<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
14 กันยายน 2553
 
 
กอดแม่ กอดเมืองไทย เที่ยวสุขใจ 5 ภาค (ตอนแรก)

เส้นทางล้านนาตะวันออก อุตรดิตถ์-แพร่-น่าน

อารัมภบท


ปีนี้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยทรุดตัวลงอีกครั้ง ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมคนเสื้อแดง มาตรการรุกของแกนนำที่รุนแรงเพิ่มทุกขณะ กลุ่มคนต่อต้านการชุมนุม จนถึงการสลายการชุมนุมในที่สุด อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเลย แม้แต่นู๋เมี่ยงเองยังผวา นึกไม่ถึงว่าจะมีคนไทยกลุ่นหนึ่งนิยมการใช้ความรุนแรงถึงขนาดนี้ ฟังข่าวทีไร เห็นภาพบ้านเมืองถูกทำลาย คนไทยเลือดตกยางออก ห้ำหั่นกันเอง แล้วสลดใจเป็นที่สุด

ซ้ำช่วงฤดู green season แบบนี้นักท่องเที่ยวยิ่งลดจำนวนลงไปอีก ภาครัฐบาลต้องพยายามหามาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการการท่องเที่ยวไทยเพื่อเป็นการกระจายรายได้สู่ต่างจังหวัด เช่น โปรโมชั่นทัวร์ราคาพิเศษ สามารถลดหย่อนภาษีได้ นี่เองคือโอกาสที่นู๋เมี่ยง. พอจะกันเงินพาแม่ออกไปเที่ยววันหยุดยาว (4 วัน) ช่วงเทศกาลวันแม่กะเขาได้บ้าง



เริ่มมองหาโปรแกรมทัวร์ที่จัดร่วมกับททท. มีอยู่ 5 ภาค 6 เส้นทางให้เลือก งานนี้ใครได้จับคู่พาคุณแม่ไปเที่ยวจะได้ราคาพิเศษ
ดูไปดูมานู๋เมี่ยงตัดสินใจเลือกเส้นทางแพร่-น่าน (ขอใช้อำนาจสิทธิขาดในการตัดสินใจ) เพราะคิดว่าโอกาสที่จะได้สัมผัส 2 จังหวัดนี้น่าจะน้อยกว่าเส้นทางอื่น




พฤหัส 12 สิงหาคม 2553 (วันแม่)



ลั้ลล้า... หัวใจเดินทาง


ตลอดทั้งคืนนู๋เมี่ยงแทบไม่ได้นอนเลย กลับจากที่ทำงานเย็นวันพุธ ทำโน่นทำนี่ จัดกระเป๋า สุดท้ายตาค้าง ไม่กล้าหลับ รอจนเช้าพี่ชายขับรถพาไปส่งที่สยามนิรมิต

มาถึงจุดนัดพบที่ลานจอดรถ สยามนิรมิตตอน 6 โมงเช้า เห็นรถโค้ชจอดเรียงกันเป็นแถว มองหารถโค้ชคันของเราก่อน



นู๋เมี่ยงอยู่รถโค้ชคันที่ 1 (เส้นอุตรดิตถ์-แพร่-น่านมีทั้งหมด 4 คันรถ) ลงทะเบียนเสร็จ รับเสื้อยืดคนละตัว ถ่ายรูปบรรยากาศผู้คนคึกคัก เห็นลูกๆ คนอื่นๆ พาแม่มาเที่ยวแล้ว... อืมม์ ชั้นก็พาแม่มาเหมือนกันนะ



6.30 น. ระหว่างรอรถออก มีการเรียกคู่แม่ลูกขึ้นมาบนเวทีให้สัมภาษณ์ การเต้นเชียร์ลีดเดอร์ เจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยขึ้นมากล่าวเปิดตัวโครงการ



7.00 น. ล้อหมุน รถโค้ชต่อแถวเคลื่อนตัวออกจากสยามนิรมิต ก่อนอื่นนู๋เมี่ยงขอแนะนำให้รู้จักมัคคุเทศก์ของรถโค้ชคันที่ 1


