นุ้ย-สุจิรา ใครว่า สวย ติ๊งต๊อง
กลับมาเจอกันอีกแล้ว กับคอลัมน์ดาวต่างมุม ที่แต่ละอาทิตย์เราจะนำเรื่องราวของเหล่าดาราที่คุณชื่นชอบมานั่งเปิดอกคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพวกเขา และ สำหรับอาทิตย์นี้เป็นคิวของอดีตนางสาวไทยที่มีฉายา นางงามติ๊งต๊อง ไม่ใช่ใครอื่นเธอคือ นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ ซึ่งเมื่อเราได้พูดคุยกับเธอ เราถึงได้รู้ว่า เธอคนนี้ แม่ชีดี ๆ นี้เอง เอาล่ะไปคุยกับเธอกันดีกว่า
สมัยยังไม่เข้าวงการนุ้ยเป็นยังไง ? นุ้ยเป็นเด็กกรุงเทพฯเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ที่บ้านหล่อหลอมมาแบบวัฒนธรรมของจีน ให้เรามีความกตัญญู เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ และสอนให้เรารักตัวเองดูแลตัวเองยังไงเพราะเราเป็นผู้หญิง แต่ตอนเด็ก ๆ จะโดนตีบ่อยเป็นเด็กดื้อแบบไม่เชื่อฟังเลยโตมากับไม้ เมื่อก่อนสมัยเด็กนุ้ยไม่เคยดูตัวเอง จะแบบขี้หงุดหงิดใจร้อน เหมือนกับบัวที่อยู่ใต้น้ำลอยไปลอยมา พอโผล่มาเห็นแสงสว่าง ก็เริ่มจะรู้ตัวเอง พอเราโตขึ้น เราเริ่มจะเห็นอะไรหลาย ๆ สิ่ง ว่าเราไม่สามารถกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ได้ยกเว้นตัวเราเอง จิตใจเราเอง เวลาเราโกรธเราใจร้อน เราทำไปเพราะอะไร เวลาเราย้อนดูตัวจะได้รู้ว่าเราทำอะไรบ้างในวันนี้ หรือทำผิดอะไรบ้าง พอโตขึ้นทำให้รู้อะไรมากขึ้น นุ้ยจะสนใจแนวคิดหรือความคิดของคนว่าทำไมถึงคิดอย่างนี้
แล้วตอนนั้น คิดยังไงไปประกวดนางสาวไทย ? นุ้ยไปถ่ายชะแวบ ก็มีช่างแต่งหน้าบอกว่าน่าจะลองไปประกวดนางสาวไทยนะ นุ้ยก็คิดว่าตัวเองหมวยจะไปประกวดทำไม เพราะนุ้ยคิดว่านางสาวไทยต้องสวยคม แต่คุณแม่ได้ยิน แล้วไม่รู้อะไรมาบังตาเห็นดีเห็นงามว่าลูกเราต้องได้ แม่ก็พูดทุกวัน ว่าไปดูนะไปหาประสบการณ์ดู ตอนแรกนุ้ยไม่อยากประกวด เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ได้ ไม่รู้จะเสียเวลาทำไม ความงามกับเราคนละอย่างกันเลย จนใกล้จะปิดรับสมัครแล้ว มันเริ่มรู้สึกว่าเราเกเรกับแม่มากเหมือนกัน แม่ก็เข้าใจในความที่เป็นลูกอย่างน้อย ๆ เราก็ควรทำอะไรที่แสดงออกว่าเรารักแม่บ้าง ทำเพื่อแม่บ้างเป็นลูกที่ดีสักครั้ง ก็เลยตัดสินใจเข้าประกวด ไปสมัครพอผ่านรอบคัดเลือก เข้าไปรอบภาคกลางก็จะขอถอนตัว แต่พอดีว่าได้คุยกับพี่ที่เราเคารพคนหนึ่ง พูดให้ฟังว่า คิดดูว่ามีผู้หญิงตั้ง 100 คนที่ไม่มีโอกาสเหมือนเรา นุ้ยเอากลับมาคิดที่บ้าน คือตอนนั้นเบื่อการเก็บตัวไม่ชอบคนเยอะ ๆ รู้สึกว่าเราไม่ใช่ที่จะอยู่ตรงนี้ อีกอย่างแม่บอกว่าถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปแม่ไม่อยากบังคับแล้ว เท่านั้นแหละก็กลั้นใจกลับไปอีกที แต่ครั้งนี้เริ่มดีขึ้นรู้สึกว่ามีคนหลายจังหวัดทุกภาคของประเทศไทยมาเป็นเพื่อนเรา ใครบอกว่าการแข่งขันไม่มีมิตรภาพ แต่มันมีมิตรภาพเกิดขึ้นทำให้ผ่านพ้นวันเวลาที่โหดร้ายไปได้
