ชอบเที่ยว...ไปทำไม
Group Blog
 
 
กันยายน 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
19 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
หนาวกว่านี้..มีอีกมั้ยเนี่ย ??

อันนี้น้า มันก็เป็นอีกเหตุการณ์นึงที่แม่วรา ประทับใจสุด ๆ แบบว่ารันทดกว่านี้มีอีกมั้ย จัดมาให้หน่อย....บันทึกไว้ในความทรงจำ

ก็ตอนนั้นแหละ ที่ไประหกระเหิน เดินเตะหน้าแข้งฝรั่ง อยู่ที่ออสเตรเลีย ก็ไปทำงานที่ร้านอาหารไทย ( เป็นของเพื่อนเรา พอดีสามีมันเก่งสู้ชีวิตมาก มาเปิดร้านอาหารอยู่ที่นี่..นับถือจริง ๆ มันก็เลยชักชวนเรามา ) เราทำหน้าที่เป็นพนักงานเสริฟ ( ก็เรื่อยเชื่อยไปตามประสา รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง ทำหน้าตาฉลาดไว้ก่อน.. เด๋วฝรั่งมันว่าโง่ ) ส่วนเพื่อนน้องก็ทำหน้าที่เป็นเชฟ( งู ๆ ปลา ๆ มันยังจับตะหลิวไม่แน่นเลย ดีว่าเค้าทำน้ำผัด น้ำแกง ไว้ให้แล้วเป็นสูตรตายตัว ) แล้วทีนี้เค้าก็จะกลับเมืองไทยกันทั้งคู่ ประมาณ เกือบสิบวัน เห็นจะได้ เค้าก็บอกให้เรากะเพื่อนน้องไปเฝ้าบ้านให้หน่อย เค้ามีลูกชายอยู่คน อายุ 14 ขวบ ไปอยู่เป็นเพื่อนมันหน่อย ...

ก็ตามประสา เพื่อนขอให้ช่วย ไม่มีปัญหา วราจัดให้...เราก็เหมือนดูแลร้านให้บ้าง น้องอีกคนดูของในครัว จะซื้ออะไรก็ไปซื้อมา เตรียมของให้พร้อม ส่วนเราก็ดูเรื่องเงินปิดยอดประจำวัน..วันนั้นน่ะเงินมันไม่ลงตัว บวกเลขยังไงมันก็ไม่ลงตัว บิลโต๊ะกะเงินสดในลิ้นชักมันไม่ตรงกัน เด็กเสริฟ ก็ช่วยกันจิ้มเครื่องคิดเลข เผื่อสายตาใครไม่ดี อาจจะพลาดได้ ไอ้พวกในครัวก็ออกมานั่งรอกันหน้าสลอน ปิดร้านแล้ว ประมาณ 5 ทุ่ม กว่า

น้องบางคนมันเช่าบ้านอยู่ในเมืองกัน ก็ต้องรีบไปนั่งรถไฟ เพราะรถไฟมันจะหมด ส่วนเรากับเพื่อนน้องนั้น น้องอีกคนมีรถมันก็จะเอาไปปล่อยไว้หน้าบ้านให้ ทีนี้เราเกรงใจมันเพราะพรุ่งนี้มันมีเรียนเช้า ก็เลยให้พวกน้อง ๆ กลับกันไปก่อน ไม่เป็นไรพี่เดินกลับบ้านไหว...สวย ถึก และบึกบึนอย่างพี่ ทำได้อยู่แล้ว....

