Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2558
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
5 มิถุนายน 2558
 
All Blogs
 
เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รัตติกร” #MissGrandThailand2015

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015
คว้ำมงกุฎมิสแกรนด์ไทยแลนด์ได้สำเร็จ

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015
ถ่ายชุดว่ายน้ำในการประกวด

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015
ความสำเร็จท่ามกลางนางงามคนอื่นๆ

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015
วันสบายๆ

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015
วันไปเรียนที่ไม่แต่งหน้า

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015
ออกกำลังกายดูแลรูปร่าง

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015

เด็กช่างก็เป็นนางงามได้ “ปอไหม - รติกร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2015

กระแสร้อนแรงของวงการบันเทิงมักมาคู่กับข่าวฉาว เวทีนางงามกลายเป็นที่สนใจด้วยประเด็นดรามาร้อนแรงที่สังคมต่างวิพากษ์ แต่เมื่อกระแสสร่างซา แสงไฟบนเวทีก็พลันวูบดับลง และความเงียบไม่เคยเป็นมิตรกับชื่อเสียง

“เงียบๆ แบบนี้แหละดีแล้ว นางงามควรโด่งดังในด้านที่ดีจะดีกว่า” ปอไหม - รัตติกร ขุนโสม เจ้าของตำแหน่ง Miss grand thailand 2015 เอ่ยตอบ “กระแสตอนนี้มีพูดถึงเพียงว่า ทำไมเดินแรงแบบนี้ ไม่เหมือนนางงามไทยเวทีอื่นๆ เราคิดว่านี่คือสิ่งที่เวทีนี้ควรจะเป็นที่พูดถึง และมันคือสิ่งที่เวทีนางงามควรจะถูกพูดถึง”
ทฤษฎีว่าด้วยความยุติธรรมของอริสโตเติลบอกไว้ว่า ใครคู่ควรกับสิ่งใดก็ควรจะได้ครอบครองสิ่งนั้น นักไวโอลินที่เก่งที่สุดย่อมคู่ควรกับไวโอลินที่ดีที่สุด เฉกเช่นมงกุฎนางงามที่เป็นของเธอ จากท่วงท่าการเดิน จากความมั่นใจภายในสู่บุคลิกภายใน สีผิวแทนสวยจนถึงดวงหน้าคมเข้มในนิยามงามอย่างไทย ไม่แปลกที่สายสะพายกับมงกุฎจะอยู่ในความครอบครองของเธอ

จากภายนอกในรูปโฉมนางงามแท้จริงเป็นรูปโฉมจากความแข็งแกร่งของการทำงานมาโดยตลอด พร้อมทั้งเรียนสายฟิสิกส์อิเล็กทรอนิกส์ แวดล้อมเพื่อนในมหาวิทยาลัยของเธอคือเหล่าเด็กช่างนั่นเอง
“มันก็สนุกดีที่ด้านหนึ่งเราทำงานในวงการบันเทิงที่ต้องสวยงาม แต่อีกด้านเราก็ลุยๆ เรียนกับเด็กช่างห้าวๆ มันก็ยากนะคะ เพราะไม่ได้ชอบด้วย แต่รู้สึกว่าถ้าเราเก่งเราจะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จได้”

จากนางแบบสู่นางงาม

ทันทีที่การประกวด Miss Grand Thailand 2014 จบลง ปลา - ปรภัสสร ดิศย์ดำรง ขึ้นรับมงกุฎและสายสะพายประจำตำแหน่ง ท่วงท่าการเดินในสไตล์นางแบบ ผิวสีแทนสวยเป็นองค์ประกอบนางงามในแบบที่ดูแตกต่างจากเวทีอื่น ตอนนั้นเองที่ปอไหม - รัตติกรพยักหน้ากับตัวเอง มุ่งมั่นตั้งใจและเริ่มเตรียมตัวจะพิชิตตำแหน่งเดียวกันนี้ในปีถัดไปให้ได้

