ความรู้เรื่องน้ำมัน

ปิโตรเลียม มาจากภาษลาตินสองคำคือ คำว่า Petra ซึ่งแปลว่า หิน และคำว่า Oleum ที่แปลว่าน้ำมัน เมื่อสองคำมารวมกันก็จะเป็นคำว่า Petroleum ซึ่งก็หมายความว่า น้ำมันที่ได้จากหิน แต่น้ำมันดิบ (Crude Oil) ก๊าซธรรมชาติ และสารประกอบไฮโดรโดยทั่วไปแล้วปิโตรเลียมจะประกอบด้วยธาตุคาร์บอนไฮโดรเจน กำมะถัน และไนโตรเจน

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าโลกของเรามีกำเนิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีมาแล้ว เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งพิชและสัตว์ที่เจริญเติบโตและอาศัยอยู่ในโลกนับหลายล้านปีมาแล้วตายลง ซากของมันก็จะปะปนอยู่กับเม็ดหินดินทรายที่มาจากการสึกกร่อนและพัดพาของพื้นผิวโลก ซึ่งทับถมกันเป็นตะกอนนอนอยู่กับมหาสมุทร ชั้นตะกอนบางชั้นถูกบีบอัดกลายไปเป็นหินดินดานที่มีเนื้อแน่น และบางชั้นก็กลายไปเป็นหินปูนและหินทราย สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่ตายลงและถูกทับถมหรือฝังตัวอยู่ในหินนั้นเราจะเรียกว่า ฟอสซิล (Fossils) และในบริเวณที่มีการทับถมของซากสิ่งมีชีวิตมากที่สุด หรือมีการทับถมของตะกอนที่แม่น้ำพัดพาออกมาด้วยนั้น จะเป็นบริเวณที่มีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเกิดขึ้น เพราะอินทรีย์สารจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติโดยการกระทำของความร้อน แบคทีเรีย (จุลชีวัน) การแผ่รังสี และกระบวนการอื่น ๆ

แหล่งกักเก็บปิโตรเลียมใต้พื้นผิวโลก

ปิโตรเลียมจะสะสมตัวอยู่ใต้พื้นผิวโลกในชั้นหินที่มีรูพรุน เนื่องจากปิโตรเลียมที่เกิดใต้พื้นผิวโลกถูกบีบอัดจากน้ำหนักของชั้นหินต่าง ๆ ดังนั้นมันจะพยายามแทรกตัวขึ้นมายังพื้นผิวโลกตามรอยแตกแยกของชั้นหิน เว้นแต่ว่ามันจะถูกปิดกั้นด้วยชั้นหินเนื้อแน่น ซึ่งทำให้ปิโตรเลียมถูกกักเก็บสะสมตัวอยู่ใต้พื้นผิวโลก

องค์ประกอบที่สำคัญที่จะก่อให้เกิดแหล่งสะสมตัวของปิโตรเลียม ประกอบด้วยหลัก 3 ประการ คือ
1. มีหินที่เป็นต้นกำเนิดปิโตรเลียม (Source rock) ได้แก่ ชั้นหินที่เกิดจากการทับถมของซาก และซากสัตว์
2. มีหินกักเก็บปิโตรเลียม (Reservoir rock) ได้แก่ ชั้นหินที่มีรูพรุนซึ่งเป็นที่กักเก็บน้ำมัน ก๊าซ และน้ำ ซึ่งสามารถให้มีการไหลซึมผ่านได้
3. มีชั้นหินซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม (Trap) ได้แก่ ชั้นหินที่ปิดกั้นไม่ให้น้ำมัน และก๊าซออกไป

โดยทั่วไปน้ำมันดิบจะมีลักษณะสีดำ หรือสีน้ำตาล มีกลิ่นคล้ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป หรือบางชนิดจะมีกลิ่นของสารอื่นผสมด้วย ความหนืด (Viscosity) ของน้ำมันดิบก็แตกต่างกันไป ตั้งแต่เป็นของเหลวเหมือนน้ำจนถึงความหนืดคล้ายกับยางมะตอย สำหรับค่าความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) จะมีค่าประมาณ 0.80-0.97 ที่อุณหภูมิ 15.6 องศาเซลเซียส (60 องศาฟาเรนไฮด์)

ชนิดของน้ำมันดิบฐานต่างๆ
น้ำมันดิบมีหลายชนิดมีความถ่วงจำเพาะต่าง ๆ กัน ชื่อเรียกและคุณสมบัติก็แตกต่างกัน โดยทั่ว ๆ ไปนักปิโตรเลียมได้แบ่งชนิดของน้ำมันดิบไว้เป็นฐานใหญ่ ๆ 3 ฐาน คือ

