แปลกเปลี่ยวในความฝัน
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

ความรัก เงิน พนักงานออฟฟิศ และร้านอาหารตามสั่ง

..........

วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
วันสุดท้ายของการเป็นมนุษย์เงินเดือน

ชีวิตคนทำงานออฟฟิศนี่...
มันเหมือนเรือลำน้อยล่องลอยในมหาสมุทรเวิ้งว้าง
ยามคลื่นสงบ แดดอุ่น ลมอ่อน
เรือก็ลอยไปเอื่อยๆ อ่อนโยนประดุจนักพรตบำเพ็ญเพียร
ยามพายุคลั่งอาละวาด ฝนกระหน่ำซัด คลื่นโหมสาด
ฟ้ามืดอนธการเรือก็โคลงเคลง ล้อลิ่ว
แล้วฝ่าทะยานทายท้าประหนึ่งโจรสลัดแห่งท้องทะเล
ไม่รู้ว่า... เรือน้อยลำนี้จะล่องไปถึงชายฝั่ง หรืออับปางสู่ก้นลึก!!!

...เคยนึกย้อนภาพสมัยตอนเป็นนักเรียน นักศึกษา
ชีวิตตอนนั้นกับตอนนี้ช่างแตกต่างอย่างยากอรรถาธิบายความนัย
วัยเรียน... เป็นชีวิตที่สนุกสนาน ครื้นเครง
เพื่อนเยอะ อิสระ ทะยานไกล
เป็นวัยแสวงหา เดินทาง ค้นคิด และลองผิดลองถูกร่ำไป
เป็นวันวัยที่ไม่ต้องห่วงหาหรือพะวักพะวงเรื่องเงินๆ ทองๆ
ไม่ต้องนั่งกลัดกลุ้มเรื่องรายได้ไม่พอใช้ เรื่องหนี้สินจิปาถะ
ไม่ต้องนอนเอามือก่ายหน้าผากครุ่นคิดเรื่องการสร้างชีวิต
ครอบครัว หรืออนาคต

ทว่า ณ ตอนนี้...อายุ ๓๐ กว่าๆ กับชีวิตและจิตใจที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน
จากเด็กชนบทที่มาเล่าเรียนจนจบปริญญาตรีในเมืองหลวงแสนศิวิไลซ์
ตอนที่เลือกเรียนวิชาเอก... คณะ... ในมหาวิทยาลัยเปิด
กระทั่งจบภายใน ๔ ปี
เพื่อนๆ มักถามเสมอว่า “จบแล้วจะทำงานไรเนี่ย”
“.........” ผมเชื่อว่าจงเรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก ชอบ
และมีความสุขกับสิ่งที่เราเลือก
แรกเริ่มเดิมทีก็ลงคณะรัฐศาสตร์ แต่ครั้นรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา
จึงเปลี่ยนคณะทันใด
ขณะความรักในช่วงหนุ่มสาวล้มเหลวซ้ำเล่า พบแล้วพราก จากแล้วเจอ
รักในวัยเรียนทำให้รู้คุณค่าอีกแบบหนึ่ง
รักในวัยทำงานทำให้เข้าใจความหมายอีกแบบหนึ่ง
กระนั้น
รสชาติแห่งการต้องจากลากันก็ประทับรอยแผลในใจให้ได้ขบคิด......

เรียนจบก็ต้องทำงาน... ช่างเป็นสัจธรรมที่มิอาจปฏิเสธ
หรือหาเหตุหลบเลี่ยง
ได้ฤกษ์ได้เวลาเดินสมัครงานเสียที
แน่แท้ว่าต้องหางานทำในเมืองหลวงนี่แหละ
แสง สี เสียง เทคโนโลยี อิสตรี และผู้คน
เหมือนม่านหมอกที่น่าหลงใหลเสียนี่กระไร
นับเป็นโชคดี (หรือโชคร้ายก็ไม่รู้
ที่ไม่กลับไปหางานทำที่บ้านนอกให้รู้แล้วรู้รอด)
ที่ดุ่มๆ ดุ่ยๆ ไปสมัครงานบริษัทแรกก็ได้งานเลย
สตาร์ททันที ๗,๐๐๐ บาท ตอนนั้นปี พ.ศ. ๒๕๓๙
เอาละสิ เงินเดือน ๗ พัน ไหนจะต้องเช่าห้อง
ค่าน้ำ ไฟ ค่ากินอยู่ และค่ารมณียสถานยามราตรีฯ
อันดับแรกต้องหาห้องเช่าที่ใกล้ๆ ออฟฟิศ
เอาแบบที่เดินไปทำงานน่าจะประหยัดเงินและเวลา
ผมมันเป็นคนประเภทชอบช่วงเวลาค่ำคืน
รักการนอนดึกเป็นกิจวัตร และไม่อยากตื่นแต่ไก่โห่
ที่สำคัญไม่ต้องเสียสุขภาพจิตในการถ่อสังขารโหนรถเมล์ไปทำงาน
ทั้งประหยัดเงินอีกด้วย
กรุงเทพฯ เมืองอมรรัตนโกสินทร์จะปีไหนๆ รถก็ติดเป็นแช่แป้ง…

