่มากเท่า อาจจะเพราะพระองค์ทรงกรณียกิจ ณ ประเทศเพื่อนบ้านอยู่เป็นนิตย์ ทรงมีอารมณ์ขัน และพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ชนะใจทุกประเทศเลยครับ และเช่นเดียวกันหลาย ๆ ประเทศในเอเชียที่ได้ไปมาต่างก็กล่าวขวัญถึงราชวงศ์ไทยในแง่ยกย่องเทอดทูนทั้งสิ้นครับ น้ำตกสูงมากครับ คุณไกด์ว่าสูงเท่าตึก 4 ชั้นเลย ผมละสงสัย ไม่เห็นมีตึก 4 ชั้นในหลวงพระบางซะหน่อย เพราะเค้ากำหนดให้ตึกสูงไม่เกิน 2 ชั้น แถมกำหนดให้เป็นแบบเดิม ๆ จะทาสีใหม่ยังต้องขออนุญาตจาก UNESCO ด้วยซ้ำครับ...ว่าแต่มันเกี่ยวกับน้ำตกยังไงหว่า...
เมื่อน้ำตกไหลลงมาแล้วก็รวมเป็นแอ่งน้ำสีเขียวใสครับ น้ำใส และกลิ่นดีครับ ไม่มีเหม็น ไม่มีฟองฟ่อดเลย ธรรมชาติ และสะอาดสุดยอด... อยากให้น้ำตกบ้านเราหน้าตาแบบนี้จังครับ ไม่รู้ต้องไปทำศัลยกรรม เอ๊ย! จัดการยังไงให้มีความสะอาดและดูดีขนาดนี้เมื่อเดินมาถึงลานด้านหน้า ก็ได้เวลาย้ายก้นขึ้นรถแล้วชั้นล่างสุดของน้ำตก ใส และดูสะอาดมากครับ
ที่เที่ยวอื่นที่ติดอันดับ top hit ก็ วัดวิชุน ครับ ก็เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในสมัย blar blar blar ... ถ่ายรูปครับ ถ่ายรูป ไม่ได้ฟังเล้ยยยสรุปว่า วัดจะมีรูปครึ่งทรงกลม คว่ำกับพื้น มีชื่อเล่นว่า วัดหมากโม ครับ สงสัยเหมือนแตงโม อิ อิ ("หมาก" = ผลไม้)ระหว่างนี้ เราก็สามารถเดินไปวัดข้าง ๆได้ด้วยง่ายเชียวครับ เพราะว่า วัดติด ๆ กันหมดแหละครับ จริง ๆ ตัวเมืองนั้นเล็กนิดเดียวล่ะครับภาพถ่ายวัดหมากโมหน้าตรงไม่สวมหมวกครับ
จากนั้นก็เดินไปตามวัด ใกล้ ๆ กันนั้นล่ะครับ มีหลายวัดให้เลือกชม เลือกไหว้พระครับไหว้พระประธานซะครับ แต่ว่า วัดไหนไม่แน่ใจครับ ดูไม่ค่อยสะอาด แต่ว่าสภาพของสิ่งของอยู่ในเกณฑ์ดีครับ
สำหรับกลางคืนนั้น มีตลาดกลางคืนด้วยครับ เป็นตลาดใหญ่กลางเมืองที่ถนนศรีสว่างวงศ์ เรียก ตลาดศรีสว่างวงศ์ เหมือนกัน ลักษณะจะคล้าย ๆ night bazar ที่เชียงใหม่แบบน้นล่ะครับ ของขายต่อรองได้มาก แม่ค้าใจเย็นจัด "ให้บ่ได้ดอกจะ" "แถมบ่ได้ดอกจะ" ไม่มีด่าเลยครับ (ในใจก็อีกเรื่องนึงนะครับ ไม่รู้หรอก ถ้ารู้ใจแม่เค้า ผมก็แต่งกะเค้าไปแล้วล่ะครับ ฮิ๊ววว)ของขายก็เหมือน ๆ กับไทยนะ ผมว่า ไม่แตกต่าง เหมือนจตุจักร หรือไม่ก็เหมือนตลาด Night Bazar นั่นล่ะครับอันนี้น่าสนใจคับ ป้ายนี้ "ระวังเด้ออ้าย อีนางสิข้ามถนน" ระวังแม่หญิงเด้อค่ะเด้อ... แม่หญิงลาวจะนุ่งซิ่นส่วนใหญ่ครับ
