"จงจ่ายในส่วนที่ตัวเองต้องเสีย"

 
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
16 มิถุนายน 2550
 

---> Hikikomori Syndrome ฮิคิโคโมริ ซินโดรม ไม่ไปไหน ไม่ทำอะไร ไม่พบใคร

Hikikomori Syndrome ฮิคิโคโมริ ซินโดรม
ไม่ไปไหน ไม่ทำอะไร ไม่พบใคร

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

มีรายงานว่าเด็กญี่ปุ่นจำนวนมากมีอาการของ Hikikomori Syndrome มาตั้งแต่ปี ๑๙๙๖
นอกจากญี่ปุ่น ยังพบรายงานเกี่ยวกับเด็กที่มีอาการคล้ายคลึงกันนี้จากประเทศเกาหลี ไต้หวัน และสิงคโปร์ด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศที่กล่าวมาล้วนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่งคั่งทั้งสิ้น
และเท่าที่ทราบ ยังไม่มีรายงานกลุ่มอาการนี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย


เด็กที่มีอาการของฮิคิโคโมริซินโดรม หรือป่วยด้วยโรคฮิคิโคโมริ
หมายถึง เด็กที่แยกตัวออกจากสังคม เก็บตัวอยู่เฉพาะในห้องส่วนตัว หรือในบ้าน เป็นแรมเดือนหรือหลายปี

ก่อนที่จะลงรายละเอียดของโรคหรือกลุ่มอาการนี้
มีหลายประเด็นที่ควรทำความเข้าใจก่อน หรือจะพูดให้ถูกคือ
ถึงตอนนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับฮิคิโคโมริที่เรายังไม่เข้าใจ

จิตแพทย์และนักจิตวิทยาญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งให้ความเห็นว่า
ฮิคิโคโมริเกิดขึ้นได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น
เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม และมิใช่โรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิใช่โรคทางจิตเวช

หากฮิคิโคโมริเกิดขึ้นได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ก็จะมีคำถามตามมาว่าญี่ปุ่นมีอะไรที่ชาติอื่นไม่มี
คำตอบคือ ญี่ปุ่นมีระบบการศึกษาที่เคี่ยวเข็ญเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย
อย่างที่เราทราบกันว่าการแข่งขันของเด็กญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่ชั้นอนุบาล
ญี่ปุ่นมีระบบการจ้างงานตลอดชีวิต มีวัฒนธรรมการทำงานที่เรียกร้องให้คนทำงานหนัก หนักกว่า และหนักที่สุด
ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีการสื่อสารเลิศที่สุดในโลก ที่สำคัญคือ ญี่ปุ่นผ่านความบอบช้ำอย่างรุนแรงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
ทั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระบบการศึกษาแบบญี่ปุ่น และวัฒนธรรมการทำงานแบบญี่ปุ่น
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในสังคมญี่ปุ่นมานานครึ่งศตวรรษแล้ว
ซึ่งนักสังคมวิทยาเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นการบ่มเพาะปรากฏการณ์ฮิคิโคโมริที่ สำคัญ
ก่อนที่จะถูกกระตุ้นให้แสดงออกอย่างชัดเจนด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในช่วง ๑๐ ปีหลัง

เหล่านี้คือสิ่งที่ชาติอื่นไม่มี
และแม้ว่าระบบการศึกษาและวัฒนธรรมการทำงานอาจเป็นเรื่องที่เลียนแบบกันได้
แต่ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ แบบที่ญี่ปุ่นเผชิญ เป็นเรื่องพิเศษเฉพาะตัว

และเมื่อมองว่าฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ไม่ใช่โรค
เพราะฉะนั้นการใช้คำว่า "โรค" หรือ "Syndrome" ในบทความนี้จึงอาจถือว่าผิด