นั่นคือจุดเริ่มของการเป็นลูกจ้าง...
ซึ่งหลังจากนั้นก็เปลี่ยนงานตามทัศนะและจิตใจเรื่อยมา
**เบื่อเพื่อนร่วมงาน พวกประจบ พวกแทงข้างหลัง... ลาออกครับ
**เซ็งเจ้านาย ระอาระบบงาน ใช้งานเยี่ยงข้าทาส... ลาออกครับ
**อารมณ์ศิลป์บังเกิด อุดมการณ์บรรเจิด ฮึกเหิม... ลาออกครับ
**หยุดวันอาทิตย์วันเดียว เดินทางไกล (ขี้เกียจย้ายห้องด้วย)... ลาออกครับ
**ทะเลาะกับหญิงสาว อิดหนาคลางแคลงใจ เลยประชดโดย... ลาออกครับ (???)
**ทำงานดี ทุ่มเท ความคิดใหม่ๆ เปล่งประกาย
เจ้านายปลื้ม เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกฯ
แต่เป็นการก้ามข้ามคนเก่าๆ อายุมากกว่าอีกหลายคน
และให้หน.คนเก่ามาเป็นผู้ช่วย
ซึ่งทำให้รู้สึกอีหลักอีเหลื่อ คนเก่าชอบทำงานแบบเดิมๆ
วัฒนธรรมครึๆ ...ก็ลาออกอีกครับ

สิริรวมๆ เป็นการย้ายบริษัทได้ ๖ บริษัท
(คงแบบนี้กระมังที่ชีวิตตอนนี้ลมเพลมพัด)
ซึ่งการลาออกเป็นการใช้อารมณ์ ความคิด
เหตุผลตนเอง และอุดมการณ์ล้วนๆ
ก็คนมันวัยหนุ่ม พลังมันเยอะ ทิฐิ เอาแต่ใจตน
ไม่สนเรื่องเงินเดือน เรื่องตำแหน่งแห่งหน
ไม่ถูกใจใคร ไม่ชอบบรรยากาศการทำงานที่แย่ๆ ไร้สีสัน
เกลียดพวกต่อหน้าอย่างแล้วลับหลังอย่าง
รู้สึกโดนเอาเปรียบอย่างแรง ทำดีเจ้านายไม่เคยชม
ทำพลาดทำผิดเพียงนิดเป็นเรื่อง!!
หน่ายเอือมพวกใช้ลิ้นทำงานมากกว่าการกระทำหรือใช้สมอง...
ก็ลาออกตะพึดตะพือ

เห็นหลายๆ คนในห้องนี้ ปรารภหรือเปรยๆ ว่า...
อยากลาออกจากงานบ้าง อยากเปลี่ยนงานบ้าง
ทำงานแล้วไม่มีความสุข ไม่ตรงที่เรียนมา เครียด
ทรมาน จิตตก เงินเดือนน้อย เดินทางไกล ฯลฯ
ผมพอเข้าใจแม้นจะไม่ทั้งหมด แต่ละคนก็ต่างปัจจัย
เงื่อนไข อายุอานาม และสถานการณ์
ครั้งหนึ่ง ; ผมเคยลาออกมาแล้วตกงานเกือบ ๗ เดือน
ช่วงนั้นสภาพชีวิตและจิตใจย่ำแย่มาก
แรกๆ ที่ออกงานก็ยังดำรงชีพไหว เพราะมีเงินเก็บออมบ้าง
ทว่าค่าเช่าห้อง ค่ากิน ค่าโน้นค่านี่
มันจะอยู่ได้สักกี่เดือนกันล่ะ?
ด้วยความที่มั่นใจตนเองว่ายังไงๆ เดี๋ยวก็ได้งานใหม่แน่ๆ
แต่สิ่งที่คิดกับโลกความจริงมันต่างกันลิบลับ
เผชิญแบบนี้ความมั่นใจอวดดีลดฮวบลงโข
นั่นแหละทำให้ผมตระหนักถึงชีวิตของคนบ้านนอกที่ไม่มีบ้านในเมือง
ไม่มีญาติพี่น้อง
ช่วงเวลาที่ไร้งาน เงินร่อยหรอ ต้องกระเหม็ดกระแหม่
บางทีก็ไปอาศัยฝากท้องกับเพื่อนฝูง
มันเป็นช่วงที่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า อืดอาด กลัดกลุ้ม และเศร้าสร้อย…


