ทริปที่ 1 ... งานลอยกระทงสาย ไหลประทีป 1000 ดวง จ.ตาก
วันนี้เอาภาพงานลอยกระทงสาย จ. ตากมาฝากจ้า ปีนี้จัดงานช่วงวันที่ 9 - 12 พย. ซึ่งที่บ้านก็มีผู้อพยพมา 1 คนพอดีเลย ก็เลยได้ไปงานตั้ง 3 คืนแน่ะ 555++ (ถ้าเป็นปีอื่นๆ ก็แค่คืนเดียวแล้วก็ไม่ได้ไปอีก)
สำหรับงานลอยกระทงของ จ.ตาก หรือชื่อเต็มๆของงานคือ
"ประเพณีลอยกระทงสาย ไหลประทีป 1000 ดวง ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
เป็นประเพณีที่นำเอาพระพุทธศาสนา ภูมิปัญญาชาวบ้าน งานศิลปวัฒนธรรม มาหล่อหลอมรวมกันจนเป็นประเพณีที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ต่างจากที่อื่นๆ และมีการปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน โดย การใช้กระทงกะลา ซึ่งเป็นของเหลือใช้จากการทำไส้เมี่ยงที่เป็นอาหารและสินค้าพื้นบ้านของจ.ตาก มาดัดแปลงทำเป็นกระทงกะลาเพื่อนำมาลอยแทนกระทงทั่วไป ประกอบกับแม่น้ำปิงที่ไหลผ่าน จ. ตาก มีสันทราบใต้น้ไทำให้เกิดเป็นร่องน้ำตามธรรมชาติ เมื่อนำกระทงกะลาลงลอย กระทงก็จะไหลไปตามร่องน้ำดังกล่าว แสงไฟในกะลาส่องเป็นประกายระยิบระยับเป็นสายยาวต่อเนื่องสวยงาม ในภายหลังได้พัฒนารูปแบบจากการลอยในชุมชน มาเป็นการแข่งขันกระทงสายไหลประทีป 1000 ดวง ที่เป็นเอกลักษณ์และความภูมิใจของชาวตาก
ในปี พศ. ๒๕๔๐ เทศบาลเมืองตาก ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยรางวัลให้แก่เทศบาลเมืองตาก เพื่อเป็นรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ผู้ชนะในการแข่งขันลอยกระทงสาย
ในปี พศ. ๒๕๔๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานพระประทีปสำหรับลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ในการเปิดงาน
ต่อมาในปี พศ. ๒๕๔๔ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานพระประทีป รวมงานลอยกระทงสายไหลประทีป 1000 ดวง
และในปี พศ. ๒๕๔๙ จนถึงปัจจุบัน เทศบาลเมืองตากได้รับพระราชทานพระประทีปจากพระบรมวงศานุวงศ์เพื่อเป็นศิริมงคล รวม 10 พระองค์
วันที่ 9/11/54 พิธีเปิดและขบวนแห่
ปิดร้านประมาณ 6 โมง กลับบ้านไปเก็บของแล้วก็ออกมาก็ประมาณ 1 ทุ่ม บริเวณงานคึกคักคนจับจองที่นั่งรอชมขบวนแห่กันเต็มพื้นที่เลย ส่วนใหญ่เอาเสื่อมาปูนั่งกัน เราก็ต้องหาจับจองช่องว่างระหว่างเสื่อ ที่พอดีสำหรับ 2 คน 2 ก้นเล็กๆ 555++
ซักพักงานก็เริ่ม นำขบวนมาด้วยวงโยธวาทิตของนักเรียน
ตามด้วยขบวนอัญเชิญพระประทีปพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ราชรถอัญเชิญกระทงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ขบวนแห่ถ้วยพระราชทานปีนี้ทำเป็นขบวนเห่เรือ
