ผ่าตัดมะเร็งเต้านม
หลังจากเลือกผ่าตัดออกบางส่วน (ซึ่งต้องมาฉายแสงภายหลัง) คุณหมอก็ให้นอนเตรียมตัว 1 วันก่อนผ่าตัด....ระหว่างนั้นก็เริ่มนอยด์ เพราะคิดไม่ตกว่าเราเลือกถูกแล้วใช่ไหม? จากการที่ได้คุยกับคุณหมอศัลยกรรมท่านหนึ่ง ได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเอาออกบางส่วน หรือทั้งเต้าเปอร์เซนต์การรอดชีวิตเท่ากัน
วันที่ 20 ตค. 58 เข้าห้องผ่าตัดประมาณ 12.00 น. เสร็จประมาณ 14.00 น. หลังจากสลบไป พยาบาลมาเรียกให้รู้สึกตัว มีหงุดหงิด ฉันจะหลับ มาเรียกทำไม? แล้วก็หลับยาวๆ อีก 2 ชม. ต่อมาก็ได้กลับมาพักฟื้นต่อที่ห้องพัก ยังคงง่วง อยากหลับ ไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนตอนเจาะก้อนออกมาตรวจ
คุณหมอรายงานผลการผ่าตัดว่า เลาะต่อมน้ำเหลืองออกไปทั้งหมด 17 ต่อม ไม่มีลามไปต่อมน้ำเหลือง (อันนี้เสียใจมากๆ ต่อมน้ำเหลืองของฉัน ไม่เหลือแล้ว ) และเนื้อที่เลาะออกไปไม่พบเซลล์มะเร็ง....ดีใจมากๆ ที่เซลล์มะเร็งยังไม่มีการกระจายไปรอบๆ และต่อมน้ำเหลือง ระยะ T1N0M0 (ก้อนขนาดน้อยกว่า 2 ซม. ไม่มีลามไปต่อมน้ำเหลือง และไม่มีการแพร่กระจายออกนอกบริเวณเต้านม) ซึ่งถือว่าเป็นระยะที่ 1 (ระยะ 0 คือ พบเป็น "เซลล์" ไม่ใช่ก้อน)
หมายเหตุ: การผ่าตัดบางส่วนและเลาะต่อมน้ำเหลือง แพทย์บางท่านจะใช้วิธีสมัยดั้งเดิม (วิธีมาตรฐาน) คือ เลาะต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมดแล้วเอาไปตรวจ ส่วนแพทย์สมัยใหม่ (ซึ่งต้องฝึกฝนจนชำนาญ) จะเลาะต่อมน้ำเหลืองออกบางส่วน
ผ่าตัดผ่านไป 1 วัน เกิดอาการคันต้นแขนซ้าย พอเกาปุ๊บ ตกใจมาก เฮ้ยยย!!!! ทำไมแขนชา แบบเกาแล้วหาที่คันไม่เจอ มีปวดด้วย คือถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ปวด แต่ถ้ามีอะไรมาโดนต้นแขนซ้ายจะเจ็บเหมือนปวดกล้ามเนื้อ ปวดแปล๊บๆ และอาการที่สุดๆ คือ รู้สึกแสบจั๊กกะแร้ซ้ายมากๆ แสบเหมืนอผิวหนังสีกันจนเกิดแผลถลอก แต่จริงๆ แล้วไม่มีแผลเลยซักนิด (เดินกางแขนเหมือนนักเลงอยู่เป็นเดือนเลย)....เลยได้รู้ว่าอาการแบบนี้เกิดจากการผ่าตัดที่เส้นประสาทเล็กๆ บางส่วนจะโดนเลาะออกไปด้วย เมื่อเวลาผ่านไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเอง และ....รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมครั้งนี้ผ่าตัดเอาเนื้อออกไปเยอะกว่าตอนเจาะก้อนออก แต่เจ็บน้อยกว่ามาก แทบไม่รู้สึกเลยก็เนื่องจาก....ชาจากเส้นประสาทบางส่วนโดนเลาะออกนี่เอง
ก็หงุดหงิดกับอาการชาต้นแขนซ้ายไป 2 สัปดาห์ แล้วมันก็ค่อยๆ ดีขึ้นๆ เรื่อยๆ (ปัจจุบันผ่านมาจะ 2 เดือนแล้วมีชานิดๆ ไม่มาก ไม่รู้สึกเลยถ้าไม่เอามือไปลูบๆ ต้นแขนซ้าย อาการปวดต้นแขนหายไปแล้ว)
สำหรับคนที่โดนเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออกไปทั้งหมด ต้องระมัดระวังแขนด้านที่โดนเลาะให้มากๆ ป้องกันการเกิดภาวะแขนบวมน้ำเหลือง เช่น ไม่ให้เกิดแผล ไม่ให้โดนแดดเป็นเวลานานๆ ไม่วัดความดัน (วัดจากแขนอีกข้างแทน) ไม่ยกของหนัก
หลังผ่าตัดนอกจากเรื่องการเกิดภาวะแขนบวมน้ำเหลืองแล้ว ยังต้องมีการบริหารแขนและไหล่ข้างที่ผ่าตัดด้วยเพื่อป้องกันไหล่ติด....ที่อ่านมาเค้าให้เริ่มทำหลังผ่าตัดได้ 2-3 วัน แต่ลองแล้วไม่สามารถ (ทำได้นิดเดียวจริงๆ) สุดท้ายก็เริ่มทำหลังผ่าตัดไปแล้ว 1 สัปดาห์ แรกๆ จะยกแขนซ้ายได้แค่ 30-45 องศา