สมัยนั้น
โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟูอลังการและแพร่ลุกลาม
ฉะนั้น แต่ละวันต้องไปร้านหนังสือแล้วยืนเปิดอ่าน
และดูพวกนิตยสารสมัครงานต่างๆ
เจอะเจองานที่สนใจก็จะจดๆ
แล้วใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะโทร.ไปสอบถามก่อน
ตอนนั้น...ไม่ยึดติดแล้วว่าเงินเดือนเท่าไหร่
บริษัทจะใกล้จะไกล ถ้าได้งานจริงๆ ค่อยย้าย
หากบริษัทใดยังรับสมัครอยู่ก็เดินทางไปสมัครงานทันที
ไม่อยากปล่อยตัวเองให้ว่าง
คนตกงานนี่ช่างมีเวลาว่างมากมายให้ใช้จ่ายจริงๆ
มีเวลาถึงขั้นสมเพชตัวเองด้วยซ้ำ
ครั้นว่างมากๆ เดี๋ยวพลอยฟุ้งซ่าน จิตเตลิด
ทุกข์เทวษ และใบหน้าดูแก่ชราก่อนวัย
หลังจากสมัครงานเสร็จก็กลับมาจมจ่อมอยู่ในห้องแล้วคอย
คอย คอย และคอย...
รสชาติของการคอยนี่เหมือนรอฝนตกโปรยปรายในทะเลทรายเลย
คอยว่าเมื่อใดจะมีบริษัทไหนโทร.มานัดให้ไปสัมภาษณ์บ้าง
หรือเรารับคุณทำงานค่ะ ^_^
ยามเสียงกริ่งโทรศัพท์ในห้องดังคล้ายเสียงจากสรวงสวรรค์ยังไงยังงั้น...

ช่วงตกงาน...เคยอดมื้อกินมื้อ
พวกไข่ไก่ ปลากระป๋อง ไวไว มาม่าคืออาหารหลักเลย
เคยขายทีวีขายเครื่องเสียงในห้องสนนราคาถูกๆ
จำนำทองที่มีโดยไม่ไปถ่ายถอนออก
เคยรับจ้างแจกใบปลิว เคยช่วยหาเสียงเลือกตั้งส.ส.
เคยกระทั่งผู้หญิงทำงานกลางคืนให้เงินใช้
เคยอาบน้ำให้สุนัขแล้วพามันไปเดินเล่นเพื่อแลกกับเงินเล็กน้อย
และเคยทำให้แม่ร้องไห้...
ซึ่งน้ำตาแม่นั้นมันทำให้ผมเสมือนลูกอกตัญญู ไม่เอาไหน
ผมไม่น่ามาเกิดเป็นลูกแม่เลย

มกราคม ปี ๒๕๔๗ – ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
เป็นช่วงที่ดำรงสถานภาพพนักงานออฟฟิศของบริษัทหนึ่ง
ซึ่งตอนนี้ผมอายุ ๓๐ กว่าๆ
กับความคิดที่มันรอบคอบขึ้น อารมณ์ก็สุขุมขึ้น
ด้านชาขึ้น ไม่บุ่มบ่ามด่วนใจร้อน
มองปัญหาอย่างมีความหวัง
ตกผลึกกับข้อเท็จจริงเบื้องหน้า และวางแผนชีวิตเงียบๆ
ทั้งเริ่มมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่มองแบบที่เราอยากให้เป็น…
ซึ่งการเป็นมนุษย์เงินเดือนรอบนี้คือฐานที่มั่นสุดท้ายที่จะอยู่
แต่หาใช่การลงหลักปักฐานยาว
เพราะที่ทำนี่เป็นบริษัทเล็กๆ พนักงานแค่ ๒๐ กว่าคน
เงินเดือนเพียงหมื่นกว่ากลางๆ
ทำมาจวนจะ ๔ ปีล่ะ เงินขึ้นปีละครึ่งพัน
โบนัสแค่ ๑ เดือน หยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่มีโอที
(แอบอิจฉาเล็กๆ
ที่คนหลายคนในห้องสีลมเงินเดือนสูงๆ หลัก ๓ หมื่น – แสนกว่า)
อย่างว่า สาขาอาชีพ ทั้งสถาบันหรือความรู้ที่จบมาต่างกัน
ฐานเงินเดือนเลยลักลั่นตามสภาพ...
คิดถึงประโยตนี้จัง "คนจนทำงานเพื่อเงิน แต่คนรวยใช้เงินทำงานให้- - "

