รัฐบาลขายชาติ !?
รัฐบาลขายชาติ!? โต้เถียงกันหลายครั้งระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กับภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร ซึ่งนำโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ฝ่ายภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหารต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยประกาศยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ปฏิเสธแผนที่ของฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการโดยไม่คลุมเครือ
ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศโดยนายกษิต ภิรมย์ ก็อ้างว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือแจ้งกัมพูชาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2551 โดยมีสาระสำคัญอ้างถึงการประชุมระหว่างการรับประทานอาหารที่กัมพูชาเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ว่าแถลงการร่วมระหว่างไทยกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 นั้นฝ่ายกัมพูชาไม่ได้นำมาพิจารณาเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และด้วยผลของข้อจำกัดหลายประการ แถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวได้กลายเป็นเอกสารที่ สิ้นผล ไปโดยตัวมันเอง
ด้วยลีลาและท่วงทำนองของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ใช้คำที่ชัดเจนและไม่ได้อ้างผลถึงคำตัดสินของศาลไทย ทำให้มีนักวิชาการฝ่ายภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหารเห็นว่าเป็นการแจ้งผลที่คลุมเครือ คำว่า สิ้นผล นั้นแตกต่างจากคำว่า ยกเลิก เพราะอาจทำให้ตีความได้ว่า สิ้นผล นั้นหากหมายถึงเรื่องผลลัพธ์จากเรื่องคำตัดสินของศาลภายในประเทศ ซึ่งก็มิได้ผูกพันกับฝ่ายกัมพูชา แต่ถ้าใช้คำว่า ยกเลิก ก็หมายถึงการประกาศยกเลิกต่อข้อผูกพันระหว่างประเทศที่ชัดเจนมากกว่า
ถกเถียงกันเรื่องนี้มาปีเศษ คนไทยทั่วไปก็ไม่เคยได้เห็นคำตอบของฝ่ายกัมพูชาว่าเป็นอย่างไรจากหนังสือของไทยฉบับดังกล่าว จนกระทั่งได้ทราบมาว่ามีเอกสารของฝ่ายกัมพูชา โดยนายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝ่ายกัมพูชา นั้นได้ตอบมาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 ว่า
In this regard, I would like to recall that during our working lunch in Siem Reap on 28 July, 2008 talking about the said Joint Commuique, I said that it is not an international treaty, thus its value is worth what it is.
แปลว่า: ในกรณีนี้ผมต้องการรำลึกถึงช่วงที่เราทำงานในช่วงมื้อเที่ยงที่เสียมเรียบเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ที่พูดกันเกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วมนั้น ผมได้พูดว่า "มันไม่ใช่สนธิสัญญาระหว่างประเทศ" ดังนั้นมูลค่าของมันก็เป็นคุณค่าอย่างที่มันเป็น
เมื่อมีคำว่า Thus หรือ ดังนั้น แล้วตามด้วยคำว่า "มูลค่าของมันก็เป็นคุณค่าอย่างที่มันเป็น" ก็ย่อมไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชายอมรับว่าแถลงการณ์ร่วมฉบับนั้นไม่ใช่สนธิสัญญาจริงๆ และไม่ได้แปลว่าฝ่ายกัมพูชาคิดว่าแถลงการณ์ร่วมนั้นได้ยกเลิกไปแล้วจริงๆ หรือไม่?