เรากะเพื่อนน้องก็เลยมาช่วยกันคิดอีกที ตามประสาสาวแบงค์เก่า ว่าเงินมันหายไปใหนว่ะ ถ้าเป็นเงินตูนี่จะไม่กลุ้มเลย แต่นี่เงินร้านตั้งร้อยกว่าเหรียญ ฐานะก็ไม่ค่อยจะร่ำรวยอย่างเรา เท่ากับทำงานฟรีเลยนะเนี่ย.. เที่ยงคืนล่ะ ไม่ไหว..หาไม่เจอ เก็บบิล ไปหาต่อที่บ้านดีกว่า.. ฝนเสือกตกลงมาอีก..แม่เจ้า ทำไมตูมันซวยขนาดนี้วะ ( ขอโทษที่หยาบคาย..แต่ ณ ตอนนั้น อารมณ์มันให้จริง ๆ )...นั่งรอต่อให้ฝนซา...เกือบตีหนึ่ง

ปิดไฟ ปิดฮีทเตอร์ ล็อคกุญแจ ปิดร้านเรียบร้อย แค่ก้าวออกมาข้างนอก ขาก็สั่น ปากก็สั่น โครตหนาวววววว.. แถมต้องถอดรองเท้าเดินอีก เนื่องจากมันเป็นรองเท้าหนังมีราคาไม่ค่อยแพงจากเมืองไทย เดินลุยฝนเห็นทีจะพัง ถ้าต้องซื้อใหม่ก็แพง เราต้องประหยัดไว้ก่อน อย่ากระนั้นเลย หิ้วไปดีก่า... เรากะเพื่อนน้องก็มีร่มพับอยู่อันนึง แบบ 2 ตอนเอาไปจากเมืองไทย แถมมันก็อ่อนแอต่อลมและฝน แต่ก็พอประทังไปได้

สาว ๆ สองคนเดินตอนตีหนึ่งอันเงียบสงัด ( แม้จะมีหน้าตาเป็นอาวุธก็เหอะ ) เรากะเพื่อนน้อง ฟันสั่นกึก ๆ จนได้ยินเลย เฮ้ย..ฟันแกสั่นว่ะ เราเคยไปเพชรบูรณ์แบบว่าบนเขาค้อที่อุณหภูมิไม่เกิน 5 องศา บ้านกะเหรี่ยงไรจำไม่ได้ไปค้างมาช่วงปีใหม่ ตอนนั้นเราว่ามันหนาวมากแล้วนะมันยังเทียบไม่ได้เลย เพราะนี่เราเดินตากฝน ลมก็พัด ไอ้เสื้อกันหนาวที่ซื้อมาจากเมืองไทยก็ช่วยได้นิดหน่อย แต่มันไม่ใช่เสื้อกันฝนนี่ มันก็เลยเปียกมั่งเป็นธรรมดา ตอนแรกเราเอาถุงพลาสติกในร้านมาห่อเท้าไว้มันก็โอเคมั่ง เท้ายังไม่เปียก ทีนี้เดินไปซิ น้ำเริ่มเข้า เท้าชาจนไม่มีความรู้สึกเลย พึ่งรู้ว่าเดินเหมือนหุ่นยนต์มันเป็นไง ก้าวไปเรื่อย ๆ ....ตามทางอันมืดมิด

ระยะทางประมาณ 2 กิโลได้ ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล แต่ว่าต้องเดินขึ้นเนิน ลงเนิน ตอนนั่งรถมันทำไมแป๊ปเดียววะ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เลี้ยวไปเลี้ยวมาเดี๋ยวก็ถึง สำนึกเลยที่แม่บอกว่า "มันใกล้ตาแต่ไกลตีน" น่ะเป็นยังไง แต่อีกประเด็นก็คือกลัวผี เราค่อนข้างมั่นใจเลยว่าเวลาคนไทยเดินผ่านต้นไม้ตอนกลางคืน เค้าจะนึกถึงอะไร เมืองบ้านี้ต้นไม้ก็เยอะด้วย...เรามองหน้ากะเพื่อนเลย แกไม่ต้องพูดอะไรออกมาฉันเข้าใจทุกอย่าง แล้วมันปอดกว่าเราอีก...ก็เดินเกาะกันไป เราก็ก้มหน้าก้มตาเดินมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ห้ามมองกิ่งก้านสาขาเด็ดขาด กลัวอะไรมันห้อยมา แล้วจินตนาการจะบรรเจิดอีก ตรากตรำต่อไปจนถึงบ้านในที่สุด.. เย้ถึงซะที