ขณะที่ความรักไม่ง่ายดาย
และสวยเพริศเหมือนนวนิยายโรมานซ์ปกหวานแหวว
ที่ผ่านมา... ตั้งแต่เรียนจวบกระทั่งจบแล้วทำงาน ทำงาน และทำงาน
ผมละเลงชีวิตไปกับความสำมะเลเทเมา
ลุ่มหลงความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว หลงใหลความสุขแสนสั้น
เพลิดเพลินกับมายาภาพ วัตถุนิยม หลงลืมตัวลืมรากเหง้า
ไม่เคยคิดเก็บเงินจริงๆ จังๆ ไม่วางแผนอนาคต ไม่ทำประกันชีวิต
ไม่มีเงินไปลงทุนในกองทุนและหุ้นต่างๆ
ขออิสระและใช้ชีวิตให้คุ้มเป็นพอใจ
เรื่องผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เลิกคิดสิ้นเชิง
เงินเดือนเพียงหมื่นกว่าๆ ผ่อนคอนโดถูกๆ ก็เยี่ยมแล้ว
ฉะนั้น ; เงินเดือนออกทีจึงมีแต่จะหาแหล่งเที่ยว
หาร้านเหล้าดื่มกับเพื่อนๆ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
ครั้นมีหญิงสาวมาอยู่ร่วมห้อง
แทนที่จะคิดสร้างและวางเป้าหมายชีวิตคู่ร่วมกัน
แรกๆ ก็ดี หวานชื่น อิ่มอุ่น ห่วงใย มีสุข
เมื่อผ่านๆ ไปก็จืดจาง ไม่เข้าใจ หลายอย่างไม่ตรงกัน
สุดท้ายรักก็ไปไม่รอด ต่างต้องแยกทางกัน
น้ำตารินไหล ปวดร้าว หัวใจสลายลาญ.....

เงิน.... คำๆ นี้เสมือนมีอำนาจสะกดจิตวิญญาณ
ให้พร้อมยอมพลีและจำนนหมอบราบ
แน่ว่าหนทางแห่งการได้เงินล้วนมีหลากหลายวิธี
ขึ้นอยู่ว่าใครจะมีความสามารถขนาดไหน
ทั้งคนส่วนใหญ่บากบั่นทำงานก็เพราะต้องการเงิน
ปรารถนาใคร่มั่งมีทรัพย์สินศฤงคาร
โลกทุนนิยม โลกบริโภคนิยม โลกไซเบอร์
หรือโลกไหนๆ ก็ยากปฏิเสธเงิน
บ้างว่า... เงินซื้อคนได้ ซื้อใจคนก็ยังได้
ซื้อเรือนร่างคนยิ่งง่าย หรือจะซื้อชีวิตคนก็ยังไหว
การซื้อเสียงจึงเสมือนเรื่องธรรมดาๆ พื้นๆ เมื่อเทศกาลเลือกตั้งมาเยือน
เงินอาจบันดาลบางสิ่งบางอย่างให้มนุษย์ยอมขายตัวและขายจิตวิญญาณ
เงินอาจเป็นบันไดต่อยอดเพื่อเติมเต็มหน้าตาและฐานะทางสังคม
เงินไม่เข้าใครออกใคร ทั้งเงินอาจทำให้มีบ้านใหญ่โต
รถยนต์ราคาแพงระยับ
แต่เงินก็ทำให้มนุษย์ประหัตประหารกัน
แก่งแย่งชิงดีกัน และเอาเปรียบกันอย่างไม่อาย
บางคนจึงเลี้ยงลูกด้วยเงิน
อำนวยลูกด้วยความสะดวกสบายมากกว่าความรักและเวลา
ทว่ากลับมีบางคนที่เห็นค่าของเงิน ใช้เงินเป็น
ที่สำคัญยังมีวินัยในการใช้เงิน....