ที่กล่าวมาข้างต้นคือข้อถกเถียงกันระหว่างคำว่า สิ้นผล ของกระทรวงการต่างประเทศ และคำว่า ยกเลิกของภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร แต่จริงๆ แล้วยังมีเรื่องที่สำคัญมากกว่านั้น
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2552 ภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อคัดค้านการนำวาระร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา เข้าสู่การพิจารณาขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 190 (2) ในวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2552
ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาตอบโต้ว่ากรณีนี้เป็นการแก้ไขปัญหาด้วยการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อทำให้ข้อตกลงชั่วคราวระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 (2) และอ้างว่าได้เสนอต่อรัฐสภาไปแล้ว เมื่อเดือนตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา มิใช่เป็นการกระทำเพื่อรองรับข้อตกลงร่วมไทย- กัมพูชา ให้มีผลสมบูรณ์ เปลี่ยนชื่อเรียกการแก้ปัญหาจากเรื่องปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องพื้นที่ระหว่างภูมะเขือ กับช่องตาเฒ่า รวมไปถึงการบังคับให้ไทยต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ซึ่งหมายถึงว่าเป็นการยอมรับให้กัมพูชาได้ครอบครอง แม้แต่วันนี้คนไทยก็ไม่สามารถขึ้นไปที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นเขตของไทยชัดเจนไม่ได้อยู่แล้ว
สาระสำคัญในเรื่องนี้จึงอยู่ที่ว่า ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศต้องการดำเนินการทางนิติบัญญัติเพื่อที่จะไปทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ฝ่ายภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหารไม่ไว้ใจกระทรวงการต่างประเทศ และเห็นว่าประเทศไทยได้ถูกรุกล้ำดินแดนและละเมิดอธิปไตยแล้ว เวลานี้จึงเป็นเวลาในการปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติ ไม่ใช่ช่วงเวลาการเจรจาหรือทำข้อตกลงใดๆ
ประโยคสั้นๆ ที่ว่า แม้แต่วันนี้คนไทยก็ไม่สามารถขึ้นไปที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นเขตของไทยชัดเจนไม่ได้อยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจซึ่งได้เคยพิสูจน์มาแล้ว
17 กรกฎาคม 2551 นายวีระ สมความคิด ได้นำคณะคนไทยเพื่อที่จะเดินทางไปปราสาทพระวิหาร เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหาร กองกำลังสุรนารีที่ระดมกำลังเข้าไปปกป้องแผ่นดินไทย อ่านคำประกาศทวงคืนดินแดนและอธิปไตยของชาติเหนือปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ รวมทั้งเรียกร้องให้ทางการกัมพูชานำประชาชนชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร
ปรากฏว่าในวันนั้นมีการนักการเมืองไทยจัดตั้งกลุ่มประชาชนพร้อมด้วยอาวุธมาปิดกั้นกีดขวางด้วยรถและมวลชน มีการใช้กำลังและความรุนแรงมาทำร้ายประชาชนชาวไทยผู้ที่ต้องการปกป้องรักษาดินแดนไทยในวันนั้นมิให้เข้าไปในดินแดนรอบปราสาทพระวิหารได้ จนมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหลายคน
แต่ฝ่ายภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร ไม่ไว้ใจการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศเนื่องจากจะเป็นการนำไปสู่การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างสมบูรณ์ของกัมพูชา โดยตั้งข้อสังเกตว่าร่างข้อตกลงดังกล่าวเป็นการเสนอเข้ามาอย่างเร่งรีบ มีการหมกเม็ด เลี่ยงบาลีหลายจุด ตั้งแต่การ
ปีที่แล้ว คนไทยกลุ่มหนึ่งจึงไม่สามารถเดินทางไปพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ในดินแดนของไทยได้ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัปยศอดสู เมื่อคนไทยมาทำร้ายคนไทยด้วยกันเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ นักการเมืองไทยยอมทำทุกวิถีทางเพื่อทำร้ายประชาชนที่อยู่ตรงกันข้ามกับตัวเอง พ่อค้าแม่ค้าที่สนใจแต่ค้าขายชายแดนก็ออกมาต่อต้านเพราะไม่อยากวุ่นวายและกลัวจะเสียประโยชน์ส่วนตัว และทหารไทยบางคนก็ได้รับประโยชน์ส่วนตนจากการรุกล้ำอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชา
วันนี้สาระสำคัญจึงไม่ใช่เวลาในเรื่องข้อถกเถียงว่าแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชายกเลิกแล้วจริงหรือไม่? ไม่ใช่เวลาถกเถียงว่าการขออนุมัติต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออนุมัติกรอบการเจรจาถูกต้องแล้วและดีจริงหรือไม่?
แต่สาระสำคัญในวันนี้อยู่ที่ประเด็นสำคัญว่าประเทศไทยถูกรุกล้ำจริงหรือไม่?
1.ถ้าประเทศไม่ถูกรุกล้ำจริง คนไทยต้องเดินทางไปในทุกที่ที่อยู่ในเขตแดนของไทยได้ซึ่งรวมถึงพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ในแนวสันปันน้ำของฝ่ายไทย
2. ถ้าสมมติว่าเป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันจริง ก็ต้องไม่มีทหารหรือ ประชากรของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาศัยอยู่ได้
วันนี้ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วัดแก้วสิขาคีรีสวารา ซึ่งเป็นวัดและชุมชนที่กัมพูชาเข้ามาสร้างรุกล้ำอธิปไตยของไทยติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปีซึ่งทางการไทยเคยส่งหนังสือประท้วงหลายครั้ง วันนี้มีสภาพเป็นอย่างไร?