“ตอนแรกก็ไม่ได้คลั่งไคล้หรือสนใจนางงามเป็นพิเศษ แต่ว่าเห็นปีที่แล้วพี่ปลา เขาประกวดแล้วได้ที่หนึ่ง เห็นสเตปการเดินของเขา มันตรงกับเราเพราะพี่เขาก็เคยเป็นนางแบบมาก่อน
“เลยคิดว่าเป็นนางแบบแล้วก็มาเป็นนางงามได้ ลองดูมั้ย? ตั้งแต่วันนั้นเราก็เก็บตัว ฝึกซ้อมทั้งการเดินการโพส ปรับปรุงทั้งรูปร่างหน้าตาบุคลิกภาพทุกอย่างเพื่อเข้าประกวด”
สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยให้เธอเลือกเวทีนี้คือ เธอเหมาะกับที่นี่! โดยหนทางการคว้ำตำแหน่งของเธอก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเริ่มพัฒนาตัวเองตั้งแต่วันแรกที่ตั้งเป้าหมายว่าจะลงสมัคร และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ระหว่างอยู่ในกองประกวดเธอก็มักจะ“แอบหมุน” เพื่อฝึกการเดินการโพสของตัวเองอยู่เสมอ
“คือในกองประกวดเขาก็ดูเรา เก็บคะแนนเราตลอด เคล็ดลับของหนูคือพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา หนูจะแอบซุ่มซ้อม ในห้องเก็บตัวก็จะแอบดูคลิปคนนี้ เขาหมุนยังไง หมุนซ้ายหมุนขวา กลับมาต้องจิกตานะ”
การโพสท่าในรอบต่างๆ เธอต้องทำการบ้านอย่างหนักทุกครั้ง กว่าจะเข้านอนก็มักจะดึกถึงตีหนึ่งตีสองอยู่เสมอ

“กองประกวดนี้เป็นกองที่โหดพอสมควร กว่าจะปล่อยนางงามไปเข้าห้องพักผ่อนก็ดึกแล้ว หนูจะมีเวลานอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็จะเอาเวลาไปดูในเน็ตว่าการโพสพรุ่งนี้เป็นชุดว่ายน้ำนะ การโพสของฉันจะต้องเป็นยังไงให้โดดเด่นกว่าคนอื่น
“นางงามปกติก็จะเท้าสะเอว จับโน่นนี่นั่น หนูก็เปิดเลยมิสอินเตอร์เนชั่นแนล ต่างประเทศดู ฟิลิปปินส์ทำยังไง เขาโพสอย่างนี้นะ เวเนซุเอลาทำยังไง อเมริกาละ หนูก็จะดูอันไหนที่ชอบก็จะเซฟไว้ แล้วก่อนที่จะออกไปเดินก็จะเปิดดูก่อน ต้องจับตรงนี้นะ เปิดให้เห็นเอวก่อนซึ่งคนอื่นไม่รู้ทำหรือเปล่า แต่หนูคิดว่าตรงนี้แหละที่ทำให้เราได้เปรียบ”
การโพสท่าถ่ายแบบเดินแบบของเธอจึงมักจะมีเรฟเฟอเรนซ์อยู่เสมอ ทุกท่าโพสของเธอนั้นมีตัวอย่างอ้างอิงที่เธอจะนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง ไม่แปลกที่เธอจะคว้ำตำแหน่งที่เธอมุ่งมั่นตั้งใจมาครองได้สำเร็จ จากวิธีคิดที่ต้องเตรียมตัวทำการบ้านอย่างหนัก ด้านหนึ่งสะท้อนวัยเด็กในแบบที่เธอได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างคนที่ต้องขยันหมั่นเพียรอีกด้วย

เด็กใต้ไฮเปอร์
ผิวสีแทนเข้มคือเอกลักษณ์หนึ่งของเด็กใต้อย่างเธอ บ้านเกิดที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ยังคงเป็นสถานที่ที่เธอรู้สึกผูกพัน อาจเพราะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นั่น ความสูญเสียที่นิ่งงันในวัยเด็ก บทเรียนที่คุณป้ามักให้เธออ่านหนังสือจนเป็นนิยมตลอดวัยเรียนที่ผ่านมา แม้จะเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็กแล้วเธอก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็น “เด็กใต้”

และคุณป้าเจ้าระเบียบคือวัยเด็กที่เธอเลือกที่เอ่ยถึงเป็นคนแรก

“เป็นเด็กใต้ได้รับการเลี้ยงดูจากป้าซึ่งเป็นคนระเบียบจัด จะชอบพาไปเรียนพิเศษทุกอย่าง เรียนวาดรูป เรียนว่ายน้ำ เรียนลูกคิดกับอาจารย์นี่มหาวิทยาลัยสงขลานคริทร์ (มอ.) เรียนดีดลูกคิดที่เขาเรียกกันว่า จินตคณิต มันจะฝึกสมอง

