เมื่อคนคิดมากอยากจะเดินช้อปปิ้ง
สืบเนื่องมาจากการเกิด “ภูมิคุ้มกันทางการเงินบกพร่อง” ทำให้เราคิดจะวางแผนการจัดการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก โดยในครั้งแรกต้องรู้ “เงินที่ใช้ต้องที่มาที่ไป” ทำให้พักหลังนี้โดยปกติเป็นคนคิดมาก คิดซับซ้อนอยู่แล้ว (แต่ไม่เคยคิดเรื่องเงิน) กลายเป็นคนที่ลองคิดมากเรื่องเงินดู ก็เลยเป็นที่มาว่า พวกคุณ ๆ ที่อ่านเคยคิดแบบนี้ไหมเวลาเดินซื้อของ ถ้าคิดได้แบบนี้พฤติกรรมการซื้อของจะเป็นอย่างไร? 1. ห้างสรรพสินค้า ก็คือพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของนี่เอง บางทีเราเองก็คงไม่อยากเอาของในพิพิธ๓ณฑ์มาไว้ที่บ้านหรอกใช่ไหม จัดแสดงไว้ที่ห้างจะสวยกว่านะ 2. ไม่ช่วยร้านค้า Stock สินค้า ตอนที่มัน Sale ราคาถูกมาก ๆ เพราะเมื่อเราใช้หมดไปหนึ่งชิ้น เดี๋ยวมันก็ต้องมา Sale ใหม่ในLot เดิม วันหมดอายุเท่าเดิม ซื้อตอนนั้นก็ไม่สายนะ 3. อยากได้ของชิ้นไหนที่ราคาสูง ๆ หรือฟุ่มเฟือย (ดูนิยามของฟุ่มเฟือยได้ใน “เงินที่ใช้ต้องที่มาที่ไป”) ให้ยั้งการซื้อไว้ แล้วผ่านไป 1 อาทิตย์ ถามตัวเองว่ายังอยากได้อยู่ไหม ถ้าอยากได้ก็ซื้อซะ แล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลา จาก 1 อาทิตย์ เป็น ครึ่งเดือน เป็น 1 เดือน 4. เสื้อผ้าให้คิดต้นทุน (Cost) ต่อการใส่ในแต่ละครั้ง เช่น ซื้อเสื้อมา 1 ตัวในราคา 1,000 บาท ถ้านำมาใส่ทั้งหมด 10 ครั้งนั่นแปลว่าในแต่ละครั้งที่คุณใส่ตัวนี้คุณเสียค่าเช่าชุดนี้มาใส่ครั้งละ 100 บาท (ยังไม่รวมค่าซักรีด) และนี่แค่เสื้อ เพราะออกจากบ้านแต่ละครั้งคุณต้องใส่ กระโปรง กางเกง รองเท้า หรือแม้แต่กระเป๋า ยันเครื่องประดับ 5. ข้อนี้เคยบอกไปแล้ว ถามตัวเองว่า “จำเป็น” หรือ “อยากได้” 6. ยี่ห้อที่แตกต่างกันในสินค้าประเภทเดียวกัน ส่วนผสมแตกต่างกันจริงหรือไม่ ถ้าส่วนประกอบทั้ง 2 ยี่ห้อแตกต่างกันไม่เกิน 50% จงใช้ของเดิมเหอะ 7. ครีมอาบน้ำ หรือสบู่ ที่มีราคาสูงมาก ๆ (บางทีตกขวดละ 500 ถึง 1,000 บาทเชียวนะ) สามารถชดเชยได้ด้วยน้ำหอม หรือโคโลญจน์ อย่าลืมว่าครีมอาบน้ำ หรือสบู่ คือการล้างเอาสิ่งสกปรก และ“เงิน”ออกไปจากร่างกาย 8. สลัดบาร์ (ชอบซื้อกันจัง) จะตักอะไรในสลัดบาร์ให้คิดเสมอว่า เราต้องซื้อสิ่งนั้นในราคากิโลละเท่าไรตอนตัก เช่น สลัดบาร์ขายขีดละ 20 บาท ถ้าตักมะเขือเทศลงไป นั่นแปลว่าเราซื้อมะเขือเทศในราคากิโลละ 200 