นักจิตวิทยาญี่ปุ่นมีความเห็นว่าฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างแท้จริง
เกิดขึ้นเพราะเด็กญี่ปุ่นไม่ยอมรับวิถีชีวิตในสังคมของคนส่วนใหญ่
เขาจึงกำหนดตนเอง (autonomy) "เป็น" ฮิคิโคโมริ เขาพอใจชีวิตที่เป็นและไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
หากจะมีผลเสียอยู่บ้างก็คือ เมื่อเขาใช้ชีวิตในห้องนานๆ ก็จะขาดทักษะในการเข้าสังคมกับคนส่วนใหญ่

ขอให้สังเกตข้อความในย่อหน้าที่ผ่านมา
เราจะไม่พูดว่า "เด็กญี่ปุ่นไม่ยอมรับวิถีชีวิตในสังคมของคนปรกติ"
เพราะนั่นเท่ากับบอกว่าเด็กฮิคิโคโมริผิดปรกติ
นอกจากนี้การที่นักจิตวิทยาเลือกใช้คำว่า "autonomy" ก็เป็นการย้ำว่าฮิคิโคโมริเป็นพัฒนาการของคนกลุ่มหนึ่ง
เพราะคนทุกคนเมื่อพัฒนาไป ย่อมผ่านจุดที่จะต้องมี autonomy ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อมองว่าฮิคิโคโมริไม่ใช่โรค
การช่วยเหลือเด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริจึงเป็นเพียงการนำตัวเด็กเหล่านั้นมารวมกลุ่มกันแล้วใช้ระบบเพื่อนช่วยเพื่อน
เพื่อไม่ให้พวกเขาตัดขาดจากสังคมภายนอกมากจนเกินไป
ในทางตรงข้าม หากฮิคิโคโมริเป็นโรค
การรักษาก็จะมุ่งไปในทางวินิจฉัยให้จงได้ว่าพวกเขาแต่ละคนป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่
เช่น เป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia)
โรคซึมเศร้า (Major Depression)
โรคกลัวที่โล่ง (Agoraphobia)
โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder)
หรือแม้กระทั่งเป็นบุคคลออทิสติก (Autistic)
เมื่อวินิจฉัยแล้วก็จ่ายยาหรือทำจิตบำบัดเฉพาะโรคไปตามการวินิจฉัยนั้น

ข้อเสียสำคัญของการมองฮิคิโคโมริเป็นโรค
คือทำให้เกิดการตีตรา (stigma)
การตีตราเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ครอบครัวไม่ยอมรับว่าเด็กของตนกำลังมีอาการของฮิคิโคโมริซินโดรม
และต้องการความช่วยเหลือ ทำให้การช่วยเหลือเนิ่นช้าออกไปและยิ่งยากต่อการช่วยเหลือมากขึ้นทุกที
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ข่าวฮิคิโคโมริปรากฏในสังคมญี่ปุ่นครั้งแรกๆ ได้เกิดความคลาดเคลื่อนในการรายงานข่าว
โดยมีการระบุว่าเด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริทำร้ายมารดาของตนอย่างรุนแรง
ส่งผลให้สังคมญี่ปุ่นหวาดระแวงเด็กฮิคิโคโมริ

เกี่ยวกับเรื่องการตีตราหรืออคติที่มีต่อผู้ป่วยจิตเวชนั้น
ถ้าจะให้เห็นภาพชัดขึ้นคงต้องยกกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเรา
นั่นคือกรณีหญิงสาวที่ใช้มีดทำร้ายนักเรียนในบริเวณโรงเรียน
และกรณีชายหนุ่มที่ทำลายพระพรหมเอราวัณจนกระทั่งตนเองถูกรุมทำร้ายถึงตาย
จริงอยู่ที่ผู้ก่อเหตุทั้งสองเป็นผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
แต่ประเด็นคือ หากสังคมไม่มีอคติ และรู้ว่าโรคจิตเกิดจากสารเคมีบางตัวในสมองผิดปรกติ
ผู้ป่วยทั้งสองก็จะได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วตั้งแต่หลายปีก่อน และสามารถหายขาดได้ในที่สุด
แทนที่จะกลายมาเป็นผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรัง จนกระทั่งก่อเหตุ และนำมาสู่บทลงเอยเช่นนั้น