“เพราะแต่ก่อนเป็นเด็กไฮเปอร์ค่ะ อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ สมาธิสั้น ป้าเขาจะเคร่งไปทางนี้ มีช่วงหนึ่งเมื่อใดก็ตามที่หนูนอนหลับป้าจะเปิดเพลงกล่อมเสมอ คงเป็นเพลงคลาสสิกอะไรสักอย่าง เหมือนมันทำให้อาการไฮเปอร์ลดน้อยลง คือตอนเด็กหนูไฮเปอร์ถึงขั้นนั้นเลยค่ะ”

น่าแปลกที่วัยเด็กตอนนั้นของเธอคือช่วงวัยอนุบาล 1 - 3 ทั้งที่ควรเป็นวัยเด็กที่จางหายไปกับความทรงจำทีถาโถม มันกลับลงรากฝังลึกจนถึงตอนนี้เธอยังเห็นภาพเด็กหญิงคนหนึ่งในยุคสมัยที่ไม่มีไอแพด โลกไซเบอร์ยังอยู่อีกห่างไกล สถาบันเรียนรู้ต่างๆ เป็นชีวิตวัยเด็กของเธอ

“ช่วงนั้นมีว่ายน้ำที่จริงจังหน่อย เคยได้เป็นตัวแทนในระดับอำเภอ แต่หลังจากจบอนุบาล 3 ก็ย้ายเข้ามากรุงเทพฯ เพราะพ่อเสียชีวิต”
ในวัยเด็กความสูญเสียกลับไม่ได้รุนแรงฟูมฟาย จนถึงตอนนี้ เธอที่อยู่ตรงหน้าเราก็บอกเล่าความสูญเสียครั้งนั้นด้วยสีหน้าปกติ เรียบเฉย แต่ก็ซื่อตรงกับความรู้สึก เป็นความสูญเสียในวัยเด็กที่ราบเรียบนิ่งงัน เธอกับแม่ย้ายจากบ้านย่ามาอยู่บ้านตายายที่กรุงเทพฯแทน
“แต่ก็ยังรักและผูกพันกับป้าเพราะเรายังกลับไปทำบุญพ่อทุกปี มันก็ทำให้เรายังคิดว่าตัวเองมียังมีความเป็นคนสงขลา แม้จะพูดไม่ได้แต่ผูกพันกัน”
การสูญเสียพ่อไปในวัยเด็กนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบสะเทือนวัยเด็กของเธอมากนัก เธอมองว่าอาจเพราะตัวเองยังเด็กมากๆ พร้อมกันนั้น แม่ก็ยังทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเธออย่างดีที่สุดอีกด้วย

“หนูไม่คิดว่าตัวเองขาดความอบอุ่น ตอนนั้นอาจจะเป็นเด็กด้วยมั้ง เด็กมากๆ ก็เลยไม่คิดว่าตัวเองขาดความอบอุ่นแม่ก็เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเรา”

ไม่ดุไม่ตีแต่อยากได้อะไรต้องหาเอง
หลังจากย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แม่จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชีวิตเธอ แม่ที่ยึดอาชีพข้าราชการครุสภา มีรายได้ไม่มากนัก ทำงานแบบที่เธอเรียกว่า ปากกัดตีนถีบ เพื่อส่งเสียลูกๆ ทั้งหมดให้มีอนาคตมีโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนในระดับที่สูงขึ้นไป

“แม่จะเป็นคนที่ใจดีมาก จะเลี้ยงลูกแบบไม่ดุ อาจจะดุแต่ก็ดุโดยคำพูดไม่เคยตีไม่เคยดุแต่ไม่ตามใจ อยากได้อะไรซื้อเองหาเอง”
ที่ผ่านมาเธอจึงแทบจะไม่เคยถูกแม่ลงโทษ แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ก้านมะยมในมือแม่ตีไปที่ขาของเธอ และนั่นเป็นครั้งเดียวที่ทำให้เธอโกรธไปหลายวันจนแม่ไม่ตีเธออีกเลย