นอนบ้านเค้าก็ไม่ได้นอนในห้อง เพราะเค้าไม่ได้บอกให้นอนในห้องนอนเค้าได้นี่หว่า เรามันก็คนตรง นอนตรงห้องรับแขกนี่แหละเปิดเผยจริงใจดี วันนั้นเปิดฮีทเตอร์เดินเต็มสูบเลยค่ะ...จริง ๆ เค้าให้เปิดฮีทเตอร์ให้อุ่น แล้วพอตอนนอนก็ปิด เพื่อเป็นการประหยัดไฟ ดิฉันก็เปิดมันเต็มที่ ปรับอุณหภูมิตามความพอใจ ไม่รู้ว่าตูจะทนลำบาก ทนประหยัดให้เค้าไปทำไมหนักหนา จะซื่อสัตย์ไปขนาดใหน นอนแบบนี้มาหลายคืนล่ะ นอนก็ไม่ค่อยหลับ พื้นมันแข็งแถมหนาวอีกตะหาก คืนนี้มันสุดทนจริง ๆ ตูจะเปิดมันถึงเช้าเลย ซึ่งปกติถ้านอนที่ห้องตัวเอง ก็แทบจะนอนกอดฮีทเตอร์อยู่แล้ว เพราะตัวมันเล็ก เราก็เอาผ้าห่มคลุมไว้ไม่งั้นมันไม่อุ่น ถ้านอนดิ้นผ้าก็หลุดจากฮีทเตอร์ก็ต้องตื่นมาจัดระเบียบสังคมใหม่..เฮ้อ...

ตอนเดินตากฝนมานะ...นี่ตูมาทำไรที่นี่วะเนี่ย โครตลำบากเลย ใคร ๆ เค้าก็ว่ามาเมืองนอกดี รวยแล้วชวนมาด้วยนะ มาเป็นแรงงานในเมืองนอกเป็นเหมือนกระเหรี่ยงอพยพ ทำงานที่ไม่คิดว่าจะทำในเมืองไทย แถมมาเดินตากฝนตอนตีหนึ่งหลังเลิกงานอีก หนาวโครต ๆ ทำบ้าไรอยู่วะเนี่ย...อยู่เมืองไทยตูนั่งแท๊กซี่ถึงบ้านนานแล้ว.. แต่ที่นี่..ไม่กล้านั่งกลัวแพง ก็เค้าบอกว่ามันแพง...พึ่งมาสำนึกได้หลังจากอยู่มาสี่เดือนว่ามันก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย..แล้วแถมตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาแท๊กซี่ได้ยังไง.. มันไม่ได้วิ่งผ่านไปผ่านมาตามถนนอย่างบ้านเราซะหน่อย..โธ่ชีวิตเด็กนอกของเรา...