มีกังวลเรื่องไหล่ติด กลัวทำไม่ได้ กลัวไหล่ติดถาวร แต่จากการสอบถามพี่ๆ น้องๆ ที่มีประสบการณ์เดียวกันบอกว่า "ทุกคนทำได้หมด ไม่ต้องกลัวว่าเราจะทำไม่ได้" แล้วก็สามารถทำได้จริงๆ (ปัจจุบันยังต้องบริหารแขนและไหล่ทุกวัน วันละ 2-3 รอบ รอบละ 3-5 ท่า ท่าละ 5-10 ครั้ง ป้องกันการเกิดภาวะแขนบวมน้ำเหลืองด้วย)
ท่าบริหารแขนและไหล่สำหรับผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งเต้านม (อาจมีภาพที่ไม่น่าดูบางส่วน แต่เป็นคลิปที่ดีมากๆ เราได้เห็นภาพชัดเจนว่าต้องทำยังไง ยกยังไง)
หลังจากผ่าตัดผ่านไปเกือบ 1 เดือน เริ่มเครียด เพราะคุณหมอบอกว่า "ต่อไปนี้ห้ามอ้วนตลอดชีวิตนะ"....แล้วฉันจะทำยังไง ช่วงนี้ออกกำลังกายก็ไม่ได้ กิน นอน นั่ง เดิน (ช่วง 1-2 สัปดาห์แรกต้องเดินเบาๆ เบามาก เพราะมันสะเทือนแผล)
เป็นคนเสพติดการออกกำลังกาย ทุกครั้งที่ไปพบหมอจะถามเรื่องออกกำลังกายตลอดว่าช่วงนี้ทำแบบนี้ได้ไหม? ที่ถามบ่อยคือ "ปั่นจักรยาน" ถามตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัดเลย
ส่วนตัว หลังผ่าตัดพ้นสัปดาห์ที่ 3 เริ่มปั่นจักรยานบนเทรนเนอร์ (สำหรับท่านที่ไม่รู้จัก อาจจะงงว่าคืออะไร เหมือนการปั่นจักรยานอยู่กับที่ในยิม แต่เอาจักรยานที่มีอยู่แล้วมาใส่เทรนเนอร์)
การปั่นจะไม่ใช้แขนจับแฮนด์ในวันแรก วันที่ 2 จับแฮนด์ 5 นาที ไม่จับ 10 นาที สลับกันไป วันที่ 3 เริ่มจับแฮนด์ 5 นาที ไม่จับ 5 นาที สลับกันไป ความคิดเห็นส่วนตัวและจากประสบการณ์ ไม่ควรใช้แขนข้างเดียวกับที่ผ่าตัดจับแฮนด์นานและมากเกินไป ควรจะให้ผ่านพ้นการผ่าตัดไปซัก 2-3 เดือนก่อน ต้องดูสภาพแขนและแผลผ่าตัดด้วยว่าทำได้หรือไม่?
เรื่องการบริหารพุง ตอนแรกคิดว่าน่าจะทำได้ พอได้ลองจริงๆ....น้ำตาซึม ทำไม่ได้เพราะแผลยังไม่หายสนิท มันจะรู้สึกถึงความ......เหมือนกับเมือเราเปลี่ยนท่าจากนอนเป็นนั่ง จะรู้สึกดุจมีถุงน้ำอยู่ในนมเรา มันจะกลิ้งไปมาให้รู้สึกปวดแสบนิดๆ หน่อยๆ....เลยต้องหยุดไว้ก่อน ทำได้แค่ฮูล่าฮูป
เบื่อๆ การปั่นจักรยานอยู่ในบ้านก็ออกไปสวนสาธารณะ ไปเดินซัก 4-5 กม. (ยังวิ่งไม่ได้ ใครที่อยากวิ่งจะรู้เลยว่าไม่สามารถจริงๆ ยิ่งช่วงที่ฉายรังสี แม้แผลผ่าตัดจะหายดีแล้ว แต่วิ่งไมได้เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการใส่เสื้อใน ตอนหน้าจะเขียนเรืองการรักษาหลังการผ่าตัด)
สิ่งหนึ่งที่ปรับเปลี่ยนคือ การกิน ทำอาหารกินเอง (บางมื้อสถานการณ์ไม่อำนวยก็ซื้อกิน แต่เลือกกินนิดนึง) ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่และไก่ กินแต่ปลาทะเล (นานๆ ทีก็มีปลาน้ำจืดมาสลับบ้าง) มีสเต็กปลาทูน่าในน้ำแร่บ้าง (ยามเบื่อๆ ปลาสด) และนานๆ ทีก็มีกุ้งทะเลบ้างนิดๆ หน่อยๆ จะกินแบบเค็มต่ำๆ ต่ำมาก ส่วนหวานก็มีบ้าง (พวกขนม) ซึ่งจริงๆ ก็ควรงดหวานไปเลย (ไม่อยากจะเครียดกับชีวิตมากเกินไป เลยมีบ้างเป็นระยะ แต่ก็พยายามลดหวานลงเรื่อยๆ)
เรื่องอาหารการกิน หมอไม่ได้ห้าม แต่จากการศึกษามาและพอจะรู้เกี่ยวกับการเกิดมะเร็งมาบ้างเลยปรับเปลี่ยนการกินดีกว่า เพราะการเกิดมะเร็งนอกจากพันธุกรรมแล้ว วิถีการกินและการดำเนินชีวิตสำคัญมากๆ
Create Date : 11 ธันวาคม 2558 |
|
1 comments |
Last Update : 11 ธันวาคม 2558 11:44:45 น. |
Counter : 2816 Pageviews. |
|
|
|