“ตอนนั้นเหมือนแม่ได้ยินมาจากตากับยาย เลี้ยงลูกรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ทำไมไม่ตีบ้าง แม่เลยตีครั้งหนึ่งแล้วเรางอนหลายวันมาก จากนั้นแม่ก็ไม่ตีอีกเลยเพราะไม่ใช่สไตล์ของแม่อยู่แล้ว”
เพราะแม่ของเธอมีพื้นฐานเป็นคนจิตใจดี การตีจึงไม่ใช่ทางออก และการมีจิตใจเช่นนี้เองที่ส่งผลให้เธอมีน้องเพิ่มมาอีก 2 คน จากที่แม่ของเธอเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กที่บ้าน ผู้อาศัยในคอนโดฝั่งตรงข้ามได้นำลูกมาฝากเลี้ยง และไม่มานำตัวไปอีกเลย
“มีน้องแท้ 1 คน แต่ได้เพิ่มมาอีก 2 คนตอนแม่ทำเนิร์สเซอรี่ ตอนนั้นก็เหมือนคนในคอนโดที่เป็นใครก็ไม่รู้ อาจจะต้องทำงานกลางคืนเลยมาฝากเลี้ยง ฝากไปฝากมาก็หายไปเลย 2 คน ชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่บ้านก็รับเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ ตอนนี้ 9 ขวบแล้วก็รักเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
การมีเด็กเล็ก 2 คนเข้ามาเพิ่มเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านทำให้บ้านมีชีวิตชีวามากขึ้น
“เหมือนน้องจริงๆเลย ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนอื่น ที่บ้านดีใจที่มีเด็กสองคนนี้ ถ้าไม่มีมันก็เหงานะ เลี้ยงมา 9 ปี มาตั้งแต่คลอดเลยคะ ตัดสายสะดือปุบมาอยู่เลย และเด็กมันก็น่ารักดี พูดเยอะ เดี๋ยวนี้จะเถียงกันอยู่แล้ว มีความผูกพันกัน เป็นน้องอีกคนไปแล้ว”
อนาคตของเธอที่แม่เป็นผู้ปูทางมาถึงมหาวิทยาลัย เธอไม่ใช่เด็กเหลวไหลที่จะทำให้ค่าเทอมของแม่ต้องสูญเปล่า เพราะการเรียนของเธออยู่ในลำดับต้นๆ ของห้องมาตลอด

ไม่เก่งแต่ขยัน
มีทัศนคติบางอย่างฝังหัวตัดสินว่า คนสวยมักไม่ฉลาด แต่ข้อนี้คงใช้กับเธอไม่ได้ หากมองจากผลการเรียนในวัยเด็กที่เธอคว้ำที่หนึ่งจากการสอบมาได้อย่างสม่ำเสมอ และเธอคว้ำมาได้จากความขยันไม่ใช่ความเก่งกาจที่มีติดตัว

“หนูไม่เก่งค่ะ ที่หนึ่งมาจากความขยัน เพราะตอนเด็กๆ เพื่อนจะไม่อ่านหนังสือกัน แต่ป้าหนูให้อ่าน และหนูเป็นคนกระตือรือร้นเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว หัวไม่ดีแต่ขยัน เน้นอ่านทบทวน อ่านก่อนสอบ ช่วงประถมเลยสอบได้ที่หนึ่ง แต่พอขึ้นมัธยมที่เพื่อนๆ เริ่มจริงจังอ่านหนังสือกันแล้ว อันดับก็ตกเหมือนกัน”

โดยวิชาที่ชอบนั้นมักจะเป็นวิชาสายศิลป์ทั้งสังคม สุขศึกษา พละศึกษา แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงมัธยมศึกษาตอนปลายเธอกลับตัดสินใจเลือกสายวิทย์ - คณิตที่ตัวเองไม่ถนัด
“ส่วนตัวหนูคิดว่าถ้าเรียนวิทย์ - คณิต โอกาสมันจะเปิดกว้างกว่าเรียนศิลป์ - คำนวณ อย่างวิทย์ - คณิตถ้าเรามีจุดหมายอยากเปลี่ยนมาเรียนหมอ หรืออะไรที่ต้องใช้วิทย์ - คณิตเราก็สามารถไปได้ อยากเรียนอะไรที่เป็นสายศิลป์ก็สามารถไปได้ แต่ถ้าเรียนศิลป์ - ภาษาหรือศิลป์ - คำนวณ เราก็จะไม่สามารถที่จะไปเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นเภสัช เป็นอะไรที่เฉพาะทางอย่างนั้นได้”
เธอจึงเรียนสายวิทย์เรื่อยมาโดยมีวิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ และท้ายที่สุดวิชานี้เองที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกเรียนต่อในสาขาฟิสิกส์อุตสาหกรรมและอุปกรณ์การแพทย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