มีครูมืด อ.ประสาท ทองอร่ามมากำกับการเห่เรือด้วยตัวเอง
ตามมาด้วย ขบวนแห่กระทงพระราชทานจากพระบรมวงศานุวงศ์อีก 8 พระองค์ คือ
- สมเด็จพระบรมโอรสาธราชฯ สยามบรมราชกุมาร
- สมเด็พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
- ทูลกระหม่อมหญิง อุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
- พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ
- พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
- พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์
- พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ
ปิดท้ายขบวนแรกด้วย กระทงของเทศบาล
จากนั้นก็จะเป็นขบวนแห่กระทงของชุมชนต่างๆ ซึ่งในริ้วขบวนของแต่ละชุมชนก็จะสื่อถึงคติความเชื่อเกียวกับประเพณีลอยกระทงสาย เรื่องราวความเป็นมา วิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมของชุมชน พร้อมการแสดงประกอบขบวนที่พร้อมเพรียงและสนุกสนาน
ชุมชนนี้ อยู่ริมน้ำ ... มีเรือรับจ้างข้ามฟากมาตั้งแต่สมัยก่อนก็เลยจำลองเรือข้ามฟากมาในขบวนแห่ด้วย
ส่วนอันนี้ ก็ทอดแหหาปลากันเลยทีเดียวพอลุงเหวี่ยงแหแต่ละที ผู้ชมก็เฮกันลั่นเลย
ดูขบวนแห่ได้สองขบวนก็เริ่มหิวเลยพักไปเดินหาของกิน ปีนี้มีซุ้มพิเศษเพิ่มเข้ามา คือ "เปิดตำรับพื้นถิ่น ของกินเมืองระแหง" (เมืองระแหง คือ ชื่อเดิมของ จ.ตากค่ะ) จริงๆมีเป็นสิบอย่างเลยแต่กินกันแค่ 2 คน เกรงจะท้องแตกซะก่อนเลยซื้อมาแค่บางอย่าง
บนสุดก็คือ "น้ำพริกหนุ่ม-แคบหมู" ซึ่งจะต่างจากน้ำพริกหนุ่มทางเชียงใหม่ ตรงที่นำไปผัดใส่หมูสับ/ไก่สับแล้วก็มะเขือส้ม
ด้านล่างขวา คือ "ลาบเมืองตาก" เค้าบอกว่าต่างจากลาบทั่วไป ตรงที่ใส่ยี่หร่าด้วย
ส่วนล่างซ้าย คือ "ยำข้าวเกรียบ" ของโปรดของเราเอง
หลังจากกินอิ่มจนท้องจะแตก 555+ ก็ย้ายมาที่บริเวณลานกระทงสาย
มารอชมพิธีเปิดบนเวทีกลางน้ำ ปีนี้ตกแต่งเวทีอลังการเหมือนเคยด้วย Theme พระราชพิธีเห่เรือ
เริ่มพิธีเปิดด้วยการอัญเชิญพระประทีป ถ้วยรางวัล และกระทงพระราชทานลงมาจากรถแห่
ขบวนอัญเชิญกระทงพระราชเดินข้ามไปยังเวทีกลางน้ำ
ไปประดิษฐานบนเวที
หลังจากการกล่าวรายงานต่างๆเสร็จสิ้นก็จะเป็นการอัญเชิญกระทงพระราชทานทั้งหมดลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ในการเปิดงาน
จบพิธีเปิดวันแรกแต่เพียงเท่านี้
วันที่ 10/11/54 วันลอยกระทง
วันพฤหัสพอดีปิดร้านครึ่งวัน ชวนเพื่อนทำกระทงขนมปังตามสูตรคุณสาววิเศษไปลอยกันซะเลย ปีที่แล้วทำเป็น"น้องเต่า" ปีนี้ทำเป็น "น้องปู" ค่าาาา (หน้าตาดูดีกว่าปีที่แล้ว เริ่มนวดแป้งเป็นละ 555++)