- คุณยุ้ย มัคคุเทศก์จากเพื่อนธรรมชาติ –



- คุณนัท มัคคุเทศก์จากเพื่อนธรรมชาติ -


แจกจ่ายอาหารเช้ารับประทานกันบนรถ เพื่อนๆ หิวกันรึยังคะ ถึงยังไม่หิวก็ทานเถอะค่ะ เดี๋ยวพอมื้อเที่ยง ก็มีอะไรให้ทานอีก



ทริปนี้นู๋เมี่ยงโชคดีมากๆ ที่ได้อยู่รถบัสคัน 1 เพราะมีอาจารย์เจริญ ตันมหาพราน เป็นวิทยากรคอยเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ไทยสนุกๆ ให้ฟังตลอดการเดินทาง

แต่ก็ยอมรับว่าบางช่วงก็มีเผลอหลับ เพราะตั้งใจฟังอย่างมาก เลยหลับตาเพื่อให้เกิดสมาธิ ตัดเสียงฮึมๆ จุ๊กจิกรบกวนเวลาอาจารย์เล่า กลายเป็นว่าตัดเสียงทุกอย่างออกไปหมดเลย รวมทั้งเสียงของอาจารย์ด้วยง่ะ (นู๋เมี่ยงขอโต้ดดดด) ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว ไม่อาจจะทนฝืนได้ เพราะไม่ได้นอนมาเลยทั้งคืน ถ้าไม่ได้งีบซะบ้าง จะหงุดหงิดง่าย เที่ยวไม่สนุกนะเออ....


- อาจารย์เจริญ เป็นวิทยากรให้ความรู้ตลอดการเดินทางครั้งนี้ค่ะ -


มากับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไม่ต้องกลัวลำบาก ไม่เคยหิว (ขนมหวาน ของว่างแจกตลอด กลับถึงบ้านน้ำหนักขึ้น) มีแวะจอดพักตามปั้มน้ำมันเป็นระยะๆ

แป้บเดียว เที่ยงแล้ว รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านฟ้าไทยฟาร์ม จังหวัดพิษณุโลก นู๋เมี่ยงจำไม่ได้ว่ามีเมนูอะไรบ้าง จำได้แต่ว่าเมนูสุดท้ายคือกุ้งแม่น้ำเผา ได้ทานคนละตัว



12.50 น. จากพิษณุโลกเดินทางสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง หลับต่ออีกได้สบาย จุดแรกที่ไปชมคือวัดพระแท่นศิลาอาสน์ อำเภอลับแล

วัดพระแท่นศิลาอาสน์



- รูปหมู่หน้าวัดพระแท่นศิลาอาสน์ -


ค้นหาข้อมูลจากทางเวปไซค์ความว่า “วัดพระแท่นศิลาอาสน์เป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าผู้ใดสร้าง และสร้างแต่เมื่อใด ในศิลาจารึกครั้งกรุงสุโขทัยไม่ได้มีข้อความกล่าวถึงพระแท่นศิลาอาสน์ เพิ่งมีปรากฎในหนังสือพระราชพงศาวดาร ในรัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ พระองค์ได้เสด็จนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ เมื่อปี พ.ศ. 2283 ได้แสดงว่า พระแท่นศิลาอาสน์ได้มีมาก่อนหน้านี้แล้ว”

เข้าไปสักการะพระแท่นศิลาอาสน์ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหาร และมีพระมณฑปสร้างครอบไว้อยู่


- โต๊ะหมู่บูชาตั้งอยู่ทางด้านหน้าของพระมณฑปที่ครอบองค์พระแท่นไว้ –


ตัวพระแท่นเป็นศิลาแลงมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 8 ฟุต ยาวประมาณ 10 ฟุต สูง 3 ฟุต ที่ฐานพระแท่นประดับด้วยลายกลีบบัวโดยรอบ



“พระแท่นศิลาอาสน์เป็นพุทธเจดีย์ เป็นที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ในภัทรกัปนี้ได้เสด็จ และจะได้เสด็จมาประทับนั่งบนพระแท่นแห่งนี้เพื่อเจริญภาวนา และได้ประทับยับยั้งในเวลาที่ตรัสรู้แล้วเพื่อโปรดสัตว์ ซึ่งแสดงว่าพระแท่นศิลาอาสน์นี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างต่อเนื่องในพระพุทธศาสนามายาวนาน”

