ระหว่างทักษิณและสนธิ ใครกันแน่ที่ไม่จงรักภักดี ใครกันแน่ที่จาบจ้วงและคิดล้มล้างสถาบัน
ย้อนรอยความหลังทบทวนความทรงจำในความเป็นมาของข้อกล่าวหานี้กันสักนิด
แรกเริ่มเดิมที ประเด็นเรื่องความไม่จงรักภักดีของทักษิณถูกจุดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล จากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่ออกอากาศวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2548
โดยนายสนธิได้นำเอาบทความเรื่อง ลูกแกะหลงทาง อันเป็นบทความที่มีผู้อ่านคนหนึ่งส่งมาให้ ซึ่งในเนื้อหาของบทความหรือจะเรียกอีกอย่างว่า นิทานนั้น ผู้เขียน(ไม่ทราบว่าใคร)ได้ใช้ภาษาที่สละสลวย สำนวนที่กินใจผู้ฟัง และประกอบไปด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังของนายสนธิขณะบรรยาย ทำให้น้องแอ้ม สโรชา ผู้ดำเนินรายการร่วมขณะนั้นถึงกับสะเทือนใจจนน้ำตาซึมออกมา ( นับเป็นการเติมความรู้สึกร่วมให้กับผู้ฟังอินกับเนื้อหาในนิทานมากยิ่งขึ้น )
ใครอยากอ่านบทความเรื่องนี้คงต้อง Search หาเองเองนะครับ ผมขี้เกียจเอามาลงเพราะมันค่อนข้างยาว
ผลจากนิทานเรื่อง ลูกแกะหลงทาง นี้เองเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดออกจากผังรายการช่อง 9 ในที่สุดหลังจากที่ถูกตักเตือนมาหลายครั้งจากทางสถานี
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ของสนธิและทักษิณอย่างเต็มตัวโดยรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เริ่มสัญจร ครั้งที่ 1 ที่ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 48 และย้ายไปปักหลักที่สวนลุมพินีในเวลาต่อมา
ความชาญฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมที่แยบยล ลึกซึ้งของสนธินั้นเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด แทนที่เขาจะประกาศสงครามระหว่างตัวเองกับทักษิณโดยตรง กับเลือกใช้วิธีต่อสู้ภายใต้สโลแกนที่ว่า
เราจะสู้เพื่อในหลวง
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการแอบอ้างและเป็นการดึงสถาบันลงมาแปดเปื้อนกับการเมืองเป็นครั้งแรกหลังผ่านพ้นยุคปลุมระดมมวลชนให้เกิดเหตุการณ์ไทยฆ่าไทยเมื่อ 6 ตุลา 19
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ผู้ที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจและการเมือง ต่างก็เข้าใจและรู้ทันเป้าหมายของสนธิเป็นอย่างดี ว่า การต่อสู้ของสนธิครั้งนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจในกลุ่มบริษัท เมเนเจอร์กรุ๊ปเท่านั้น
เพียงแต่อาศัยสถาบันมาแอบอ้างความชอบธรรมในการหาแนวร่วมจากภาคประชาชนเพื่อเคลื่อนไหวต่อสู้
การสู้ของสนธิในครั้งนั้น มีประชาชนทั้งประเทศเกิดความสงสัย และทำให้มีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า
ทำไม่ต้องสู้เพื่อในหลวง ?
พระองค์ท่านมาเกี่ยวอะไรด้วยกับความขัดแย้งระหว่างสนธิ กับ ทักษิณ ?
ย้อนมามองถึงทักษิณผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วยข้อหาที่รุนแรงเรื่อง ความไม่จงรักภักดี ซึ่งในฐานะที่ในอดีตผมเคยเป็นแฟนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์และเกาะติดประเด็นนี้มาตลอดนับตั้งแต่สนธิจุดประเด็นเล่านิทานเรื่อง ลูกแกะหลงทาง ต่อเนื่องมาถึงเรื่องการทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว ( ซึ่งแม้ภายหลังสำนักพระราชวังจะออกมาชี้แจงเอง ทางสนธิก็ยังไม่ยอมหยุดกล่าวหา ) จึงขอแสดงความคิดเห็นตามความรู้สึกและตามเหตุการณ์จริงที่ได้เห็นและได้ประจักษ์สายตาไปทั่วโลก
ผมที่ไม่ได้เป็นสาวกทักษิณ ไม่เคยลงคะแนนเสียงให้ไทยรักไทย แต่ผมเขียนตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ ต้องบอกจากใจจริงว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่สร้างกระแส เรารักในหลวง ฟีเวอร์ได้เท่ารัฐบาลทักษิณ
ไม่เคยมีครั้งใดที่คนไทยรู้สึกปลาบปลื้มปิติและร่วมกันแสดงออกถึงความรักในพระองค์อย่างพร้อมเพรียงยิ่งใหญ่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกได้เท่าครั้งนั้น
ภาพคนนับแสนที่พร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองร้องตะโกน ทรงพระเจริญ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามเสียงนำของอดีตนายกทักษิณที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมยังดังก้องหูอยู่ในใจคนไทยทั้งประเทศ
ภาพผู้เฒ่าผู้แก่ที่น้ำตานองไหลอาบหน้าด้วยความปลาบปลื้มยามที่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์แย้มสรวลและโบกพระหัตถ์ให้ รวมทั้งภาพสมเด็จพระเทพที่ถือกล้องถ่ายรูปผู้คนนับแสนยังติดตราตรึงใจคนไทยไม่รู้ลืม
กระแสเสื้อเหลืองฟีเวอร์เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย ยิ่งใกล้วันงาน ราคาเสื้อก็แพงขึ้นและเป็นของหายากที่คนไทยล้วนแต่อยากได้มาครอบครองให้ทันวันงาน
และไม่ใช่แค่ช่วงมีงานราชพิธี หลังจากเสร็จสิ้นงานแล้ว กระแสเสื้อเหลืองก็คงยังคงแรงอย่างต่อเนื่อง พนักงานบริษัทห้างร้านและข้าราชการพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อเหลืองในวันจันทร์ด้วยความภาคภูมิใจ
ผมยังจำได้ในงานพลุเฉลิมพระเกียรติที่เมืองทองธานี ผมพาลูกสาวไปในงาน ลูกสาวผมตื่นเต้นและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความความตื่นตาตื่นใจเนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อน
ปะป๊า..ดูสิ คนใส่เสื้อเหลืองกันหมดเลย มีแต่สีเหลืองทั้งนั้นเลย !
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เพราะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ไหนในโลก
นั่นคือการที่มีพระราชอาคันตุกะพร้อมกันถึง 25 ประเทศทั่วโลกมาเยือนประเทศไทยพร้อมกันตามคำเชิญของรัฐบาลไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ต้องจดจารึกไว้ด้วยว่า การเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระประมุขจากทั่วโลกเสด็จฯ มาร่วมแสดงความยินดีคราวเดียวถึง 13 พระองค์ นอกเหนือจากมกุฎราชกุมาร และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงอีกหลายสิบพระองค์
เป็นการจัดงานที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุครัฐบาลไหนไม่ว่าจะนับถอยหลังไปอีกสิบกี่ร้อยปี ภาพความยิ่งใหญ่ไม่ได้ปรากฏแค่ในเมืองไทย แต่ปรากฏการณ์เสื้อเหลืองแห่งความจงรักภักดีของคนไทยต่างแพร่ภาพไปทั่วโลก
คำถามคือ
คนที่ถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี คนที่ถูกกล่าวหาว่าต้องการล้มล้างสถาบันเพื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดีนั้น ใยต้องจัดงานอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเทิดทูนสถาบันถึงเพียงนี้ ?
ซึ่งแม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงตรัส ขอบใจรัฐบาลที่ได้จัดงานนี้ให้พระองค์อย่างยิ่งใหญ่อลังการสมพระเกียรติยศ
จึงไม่น่าแปลกใจที่อดีตนายกทักษิณจะออกอาการฉุนเฉียวที่ถูกนายสนธิกล่าวหาเรื่องความไม่จงรักภักดีเมื่อครั้งจัดปราศรัยกับคนขับแท็กซี่ ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก เมื่อ 25 ธ.ค.48 ว่า
..มาเที่ยวปล่อยข่าวบอกว่าผมกำลังเหลิงจะเป็นประธานาธิบดี ปัดโธ่ เป็นแค่นี้ก็เหนื่อยจะตาย..หา อยู่แล้ว.......เอะอะก็หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่ ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี
ผมคงไม่ฟันธงตรงนี้หรอกครับ ว่าระหว่างทักษิณกับสนธิ ใครกันแน่ที่ไม่จงรักภักดี และใครกันแน่ที่เป็นคนทำลายสถาบันตัวจริง แต่อยากให้ผู้อ่านทั้งที่รักทักษิณและเกลียดทักษิณ ได้ใช้ดุลยพินิจแบบไม่อคติ ละวางความเกลียดชังลงสักครู่ แล้วพิจารณาตัดสินเอาเอง
ระหว่าง......