แต่มันก็ผ่านมาได้ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เราจิตตก และรันทดในบางช่วงบางตอน แต่เราก็อดทน...ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ส่วนเรื่องเงินสรุปว่าหาไม่เจอ แต่เจ้าของร้านเค้าก็ไม่ได้หักตังค์พวกเรา แต่ที่เราจำเหตุการณ์ช่วงนี้ได้แม่นก็เพราะว่า.. เพื่อนของเราคนนี้ซึ่งมาอยู่ในฐานะใหม่ที่เป็นทั้งเจ้านายเราและเจ้าของร้าน ลืมขอบคุณเรา..ที่อุตส่าห์ไปเฝ้าบ้านให้ ไปนอนหนาวอยู่ในห้องรับแขก จริง ๆ เรากลับไปนอนห้องเราก็ได้ ไปดูให้เป็นบางวันเพราะลูกมันไม่ใช่เด็ก 5 ขวบ แต่เสือกรับปากเค้าไปแล้วอ่ะ เลยต้องไปเดินตากฝนตอนตีหนึ่งเพื่อไปเฝ้าบ้านให้เค้า แต่ไม่เคยถามเราสักคำว่าเรานอนยังไง อยู่ยังไงกันมั่ง ดูแต่รายได้ เราก็ไม่ได้หวังอะไร แค่คำขอบคุณก็ยังดี ( จริง ๆ ก็อยากได้ของฝากจากเมืองไทยมั่ง เพราะเพื่อนที่เมืองไทยมันโทรมาว่าฝากน้ำพริกจากใต้มาให้ แต่เค้าไม่เอามาให้เรา ด้วยเหตุผลร้อยแปด ที่ไม่อยากจะฟัง ) เหตุการณ์ครั้งนี้มันทำให้เราต้องทบทวนสถานะความเป็นเพื่อน และความจริงใจ กันเลยทีเดียว...เราให้เต็มร้อย แล้วเค้าให้เราเท่าไหร่... เค้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนรึเปล่า แล้วเพื่อนแท้และจริงใจมันเป็นยังไงกัน....



Create Date : 19 กันยายน 2553
Last Update : 19 กันยายน 2553 23:37:03 น. 3 comments
Counter : 1367 Pageviews.

 
บางทีก็มีน้อยใจกันเป็นธรรมดาค่ะ ยังไงความเป็นเพื่อนก็ตัดกันไม่ขาดหรอดเราก็ดีกะเค้าเท่าที่เราทำได้ถ้าเกินกำลังก็อยาดีกว่าเนาะ แล้วที่นี่หนาวด้วยและฝนด้วยใช่ใหมคะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ



โดย: ภายใต้ วันที่: 20 กันยายน 2553 เวลา:12:57:16 น.  

 
ขอบคุณค่ะ แต่ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว พยายามหาทางไปอีก เหมือนมันยังคาใจอะไรบางอย่างอยู่..


โดย: salamalee วันที่: 20 กันยายน 2553 เวลา:20:49:12 น.  

 
อยู่ที่ออสเตรเลียเหรอคะ พี่สาว+หลานสาวก็อยู่ที่นั่นเหมือนกันคะ


โดย: sk (kulpriya ) วันที่: 21 กันยายน 2553 เวลา:11:21:21 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

salamalee
Location :
นครสวรรค์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แต่ก่อนชอบเขียนไดอารี่มาก ตั้งแต่สมัยอยู่ ม.ปลาย มี หลายเล่มทีเดียว เขียนตอนสมัยอยู่มหาลัยก็มี สนุกมากแต่ว่ามันหายไป ตอนย้ายหอ เสียดาย ไม่รู้หายไปใหน ติดไปกับเพื่อนคนไหนรึเปล่า ก็ไม่รู้ พอทำงานช่วงที่พึ่งจบใหม่ ๆ ก็เขียนอยู่หรอก ช่วงที่ชีวิตยังละอ่อนอยู่ชอบมากมันระบายความในใจดี แต่พออายุเริ่มมากขึ้น ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานมากขึ้น เวลาว่างเริ่มลดลง เราก็ไม่ค่อยได้เขียนเลย คงเป็นเพราะตัวเองที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ทั้ง ๆ ที่ความทรงจำดี ๆ และไม่ดีเยอะมาก แต่ก็ไม่บันทึกลงไป เสียดายเวลาที่ผ่านมา แต่วันนี้เราจะพยายามเรียกความทรงจำเก่า ๆ กลับคืนมามันอาจจะไม่ปะติดปะต่อ จะลองบันทึกในแบบใหม่ เก็บไว้อ่านเมื่อเวลามันผ่านไปจะได้ย้อนความทรงจำกลับมา....
Friends' blogs
[Add salamalee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.