พระแท่นของจริงต่างจากที่นู๋เมี่ยงเคยนึกภาพไว้ คิดว่าจะเป็นเหมือนตั่งที่นั่ง หรือแท่นหินทึบรูปทรงสี่หลี่ยม ไม่ใช่เป็นร่องบ่อแบบนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่นู๋เมี่ยงได้รู้หลังจากได้ลองสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัดพระแท่นฯ ก็คือ สัญลัษณ์ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์นั้นเป็นรูปมณฑปประดิษฐานพระแท่นศิลาอาสน์ ต่อมาทางราชการให้เพิ่มเติมรูปครุฑ และลวดลายกนกมาประกอบไว้ พร้อมเพิ่มตัวอักษรบอกชื่อจังหวัดอุตรดิตถ์ไว้ในตราด้วย


- ข้อมูลจากเวปไซค์ //www.uttaradit.go.th/



ตอนนี้ผู้คนทะลักเข้ามาในพระวิหารทำให้เก็บภาพได้ค่อนข้างลำบาก อีกอย่างแสงในอาคารแบบนี้ นู๋เมี่ยงปรับค่ารับแสง ฯลฯ ไม่ค่อยเป็น ภาพไหวตลอด ออกมาเดินข้างนอกดีกว่าค่ะ



จากนั้นเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่ภายหอเล็กๆ ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ความที่มีบาตรวางไว้อยู่บนรอยพระพุทธบาทกระจัดกระจายไปทั่ว จึงค่อนข้างดูออกยากสักหน่อย



เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านต่อ



การจัดวางตำแหน่ง การจัดองค์ประกอบ การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุโบราณ หรือเครื่องใช้ไม้สอยพื้นบ้าน บรรยากาศยังไม่ดึงดูด หรือเรียกความสนใจให้กับนักท่องเที่ยว หรือกระตุ้นให้คนเข้ามาศึกษาหาข้อมูล สรุปคือ "มันไม่มีสตอรี่" (นึกถึงเดี่ยว 8 ของคุณโน๊ตอุดมพูดถึงการนำเสนอขายสินค้าโดยเปรียบเทียบวิธีของญี่ปุ่นกับไทย)



มัคคุเทศก์ประจำรถแต่ละคนเรียกให้นักท่องเที่ยวกลับขึ้นรถเพื่อออกเดินทางต่อ แต่ความที่มาเป็นหมู่คณะ 4 คันรถ คนนั้นมา คนนี้ยังไม่มา นู๋เมี่ยงเลยใช้เวลากราบไหว้พระทันใจ (พระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยสีขาวองค์ใหญ่) ใกล้กับลานจอดรถไปพลางๆ


- หลวงพ่อทันใจ วัดพระแท่นศิลาอาสน์ -


จากนั้นเดินทางสู่ “บ้านบนดอย” ชิมลอดช่องเค็ม (นู๋เมี่ยงว่าหน้าตา รสชาติของมันคือ “เกี๋ยมอี๋” นั่นแหละ) และซื้อ “หมี่พัน” มาลองชิมดู เส้นหมี่สีเหลืองทองคล้ายเส้นฝอยทอง แต่มีรสชาติเค็ม (อีกแระ)



เห็นน้าๆ กำลังเคี่ยวทุเรียนกวนอยู่หน้ากระทะเตาถ่าน บอกว่าอีกนานกว่าจะแห้งดี



เข้าไปเป็นพื้นที่สวน แต่ไม่ได้เดินลึกเข้าไปถึงด้านใน ต้นไม้ต้นนี้รู้ว่าเป็นต้นลองกอง เพราะมีลูก แม่เราบอกให้เราถ่ายรูปให้หน่อย เอาแบบทำท่าว่ากำลังแอบเด็ดกินนะ แน้...