กองกำลังทหารกัมพูชาอยู่กันอย่างหนาแน่นมากขึ้น ชุมชนขยายตัวเพิ่มมากขึ้น บ้านพักอาศัยของทหารกัมพูชาก็ยังอยู่แห่งนั้นที่เป็นผืนแผ่นดินไทย
ถนนที่สร้างเชื่อมจากปราสาทพระวิหารมาถึงวัดแก้วสิขาคีรีสวารา ที่สร้างมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยได้ปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชาสร้างเสร็จสมบูรณ์ในช่วงสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทหารไทยถอยร่นมาเรื่อย จนปัจจุบันมีทหารไทยเพียง 10 - 12 คน ที่คอยขึ้นไปบนเขาที่วัดแก้วสิขาคีรีสวาราตอนเช้าโดยห้ามพกอาวุธ ทั้งๆ ที่มีทหารและประชาชนชาวกัมพูชาเต็มไปหมด แล้วตอนเย็นก็ต้องกลับมาด้านล่างเขา (ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา) จริงหรือไม่?
แล้วอย่างนี้จะให้เรียกได้อย่างไรว่าราชอาณาจักรไทยรักษาอธิปไตยเอาไว้ได้!
เรื่องแบบนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ควรตอบการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรอ้างเพียงแค่ว่า ชุมชนฝ่ายกัมพูชาที่มาตั้ง ณ ผืนแผ่นดินไทย เกิดขึ้นก่อนสมัยรัฐบาลชุดปัจจุบัน และถนนที่สร้างขึ้นก็เริ่มสร้างมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน
เพราะชุมชนและสิ่งปลูกสร้างที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ตลอดจนถนนสายใหม่ที่สร้างขึ้นมาโดยฝ่ายกัมพูชานั้น ได้ปลูกสร้างต่อเนื่องจนเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่ได้แปลว่ารัฐบาลก่อนหน้าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วรัฐบาลชุดนี้จะมีสิทธิ์ปล่อยให้สิ่งไม่ถูกต้องเหล่านั้นดำเนินการต่อไปจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์
ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไทยหรือกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือประท้วงไปแล้ว จะหมายถึงว่าราชอาณาจักรไทยยังรักษาดินแดนเอาไว้ได้
เรื่องนี้ นายวีระ สมความคิด พร้อมกับประชาชนคนไทยกลุ่มหนึ่งรวมทั้งสื่อมวลชน ก็ต้องการที่จะ พิสูจน์ อธิปไตยของประเทศไทย ด้วยการนัดหมายไปเยี่ยมทหารและดินแดนของไทยรอบปราสาทพระวิหารเป็นครั้งที่ 2 ในวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2552 10.00 น. ที่ศาลหลักเมืองอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ
ถ้ากระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยยังคงยืนยันอยู่ว่าประเทศไทยยังคงรักษาดินแดนเอาไว้ได้ รักษาอธิปไตยเอาไว้ได้ ก็ควรดีใจที่จะมีประชาชนชาวไทยไปเยี่ยมทหารไทยและเข้าเยี่ยมชมพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ที่ไม่มีทหารและประชาชนชาวกัมพูชาอยู่ในผืนแผ่นดินไทยแล้ว
แต่ถ้ารัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศยอมรับความจริงว่าเรากำลังถูกรุกล้ำอธิปไตยอยู่ ก็ควรต้องบอกประชาชนว่าจะรักษาดินแดนและอธิปไตยไทยได้อย่างไร?
วันนี้ไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำดินแดนของราชอาณาจักรไทย
วันนี้ไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาบันทึกข้อตกลงและแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกัมพูชากรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาเมื่อปี 2544
เราคงไม่อยากได้ยินและได้เห็นข้อกล่าวหารัฐบาลในอดีตว่าขายชาติ ได้กลายมาเป็นคำกล่าวหาในรัฐบาลชุดนี้ว่าสวมสิทธิ์การขายชาติเสียเอง
โดยเฉพาะรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเป็นฝ่ายค้านได้แข็งขันกับการปกป้องอธิปไตยของชาติในกรณีนี้อย่างเต็มความสามารถนั้น จะคิดอ่านปกป้องอธิปไตยทั้งทางบกและทางทะเลอย่างไร?
อย่าปล่อยให้กลุ่มประชาชนสองมือเปล่า (อีกแล้ว) ที่ไม่มีอำนาจรัฐต้องมาทำหน้าที่ทวงอธิปไตยของชาติแต่เพียงลำพัง!
Create Date : 02 กันยายน 2552 | | |
Last Update : 2 กันยายน 2552 22:38:15 น. |
Counter : 250 Pageviews. |
| |
|
|
|