“ตอนนั้นก็คิดว่ามีฟิสิกส์ หวานหมู! แต่พอเข้ามา ไม่ใช่ค่ะ! มันเป็นอิเล็กทรอนิกส์ หนูก็เฮ่ย! ฟิสิกส์ใช้น้อยมาก มีฟิสิกส์ 1 ฟิสิกส์ 2 มันก็ตรงสายแต่ที่มากกว่านั้นคืออิเล็กทรอนิกส์ 1 อิเล็กทรอนิกส์ 2 ไมโครคอนโทรลเลอร์อะไรอย่างนี้ คือไปเป็นช่าง เด็กช่างเลย”
แล้วจากนั้นเธอรู้ตัวอีกทีก็มาใช้ชีวิตวัยเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ท่ามกลางเด็กช่าง เด็กปวช. ในห้องเรียนที่ 20 คนจะมีผู้ชายอยู่ 12 คน และโดยมากเป็นเด็กช่างที่อยู่ในรูปลักษณ์คมเข้ม เธอใช้คำว่า ถึกๆ โหดๆ แต่จริงใจ
“นี่มันเป็นแนวช่างเหรอเนี่ย? ไม่นะ!”
วิชาเรียนในเชิงช่างมีตั้งแต่ให้ต่อบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ ถึงตอนนี้งานช่างเป็นความสามารถอีกอย่างของเธอ ดูแปลกจากนางงามทั่วไป
“มันไม่ใช่ทางหนูเลยค่ะ หนูเลือกผิดมาก พอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาแม่ แม่บอกว่าแล้วแต่หนูเลย แต่ด้วยความที่หนูทะนงตัวเอง คิดว่าหนูเรียนอะไรก็ได้ หนูก็เลยเรียนต่อจนถึงตอนนี้ เรียนเหนื่อยมากอะไรที่ไม่ชอบ มันจะเหนื่อยมากแต่หนูต้องทำให้ได้”
และจากที่เรียนมา 4 ปี เธอเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ใช่ทางที่ชอบ และคงไม่ใช่อาชีพที่เธอจะทำในอนาคตอย่างแน่นอน แล้วเหตุใดเธอจึงยังคงเรียนต่อทั้งที่ไม่ถนัดและไม่ชอบ

“หนูคิดว่าการจะประสบความสำเร็จในชีวิตมันต้องทำได้ทุกอย่าง แน่นอน มันต้องหาตัวเองให้เจอก็จริง แต่สิ่งที่เราชอบกับสิ่งที่เราทำได้มันต่างกัน เราเรียนจบทางนี้มา ได้ปริญญามาเราสามารถไปทำที่ชอบได้ ไม่จำเป็นต้องไปทำที่เรียนมา คือถ้าความสามารถเราถึงเราก็ทำได้หมด หนูคิดว่า เฮ่ย! ใจไม่ชอบแต่ทำได้”
อีกสิ่งที่ทำให้เธอยังเรียนต่อก็คือ เธอไม่แน่ใจนักว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่
“ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าชอบอะไร แต่การอยู่ตรงนี้การเป็นนางงามทำให้เราเห็นอะไรหลายๆอย่าง หนูชอบที่จะทำอย่างนี้แหละ และหนูไม่เคยเป็นนักแสดงหนูก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า ก็ต้องลองดูต่อไปเรื่อยๆ”

นางงามช่างกล
นอกเวลาเรียนเธอแต่งสวยทำงานเดินแบบ แต่ในเวลาเรียนเธอไม่เคยแต่งหน้า ทั้งยังเสื้อชอปกางเกงยีนส์มัดผมอย่างเด็กช่าง เพื่อนๆ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า เธอจะลงประกวดนางงามได้
“เพื่อนจะตกใจกันมากเพราะหนูไปโรงเรียนจะไม่แต่งหน้า ไม่รู้จะแต่งไปให้ใครมองค่ะ มีแต่ผู้ชายเถื่อนๆ (หัวเราะ) ไม่นะ หนูก็ใส่ชอป ใส่เสื้อยืดปิดคอแล้วก็ใส่กางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ ห้าวมากชีวิตที่มหาลัย แต่พอออกมาโรงเรียนเป็นอีกคน”

