(◡‿◡✿)สาธุรัวๆ "ดุ๊ก ภาณุเดช " เห็นแก่นแท้ของชีวิต อำลาวงการ "บวชอุทิศตน" ให้พุทธศาสนา-»(◕〝◕)*.♡
26 ก.พ. 2561, 14:37
หลัง "ดุ๊ก ภาณุเดช วัฒนสุชาติ" ได้เข้าพิธีอุปสมบทไปเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9, ในหลวงรัชกาลที่ 10 และเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ และขัดเกลาตัวเอง ณ วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม ได้ฉายาทางธรรมว่า อคฺคเตโช (อัคคะเตโช) แปลว่า ผู้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ ล่าสุด พระดุ๊กได้มีการเขียนถึงความประทับใจต่อสิ่งต่างๆรอบตัว รวมไปถึงหลักธรรมะที่ตนได้ศึกษา หรือพบเจอมาในแต่ละวัน โดยได้โพสต์ไว้ในอินสตาแกรมส่วนตัว duke_bhanudej ถึงเรื่องราวต่างๆมาว่า..
" ผมได้เข้าอุปสมบทที่วัดราชบพิธ โดยมีสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา จนถึงวันที่15 กุมภาพันธ์เป็นเวลา 32 วัน นับเป็นบุญเหลือเกินที่จะบรรยายได้ ผมได้มีโอกาสเข้ารับพระราชทานทรงบาตรในตอนเช้าของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นวันครบรอบหนึ่งปีแห่งการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชยังได้เฝ้ากราบพระบาทหลายครั้ง และได้รับพระเมตตาในการอบรมสั่งสอน เพื่อให้สามารถน้อมนำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถดำรงตนให้อยู่ในศีลในธรรม และเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิดแบบชาวพุทธ ตลอดจนสามารถเผยแพร่และบอกต่อทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้ผู้พบเห็นได้เรียนรู้และนำไปปฎิบัติให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชน "
" การบวชครั้งนี้ผมยังได้มีโอกาส ไปศึกษาปฎิบัติธรรมยังวัดถ้ำขาม จ.สกลนคร พร้อมกับพระอาร์ตและพระเต้ ที่บวชพร้อมกัน ผมกับอาร์ตเราจำวัดที่นั่นเป็นเวลา 10 วัน วัดถ้ำขามเป็นวัดป่าอยู่บนยอดเขาสูงภายใต้การดูแลของ ครูอาจารย์โจ้ ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ในวันที่ผมไปที่นั่นมีพระอาจารย์และครูบาประมาณ 15 รูป รวมพระใหม่จากกรุงเทพฯ ทั้ง 3 รูป และยังมีแม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นส่วนหนึ่ง ผมได้สัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิตพระป่าโดยแท้ ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว มีชาวบ้านขึ้นมาใส่บาตรข้าวเหนียวถึงในศาลาในเวลา 8โมงเช้า อาหารที่ฉันจะเน้นหนักไปทางข้าวเหนียว ปลาร้า ปลาแห้ง และกับข้าวพื้นบ้านมากมาย แม้อาหารหลายอย่างจะไม่คุ้นเคยแต่ก็อยู่ท้องได้ทั้งวัน ในวันที่ 3 ได้เห็นการอบบาตรอันเป็นภูมิปัญญาที่มีพระไม่กี่รูปที่จะทำได้ในปัจจุบัน การใช้ฟืนเผาบาตรเหล็กด้วยเทคนิคแบบภูมิปัญญาพระป่า เป็นเวลา 13-15 ชั่วโมง เรียกว่าต้องนั่งเฝ้ากันทั้งคืนถึงตี 3.30 ในรุ่งเช้านั้น สามารถเปลี่ยนเหล็กธรรมดาให้เป็นบาตรสีดำเงามีเกร็ดสะท้อนราวเพชรประดับระยิบระยับ เพิ่มคุณภาพความแข็งแกร่งทนทานไม่เป็นสนิทนานนับร้อยปีอย่างน่าอัศจรรย์
ยังได้หัดทำไม้กวาดเพื่อปัดกวาดใบไม้ในลานวัดด้วยตนเองอีกด้วย และที่สำคัญธรรมชาติที่นั่นสอนให้ได้มีสติในทุกย่างก้าว นอกจากไฟในกุฏิที่จำวัดกันกุฏิละองค์และห่างไกลกันอยู่ในป่าแล้วนั้น ทางเดินที่นั่นไม่มีไฟฟ้าเลย มีเพียงไฟฉายส่องทางที่ต้องเดินผ่าน เราต้องส่องอยางมีสติและละเอียดทั้งด้านบนและด้านล่างก่อนจะก้าวเท้าไปแต่ละก้าว เพื่อไม่ให้ไปเผลอเหยียบสัตว์มีพิษโดยเฉพาะงูที่มีอยู่ชุกชุม การได้อยู่กับตัวเองเวลากวาดลานวัดก็ทำให้ได้คุยกับตัวเองและพิจารณาได้ว่าใบไม้แห้งเหล่านี้ก็เหมือนกิเลสที่ต้องหมั่นสะสางออกไป เพราะมันพร้อมจะเพิ่มพูนขึ้นใหม่เสมอหากเราปล่อยไว้ก็จะยิ่งสะสมจนทวีคูณ เวลาที่ต้องอยู่ในกุฏิองค์เดียวบังคับให้เราอยู่กับตัวเอง รู้ทันความคิดตัวเอง เสียงสัตว์ป่าที่เหยียบใบไม้ดังเหมือนคนเดินไปมา เสียงลมแรงที่ผัดพาใบไม้ กิ่งไม้ร่วงลงบนหลังคา เสียงลมพัดประตูไม้ทำให้ดังเหมือนใครมาเคาะ มีมาตลอดทั้งคืนพร้อมจะทำให้เราคิดมโนเป็นเรื่องน่ากลัวได้ตลอดเวลา เราต้องฝึกที่จะบอกตัวเองให้ตั้งสติ พิจารณา งดมโน ข่มความกลัว ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา พุธโธ ในที่สุดการเจริญสติก็สามารถสะกดให้เราชนะตัวเอง 10 วันที่นั่นได้ให้บทเรียนอย่างมากมาย โดยเฉพาะการได้อยู่กับตัวเอง ฟังตัวเอง คุยกับตัวเอง แต่อย่าเข้าข้างตัวเองนะครับ ใช้สติพิจารณาอย่างละเอียด แล้วคุณจะได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างมีสติต่อไป "
///
///
//
คลิกชมภาพและอ่านต่อ....