ได้มงกุฎแล้วชีวิตเป็นยังไง ? ก็เริ่มปรับตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้อง ตรงเวลา จัดสรรเวลามากขึ้นต้องปรับเปลี่ยนความคิดถ้าเราโตขึ้น เราต้องคุยกับผู้ใหญ่ยังไง บางครั้งเราต้องระวังตัวยังไง มันยากแต่มองไปอีกมุมนึงก็มีครอบครัวคอยให้กำลังใจเรา นี่แหละคือโลกความเป็นจริงที่เราต้องเจอ เราอยู่แต่ในความฝัน แต่ในทางกลับกันก็มีสิ่งที่ดี ก็เลยอยู่ในวงการนี้อย่างสบายใจ
ตอนได้ตำแหน่งแรก ๆ โดนด่าว่าเป็นนางสาวไทยติ๊งต๊อง ตอนนั้นรู้สึกยังไง? บอกจริง ๆ ว่ายังซื่ออยู่นึกว่าชม แต่เราก็มองในแง่ดี คือ นุ้ยเชื่อว่าเราเจตนาดีทำให้เขาเชื่อว่าเราไม่ได้หยิ่งนะ จะให้เรามาแอ๊บทำเป็นหงส์เหินเราก็ทำได้ แต่นั่นก็คือหลอกตัวเองด้วย คือคิดเสียว่าใครว่าอะไรคิดว่าเป็นคำชม อย่าคิดว่าเขาว่าเรา นุ้ยก็เลยบอกว่านุ้ยเป็นของนุ้ยแบบนี้ต้องเปิดใจรับ นุ้ยจริงใจจริง ๆ ถ้างั้นนุ้ยหลอกทุกคนก็ได้
ทีนี้มาถึงเรื่องความรักบ้าง ปกตินุ้ยไม่ค่อยพูดถึงความรัก จริง ๆ แล้วนุ้ยมีมุมมองอย่างไรกับเรื่องนี้ ? ผู้หญิงถ้าประกาศว่าเราคู่กับคนนี้ ถ้ามันไม่ใช่ เราไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไร แค่ประกาศเป็นแฟนก็เหมือนแต่งงานแล้ว ต่อไปเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่รู้ ความรู้สึกของนุ้ย เราเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่จะคิด ยังไง พูดไปคนจะเข้าใจเราเหรอ นุ้ยพยายามถนอมความรู้สึกของพ่อแม่มากที่สุด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเซ็นซิทีฟ อีกอย่างเรารู้สึกว่าเรามีศักยภาพด้านอื่นอีกที่ยังอยากจะทำ และประกอบกับอนาคตที่เรารู้กันว่าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าเกิดอะไรขึ้นผู้หญิงก็ต้องเป็นฝ่ายเสียหาย อย่างน้อยวันนี้เราได้วางตัวดีแล้ว
แล้วกับ หนุ่ม (ศรราม เทพพิทักษ์) เรียกว่าแฟนได้หรือยังในวันนี้ เพราะคบหาดูใจกันมา 6 ปีแล้ว ? ยัง นุ้ยคิดว่าถ้าใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ปัจจัยในการเลือกคู่ก็คือเวลา นุ้ยเบื่อที่จะไปคุยกับใครแล้วเราไม่รู้จักเขาดี เหนื่อยที่จะต้องไปรู้จักใครหลาย ๆ คน นุ้ยคิดว่าการอยู่คนเดียวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็เลยไม่คิดเรื่องนี้ ยังสุขใจที่ได้อยู่กับตัวเอง ได้ดูแลพ่อแม่ที่เขาดูแลเรามาตลอด