ชีวิตในแวดล้อมสังคมเด็กช่าง แม้จะขัดกับความเป็นผู้หญิงแต่ก็เป็นชีวิตที่สนุกดี ทำให้เธอไม่ต้องห่วงสวย และไม่ต้องทนคำนินทาตามแบบเพื่อนผู้หญิงที่มักจับกลุ่มกัน
“เพื่อนผู้ชายจะแบบไปกินข้าวกัน จบ ไม่คิดเล็กคิดน้อย พูดด่ามัน มันก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย จบตรงนั้น แต่เพื่อนผู้หญิงด่าไม่ได้นะ มันคอยเอาคืนนะ อย่างนี้หนูเลยชอบมีเพื่อนผู้ชายมากกว่า”
ส่วนของการใช้ชีวิตก็ทำให้เธอไม่ต้องใช้สิ่งของที่โก้หรูนัก มักจะธรรมดา สมถะ เป็นลักษณะสังคมที่แตกต่างกัน เธอมองว่าหากไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งอื่น ก็คงต้องมีสิ่งของที่หรูหราขึ้นมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม เธอยืนยันว่าคงไม่ทำงานในสายงานด้านช่างอย่างแน่นอน แต่เรียนเพื่อให้ได้รับใบปริญญาเพื่อเป็นเกียรติให้กับครอบครัว โลกแห่งการทำงานเป็นสิ่งที่ยังคงเปิดกว้างอยู่สำหรับเธอ
“ตอนแรกที่เลือกก็คิดแค่ว่าชีวิตมันต้องดีกว่าสิ ฉันทำงานเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรม หรือกระทรวงอุตสาหกรรม หรือกระทรวงวิทยาศาสตร์ ชีวิตฉันคงสบาย แต่จริงๆไม่ใช่ (หัวเราะ) ควรจะเลือกนิเทศตั้งแต่ตอนมหาลัย แล้ว ฉันพลาดแล้ว”

ถึงตอนนี้เธอเหลือโปรเจกต์ตัวเดียวเพื่อสำเร็จการศึกษา แต่ลักษณะการทำงานจำเป็นต้องเก็บข้อมูลทุกวัน เธอจึงต้องพักเรื่องการเรียนไว้ก่อนเพื่อจัดการกับการประกวดที่กำลังจะมาถึง

ต้องเป็นเสาหลักของบ้านให้ได้
หลังจากบ้านเธอรับเด็ก 2 คนมาเลี้ยงดู แม่ต้องทำงานส่งเสียคนถึง 4 คนด้วยกัน สิ่งนี้เป็นแรงผลัดดันให้เธอรู้สึกว่าตัวเองจะต้องแบ่งเบาภาระของแม่ให้ได้ และต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวให้ได้ด้วย

เธอจึงเริ่มทำงานหาเงินตั้งแต่ตอนมหาวิทยาลัยปี 1 โดยเริ่มรับงานถ่ายแบบเสื้อผ้าตามร้านบนอินเทอร์เน็ตได้ค่าจ่ายครั้งแรกอยู่ที่ 500 บาทต่ออาทิตย์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำงานที่ตามมา
“ นี่คืองานที่ทำไปด้วยเรียนไปด้วย เลิกเรียนก็ไปถ่ายตอนเย็น”

จากนั้นเมื่อร้านขายดีขึ้น เธอได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 บาท แต่เมื่อร้านเปลี่ยนแนวซื้อผ้า เธอจึงไม่ได้งานอย่างที่เคยจนกระทั่งขึ้นปี 2 เธอตัดสินใจเข้าประกวด THAI SUPERMODEL CONTEST หลังลงจากเวทีเธอก็ได้รับการติดต่อจากแมวมองทั้งงานนางแบบและส่งเธอไปแคสโฆษณาต่างๆ
“ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนมาเรื่อยๆ มีใช้แอกติ้ง แต่ก่อนใช้แค่ยิ้มเฉยๆ ตอนนี้มีแอกติ้งเข้ามาในชีวิต ไม่ได้ง่ายๆนะคะ มันยากมากเลยที่จะแคสโฆษณาและได้ หนูแคสสามตัวถึงจะได้ คนอื่นอาจจะเยอะกว่านี้ แต่หนูเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิต ถ้างานที่สามไม่ได้ฉันจะไม่ทำแล้วนะ ทางนี้ไม่ใช่ทางของฉันอีกแล้ว”
หลังจากได้งานโฆษณาชิ้นแรก เธอก็มีกำลังใจมากขึ้นและเดินหน้าแคสงานต่อเนื่องถึงอาทิตย์ละ 9 - 10 งานเลยทีเดียว ไม่ว่าจะค่าจ่ายเท่าไหร่ บทบาทอย่างไร เธอเดินหน้าแคสหมดโดยถือคติที่ว่า เราต้องเดินหางานไม่ใช่ให้งานมาเดินหาเรา

“นั่นคือช่วงที่เริ่มถ่ายงานโฆษณา แล้วก็ทำอยู่โฆษณาประมาณ 2 ปี แคสบ่อยมากทุกอาทิตย์ นอกจากนี้ก็มีงานนางแบบที่เซ็นทรัลได้งานละ 3,000 บาท แต่มักจะเป็นงานยาว 10 วัน แต่หนูไม่เคยเดินแบบพวกแฟชั่นวีค หนูอาจจะตัวเล็กเกินไปในสายงานนั้น”
โดยงานนางแบบกับโฆษณานั้น นอกจากการใช้แอกติ้งที่ต่างกันคนละศาสตร์แล้ว เธอเห็นว่า งานนางแบบนั้นเป็นงานที่ได้เงินเร็วกว่า นี่คือจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้เธอติดใจงานตรงนี้
“ตัวงานหนูไม่ค่อยชอบเพราะมันไม่ยิ้ม มันไม่ใช่ตัวหนู เดินแบบนางแบบเขาจะเดินโชว์เสื้อผ้า เดินไปสุดสาย กลับมาปุบ เปลี่ยนชุดเดินใหม่ กลับมารับซองกลับบ้านเลย มันดีตรงนี้แหละค่ะ ส่วนงานโฆษณามันจะดีตรงที่ได้เงินเยอะ แต่วางบิล 3 เดือนอย่างต่ำ ทำงานวันนี้ โมเดลลิ่งไปวางบิลวันรุ่งขึ้น นับไปอีก 3 เดือนถึงจะได้เงิน เงินเยอะแต่นาน แล้วต้องเอาเงินตรงนี้เก็บไว้กิน 3 เดือนข้างหน้า แต่ทุกวันนี้ก็กินเดินแบบ 3 วัน 5 วันไปก่อน ชีวิตหนูไม่ได้สบายต้องวิ่งเต้นตลอดเวลา”
ชีวิตที่เดินทางมาถึงจุดนี้ ด้านหนึ่งก็มาจากความฝันอยากจะเข้าวงการบันเทิงของวัยเด็กมาจากความสวยงามที่มองเห็นผ่านทีวี แต่ครอบครัวกลับไม่สนับสนุนเธอในสายทางนี้นัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวมาถึงวันนี้จึงเป็นสิ่งที่เธอขวนขวายหามาด้วยตัวเองทั้งสิ้น

“ที่บ้านคุณแม่ก็เรียบร้อย ตากับยายก็เรียบร้อย ไม่เคยมีใครอยู่วงการบันเทิงมาก่อน ดูแต่ในทีวีเห็นแต่สวยๆ งามๆ ตอนเด็กๆ ก็ชอบ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงถึงจะได้เป็น และที่บ้านก็ค่อนข้างหัวโบราณยังมองว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกินอยู่ แต่ถึงตอนนี้เรามีผลงานโฆษณาออกมา เราก็เริ่มมองงานตรงนี้เปลี่ยนไปแล้ว มันต้องใช้ความสามารถเหมือนกันนะ”
อย่างไรก็ตาม ความฝันที่เธอตั้งเป้าไว้ไกลที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องในวงการ หากแต่เป็นการเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบายได้โดยมีเธอเป็นเสาหลักของครอบครัว
“ตอนนี้ตั้งเป้าไว้หนูอยากให้ครอบครัวสบายโดยมีลำแข้งของหนูเป็นเสาหลักของครอบครัว เหมือนกับว่าฉันจะทำให้ทุกคนสบายเองนะ อะไรแบบนี้น่ะค่ะ”

แค่ต้องก้าวต่อไป

หลังการประกวดเสร็จสิ้น เธอยังคงต้องประกวดในระดับนานาชาติต่อไป แน่นอน การทำให้ดีที่สุดคือสิ่งที่ผู้แข่งขันทุกคนต้องทำเมื่อตัดสินใจลงแข่งแล้ว แต่ความคาดหวังในลำดับท็อป 5 ก็เป็นสิ่งที่เธอมองว่า พอแล้ว กับการแข่งระดับโลก