พออบกระทงเสร็จ ก็ออกมาเดินงานขึ้นไปดูที่ศาลาริมน้ำที่มีการนำกระทงของชุมชนต่างๆมาโชว์ก่อนที่จะนำไปลอยแข่งขัน และปีนี้พิเศษตรงที่ได้อัญเชิญกระทงพระราชทานที่ได้ลอยเป็นปฐมฤกษ์ไปแล้วเมื่อคืนกลับมาวางโชว์ไว้ให้ได้ชมความวิจิตรตระการตากันด้วย
สำหรับกระทงสาย 1 สายก็จะแบ่งไป 3 ส่วน คือ
1. กระทงนำ .. เป็นกระทงขนาดใหญ่ประดิษฐ์ตกแต่งด้วยดอกไม้ใบตองสดเย็บเป็นรูปแบบต่างๆแล้วจึงนำมาประกอบเป็นรูปทรง ซึ่งภายในต้องมีผ้าสบง เครื่องกระยาบวช หมาก พลู ขนม สตางค์ ธูป เทียน ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ประยุกต์มาจากแพผ้าป่าน้ำในสมัยโบราณ ส่วนรอบกระทงจะประดับด้วยไฟเพื่อให้เกิดแสงสวยงาม ก่อนลอยจะทำพิธีจุดธูปเทียนแล้วกล่าวคำขอขมาพระแม่คงคาและบูชารอยพระพุทธบาทตามคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา พร้อมถวายผ้าป่าน้ำแด่พระภิกษุสงฆ์ แล้วจึงนำลงลอยเป็นลำดับแรก
2. กระทงตาม .. ใช้กะลามะพร้าวจำนวน 1000 ใบมาขัดถูให้สะอาด ตกแต่งลวยลายสวยงาม ภายใกะลาวางด้ายดิบฟั่นเป็นรูปตีนกาแล้วหล่อด้วยเทียนขี้ผึ้ง ซึ่งนำมาจากเทียนจำนำพรรษาที่พระสงฆ์ได้จุดเพื่อทำพิธีสวดมนต์ในโบสถ์ตลอดสามเดือน หลังจากออกพรรษาชาวบ้านจะนำเทียนเหล่านั้นมาหล่อใส่กะลาสำหรับเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟก่อนที่จะปล่อยลงลอย ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่นำกระทงกะลาทุกดวงมาลอยในแม่น้ำปิง
ตำนานการฟั่นด้ายเป็นรูปตีนกา
ในอดีตกาลมีสามเณรน้อยรูปหนึ่ง ชอบล่าสัตว์ยิงนกเป็นประจำ วันหนึ่งเณรน้อยได้ยิงไก่ วัว เต่า พญานาคตาย และได้สำนึกบาปจึงอธิษฐานกับร่างของสัตว์ทั้งสี่ว่าถ้าเกิดชาติหน้าขอให้ได้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
ในเวลาต่อมา ณ ริมฝั่งแม่น้ำ มีต้นไทรต้นหนึ่งเป็นที่อาศัยของกาเผือกสองผัวเมียและมีไข่ในรังอีก ๕ ฟอง ระหว่างที่กาทั้งสองออกไปหาอาหาร เกิดลมแรงพัดเอาไข่ทั้งหมดตกลงไปในแม่น้ำ ไข่ทั้ง ๕ ฟองได้ลอยไปติดที่ริมตลิ่งและฟักออกมาเป็นทารกน้อย ๕ คน (ซึ่งก็คือ เณรน้อย ไก่ วัว เต่า และพญานาคกลับชาติมาเกิดนั่นเอง) ทารกทั้ง ๕ ได้อธิษฐานว่าขอให้ได้เจอหน้าพ่อแม่ด้วยเถิด เมื่อกาเผือกสองผัวเมียตายลงได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ จึงมาเข้าฝันทารกว่า "หากเจ้าทั้ง ๕ ระลึกถึงและอยากเห็นหน้าพ่อแม่ จงฟั่นด้ายเป็นรูปตีนกา แล้วลอยแม่น้ำคงคาไป" ต่อมาทารกทั้ง ๕ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