สำหรับฮิคิโคโมริ
เนื่องจากนักวิชาการญี่ปุ่นเกรงว่าสังคมจะมีอคติ
จึงพยายามไม่ผูกโยงคำว่าฮิคิโคโมริเข้ากับเรื่องทางจิตเวช
พวกเขาต้องการให้มองฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมเท่านั้น

แต่ในอีกทางหนึ่ง เมื่อมองว่าฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม
ก็ทำให้วงวิชาการละเลยและไม่เอาจริงเอาจังกับผู้ที่มีอาการฮิคิโคโมริ
ผลที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีใครทราบตัวเลขที่แท้จริงของเด็กที่ "เป็น" ฮิคิโคโมริในญี่ปุ่น
อาจจะเพราะไม่สนใจที่จะสำรวจทางระบาดวิทยาอย่างจริงจัง
หรืออาจเพราะครอบครัวของเด็กฮิคิโคโมริส่วนใหญ่ปิดบังข้อมูลเพราะความอับอาย
เอกสารบางชิ้นระบุว่าญี่ปุ่นมีเด็กฮิคิโคโมริถึง ๑ ล้านคน ขณะที่เอกสารบางชิ้นก็ว่ามีเพียง ๕ หมื่นคนเท่านั้น

ครอบครัวของเด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริมักจะอับอายที่มีเด็กเช่นนี้อยู่ในบ้าน
เมื่ออับอายก็ซ่อน เมื่อซ่อนก็เท่ากับหมักหมมปัญหา
ทำให้อาการของเด็กรุนแรงมากขึ้นและยากต่อการเข้าช่วยเหลือ
ยิ่งไปกว่านั้นนักจิตวิทยาจำนวนหนึ่งยังเชื่อว่า สาเหตุไม่ใช่เพียงเพราะครอบครัวอับอาย
แต่ที่แท้แล้วเด็กฮิคิโคโมริเกิดขึ้นได้ก็เพราะครอบครัวของเด็กเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ สนับสนุนให้เป็นเช่นนั้น
อย่างน้อยก็ในตอนเริ่มต้น
คุณแม่จำนวนมากเริ่มต้นเรื่องนี้เพราะต้องการปกป้องลูกของตนจากการถูกรังแกที่โรงเรียน
ทั้งยังเห็นว่าการที่ลูกขังตัวเองอยู่ในห้องในบ้านในสายตา ก็ยังดีกว่าหายตัวไปข้างนอก

ปัจจัยสำคัญอีกข้อที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ
โลกปัจจุบันรวมทั้งสังคมญี่ปุ่น ไม่เว้นแม้แต่สังคมไทย
มาถึงจุดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนคนหนึ่งสามารถขังตัวเองได้อย่างสมบูรณ์

เด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริมักเป็นเด็กผู้ชายและมักเป็นลูกคนโต
เด็กเหล่านี้จะไม่ไปโรงเรียน ใช้ชีวิตในห้องส่วนตัวตลอดเวลา
ส่วนใหญ่จะนอนตอนกลางวันและตื่นตอนกลางคืน อาจจะออกจากห้องไปที่ครัวในกลางดึกบ้างเพื่อหาอาหารกิน
หรือมีบ้างที่จะออกจากบ้านกลางดึกเพื่อไปซื้อเสบียงจากร้านสะดวกซื้อที่เปิด ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
กิจกรรมที่พวกเขาทำขณะตื่นกลางดึกนั้นคือดูทีวีไปเรื่อยๆ เซิร์ฟไปตามเน็ต เล่นเกม และอ่านการ์ตูน

เรียกได้ว่าครบสูตร

หนักที่สุดคือนั่งจ้องผนังเฉยๆ ไปเรื่อยๆ

ขอให้สังเกตว่าพวกเขาไม่นิยมแช็ตหรือส่งเมลให้ใครหรือสื่อสารกับใคร
แม้ในความจริงเสมือน พวกเขาอาจมีโทรศัพท์มือถือไว้ข้างตัวแต่ก็มิใช่เพื่อการพูดคุย
พวกเขาสร้างโลกเสมือนขึ้นเพื่อให้ตนเองอยู่อย่างแท้จริง
และพวกเขาสามารถอยู่ได้จริงๆ ตลอดไปเสียด้วย