“อยากได้สักท็อป 5 ก็พอแล้ว แต่ก็จะทำให้ดีที่สุด คิดว่ามันอยู่ที่ทัศนคติและมุมมองด้วย คนที่ชนะได้ต้องมีทั้งสมอง บุคลิกภาพและความมั่นใจในตัวเอง”
โดยเป้าหมายต่อไปของเธอนั้นคือการสร้างชื่อเสียงในระดับอินเตอร์ให้มากที่สุดบนเวทีที่ใกล้มาถึง จากนั้นเมื่อหนทางนางงามของเธอมาไกลที่สุดแล้ว เธอก็มองว่าอยากจะก้าวไปทำงานเป็นนักแสดงช่อง 7

“คงต้องเรียนแอกติ้งเพิ่ม ต่อไปก็อยากไปเป็นนักแสดงต่อ ไม่ได้ทำงานสายอิเล็กทรอนิกส์แน่นอนค่ะ (หัวเราะ)”
สำหรับกระแสนางงามที่เงียบหายต่างจากปีก่อน เธอมองว่า เป็นสิ่งที่ดีแล้ว แม้จะไม่เป็นที่วิพากษ์แต่ก็ยังมีแฟนคลับกลุ่มนางงามติดตามอยู่เช่นเดิม

“ตอนนี้หนูคิดว่ามิสแกรนด์ไทยแลนด์โด่งดังในทางที่ดี มีกระแสว่ามั่นใจในตัวเองเกินไป เดินแรงเกินไป หนูคิดว่านี่แหละ จุดขายของมิสแกรนด์คือความเป็นสากล
“ตอนทำการบ้านหนูไปดูคลิปของต่างประเทศ ดูเวทีอื่นๆ ทำไมเขาถึงเดินไม่เรียบร้อยเหมือนคนไทย และทำไมเขาถึงโด่งดัง? หนูคิดว่าหนูควรใส่จริตนั้นเข้าไปในการมาประกวดเวทีนี้ เพราะเวทีนี้เขาต้องส่งออกนาางามไประบบนานาชาติ เราก็ต้องดูว่าเวทีโลกต้องการอะไร”
ทั้งนี้ การประกวดนางงามเป็นขั้นหนึ่งสู่การเป็นดาราทว่าในยุคปัจจุบันนั้น ใครๆก็โด่งดัง ไม่ว่าจะจากทางโซเชียลมีเดียในฐานะเน็ตไอดอล สร้างกระแสบางอย่างก็เป็นที่จดจำถามหา เธอมองว่า เวทีประกวดไม่ใช่เพียงการสร้างชื่อเสียง แต่ยังเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งอีกด้วย และลักษณะของการประกวดนางงามยังทำให้ผู้คนได้เห็นในทุกมุมมองต่อตัวเธอ
“การประกวดนางงามมันเปิดเผยกว่า มันได้เห็นทุกอย่าง ทั้งร่างกาย หน้าตา สมองและความสามารถ ได้เปิดเผยให้โลกรู้ แต่ถ้าเปิดแค่ในเฟซบุ๊กเราอาจจะแค่ตั้งสเตตัส รูปร่างหน้าตาไม่รู้มาจากกี่แอปแล้ว ไม่รู้สวยจริงหรือเปล่า สมองคุณที่แท้จริงเป็นยังไง อันนี้มันน่าจะเปิดเผยกว่าและมันก็ได้ท้าทายตัวเองมากกว่าด้วย เพราะนางงามต้องกรองหลายขั้นหลายตอนกว่าจะได้คนที่เป็นคำตอบของเวทีมากที่สุด”

อีกเหตุผลที่ดึงเธอมาสู่งานประกวดนางงามก็คือการที่ชีวิตต้องก้าวต่อไป

“ถ้าหนูไม่ทำอะไรซักสิ่งหนึ่งสิ่งใดชีวิตก็ต้องย้ำอยู่กับงานโฆษณา จะเป็นอย่างนี้เหรอ? เราจะก้าวขึ้นไปยังไง เออ! ลองมาประกวดนางงามดู อย่างน้อยฉันไม่ได้ตำแหน่ง แต่มีพอร์ต มีรูปจากกองประกวด มีรูปสวยๆ ที่สามารถเอาไปหากินได้ เอาไปทำงานต่อได้ แต่มันก็ประสบความสำเร็จ ทำให้ชีวิตหนูก้าวต่อไปข้างหน้าอีกขั้นหนึ่ง”

เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ

ภาพโดย ปัญญพัฒน์ เข็มราช




Create Date : 05 มิถุนายน 2558
Last Update : 5 มิถุนายน 2558 22:35:45 น. 0 comments
Counter : 2895 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.