นั่งพักที่บ้านชมดอยสักพัก ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้วค่ะ ตามโปรแกรมวันนี้ก็เหมือนว่าไม่มีรายการนำเที่ยวอะไรแล้ว ต่อจากนี้คือรับประทานอาหารเย็น และ check-in เข้าโรงแรมที่พัก

ระหว่างทางขณะรถกำลังวิ่งมองออกนอกหน้าต่างเห็นทุ่งนาสีเขียว ต้นไม้ปกคลุมภูเขาชอุ่ม ดูแล้วสบายตา



เพิ่งจะ 5 โมงเย็น อากาศกำลังดี แดดร่มแล้ว ได้แวะมาเคารพอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ดาบน้ำพี้ใหญ่ที่สุดในโลก พิพิธภัณฑ์พระยาพิชัยซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์


- อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก –


สมัยเป็นเด็กนักเรียน ได้เล่าเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย บุคคลสำคัญต่างๆ เพื่อนๆ ยังพอจำชีวประวัติของวีรบุรุษทหารผู้กล้าของไทยคนนี้ได้ไหมคะ

ประวัติพระยาพิชัยดาบหัก


นามเดิม “จ้อย” เกิดเมื่อพ.ศ. 2284 เมืองพิชัย ในวัยเด็กบิดา-มารดาไปฝากเรียนหนังสือที่วัดมหาธาตุ (วัดใหญ่) เมื่ออายุได้ 14 ปีเกิดชกต่อยกับลูกเจ้าเมืองพิชัย จึงหนีออกจากวัดเปลี่ยนชื่อเป็น “ทองดี” ได้ฝึกหัดชกมวยไทยและฟันดาบจนเก่ง

พ.ศ.2305 เดินทางผจญภัยไปถึงเมืองตาก ขึ้นชกมวยในงานถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ปราบครูมวยชื่อดังได้ จึงได้รับการชุบเลี้ยงจากพระยาตาก แต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ มีราชาศักดิ์เป็น “หลวงพิชัยอาษา”

พ.ศ.2308 พม่ายกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ถึงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2309 กรุงศรีอยุธยาใกล้แตก พระยาตากรวบรวมทหารตีฝ่าทัพพม่าออกไปตั้งมั่นที่เมืองปราจีนบุรี หลวงพิชัยอาษาร่วมรบอย่างกล้าหาญ วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2310 พระยาตากยกทัพเข้าตีเมืองจันทบุรีได้ และสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์

วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 หลวงพิชัยอาษาร่วมทัพพระเจ้าตากสินเข้าตีพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น สุกี้แม่ทัพใหญ่พม่ายอมจำนน กรุงศรีอยุธยาได้รับการกอบกู้เอกราช พระเจ้าตากสินย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่กรุงธนบุรี


- ดาบน้ำพี้ใหญ่ที่สุดของโลก ภายในพิพิธภัณฑ์ดาบน้ำพี้ –


พ.ศ. 2311 พระเจ้าตากสินแต่งตั้งหลวงพิชัยอาษาเป็น “เจ้าหมื่นไวยวรนารถ” นายทหารเอกราชองครักษ์ ยกทัพไปตีเมืองพิมาย ซึ่งกรมหมื่นเทพพิพิธตั้งตัวเป็นกษัตริย์ครองเมืองอยู่ หลังชนะศึกได้แต่งตั้งให้เป็น “พระยาสีหราชเดโช”

พ.ศ. 2312 พระยาสีหราชเดโชเป็นแม่ทัพหน้ายกไปตีเมืองนครศรีธรรมราชได้

พ.ศ. 2313 ทัพพระเจ้าตากสินเข้าตีและยึดเมืองพิษณุโลกและเมืองสวางคบุรีได้ พระยาสีหราชเดโชได้รับแต่งตั้งเป็น “พระยาพิชัย” เป็นผู้สำเร็จราชการครองเมืองพิชัย และได้รับพระราชทานเครื่องยศเสมอด้วยเจ้าพระยาสุรสีห์

พ.ศ. 2315 โปสุพลา แม่ทัพพม่าซึ่งรักษาเมืองเชียงใหม่ ยกทัพมาตีเมืองลับแลแล้วเลยมาตีเมืองพิชัย พระยาพิชัยนำทหารสู้รบป้องกันเมืองไว้ได้