สำหรับอาหารขาย รสชาติจะแปลก ๆ ลิ้น ไม่เหมือนอาหารอิสานนะครับ ถ้าหากไม่รังเกียจว่ามันดูไม่ค่อยสะอาด ถ้าได้ลองจะดีมากครับ นอกจากนี้ก็มีการละเล่นด้วยครับ จำพวกปาเป้า อะไรแบบนี้น่ะ สำหรับคนที่จะส่งจดหมาย บริเวณด้านปากซอย จะมีร้านนึงขายแสตมป์กับ postcard ด้วยครับ ลองไปเลือก ๆ ดู ร้านหน้าตาเหมือนร้านขายของชำเรา แต่ว่าระบุว่าเป็นไปรษณีย์ ถ้าจำไม่ผิดจะปิดทุ่มหรือสองทุ่มนี่ล่ะครับออ ลืมไป วัตถุโบราณ (จะแท้หรือไม่ก็ตามครับ) และ พระพุทธรูป เป็นของต้องห้าม ห้ามซื้อนะครับ เพราะว่า อาจจะนำออกนอกประเทศไม่ได้ และอาจจะถูกจับด้วยครับ เกมส์ปาเป้าลูกโป่ง บ้านเราก็เห็นเริ่มมีตามงานวัดแล้วครับ
ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การตักบาตรข้าวเหนียว ครับ เป็น hilight อีกอย่างของการมาเที่ยวหลวงพระบาง เราจะตักบาตรนี่ล่ะครับ แต่ว่า ใช้ข้าวเหนียวใส่บาตร โดยไม่ได้ใส่ทั้งกระติ๊บนะครับ เราปั้น ๆ เป็นก้อน ๆ ข้าวเหนียวที่เราจะถวายพระท่านเนี่ย ไม่ต้องปั้นใหญ่นะครับ เล็ก ๆ พอ ท่านร้อนบาตร แล้วก็หนักด้วย ส่วนใหญ่ยิ่งเป็นสามเณรน้อยจะลำบากท่านเปล่า ๆ ครับ แล้วปกติไม่ใช้ช้อนหรือทัพพีนะครับ ใช้มือเรานี่ล่ะปั้นเลยพระสงฆ์สามเณรในหลวงพระบางนั้นเยอะมากครับ เหตุหนึ่งอาจจะมากจากว่า การศึกษามูลฐานนั้นไม่ดีนัก รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจ และสังคมก็แย่ตามไปด้วย ดังนั้นเด็กชายส่วนใหญ่ที่ใฝ่ศึกษาจะเข้าบวช เพื่อเรียนทั้งทางธรรมและทางโลกครับ นอกจากนี้ยังเหมือนโรงเลี้ยงเด็กกำพร้ากลาย ๆ เพราะว่าเด็กกำพร้า (ในลาวต้องเรียก บักหำน้อยบ่มีอีพ่ออีแม่) ก็จะเข้าวัด คนทั้งเมืองก็ช่วย ๆ กันเลี้ยงไปด้วยการตักบาตรทำบุญ ส่วนเด็ก ๆ ที่บวชเป็นสามเณรก็สืบศาสนาไปน่ะครับ ประกอบกับวัดในหลวงพระบางเยอะมาก จึงมีพระจำวัดจำนวนเป็นพัน ๆ (PA) จริง ๆ แค่หลักร้อยปลาย ๆ พันต้น ๆ น่ะ ผมว่า เมื่อมาบิณฑบาตรเช้าจึงมีพระเยอะมาก ดูเคร่งขรึมสำรวม และดูขลังครับ สามเณรน้อยบางรูปก็แอบมีแววตาซุกซนให้สังเกตได้เหมือนกันครับ น่ารักไม่ใช่น้อยถ้ามาปีใหม่จะเป็นช่วง peak เลยครับ เพราะว่าอากาศหนาวหมอกลงบาง ๆ ทั้งภิกษุ ทั้งสามเณรเดินฝ่าหมอกมา ข้าวเหนียวร้อน ๆ ที่เราปั้นให้ส่งความอุ่นผ่านมือเราและผ่านก้นบาตรไปยังภิกษุท่านในช่วงเช้าที่หนาวเย็น เหล่าภิกษุสามเณรเดินเรียงตามกันอย่างสำรวม สงบ พร้อมกับอำนวยพรเป็นภาษาลาวเบา ๆ เมื่อรับบิณฑบาตร โอวว... เว่อร์ไปมั้ยครับ แหะ แหะ แต่ว่า สวยงามจริง ๆ ครับ (ว่าแต่ว่า ผมก็ไม่ได้ไปตอนปีใหม่หรอกครับ บอกแล้วไปกลางปี ทำเป็นรู้ดี อิ อิ)ยามเช้าของหลวงพระบาง ด้วยว่าโรงแรมมันอยู่นอกเมือง กว่าจะย้ายก้นขนาดยักษ์ของผมมาที่ถนนในเมืองได้ก็สายสักหน่อยแล้วครับ พระท่านแยกย้ายไปจำวัดกันหมดครับ
ตลาดที่ได้รับความนิยมก็มีหลายตลาดครับ ถ้าเป็นตอนเช้าก็จะต้องเป็นตลาดเช้า (หึ หึ แหงมน่อ) ก็ ไปซื้อพวกของสดน่ะครับ ราคาก๋วยเตี๋ยวหรือต้มเส้นก็ราคาไม่แพง รสชาติดีด้วย ปาท่องโก๋ก็มี โอวเลี้ยงก็รสชาติไม่เลวครับ โจ๊กก็อร่อย (นี่รู้กันหมดว่าผมกินอะไรไปมั่ง กรรม...ผีปอบสิง) ไม่ต่างจากบ้านเรานักครับ ตลาดยามเช้า แม้ว่าคนลาวจะขี้อาย แต่ว่า แม่ค้าในตลาดนี้สู้คนน่าดูครับ 5 5 5 ถ่ายปั๊บไม่หลบเลย มีแต่ยายแก่ ๆ เท่านั้นที่หลบกันวูบวาบ
