Behind the scene ของวันชาติออสเตรเลีย (2)
เมื่อสำรวจได้ว่าออสเตรเลียเป็นดินแดนของทรัพยากรอันมีค่า ก็มีอีกหลายๆ ประเทศอาณานิคมในเครือจักรภพ อยากจะเอานักโทษมาลงเพิ่ม แต่เหมือนว่า Murray เพื่อนของเรา เคยเล่าว่า นักโทษจาก African ถูกปฏิเสธไป ถึงเห็นว่า คนยุคแรกๆของออสเตรเลีย ไม่มีคนผิวสีจาก Africa เลย (เค้ากลัวว่าจะควบคุมไม่ได้อ่ะ) ทรัพยากร ของมีค่าถูกขนขึ้นเรือกลับไปอังกฤษ นักโทษทำงานเยี่ยงทาส ใครเก่งหน่อยก็ให้ค่าตอบแทนบ้าง จะเลิกทาสให้บ้าง โดยค่าตอบแทนคือที่ดินไว้ทำมาหากิน ปลูกผักลี้ยงวัวกันไป เมื่อเป็นคนที่ถูกหมายหัวมาจากที่ต่างๆ ด้วยโทษ หนักเบาต่างกันไป จึงไม่แปลกที่นักโทษเหล่านั้นจะเลือกโอกาสที่จะขุดทอง แสวงหาผลประโยขน์ที่นี่ ดีกว่าเดินทางกลับบ้านเกิด พอขนนักโทษ คนงานคนขาวมามากขึ้น เจ้าของแผนดินเดิม พวกคนเผ่าพื้นเมืองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จะเอาหอกไม้ ไปสู้กับปืนไฟก็ใช่เรื่อง อีกอย่างธรรมชาติของชนเผ่าพื้นเมือง กว่า 250 เผ่า (ฟังดูเหมือนแยะ... แต่บางเผ่ามีแค่ 12 คนนะ เราแยกย่อยจากภาษา เครื่องแต่งกาย และอะไรอีกหลายๆ อย่าง) ถึงพวกเค้าจะอยู่ที่นี่มานานกว่าพันๆ แค่ทำได้อย่างเดียวคือการล่าสัตว์ เค้าไม่รู้จักการเพาะปลูก เค้าไม่รู้จักการลงหลักปักฐาน พวกเค้าหากินด้วยการอพยพไปในแหล่งที่มีอาหาร (นึกถึงเผ่าตองเหลืองที่เมืองไทยก็คงนึกภาพออก )



การมาเยือนของคนขาว และเรือโดยสารจำนวนมาก ไม่ได้ทำให้เกิดการต่อสู้ หรือปะทะกันมากมายอะไร หากจะเปรียบเทียบกับที่ อเมริกา ที่เกิดระหว่างคนขาว กับ ชนเผ่าอินเดียแดง เพราะคนพื้นเมืองต้องอพยพเมื่อแหล่งอาหารหมด คนขาวที่เป็นผู้ปกครองในสมัยนั้น เลยจัดพื้นที่ให้ชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ รั้วรอบขอบชิด เพื่อ 1) จะได้อยู่ในสายตาตลอด 2) พื้นที่โดยรอบอ่นๆ ที่ยังว่าง คนขาวจะได้เข้าจับจอง ถามว่าตอนนั้นคนพื้นเมืองยอมได้อย่างไร



ส่วนหนึ่งเรียมเข้าใจว่า เป็นเพราะ อุปนิสัยและธรรมชาติ ของพวกเค้าด้วย หากยังมี จิงโจ้ให้ล่าเป็นอาหาร ก็น่าจะ โอเคสำหรับพวกเค้าอยู่ แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น เพราะหากจำได้ว่า จำนวนผู้หญิงที่ลงเรือมานี่ มันมีปริมาณเท่ากับ 1/10 ของจำนวนคนขาวทั้งหมด ผู้ชายขาวจำนวนมากก็เลยต้องหาที่ปลดปล่อยอารมณ์กับสาว aborigine นั่นเอง โดยปราศจากการแต่งงาน การยอมรับออกหน้าออกตา การเรียนรู้หรือเข้าใจในวัฒนธรรมหรือ ภาษาของอีกฝ่าย ปัญหาอีกเรื่องที่ตามมา ก็คือลูกครึ่งที่ไม่เป็นที่ต้องการ เมื่อจำนานเด็กมีมากขึ้น การยืนคาบเกี่ยวของสองวัฒธรรมที่เด็กเองก็ไม่ได้ยอมรับจากทั้งสองฝ่าย จึงเป็นเรื่องสะเทือนใจมาก



