|
จากขอบเวที.....สู่นักอ่าน
หัวข้อเสวนา
หัวข้อเสวนา "นิยายรัก นิยายชีวิตของวัสตรา" โดย วัสตรา (อภิญญา เคนนาสิงห์) ดำเนินการเสวนาโดย บก.จำเนียร พลสวัสดิ์
จำเนียร สวัสดีครับ สำหรับเพื่อนรัก นักอ่าน ที่เดินผ่านไป ผ่านมา แล้วก็ที่นั่งรอชม รอฟังกิจกรรมต่อไปนะครับ รายการต่อไปเป็นรายการของสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น วันนี้เป็นรายการที่จะมานั่งคุยกันสบาย ๆ พูดถึงนิยายเล่มใหม่อีกเล่มหนึ่ง แล้วก็จะมาพูดถึงวิธีการเขียนว่าเริ่มต้นอย่างไร ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จะเริ่มต้นงานเขียน และผู้ที่ชื่นชอบงานของเธอ ก่อนอื่นวันนี้ขอแนะนำผู้เขียน สักนิดหนึ่งที่มานั่งคุยกับเราตรงนี้ คือคุณวัสตรานะครับ คุณวัสตราเป็นนักเขียนหญิงที่มีผลงานมาแล้วหลายเล่มแล้ว เคยเป็นกองบรรณาธิการของนิตยสารชีวิตต้องสู้อยู่ระยะหนึ่ง แต่มาตอนหลังเธอก็ตัดสินใจจะมาเขียนนิยายดีกว่า ตอนนี้เธอกลายมาเป็นนักเขียนเต็มตัวอยู่ที่บ้าน สำหรับงานเขียนที่เคยตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์เรามีตั้งแต่ปี 2536 คือเรื่อง "ก้าวที่กล้า" ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์พอสมควรอยู่เหมือนกัน ผมขออนุญาตเรียกว่าคุณแววก็แล้วกัน เริ่มคำถามแรกคงจะถามว่าคุณแววเริ่มต้นก้าวเข้ามาในวงการวรรณกรรมได้อย่างไร
วัสตรา จุดเริ่มต้นของการเขียนหนังสือจะเริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เราจะเป็นเด็กที่ถูก เก็บอยู่ในบ้าน เราก็จะเริ่มต้นอ่านหนังสือและการชอบที่จะอ่านหนังสืออยู่เรื่อยๆ แต่จะไม่หนอนซักทีเดียวจะเลือกอ่านเฉพาะที่ชอบ อย่างสมัยก่อนคุณลุงจะรับนิตยสารจำพวกสกุลไทย บางกอก จักรวาล เราก็จะได้อ่านแบบนั้น แล้วเลือกอ่านนวนิยายที่เราชอบ และเราก็จะนึกฝันของเราไป จำเนียร จริง ๆ ตอนนั้นก็เริ่มขลุกตัวอยู่ในห้องสมุด วัสตรา ก็เล่น ๆ ไปตามเรื่อง ถ้ามีเวลาก็เข้าห้องสมุดเห็นอะไรก็จะอ่าน ไม่ใช่อ่านทุกอย่างจะอ่านที่ชอบ เวลาเข้าห้องสมุดก็จะไปอยู่มุมพวกนิยาย สารคดี เรื่องสั้น ส่วนจุดเริ่มต้นของการชอบเขียนจริง ๆ เริ่มตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมปลาย ซึ่งตอนนั้นเรียกว่ามศ.จะเรียนทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเรียนตามใจผู้ใหญ่ จำเนียร ตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไรที่ไม่ได้เรียนตรงสายที่เราชอบ อยากให้คุณแววช่วยตอบหน่อยเพราะอาจจะมีน้องหลาย ๆ คน ที่รู้สึกชอบในงานเขียนแต่ผู้ปกครองไม่ชอบให้เรียนในสายนั้น ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร ว้าวุ่นใจไหม วัสตรา ก็ว้าวุ่นใจค่ะ แต่เราก็หาทางออกด้วยการเขียน จะเรียนสายวิทยาศาสตร์ก็เรียนไป ส่วนสิ่งที่เราชอบเราก็จะทำ ยังอ่านหนังสือ ยังอ่านกลอนของเราไป และเริ่มเขียน จากตรงนั้นเราก็เริ่มเขียนกลอนส่งไปตามวิทยุและหนังสือ แล้วก็ได้รับการตีพิมพ์ ทำให้เราก็มีกำลังใจขึ้นมา เมื่อถึงช่วงต้องเรา เอนทรานซ์ ก่อนที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเราเกิดเอนทรานซ์ไม่ติด จึงทำให้ชีวิตกลับมาเป็นของเราส่วนหนึ่ง เราก็ตัดสินใจเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์ สาขาเอกภาษาอังกฤษ แทนที่จะเลือกเรียนตามสายวิทยาศาสตร์ ชีวิตในช่วงนั้นเราจะเลือกทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชมรมวรรณกรรม เขาจัดเสวนานักเขียน เราก็รู้สึกอยากจะไปร่วมอยู่ตรงไหน แล้วก็เขียนหนังสืออยู่เรื่อย ๆ ทั้งเรื่องสั้น บทกวี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราใช้ความสามารถในการเขียน ส่งไปตามเวทีต่าง ๆ จำเนียร ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นทั่วไป ๆ ของคนที่อยากจะมาเป็นนักเขียน ซึ่งก็เริ่มต้นจากนักอ่านก่อน หลังจากนั้นก็อยากถ่ายทอดความรู้สึกของตนออกมาจากประสบการณ์ ในส่วนของประสบการณ์ก็มีหลายแบบ บางคนอาจชอบนิยายรักหรือชอบสะท้อนสังคม หรือประสบการณ์จากสิ่งที่ตัวเองได้พบได้เจอมา เวทีเมื่อก่อนส่วนใหญ่ก็จะตามหน้านิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ นอกจากนั้นก็ยังมีสื่อวิทยุด้วย แต่ในปัจจุบันนี้มีอีกช่องทางหนึ่งคือเว็บไซต์ ซึ่งทางประพันธ์สาส์นก็มีพื้นที่สำหรับนัก(ขอ)เขียน เพื่อให้สำหรับนัก(อยาก)เขียนมีพื้นที่พิสูจน์ฝีมือ และก็มีของที่ระลึกมอบให้อย่างในวันนี้ก็ยังมีน้อง ๆ ที่ได้รับการคัดสรรจากคณะกองบรรณาธิการ เราก็มีของที่ระลึกมอบให้กับน้องเหล่านี้ ถือเป็นกำลังใจ วัสตรา ใช่ สมัยนี้มีเว็บไซต์ มีคอมพิวเตอร์ สมัยก่อนต้องใช้ลายมือ ถ้าลายมือไม่ดีก็ต้องให้เพื่อนลายมือสวย ๆ ช่วยเขียนให้ แต่สมัยนี้มีอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกมากกว่า จำเนียร ครับ เรากลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนนั้นก็เริ่มมีงานเขียนกระจายออกมาแล้วใช่ไหมครับ ทั้งบทกวี เรื่องสั้น ส่งไปที่ไหนบ้างครับ วัสตรา