คนคนหนึ่งที่สร้างกระแสเสื้อเหลืองฟีเวอร์ขึ้นในประเทศไทย ทำให้คนไทยที่ใส่เสื้อเหลืองในตอนนั้นภาคภูมิใจที่ได้แสดงออกถึงความรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
กับอีกคนคนหนึ่งที่ทำให้เสื้อเหลืองกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุนแรงชั่วร้าย กลายเป็นความอัปยศอดสูสำหรับผู้ที่สวมใส่ในปัจจุบันจนแทบไม่มีใครกล้าใส่เดินถนน
คนคนหนึ่งถูกใส่ร้ายฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นแต่อัยการยกฟ้องเพราะไม่มีมูล กับอีกคนคนหนึ่งที่ถูกฟ้องร้องในข้อหาใช้เบื้องสูงแอบอ้างเพื่อทำลายผู้อื่น จนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานการนำสืบของโจทก์แล้ว พิพากษาว่า จำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง โดยมีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ทำให้ประชาชนเชื่อว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี ไม่จงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อโจทก์และจำเลยมีเจตนาจะใช้ข้อความดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือชักนำประชาชนที่ไม่ทราบความเป็นจริงมาเป็นแนวร่วมในการล้มล้างรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซึ่งศาลเห็นว่าการต่อต้านรัฐบาลสามารถทำได้ แต่จำเลยไม่สมควรนำสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันเบื้องสูงมาเกี่ยวข้อง
จึงเห็นควรลงโทษจำเลยให้สาสม พิพากษาให้จำคุกจำเลย 2 ปี !
คนคนหนึ่งจัดงานเทิดทูนสถาบันอย่างยิ่งใหญ่ สร้างความมหัศจรรย์ในเรื่องความจงรักภักดีของคนไทยต่อในหลวงให้ขจรขจายไปทั่วโลก กับอีกคนคนหนึ่ง เอาข้อความ เราจะสู้เพื่อในหลวง มาสกรีนใส่เสื้อขายเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
คนคนหนึ่งจบจากโรงเรียนนายร้อย จปร.ที่ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กับอีกคนคนหนึ่งที่เคยให้สัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า
เอ็งส่งกฎหมายให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธย พอพระองค์ท่านลงมาแล้วเกิดความผิดพลาด นายกฯต้องลาออกแสดงความรับผิดชอบ ถ้าไม่ยอมลาออกต้องบอกประชาชนทั้งประเทศว่าให้ในหลวงลาออก
คนคนหนึ่งแสดงความจงรักภักดีให้คนไทยทั้งประเทศและทั่วโลกประจักษ์แก่สายตา
กับคนอีกคนหนึ่งซึ่งหากินด้วยการกล่าวหากับนิทานตั้งแต่เรื่อง ลูกแกะหลงทาง จวบจนเรื่องล่าสุด ปุโรหิต มุขนี้ก็ยังใช้หากินหลอกสาวกได้เรื่อยมา
คนคนหนึ่ง สร้างกระแสรักและเทิดทูนสถาบันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งเสื้อ ทั้งสติ๊กเกอร์ ทั้งภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ทั้งวีซีดีงานพระราชพิธี ขายดิบขายดีจนปั๊มไม่ทันต่อความต้องการ คนไทยทุกคนล้วนไขว่คว้าหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเก็บไว้ครอบครองแม้ราคาช่วงแรกๆจะแพงแสนแพง
กับคนอีกคนหนึ่งที่ร่วมมือกับกลุ่มอำมาตย์ที่สูญเสียผลประโยชน์ดึงสถาบันลงมาแปดเปื้อนกับการเมืองอย่างที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์การเมืองไทย วิกฤตศรัทธาที่สั่นคลอนอย่างรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อในปัจจุบันเกิดขึ้นในยุคนี้ คดีหมิ่นต่างๆเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ซุบซิบกันอย่างกว้างขวางทั้งเปิดเผยบนดินและใต้ดิน
คนที่จงรักภักดีกับถูกกล่าวหาเป็นผู้คิดล้มล้าง
ส่วนผู้คิดล้มล้างตัวจริงกลับกลายเป็นผู้อ้างจงรักภักดี
ช่วยตอบผมที ใครกันแน่คือผู้ที่คิดล้มล้างและทำลายสถาบันตัวจริง
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
22 comments |
Last Update : 17 มิถุนายน 2552 0:35:09 น. |
Counter : 687 Pageviews. |
|
|
|