มา ล้างใจ ให้ใสสะอาด แบบง่ายๆ กันเถอะ
เคย บ้างไหม? ก่อนหลับตานอน ในแต่ละวัน ได้คิดทบทวนสิ่งต่างๆที่เราได้ปฎิบัติต่อตนเองและ ผู้อื่นรอบข้าง อย่างไรบ้าง?สิ่งไหนดี สิ่งไหนที่ไม่ดี หรือ รู้สึกไม่ดี ทำให้เราไม่อยากจะทำอีก ไม่อยากมีนิสัยเช่นนั้น หรือ บางครั้งเราเจอใครกระทำกับเราต่างๆนานา ทำให้จิดใจเราขุ่นมัว ครุ่นคิดโกรธเคือง สลัดเท่าไหร่ก็ไม่พ้นไปจากความนึกคิด ไม่เข้าใจ หนักเข้าก็วนเวียนอยู่กับการคิดตอบโต้ เอาคืนจนทำให้เราไม่มีความสุข สิ่ง พวกนี้ คือ กิเลส ที่รายล้อมอยู่รอบๆตัวเรา และภายในจิตใจของตัวเรา และคนอื่นๆบางครั้งเรารับรู้สัมผัสความร้ายกาจของมันได้ แต่ไม่รู้ชัดเจนว่ามันมีตัวตนอย่างไร มาจากไหนหากเรารู้ตัวตนของมัน เราก็สามารถ ลด ละ เลิก ที่จะให้มันครอบงำเราได้ โดยการพิจารณาจิตทุก ครั้งที่จะเริ่มปลดปล่อย หรือ รับผลเจ้า กิเลส จากผู้อื่น จงหยุดมองตั้งสติ และ ยับยั้งชั่งใจ นี่คือ เบื้องต้น ที่สามารถ ล้างใจ โดยไม่ต้องขวนขวายศีกษาธรรมมะ ท่องคาถามหานิยม มากมายทั้ง 16 ข้อนี้ ก่อนนอนลองมองเข้าไปในตัวตนของเรา ว่ามีอยู่กี่ข้อที่เรา คิด พูด ทำ อยู่เป็นประจำบ้าง หากมี ทำอย่างไรให้มันหายไปเสียจากตัวเรา เมื่อทำได้ โดยไม่มีกิเลสเหล่านี้ อยู่ในตัวเราใจเราก็เป็นสุข ไม่ต้องหวาดระแวง ร้อนรุ่มจะทำสิ่งใด ไปทิศไหน ใจเราก็ภาคภูมิ สงบเยือกเย็นถึงแม้แรกๆ เราจะรู้สึกเสียเปรียบ ขี้แพ้ ก็ตามที หลัง จากนั้น มองผู้คนรอบๆข้างเรา ที่เขา คิด พูด ทำ มันอยู่ในข้อไหนบ้างหากรู้แล้ว เหมือน เรารู้ตัวตนของเขา ว่ามีเจ้ากิเลส ครอบงำ น้อยบ้างมากบ้างตามแต่การพิจารณาจิตของแต่ละคนหลายคนได้แต่ ปล่อยตนเองให้กิเลสครอบงำ เสียจนไม่รู้จักพิจารณา ล้างใจ เสียบ้างจีงเป็นคนที่ถูกมองเป็น "คนน่า รังเกียจ" " หน้าไหว้หลังหลอก" "ทรยศเนรคุณ"เมื่อเรามองเห็นเขา ทะลุปลุโปร่งแล้ว ก็ไม่ควรผูกใจเจ็บ อาฆาตพยาบาท เขาจงมองเขา อย่างเอ็นดู และ สงสาร แผ่เมตตาให้แก่เขาซะเพราะเขาเป็นทาสของ เจ้ากิเลสเหล่านี้ แหละสิ่งที่เขาทำ เขาก็จะได้รับผลจากการกระทำของเขาเอง ไม่เร็วก็ช้า สังคมของ เรารอบๆตัว ทั้งครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหาย ที่ทำงานเราจะเจอบุคคล ที่มี กิเลส เหล่านี้ฝังในจิตใจทุกคน ลองมาเป็นคนหนึ่ง ที่สามารถกำจัด ปราศจากกิเลสเหล่านี้แล้วเราจะรู้สึกได้ด้วย ตัวเอง และ คนอื่นก็จะสัมผัสได้ในไม่ช้าว่าเราเป็น "คนดี ที่น่าคบ" สมุทรสัญจร 15 พฤษฦาคม 2553อุปกิเลส 16การพิจารณา จิต คือ ตามรู้จิตตลอดกาลตลอดเวลาทั้ง เมื่ออยู่ในอิริยาบถตามปกติและเมื่อตั้งใจปฏิบัติเมื่อ เราตั้งใจพิจารณา ตามดูจิตแล้วเราจะมองเห็นอาการของ จิตต่าง ๆทำ ให้เข้าใจจริตนิสัยของตัวเองมากขึ้นเมื่อเราเข้าใจตัวเอง ยอมรับตัวเองตามความเป็นจริงก็จะเป็นพื้นฐานในการ ปรับปรุงพัฒนาตนเองคือ เมื่อรู้สึกตัวแล้ว ก็จะไม่หลงไปตามอารมณ์จิตเดิมแท้ของเราทุกคน เป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใสโดยธรรมชาติแต่กิเลสเป็นอาคันตุกะ ที่จรเข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตเศร้าหมองกิเลสหรืออกุศลมูล อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะเมื่อมีเหตุปัจจัยประสมประสานกันแล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นอุปนิสัยต่าง ๆมี 16 ลักษณะเรียกว่า อุปกิเลส 16 ได้แก่อภิชฌมวิสมโลภะคือความละโมภ อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว พยาบาทคือความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มีบาง ครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเอง จนฆ่าตัวตายก็มีซึ่งเป็นเพราะอำนาจ พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะโกธะคือความโกรธ มีอะไรมากระทบก็โกรธ เป็นลักษณะโกรธง่ายแต่เมื่อหายแล้วก็ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นคือ ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะอุปนาหะคือการผูกโกรธ ใครพูดอะไร ทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้วจะผูกใจเจ็บเก็บ ไว้ ไม่ปล่อย ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นกระทบอารมณ์เมื่อไรก็ เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกันคิดทวนเรื่องในอดีต ว่าเขาเคยทำไม่ดีกับเราขนาด ไหนเป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะมักขะคือการลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่นเช่น เขาให้ของแก่เราแทนที่จะขอบคุณกลับนึกตำหนิเขาว่า เอาของไม่ดีมาให้หรือ เมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบจึง ยกเรื่องที่ไม่ดีของเขามาพูด เพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น ปลาสะคือการตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตนแต่ ชอบยกตัวเองดีกว่าเขามักแสดงให้เขาเห็นว่าเราคิดเก่งกว่า รู้ดีกว่าถ้า ให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้อิสสาคือความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้ เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเราเขาได้รับความรักความ เอาใจใส่มากกว่าเรา เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขาความ จริง เราอาจจะมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว หรือเรากับเขาต่างก็ได้รับเท่ากันแต่ เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ ทนไม่ได้ก็มีมัจฉริยะคือความตระหนี่ ขี้เหนียว เสียดายของ ยึดในสิ่งของที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่นอยากแต่จะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้ใครมายาคือเจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเองเกินความจริงหรือจริงๆ แล้วเรามีน้อยแต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมีเช่น ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหราหรือบางกรณี ใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออกด้วยการพูดชื่นชมอย่างมากหรือบางทีเราไม่ได้มี ความรู้มาก แต่ขอคุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้นสาเถยยะคือการโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขาพยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุขถัมภะคือความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองใครแนะนำอะไรให้ก็ไม่ ยอมรับฟังสารัมภะคือการแข่งดี มุ่งแต่จะเอาชนะเขาอยู่ตลอด จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าเขาตลอดเช่น เมื่อพูดเถียงกันก็อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานาเพื่อเอาชนะให้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้วตัวเองผิด ก็ไม่ยอมแพ้มานะ คือความถือตัว ทะนงตนอติมานะคือการดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่นมทะคือความัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่ม เป็นสาว ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจหลงในตำแหน่ง คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปแล้วทำอะไรเกินเหตุปมาทะคือความประมาท เลินเล่อ ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา*** พิมพ์ไปปะไว้ ข้างหัวนอน หรือ ในห้องน้ำ แล้วใช้เวลาพิจารณาตนเองเป็นข้อๆไป ยอมรับความจริง อย่าหลอกตนเอง เป็นดีที่สุด จ้า! ***มา ล้างใจ ให้ใสสะอาด กันเถอะหากใครอัดอั้นตันใจ กับตนเอง หรือ คนรอบข้างหากอ่านบทความนี้แล้วอยากจะระบาย เล่าให้เพื่อนๆได้อ่าน ว่ากิเลสในตัวคนข้อไหนบ้างที่เจอมาบ้างถือว่าคุณได้ พิจารณาจิต ชำระจิตใจ ไปในตัวด้วย
ทักทายยามเช้าคร้าา^^