ตอนนั้นก็จะมีหนังสือสาวสมัย ดรุณี แม่บ้านสมัย ซึ่งสมัยนี้อาจจะไม่เหลือแล้ว ขยับขึ้นมาก็จะมีจำพวก ขวัญเรือน สกุลไทย สตรีสาร สนามเราก็จะเป็นตรงนั้นแล้วก็จะเขียนสะสมมาเรื่อย ๆ พอเขียนงานหลาย ๆ สนามเข้ารู้สึกนามปากกาเดียวที่ใช้จะยังไม่พอ เมื่อก่อนที่ใช้ก็จะใช้ชื่อจริง จำเนียร คือ คุณอภิญญา เคนนาสิงห์ วัสตรา ค่ะ แต่พอตอนหลัง คิดว่าอยากแยกประเภทตัวเองเขียนเรื่องสั้นแนวสะท้อนสังคม แนวชีวิต หรือโรแมนติกฝันเพ้อ จำเนียร แสดงความเป็นคนทำงานหลายแนว วัสตรา ค่ะ คิดว่าจะแบ่งแนวตัวเองถ้าเราไปเห็นอะไรที่เป็นเรื่องจริงแต่เป็นเรื่องจริงที่ไม่สวยหรู ก็จะใช้นามปากกาหนึ่ง ถ้าฝันเพ้อไปเรื่อย ๆ ก็จะใช้นามปากกาหนึ่ง แต่ถ้าเป็นมิติมหัศจรรย์ มันเป็นเรื่องเหนือจริง ก็จะเป็นอีกนามปากกาหนึ่ง พอลงหลายสนามเริ่มแบ่งแยกนามปากกาก็จะเริ่มขยับขยายตัวเอง เมื่อสนามเรื่องสั้นได้ลงก็มีกำลังใจ แล้วได้ค่าเรื่องด้วย จำเนียร เริ่มมีกำลังใจ มีเงินกินขนมด้วย วัสตรา ค่ะ ตอนนั้น ได้ 150 บาท จำเนียร บทกวี หรือเรื่องสั้น วัสตรา บทกวีได้ 50 บาท ตรงนั้นเป็นการเริ่มต้น หลังจากได้ค่าขนมเสร็จแล้ว ก็เริ่มเขียนอะไรได้ดีกว่านี้และได้เงินมากกว่านี้ จำเนียร เริ่มบอกตัวเองว่า จริง ๆ แล้วอาชีพนักเขียนบทถนนสายวรรณกรรม ถ้าเราทำได้หลากหลายประเภทเราก็สามารถอยู่ได้ ใช่ไหมครับ วัสตรา ค่ะ สำนักพิมพ์หนึ่งเขาก็จะให้โอกาสว่าถ้าเขียนแนวนี้ถึงจะรับนะ เราก็อยากเขียนให้ได้หมด แล้วหลังจากที่เป็นเรื่องสั้นธรรมดาแล้วเราก็เริ่มหาสนามใหม่ เป็นนิยายเล่มเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านเรียกว่าน้ำเน่าสมัยก่อนก็ยังไม่ถึง 10 บาท แต่ต่อมาก็เพิ่มราคาเป็น 10 บาท เขาจะเรียกนิยายเล่มละ 10 บาท ซึ่งก็ครองตลาดอยู่นาน เราก็บอกตัวเองว่าจะเขียนแบบนี้ ก็เข้าไปคุยกับสำนักพิมพ์ให้งานเขาดูว่าเราเคยเขียนเรื่องแบบนี้มานะ เขาก็ให้โอกาสเราเขียน ตอนนั้นอยู่ประมาณปี 2526-2527 เป็นช่วงที่ใกล้จะเรียนจบ แนวเรื่องก็จะเขียนไปตามวัยคือจะสนุกสนานไปตามเรื่อง จำเนียร สำหรับหนังสือเล่มเล็ก ๆ เราถือว่าเป็นการซ้อมมือหรือเปล่า วัสตรา ใช่ถือเป็นการซ้อมมือ แต่ตอนนั้นที่เราเริ่มทำ เราถือว่ามันเป็นงานใหญ่เหมือนกัน จำเนียร ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเรายังเด็กอยู่ วัสตรา ค่ะ ตั้งแต่ ปี 2526, 2527 เราก็เขียนมาเรื่อยกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเขียนอยู่แต่เมื่อเราโตขึ้นเราก็เริ่มกำหนดเป้าหมายมากขึ้น