พ.ศ. 2316 โปสุลายกทัพมาตีเมืองพิชัยอีก พระยาพิชัยนำทหารออกรบกับพม่าจนดาบหักไปข้างหนึ่ง ทหารพม่าแตกพ่ายไปอีกครั้ง จากการรบครั้งนี้จึงได้รับสมัญญาว่า “พระยาพิชัยดาบหัก”

พ.ศ. 2325 สิ้นแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสิน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกตั้งกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง พระยาพิชัยดาบหักทูลขอถวายความกตัญญูความจงรักภักดีถวายชีวิตเป็นราชพลีตามสมเด็จพระเจ้าตากสินเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2325

- ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์พระยาพิชัยดาบหัก -




ท้องฟ้าหม่นๆ แบบนี้ แต่โชคดีแฮะฝนฟ้าไม่ตก เจ้าประคู้น ทริปนี้นู๋เมี่ยงอยากเที่ยวได้สนุก ขอให้อากาศดีๆ ด้วยเถิ้ดดดด

18.00 ตามเวลาแป๊ะ เข้า check-in ที่โรงแรมสีหราช อุตรดิตถ์ ความที่นักท่องเที่ยวต่างเฮโลลงมาพร้อมกันคราวเดียว ลิฟท์มีน้อย นู๋เมี่ยงพักอยู่ห้องชั้น 7 จึงต้องรอกันไป





19.00 รวมพลขึ้นรถ ไปทานอาหารมื้อเย็นที่ร้านคุณใหญ่ (มื้อนี้ไม่มีภาพประกอบค่ะ)

อิ่มแล้วก็ขึ้นรถเดินทางกลับเข้าโรงแรมที่พักอย่างเงียบๆ เพิ่งจะ 2 ทุ่มเอง เมื่อยจังแฮะ นั่งรถเดินทางมาทั้งวัน รู้สึกว่าโรงแรมที่นี่มีบริการนวดแผนไทยด้วย ลงไปใช้บริการสักหน่อยดีกว่า 150 บาทต่อชั่วโมง (ส่วนแม่ติดละครทีวี)


- Lobby ชั้นล่างโรงแรมสีหราช -


นวดตัวซะชั่วโมงเดียวก็พอ ตอนนวดหมอยังถามด้วยว่าเป็นแขกของโรงแรมนี้รึเปล่า และพอนวดเสร็จทางโรงแรมก็คิดค่าบริการเพียง 120 บาทเท่านั้น (ไม่รู้เกี่ยวกับการเป็นแขกพักโรงแรมนี้รึเปล่า) กลับขึ้นห้องพัก อาบน้ำอุ่น นอนหลับสนิท ฟี้.....

คืนนี้ขอให้เพื่อนๆ นอนหลับฝันดีค่ะ

บันทึกจากภาพความทรงจำ
8 กันยายน 2553




Create Date : 14 กันยายน 2553
Last Update : 14 กันยายน 2553 0:57:10 น. 5 comments
Counter : 3642 Pageviews.

 
ภาพสวย เล่าเรื่องได้ละเอียด และสนุกดีครับ รอติดตามชมตอนต่อไปอยู่นะนู๋เมี่ยง


โดย: อ๋อ ขอนแก่น IP: 222.123.58.254 วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:7:32:25 น.  

 
ตามชมกันต่อ..


โดย: nam (ocs ) วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:9:06:53 น.  

 
สวัสดียามเย็นค่ะ
ขอตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ


โดย: iamorange วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:16:45:20 น.  

 
ตามมาเที่ยวจ๊ะ ....ทริปนี้คงยาว


โดย: นัทธ์ วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:16:50:57 น.  

 
ดีจังเลยนู๋เมี่ยงน่ารักพาคุณแม่เที่ยวบ่อยมาก ดูอบอุ่นดีจัง ปรบมือ ๆ
รูปที่เมกาของผมชุดนี้ถ่ายเมื่อ 4 ปีที่แล้วครับ อิอิ ขนาดมองไม่เห็นหน้ายังรู้สึกละอ่อนเลยเหรอ


โดย: น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา วันที่: 18 กันยายน 2553 เวลา:21:22:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com