“ดูแต่หอยซิ... ไม่มีมือไม่มีตีน มันยังหากินเองได้เอง...
นับประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ ก็อายหอย...” ปู่เย็นว่าไว้
ประโยคง่ายๆ จากเฒ่าทระนงผู้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทั้งไม่เอาเปรียบใคร
คนเรานี่แสนแปลก มหัศจรรย์นัก ดั่งชีวิตของปู่เย็นที่ยามมีลมหายใจ
ตะแกก็อยู่แบบสามัญ พอเพียง
ใช้ชีวิตกินอยู่นอนในเรือ บ้างก็ลอยล่องไปตามแม่น้ำเพื่อหาปลา
ได้ปลาก็เอาไปขายโดยไม่ต้องใช้หัวการค้าแสวงหากำไรเลย
และไม่เคยกินของใครฟรีๆ
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ยากจะหาใครเลียนแบบ
หรือกระทำตาม...ในใจปู่เย็นรู้สึกไงนะ?
ทว่ายามที่ตะแกสิ้นลม
พิธีศพของคนเล็กๆ ผู้ทระนงคนนี้กลับยิ่งใหญ่ทั้งผู้คนคับคั่ง
ขณะที่บางงานศพของคนผู้มีมากกว่า รวยกว่า
ครั้นถึงยามตายอาจเงียบเหงาและไร้ผู้คนกล่าวขาน...


ขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลก
ซับไพรม์เริ่มแพร่เชื้อ
ขณะบางบริษัท โรงงาน ห้างร้าน กำลังปลดลูกจ้าง ทยอยลอยแพพนักงาน
ไหนจะนักศึกษาผู้จบใหม่ยังหางานทำไม่ได้
และคาดว่าปีหน้าจะมีคนตกงานร่วมหลักสองล้าน
ส่วนคนที่มีงานทำก็ไม่มั่นใจในสถานะของตน
ไม่รู้ว่าหน้าที่การงานจะมั่นคงยืนยาวขนาดไหน
เช่นนั้น...แล้วไยผมจึงลาออกจากงานประจำล่ะ?
ซึ่งผมก็มีคำตอบสำหรับการเลือกเช่นนี้....

เขียนเพ้อมายาวพอควร ทำให้เสียเวลาในการอ่านบ้าง ซึ่งยังไม่จบอีกเนอะ
ทั้งการเขียนก็ไม่ใช่สูตร กลยุทธ์ เคล็ดลับ
คัมภีร์ และหนทางสู่ความสำเร็จหรือร่ำรวยด้วย
ไม่เกี่ยวกับการขาย การตลาด การบริหารจัดการงาน
หรือ SME สักกระผีกริ้น
มันก็แค่เรื่องเล่าดาดๆ
ของชีวิตผู้ชายเล็กๆ ระดับล่างคนหนึ่งที่ล้มเหลวหลายอย่าง
กระนั้นก็กระหายอยากแบ่งปัน ถ่ายทอด
และบอกเล่าด้วยสำนวนง่ายๆ ไม่อิงวิชาการใดๆ
ไว้โอกาสงามๆ และเวลาเหมาะๆ ผมจะมาเล่าต่อ...
ถึงการตัดสินใจและเหตุผลที่ลาออกจากงาน
รวมทั้งเรื่องการมาทำร้านอาหารตามสั่ง...
ซึ่งจะว่าสุขก็สุข ทั้งจุกจิกเวียนหัว รายรับดี
ทว่ารายจ่ายก็ยิบย่อย สารพันปัญหา

ด้วยจิตคารวะ




 

Create Date : 09 มกราคม 2552
4 comments
Last Update : 9 มกราคม 2552 11:27:32 น.
Counter : 365 Pageviews.

 

เราก็มนุษย์เงินเดือน ชักเบื่อ หุหุหุหุ

 

โดย: ayopolie 9 มกราคม 2552 12:45:49 น.  

 

เขียนดีจังเลยค่ะ

 

โดย: แหม่ม (~Little Heiress~ ) 10 มกราคม 2552 12:09:37 น.  

 

เขียนดีจังเลยค่ะ

 

โดย: แหม่ม (~Little Heiress~ ) 10 มกราคม 2552 12:09:37 น.  

 

เขียนได้ใจมากเลยค่ะ

 

โดย: i_rinry IP: 124.120.239.111 17 มกราคม 2552 1:39:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ChatchaMan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ChatchaMan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.