ผู้ปกครอง คนยาวในยุดนั้น ที่ชื่อเซ่อร์อะไรก็จำไม่ได้ (ช่าง แม่งเหอะ) ก็เกิดไอเดียที่จะให้การศึกษากับเด็กลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว ด้วยเป้าหมายที่จะให้รู้ภาษาเพื่อจะนำมาเป็นคนรับใช้ คนงานในอนาคต เค้าจัดตั้งโรงเรียน หอพักให้เด็กๆ อยู่ฟรี หากแต่พรากลูกจากอกแม่ ประวัติศาสตร์ ไม่ได้เขียนเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนเท่าใดนัก (ใครจะเขียนให้ตัวเองเป็นตัวโกงของเรื่องได้ จริงมั๊ยเล่า) เหตุนี้จึงนำ Aborigine ในเผ่าต่างๆ ก้าวเข้าสู่ ยุค a “Lost generation” เพราะการ Stolen Aboriginal Children ทำให้ชนเผ่าหลายๆ ชนเผ่า ขาดผู้สืบทอด ผลลัพธ์ที่เห็นในปัจจุบันก็คือ ชนเผ่าพื้นเมือง ไม่ถึง 50 ชนเผ่า รวมทั้ง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่ยังคงเหลือรอดมาได้ สรุป คือ ชนเผ่าสูญหายไป ประมาณ 200 เผ่า



ตอนเรามีเหยียบที่ออสเตรเลียในปีแรก คือปี 2008 นายกรัฐมนตรี Kevin Rudd กล่าวคำขอโทษแก่ชนพื้นเมือง ด้วยการกระทำของบรรพบุรุษคนผิวขาวในยุคแรกของการอพยพ คำกล่าวขอโทษของนายกคนนี้ ก็ปนไปด้วยเรื่องการเมือง การหาฐานเสียงและนโยบายการพัฒนาประเทศต่างๆ ด้วยความหวังที่ว่า คนพื้นเมืองจะยอมรับระบบและนโยบายของประเทศ ให้ลูกหลานเข้าเรียนฟรี มีอาชีพรอรับ มีบ้าน มีสวัสดิการให้ ขอแต่ให้เรียนหนังสือ อย่าสร้างปัญหา โดยส่วยตัว เห็นใจออสซี่ที่เป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว ลูกเสี้ยน มากกว่า ที่ดำรงชีวิตได้อย่างปกติดั่งเช่นพลเมืองออสซี่ที่ดี แต่แผลในใจเรื่อง lost generation ของบรรพบุรุษมันยงคงอยู่ในยีนส์ของตน และแนแน่อนการกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการช่วยบรรเลาช่องว่างทางสังคมนี้ได้มาก แต่ก็อย่างว่า มีทั้ง feedback ที่ดี และร้ายจากผู้คนทั้งประเทศ ..... นานาจิตตัง




Create Date : 27 กันยายน 2554
Last Update : 27 กันยายน 2554 14:31:06 น.
Counter : 306 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

wwstyle
Location :
Wollongong, NSW  Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีค่า พึ่งคิดสมัคร pantip แล้วสร้าง blog เมื่ออาทิตย์ก่อน เป็นน้องใหม่ๆ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค่ะ ขอบคุณค่า
I'm a mess of unfinished thoughts, teacher, musician, facebooker, self-assumed photographer, what-ever person and occasional weird doin' in a baker cutter world