นุ้ยให้คำจำกัดความของความรักไว้อย่างไร ? บางคนอาจจะมีมุมมองความรักที่เปิดเผย แต่นุ้ยมีมุมมองความรักอีกอย่างหนึ่ง นุ้ย ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หรือเรามาสุดทางแล้วคนนี้ มันยังมีระยะทางอีกยาวไกลกว่าที่เราจะบอก เพราะถ้าพูดไปแล้วไม่ใช่ จะกลายเป็นว่าเราเป็นคนกลับไปกลับมา ค่อยบอกทีเดียวว่าคนนี้ไม่เปลี่ยนแล้วนะ เพราะระยะทางการเดินทางของเราจะเจอใครอีกกี่คน หรืออาจจะไม่เจอก็ได้ มันไม่แน่นอน
แสดงว่าตอนนี้ยังไม่แน่ใจตัวเอง ? ใช่ นุ้ยยังให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่า ยังมีเวลาอีกเยอะ
ดู นุ้ย จะแนวธรรมะ ถามจริง ๆ เคยคิดจะบวชชีมั้ย ? มีค่ะ นุ้ยก็เคยไปคุยกับพระ พระท่านบอกว่าคนเราไม่ต้องบวชชีก็เข้าใจธรรมะได้ เรามีความคิดดี เข้าใจธรรมชาติ เราก็ได้เรียนรู้ธรรมะเหมือนกัน ถ้าเราลองคิดดี ๆ นุ้ยเชื่อว่าบาปจะต้องเกิดในชาตินี้ และใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีสติ รู้จักตัวเอง แค่นี้พอแล้ว
มีธรรมะในใจขนาดนี้แล้วเคยโกรธใครแบบสุด ๆ บ้างไหม ? เคย ตอนนั้นเรายังเด็กยังไม่รู้ว่าโลกความจริงมันโหดร้ายขนาดไหน เสียใจที่เราให้ใจเขาไปเต็ม ๆ แต่เขาไม่จริงใจกับเราเลย พูดถึงเราในทางที่ไม่ดี ตอนนั้นเสียใจ แต่ตอนนี้โอเคแล้ว พระท่านบอกว่าถ้าเราไม่อยากเจอเขาชาติหน้าก็อย่าไปสนใจ แต่โชคดีที่เป็นช่วงแรก ๆ เท่านั้นเอง ตั้งสติได้ไม่หวั่นไหวกับคำพูดนั้น โชคดีที่ทุกคนเข้าใจเราว่าเราเป็นแบบนี้ ไม่มีพิษมีภัย เหมือนสังคมสมัยนี้เริ่มเรียกหาคนที่จริงใจและผลักไสคนที่ใส่หน้ากาก เริ่มอยากหาอะไรที่จริงใจมากขึ้น เหมือนอาหารการกิน เริ่มกลับมาหาอะไรที่เป็นธรรมชาติกินเหมือนกัน
อยากให้ประชาชนมองนุ้ยเป็นอย่างไร ? มองว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีชีวิตเหมือนคนธรรมดา มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก และมองโลกในแง่บวก ซึ่งนุ้ยอยากให้ทุกคนมองโลกในแง่บวก ไม่อิจฉากัน สังคมก็จะมีความสุขมากขึ้น ซึ่งตอนนี้นุ้ยก็กำลังทำอยู่ สำหรับเธอคนนี้ เรียกว่าสวยใส ไม่ไร้สมอง เป็นนางงามที่มีดีกรีดีทั้งร่างกายและจิตใจเลยทีเดียว.
ภาพ ข่าว เดลินิวส์
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2550 |
|
7 comments |
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2550 12:45:58 น. |
Counter : 5788 Pageviews. |
|
|
|