Empty Life for the Longest time
The Kids Are All Right (2010) - คำว่าคอบครัวคือที่สุด

The Kids Are All Right (2010)

Directed By: Lisa Cholodenko
Written By: Lisa Cholodenko
Starring : Annette Burning , Julianne Moore , Mark Ruffalo , Mia Wasikowska




คำว่าครอบครัว คำว่า คู่รักในยุคสมัยใหม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบออกไปจากอดีต เยอะมาก ไม่ได้ต้องมีข้อจำกัดเฉพาะ ชาย-หญิง อีกต่อไป ปัจจุบัน ชาย-ชาย , หญิง-หญิง ก็สามารถสร้างครอบครัวของตนเองขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน แต่พื้นฐานไม่ว่าจะต่างเพศ หรือเพศเดียวกัน ก็ยังหนีไม่พ้นปรัชญา อันเดียวกัน


Nic (Annette Bening) เป็นแพทย์หญิงอยู่กับ Jules (Julianne Moore) มาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20 ปี เธอทั้งสองมีลูกชายและลูกสาว Laser (Josh Hutcherson) และ Joni (Mia Wasikowska จาก Alice In Woderland) ลูกทั้งสองของเธอ เกิดขึ้นมาจาก ธนาคาร สเปิร์ม ซึ่งมีผู้บริจาคไว้ เมื่อลูกสาวโตขึ้น จนอายุ 17ปี เธอเกิดมีความต้องการรู้ว่า ใครคือเจ้าของสเปิร์ม สืบไปสืบมา จนพบว่า Paul (Mark Ruffalo) หนุ่มใหญ่ โสด ปัจจุบันเป็นเจ้าของร้านอาหาร เป็นเจ้าของสเปิร์ม นั้น ซึ่งก็หมายถึงเขา เป็น พ่อของคนทั้ง สองคน เรื่องยุ่งๆเลยเกิดขึ้น

ผมชอบบทตั้งแต่ได้อ่านเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ เกิดความอยากดูมาก และพอดูจบว่ามีอะไรมากมายหลายอย่างที่น่าพูดถึง ผมไม่แน่ใจว่าเคยมี่หนังฝรั่งเรื่องอะไรบ้างที่เคยพูดถึงการดำเนินชีวิตของ ทอม-ดี้ พยายามนึกแต่ยังนึกไม่ออก เพราะเท่าที่ผ่านมาส่วนมาก เราจะเห็นแค่ฉากจูบกัน หรือ อยู่ด้วยกันบ้าง และโดยเฉพาะ ทอม-ดี้ที่อายุพอสมควร ดังนั้นภาพในหนังในการนำเสนอ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแบบเลสเบี้ยน จริงๆ (เพราะดูท่าทางผู้กำกับก็ออกไปในแนวนั้นเหมือนกัน)

Bening แสดงเป็นทอม ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ลักษณะท่าทางการเดิน อาการที่พยายามเก็บอาการไม่พอใจ ทั้งๆที่ใจนั้นลุกเป็นไฟ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ Moore ซึ่งก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน แต่บทที่จะส่งนั้นดูด้อยกว่า เธอเล่นเป็น Jules ซึ่งเสมือนเป็นเมีย อยู่กับบ้านมาตลอด และบางครั้งก็อยากแสดงให้คู่รักของตัวเองว่าตัวเองนั้นก็มีความสามารถเพียงพอในการหาเงิน ก็เลยทำงานเป็น นักออกแบบสวน ซื้อรถและอุปกรณ์มาเยอะแยะ โดยที่ยังไม่มีลูกค้าสักคน สำหรับ Jules นั้น เธอก็เหมือนกับผู้หญิงโดยทั่วไป ที่อยู่กับบ้าน และวันหนึ่งก็อยากพิสูจน์ว่าตัวเองเก่ง ก็อยากออกไปนอกบ้านพบปะผู้คน ถึงแม้ว่าคนรักของตัวเองจะไม่ค่อยพอใจ นักก็ตาม

Mark Ruffalo เล่นหนังมานานมาก เขามักเล่นเป็นตัวประกอบยอดเยี่ยมอยู่ตลอดเวลา บทของเขาบทนี้ เหมือนกับเป็นการพัฒนา จากบทเมื่อ 10 ปีก่อนของเขา ในเรื่อง You Can Count On Me เขาเล่นเป็นผู้ชายที่ ในอดีต ไม่ประสพความสำเร็จ ออกจากโรงเรียนกลางคัน เล่นกีฬาก็ไม่เก่ง แต่ก็มีชีวิตอยู่รอดมาได้ ตอนวัยรุ่นก็ไปบริจาค สเปิร์ม ได้เงินค่าตอบแทน 60 เหรียญ (อืมไม่เลวนะ) ปัจจุบัน เขาประสพความสำเร็จ เป็นเจ้าของร้านอาหาร ซึ่งฝืมือน่าจะดีทีเดียว และความที่เป็นหนุ่มร่าเริง และหน้าตาดี ก็เลยมีสาวๆมาหมุนเวียนตลอดเวลา ก็เลยโสดอยู่อย่างนั้น วันดีคืนดี เขาพบว่าเป็นพ่อคน และมีลูกสาวลูกชาย อายุ 17 ,15 ปี ก็เลยมีความคิดว่า เขาน่าจะมีครอบครัวได้ แบบสำเร็จรูป (คือไม่ต้องเลี้ยงมาตั้งแต่ต้น) และน่าจะเป็นทั้ง พ่อของลูก และ สามีที่ดีของภรรยาได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้ชายโสด ที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด 40 ปี การจะพลิกผันหันมารักครอบครัวทันที ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะตัวเองนั้น อยู่คนเดียวมาตลอด การที่ไม่เคยต้องผูกมัดกับใคร อิสระ ทางความคิด หรือ การกระทำ อยู่ๆจะเปลี่ยน โดยฉับพลัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้น ก็คงจะไม่ยืนยาว