หลายปีมานี้ผมพบเด็กไทยในครอบครัวคนชั้นกลางเขตเมืองที่ไม่เรียนหนังสือมากขึ้น
เด็กเหล่านี้จะอยู่บ้านเฉยๆ เล่นเน็ต เล่นเกม และอ่านการ์ตูน
แต่ที่พิเศษกว่าเด็กฮิคิโคโมริ คือพวกเขาเมาท์ แช็ต และบางคนชอปด้วย
จึงยังไม่อาจเรียกว่าฮิคิโคโมริได้เต็มปาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเราไม่เคยแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ (ที่จริงแล้วเขาว่าเราเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำไป)
และต่อให้เรามีการศึกษาระบบทารุณกรรม แต่เราก็ยังไม่มีวัฒนธรรมการจ้างงานตลอดชีวิต
เราไม่มีแม้กระทั่งวัฒนธรรมการทำงานหนัก เด็กพวกนี้จึงไม่ใช่เด็กฮิคิโคโมริ

อย่างไรก็ตาม มีข้อเหมือนอยู่ประการหนึ่ง
นั่นคือพฤติกรรมเช่นว่านี้พบเฉพาะเด็กในครอบครัวคนชั้นกลางเท่านั้น
ครอบครัวที่พ่อแม่รวยพอที่จะปรนเปรอลูกด้วยวัตถุถึงห้องนอน
แต่ก็ไม่รวยพอที่จะส่งลูกหนีจากการศึกษาระบบทารุณกรรมไปเรียนต่างประเทศ

ที่แท้แล้วเด็กแยกตัวบ้านเราเป็นเด็กอะไร ?

ที่มา
นิตยสารสารคดี ฉบับที่ ๒๕๙ :: กันยายน ๔๙ ปีที่ ๒๒
จิตวิทยา : ฮิคิโคโมริ
//www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=604




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2550
2 comments
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2550 20:05:21 น.
Counter : 476 Pageviews.

 
 
 
 
ขอบคุณค่ะสำหรับความรู้

คิดว่าเกาหลีใต้คงเป็นประเทศต่อไปที่จะเกิดกลุ่มอาการแบบนี้ตามมา เพราะสังคมแทบจะทุกอย่างเหมือนญี่ปุ่นทุกอย่าง เคี่ยวเข็ญเรื่องการเรียน ทำงานหนัก (ตอนนี้เกาหลีใต้ทำงานนานที่สุดในโลกแล้วนะคะ ชนะญี่ปุ่นไปแล้ว) ระบบวัฒนธรรมที่ผู้ใหญ่ถูกเสมอ และเกาหลีก็เป็นประเทศที่ตกอยู่ในภาะวะสงครามตลอดเวลายิ่งกว่าญี่ปุ่นอีก เพราะญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก แต่เกาหลีใต้โดนญี่ปุ่นกับจีนรบอยู่ตลอดเวลา ขนาบข้างเลย

ตอนนี้สถิติการฆ่าตัวตายของคนเกาหลีก็แซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้วนะคะ ถ้าจะถามว่าระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่น เกาหลีมีปัญหาหนักกว่าญี่ปุ่นอีกค่ะ เพราะว่าญี่ปุ่นเริ่มรู้สึกตัวและแก้ไขกันแล้ว รวมทั้งยังเป็นโลกาภิวัฒน์มากกว่าเกาหลีใต้เยอะเลยค่ะ
 
 

โดย: TaMaChAN (narumol_tama ) วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:10:52:28 น.  

 
 
 
กำลังเป็นเลยค่ะ
นอนกลางวัน กินกลางคืน ไม่ออกไปไหน ซื้อของทางเน็ต ไปไกลสุดคือเซเว่นข้างบ้าน - -"
 
 

โดย: kanapad วันที่: 14 กันยายน 2551 เวลา:12:09:49 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

สมุทรสัญจร
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add สมุทรสัญจร's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com