ที่วังเจ้าศรีสว่างวงศ์เก่านั้น ปัจจุบันได้จัดทำเป็น พิพิธภัณฑ์ ครับ สวยงามมาก เสียแต่ภายในไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพ ภายในก็ประกอบด้วย (PA) ท้องพระโรงและบัลลังก์ ของที่ระลึกจากประเทศต่าง ๆ มอบให้ (มีไทยด้วยครับ จำไม่ผิดจะเป็นชุดน้ำชาทำด้วยเงิน...)ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ครับ
แถว ๆ นั้นก็มีวัดอีกครับเมื่อหันหลังให้วัง ด้านซ้ายมือจะเป็นวัดสีสวยงาม และมีอนุสาวรีย์ของเจ้าศรีสว่างวงศ์อยู่หน้าอาคารที่ทำการพิพิธภัณฑ์ทางด้านขวา อาคารด้านขวา และอนุสาวรีย์เจ้าศรีสว่างวงศ์
ด้านตรงข้ามพิพิธภัณฑ์เป็น พระธาตุจอมพูสี ครับ (บ้างก็เรียก พระธาตุพูสี เฉย ๆ ไม่มีจอม) จะเป็นพระธาตุบนยอดเขา มองลงมาเห็นวิวสวย ๆ ของเมืองทั้งหมดได้เลยครับ และเป็นที่ ๆ เค้านิยมไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินกัน ท่าตะละคนเวลาถ่ายรูปเนี่ย~ สุดยอด (ตลก) เลยครับ บ้างก็เกี่ยวแขน เกี่ยวเท้าโหนตัวหามุม ที่มาจับจองก่อน มีขาตั้งก็ก้มกันก้นโด่งน่าเอ็นดูเชียว เอิ๊กส์ทางขึ้นนั้นเป็นบันไดครับ นับร้อย ๆ ขั้นได้ เหนื่อยมาก บนยอดพระธาตุ ยังมีซากปืนใหญ่ด้วย รายละเอียดไม่ทันฟังครับ หอบอยู่ แฮ่ก ๆวิวจากบนพระธาตุ มองเห็นทั้งเมือง และแม่น้ำคาน (PA) อยู่ลิบ ๆ
สำหรับตัวเมืองนั้น บ้านเรือนยังเป็นห้องแถวทรงเก่า ๆ เหมือนแถวบางรัก อะไรแบบนั้นน่ะครับ สีก็ดูเก่า ๆ แต่ว่าข้างในก็มีสีสรรตามสมควร แม้ว่าจะเป็นเมืองที่วัดมากมาย ก็ยังมีถนนเส้นเล็ก ๆ ที่มีผับและบาร์อยู่ครับ สำหรับชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่การจราจรที่เห็นมีรถสามล้ม รถยนต์ รถทัวร์ รถตู้ตามปกติ ไม่ค่อยเห็นรถยนต์ส่วนตัวมากนัก มีมอร์เตอร์ไซค์ประปราย และมีขี่จักรยานด้วย ไปเช่าก็ได้นะครับ มีคนให้เช่าจักรยานด้วยครับสภาพบ้านเมืองดั้งเดิมครับ
สำหรับอาหาร ขอบอกว่าบ้านเราอร่อยกว่าครับ อาจจะเพราะเราถูกปากกว่า ผลไม้มีไม่มาก เพราะว่าเค้าไม่ค่อยปลูกกัน? (PA) ส่วนใหญ่กับข้าวก็เป็นผักชนิดต่าง ๆ บางชนิดเกิดมาเพิ่งรู้ว่ากินได้... ก็ที่นี่ล่ะครับ ภาพบนผนังวัดสักวัดน่ะครับมีหลายวัดจำเริ่มไม่ได้แล้วภาพนูนต่ำ บนผนังลงสีทอง สวยมาก ๆ ครับ
หลังจากนั้น ก็ไปซื้อของตลาด สายฝนสายรุ้งสักอย่างนี่ล่ะครับ (PA) ของก็คล้าย ๆ กันกับตลาดนัดกลางคืนตรงถนนศรีสว่างวงศ์ ทีว่าเหมือน night bazar น่ะครับ หรือเหมือนพวกตลาดแม่สาย แบบนั้นล่ะครับในที่สุด เที่ยวไปงงไปก็จบไปอีก trip ครับ ขอบคุณที่มาร่วมกันงงเช่นเคยครับขอบคุณที่ติดตามมาด้วยดีครับ
ขอบคุณที่ติดตามมาด้วยดีครับ
[สมุดเยี่ยม]