จริงๆ โทนหนังเรื่องนี้ สามารถทำเป็นหนัง ดราม่าหนักๆได้อย่างสบายๆ แต่ผู้กำกับเลือกที่จะรักษาโทนให้ นุ่มลง เบาลง โดยการเพิ่ม ฉากบางฉาก ซึ่งทำให้ผ่อนคลาย และ ทำให้เกิดรอยยิ้มกับคนดูโดยไม่ถือว่าเป็นส่วนเกินของหนังแต่อย่างใด ผมเชื่อว่าต้องมีหลายฉากที่น่าจะประทับใจ เช่นฉาก สนทนาบนโต๊ะอาหาร และฉากคำพูดที่ Nic พูดกับ Paul ในช่วงท้าย


ในชีวิตจริง ผมก็เคยรู้จัก ทอม-ดี้ หลายคู่ และส่วนมากก็อยู่กันมานาน มีคู่หนึ่ง สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยกัน เป็นเวลา 15ปี+ ถามว่ามีปัญหาระหว่างทางไหม ก็มีเหมือนคนปกติทั่วไป ทอม ก็เคยออกนอกรู้นอกทาง ดี้ก็เคยไปมีเพศสัมพันธ์ กับผู้ชาย แต่ทั้งหมดก็ผ่านมาได้จนทุกวันนี้ ซึ่งความเป็นจริงทำให้ผมตระหนักว่า ไม่ว่า จะอยู่กันในลักษณะไหน ไม่ว่าจะอยู่กับเพศไหน ที่สำคัญที่สุดคือ การยอมรับผิดและการให้อภัย การขีดเส้นตาย และสร้างรั้วเพื่อล้อมกรอบ มีแต่การทำให้ครอบครัวนั้นแตกสลาย และร้าวจนยากที่จะสมานให้เหมือนเดิมได้ ผมเชื่อว่า สิ่งมี่หนังอยากจะสื่อให้คนดูได้รับทราบ ไม่ใช่เรื่องราวชองทอมกับดี้ แต่หมายถึง คำว่าครอบครัว ซึ่งไม่ได้ระบุเจาะจงว่า ต้องเป็นเพศไหนอยู่กับเพศไหน แต่สำคัญที่สุดคือเรื่องจิตใจ ของคนที่อยู่ร่วมกันทั้งหมด ซึ่งถือว่าหนังทำได้สำเร็จ


และผมถือว่า นี่เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งในปีนี้ครับ



Create Date : 25 ธันวาคม 2553
Last Update : 25 ธันวาคม 2553 15:08:01 น. 4 comments
Counter : 2643 Pageviews.

 
สวัสดีจร้า ชื่อหนิง น่ะจ๊ะ


โดย: ning.ple วันที่: 25 ธันวาคม 2553 เวลา:15:25:14 น.  

 


โดย: ทัสนะ (atruthoflife10 ) วันที่: 25 ธันวาคม 2553 เวลา:17:36:06 น.  

 


โดย: deeplove วันที่: 25 ธันวาคม 2553 เวลา:21:51:37 น.  

 
ยอดเยี่ยมครับ

แต่ถ้าถามผมในสิบเรื่องเข้าชิง
ชอบ Inception แต่คงเชียร์ไม่ขึ้น
รองลงมาคื Toy Story 3 แต่คงเลี่ยงไปเป็น Best Animation แทน

ตอนนี้เลยเชียร์ The King's Speech

คืนนี้จะดู Winter's Bone


โดย: คนขับช้า วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:18:34:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Inception
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กลับมาอยู่กรุงเทพ อีกครั้ง เผชิญ ปัญหา เดิมๆ ที่เคยเจอมาในอดีต รถติด ค่าครองชีพ สูง เพื่อนๆ มีครอบคร้ว

แต่เราไม่เคยเปลี่ยน ยัง หาความสดชื่น แจ่มใส ให้กับตัวเอง อยู่เสมอ

ก็เพราะยังมีเพื่อนดีๆ และชุมชนที่สดใส อยู่ยังไงล่ะ

ขอบคุณ กับ ชีวิต และ สุขภาพที่แข็งแรง ยังไหวอยู่

Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
25 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Inception's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.