บาทเชียวนะ และพวกผักใบที่แช่ในน้ำถ้าไม่สลัดน้ำออกเลยก่อนใส่ถุง นั่นคือคุณกำลังซื้อน้ำลิตรละ 200 บาทดี ๆ นี่เอง 9. ฝึกนิสัยถามแม่ค้าในราคาขายจำนวนที่น้อยกว่า จำนวนที่แม่ค้าขายขั้นต่ำ เช่นขนมไข่เต่าทอด แม่ค้าขายถุงละ 10 บาท ลองฝึกบอกและถามคนขายว่า อิ่มแล้วแต่อยากกินนิดเดียว 5 บาทพอขายให้ไหม (กินพอหายอยาก แล้วไม่อ้วนด้วยนะ) ไม่มีอะไรจะเสียนี่ถ้าไม่ขายก็แล้วไป 10. ของที่มีแนวโน้มราคาที่สูงขึ้น สามารถซื้อเก็บไว้ได้ นั่นคือสินค้าผูกขาดในสมัยก่อน หรือสินค้าที่ชีวิตต้องใช้ และไม่เน่าไม่เสีย คือ น้ำตาล น้ำปลา น้ำมันพืช เกลือ แม้แต่ข้าว (แต่ต้องเก็บรักษาดี ๆ) 11. ของที่มีแนวโน้มราคาตกลงเรื่อย ๆ เมื่อมีสินค้าใหม่เข้ามาแทนที่ ห้ามไปซื้อมาเก็บไว้เด็ดขาด เช่น เสื้อผ้า คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ้ค Thump Drive สินค้าอิเล็คทรอนิค สินค้า IT และสินค้าที่ไม่ใช่ของสะสมที่มีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น 12. ถ้าจะให้ดีหยุดงานอดิเรกแนวสะสมของ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของร้าน ห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ และนิทรรศการสะสมให้เรา แล้วว่าง ๆ ก็ไปเชยชมดูซะหน่อย 13. E-book บทความ คำแนะนำดี ๆ สาระความรู้มีหมดในอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องไปหาซื้อหนังสือที่เราซื้อมาอ่านซะหมดหรอก ถ้าจะมีหนังสือก็เพื่อไว้อ่านยามว่าง ๆ และอย่าลืม ร้านเช่าหนังสือก็มีนะ 14. คู่มือการใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นที่ใช้อยู่ปัจจุบันตอนนี้อยู่ไหนละ? เอามาดูซิว่าใช้ Function ของโทรศัพท์รุ่นนั้นเกิน80%ของที่คู่มืออธิบายรึไม่ ถ้ายังไม่ถึง อย่าเพิ่งไปซื้อรุ่นใหม่เลย 15. นิตยสารแฟชั่นอ่านเล่มเก่า ๆ ดูก็ได้นะ หรืออ่านที่เขาวาง ๆ ไว้ในร้านอาหารก็ดี เพราะผ่านไป 6 เดือน หรือ 1 ปี แฟชั่นไม่ได้ไปไวขนาดนั้นสักเท่าไร แล้วแต่งตัวตามหนังสือเป๊ะเนี่ย จะทำเหรอ? 16. เอาของที่เราซื้อ Stock เอาไว้มาจัดเรียงในที่ที่มองเห็นได้ง่ายที่สุด เพื่อเตือนความทรงจำเราด้วยภาพให้เกิดแก่สมองของตนเอง เวลาที่จะซื้อของประเภทเดียวกันกับที่มีอยู่แล้วจะได้นึกออกว่ามันมีอยู่แล้ว จัดเรียงอยู่ที่ตำแหน่งใด ขอย้ำว่าต้องเอามาจัดเรียงทุกชิ้น เพราะชิ้นไหนที่ยังเอาเก็บไว้พ้นสายตาอยู่ ชิ้นนั้นแหล่ะมันจะนำเอาชิ้นอื่น ๆ จากข้างนอกบ้านเข้ามาซุกอยู่กับมันด้วย 17. ดังนั้นตู้เสื้อผ้าควรซื้อแบบประตูกระจกใสจะดีกว่า เพื่อให้มองเห็นเสื้อผ้าที่มีอยู่ชัดเจน 18. จดรายการสิ่งของที่ต้องซื้อก่อนช้อปปิ้งก่อนซื้อของ คุณควรจดรายการสินค้าที่ต้องการ และมุ่งตรงไปยังรายการของที่จดมาเท่านั้น อย่าหลวมตัวซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น เพียงเพราะสินค้านั้นมีโปรโมชั่นใหม่ๆ 19. เปรียบเทียบราคาสินค้ากับปริมาณ เพื่อให้ได้สินค้าที่ต้องการในราคาที่ดีที่สุด คุณอาจต้องเปรียบเทียบยี่ห้อและดูปริมาณ เพราะบางครั้งผู้ผลิตทำแพคเกจที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป แพคเกจที่ดูใหญ่อาจมีปริมาณน้อยกว่ายี่ห้อที่มีแพคเกจเล็กกว่าก็ได้ 20. รู้แหล่งซื้อของถูก การรู้จักแหล่งซื้อของถูกจะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้ แม้เล็กน้อย แต่หากรวมกันหลายครั้งเข้าก็เป็นเงินจำนวนมากเลยทีเดียว แต่ขอย้ำว่าอย่ารู้หลายแห่งนัก เพราะมันจะไปซื้อทุกแห่ง แห่งละนิด ๆ จนรวมกันแล้ว “เยอะ” 21. คูปองส่วนลดพิเศษ ซุปเปอร์มาร์เก็ตมักแจกคูปองส่วนลดพิเศษ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในโอกาสต่อไป เมื่อคุณได้รับคูปองต่างๆ ควรตรวจดูว่าคูปองหมดอายุเมื่อไหร่ และใช้คูปองส่วนลดนั้นในการซื้อของใช้จำเป็น เช่น ผงซักฟอก ยาสีฟัน สบู่ ฯลฯ 22. ซื้อที่ใส่นามบัตรเล่มพกพาเพื่อใส่พวกคูปองส่วนลด หรือใบปลิวโปรโมชั่นดี ๆ อันนี้ทำมาเพื่อให้เรานึกถึงทางเลือกที่จะซื้อของที่ถูกกว่าได้ ไม่ใช่ทำเพื่อกระตุ้นให้ไปซื้อของที่ลดราคา อย่าลืมล่ะ ไปอ่านข้อต้น ๆ ด้วย 23.ถ้าของที่ซื้อมีราคาเกิน 10%ของรายได้ ของสิ่งนั้นต้องคิดมากก่อนจะซื้อแล้ว เพราะถ้ามีของสิ่งนั้น 10 ชิ้น แปลว่าเงินเดือนนั้นเราจะหมดทันที และถ้าการช้อปปิ้งแต่ละครั้งจ่ายไปเกิน 25%ของรายได้ นั่นแปลว่าต้องคิดมากในการจ่ายครั้งต่อไปได้แล้วล่ะเพราะถ้าเราช้อปปิ้งแบบนี้อาทิตย์ละครั้ง วิบัติทางรายได้ก็จะเกิดขึ้นแก่เราแน่นอน จดรายการมาได้ก็พอสมควรถ้ามีใครที่มีเทคนิคการซื้อสินค้าอย่างชาญฉลาด และประหยัด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทไหน ก็รบกวนช่วยโพสต่อ ๆ มาด้วยนะครับ To be continued |||>
Free TextEditor
Create Date : 29 มิถุนายน 2552 |
|
10 comments |
Last Update : 29 มิถุนายน 2552 12:07:56 น. |
Counter : 3601 Pageviews. |
|
|
|