ด้วยเหตุนี้การลอยกระทงสายทุกครั้ง จึงมาการฟั่นด้ายเป็นรูปตีนกาเพื่อบูชาพ่อแม่กาเผือกของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้
3. กระทงปิดท้าย ... มีลักษณะคล้ายกระทงนำ แต่ขนาดเล็กกว่า สำหรับลอยปิดท้าย หลังจากลอยกระทงกะลาครบ 1000 ใบ พร้อมทั้งมีสัญลักษณ์แสดงให้ทราบว่าสิ้นสุดการลอยกระทงนั้นแล้ว
ระหว่างเดินดู .. ที่เวทีกลางน้ำก็มีการจุดพลุสวยงามทีเดียว
บนเวทีคืนนี้มีการแสดงพิเศษคือ "การแสดงการเห่เรือ" โดยครูมืด
จากนั้นลงมาลอยกระทงกันที่ท่าน้ำ เสร็จแล้วก็กลับบ้าน จบวันที่ 2 เพียงเท่านี้
วันที่ 12/11/54 ดูการประกวดลอยกระทงสาย
ตอนไปถึงงาน ชุมชนแรกกำลังตั้งขบวนที่จุดตั้งต้น เตรียมเริ่มการแข่งขัน ปีนี้พิธีกรบอกว่าให้คะแนนกันตั้งแต่เริ่มตั้งขบวนเดินข้ามไปยังเวทีกลางน้ำเลย เพราะฉะนั้นจะเดินข้ามไปเฉยๆไม่ได้ ต้องร้องรำทำเพลงเล่นดนตรีประกอบไปด้วยเป็นขบวนแห่ย่อยๆเลยทีเดียว
จับจองที่นั่งได้ ก็ได้เวลาพอดีเริ่มปล่อบกระทงนำกันแล้ว
ระหว่างลอย ก็จะมีการแสดงบนเวที หรือ ที่เรียกว่า "การเชียร์" มีการร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนานเป็นการให้กำลังใจแก่สมาชิกที่ทำการลอยกระทงสาย โดยต้องแต่งกายแสดงถึงวัฒนธรรมประเพณีไทย เพลงที่นำมาร้องต้องมีเนื้อหาสอดคล้องกับประเพณีหรือวิถีชีวิตของชุมชน และใช้ดนตรีไทยร่วมบรรเลงด้วย ซึ่งการเชียร์จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
บนเวทีก็แสดงไป ร้องเต้นกันครื้นเครง อีกฟากนึงคนปล่อยกระทงก็ปล่อยกระทงกะลากันอย่างขมักเขม้น โดยการให้คะแนนการลอยกระทงกะลา คือ ต้องปล่อยเป็นจังหวะ เว้นระยะให้เท่ากันให้สวยงาม และต้อง 1000 ใบพอดีเป๊ะภายในเวลาที่กำหนด ห้ามขาดห้ามเกินต้องพอดีกัน ซึ่ง ถือว่ายากมากๆ ต้องซ้อมกันอย่างหนักและอาศัยประสบการณ์สูง แต่ละชุมชนก็จะมี "มือลอยกระทง" เจ้าประจำด้วย
พอลอยกระทงตามครบ 1000 ใบแล้วก็จะปล่อยกระทงปิดท้าย เป็นลำดับสุดท้ายถือว่าสิ้นสุดการลอย
ขอปิดท้ายหน้านี้ไปด้วยภาพความสวยงามของสายกระทงในน้ำปิง ซึ่งด้วยความสามารถของกล้อง และคนถ่ายจึงเก็บภาพมาได้เพียงเท่านี้แต่ของจริงสวยกว่านี้หลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเท่าเลยค่ะ
ปีหน้า ถ้าใครสนใจอยากชมของจริง ก็เชิญชวนมาเที่ยวกันได้นะคะ ^^
ปล. หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าลอยกระทงเยอะขนาดนี้ ไม่กลายเป็นขยะไปเหรอ ขอตอบว่าเค้าลอยไปแล้วก็ไปดักเก็บตรงปลายน้ำเพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเพิ่มขยะค่ะ