เขียนหนึ่งเรื่องจะเกิดอะไรขึ้น ในหนึ่งเรื่องเป็นอะไรแค่ไหน จะจำกัดด้วยพื้นที่จำนวนตอน ดังนั้นทุกอย่างจะเกิดขึ้นดำเนินไปและจบลงอยู่ในโครงเรื่องของเรา จำเนียร ช่วงนั้นเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยหรือเปล่าครับ วัสตรา เรียนอย่างเดียว แล้วก็ทำกิจกรรมเกี่ยวกับแวดวงนักเขียน วงการน้ำหมึกที่ไหนมีอะไรก็จะไปร่วมด้วย ซึ่งตรงนั้นเหมือนเป็นการเพิ่มไฟให้เรา ได้เห็นนักเขียนดัง ๆ เช่น คุณชาติ กอบจิตติ เห็นแล้วก็อยากจะเป็นนักเขียนอย่างเขาบ้าง ที่มีนักอ่านมาคุยด้วย เราก็ฝึกและพัฒนามาเรื่อยทั้งงานกองบรรณาธิการที่เป็นทั้งรายเดือนและรายปักษ์ ทำให้เราสะสมประสบการณ์ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ ถ้าคนทั่วไปก็จะไม่ได้เห็นหรือเห็นก็จะไม่คิดอะไรมาก แต่สำหรับเราการเห็นสิ่งซ้ำ ๆ ในหน้าที่การงานของเรา ไม่ว่าจะเป็นผู้คน เพื่อนร่วมงาน หรือแหล่งข่าว หรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เป็นวัตถุดิบมายมากในหัวเรา จำเนียร จากหนังสือเล่มเล็กซึ่งทางคุณแววเขียนทั้งบทกวีและเรื่องสั้น โดยเริ่มต้นมาจากใจรักและผลงานจากความรักก็เป็นค่าตอบแทนจนสามารถทำงานเป็นอาชีพของตนเองได้ โดยเริ่มจากหนังสือเล่มเล็กหรือที่เรียกกันว่าการซ้อมมือ พอเรียนจบแล้วก็ยังอยู่ในแวดวงของงานสิ่งพิมพ์ คือกองบรรณาธิการก็จะมีอยู่หลายส่วนทั้งที่ต้องพบปะกับนักเขียนที่เราเคยปลื้มสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นวัตถุดิบชั้นดี แล้วก็เลยกลายมาเป็นนวนิยายขึ้นมา นวนิยายเล่มแรกที่เขียนจำได้ไหมครับว่าเรื่องอะไร วัสตรา ว่ากันจริง ๆ แล้วนวนิยายก็เขียนอยู่หลายเรื่อง แต่ถ้าเขียนแล้วเป็นรูปเล่มแล้ว ถือว่าเรื่อง "ก้าวที่กล้า" ก็ว่าได้ จำเนียร เรื่อง "ก้าวที่กล้า" ถือว่าเป็นหนังสือเล่มแรกก็ว่าได้ในช่วงนั้นปี 36 จะได้รับการวิจารณ์อยู่มากมาย
//www.praphansarn.com/Pr/niyay1.asp
Create Date : 01 มีนาคม 2549 |
Last Update : 1 มิถุนายน 2551 19:24:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 513 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
วั ต ต ร า ผลงานสร้างชื่อเสียง ละครช่อง 3
- รหัสลับสมปองน้องสมชาย - บอดี้การ์ดแดดเดียว - ร่ายริษยา - รุ้งร้าว - คุณหนูฉันทนา - พระจันทร์สีรุ้ง - โบตั๋นกลีบสุดท้าย - ก๊วนกามเทพ - ลูกไม้เปลี่ยนสี
|
|
คลิก
คุยกับวัตตราที่เวบ
|
|
|
|
|
|
|