1. น้ำมันดิบฐานแอสฟัลต์ (แนพธึน) (Asphalt base crude oil หรือ Napthene) เป็นน้ำมันดิบทั่ว ๆ ไปที่ขุดพบในแถบตะวันออกกลาง อ่าวเม็กซิโก เวเนซุเอลา มีลักษณะเหนียวข้นเหมือนยางมะตอย เมื่อนำมากกลั่นจะให้ผลผลิตเป็นน้ำมันพวกกากดิบสูงกว่าปกติ เช่น น้ำมันเตา แต่ข้อดีคือขนส่งง่าย ไม่จับตัวเป็นไข กากที่เหลือจากการกลั่นแล้วส่วนใหญ่เป็นพวกยางมะตอย สันนิษฐานว่าน้ำมันดิบประเภทนี้มักเกิดมาจากซากสิ่งมีชีวิตที่ทับถมกันในมหาสมุทร

2. น้ำมันดิบฐานพาราฟิน (Paraffin base crude oil) หรือน้ำมันดิบฐานไขเทียนนี้เป็นน้ำมันดิบชั้นดี มีค่า API สูง เมื่อนำกากกลั่นจะให้ผลผลิตน้ำมันตระกูลเบนซินและผลิตภัณฑ์ระดับกลางสูงกว่า กากที่เหลือจากการกลั่นแล้วส่วนใหญ่จะได้พวกขี้ผึ้ง (Wax) แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของน้ำมันดิบฐานนี้คือ ขนส่งยาก เพราะมักจะจับตัวเป็นไขเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส ทำให้การสูบถ่ายเป็นไปด้วยความยากลำบาก น้ำมันดิบเพชรที่ขุดพบ ณ แหล่งสิริกิติ์ จังหวัดกำแพงเพชรจัดอยู่ในน้ำมันประเภทนี้

3. น้ำมันดิบฐานผสม (Mixed base crude oil) คือน้ำมันดิบที่มีคุณสมบัติอยู่ระหว่างชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 (Mixed between paraffin asphalt) สันนิษฐานว่าเกิดจากการทับถมกันของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นดินที่อดีตเคยเป็นทะเลมาก่อน และกากที่เหลือจากการกลั่นของน้ำมันฐานนี้แล้วจะมีทั้งยางมะตอย และไขหรือขี้ผึ้ง

แต่ละฐานดังกล่าวจะมีโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบันต่างกันออกไปอีก เช่น เมื่อนำน้ำมันดิบฐานแอสฟัลต์มากลั่นจะได้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนสูง ส่วนน้ำมันดิบฐานพาราฟินเมื่อนำมากลั่นจะได้น้ำมันหล่อลื่นที่มีค่าดัชนีความข้นใสหรือความหนืดสูง (Viscosity index) แต่ในปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมทางด้านน้ำมันมีความก้าวหน้ามาก ไม่ว่าน้ำมันดิบจะเป็นฐานใดก็สามารถจะปรับปรุงให้มีคุณภาพสูงได้โดยใช้สารตัวเติม (Additives) ที่ต้องการคุณสมบัตินั้น ๆ



ชนิดของน้ำมันดิบทางการพาณิชย์
น้ำมันดิบจะมีชื่อทางการค้าหลายชื่อ ส่วนมากจะเรียกชื่อตามแหล่งขุดเจาะ ซึ่งอาจจะเป็นชื่อเมือง อำเภอ ตำบล ท่าเรือ หรือชื่อท้องถิ่น ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศจะกำหนดชื่อน้ำมันดิบของตนหรือของสถานที่ที่พบน้ำมันนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น

- น้ำมันดิบเพชร จากจังหวัดกำแพงเพชร ประเทศไทย
- น้ำมันดิบเบรนท์ของอังกฤษ
- น้ำมันดิบโอมาน (กลุ่นนอกโอเปค)
- น้ำมันดิบทาปีสของมาเลเซีย (กลุ่มนอกโอเปค)
- น้ำมันดิบดูไบ (กลุ่มโอเปค)
- น้ำมันดิบไมนาสของอินโดนีเซีย (กลุ่มโอเปค)
- น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (สหรัฐอเมริกา)

ชนิดของน้ำมันทางการค้านี้แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ น้ำมันดิบชนิดเบา (Light crude- oil) น้ำมันดิบชนิดกลาง (Medium crude oil) และน้ำมันดิบชนิดหนัก (Heavy crude oil) ทั้งนี้โดยอาศัยค่าองศา API หรือความถ่วงจำเพาะแบบ API เป็นหลักในการพิจารณา หรือใช้เป็นแม่บทในการซื้อขายทั่วโลก ค่าความถ่วงจำเพาะแบบ API ของน้ำมันดิบทางการค้าชนิดต่าง ๆ




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2554   
Last Update : 19 สิงหาคม 2554 15:27:33 น.   
Counter : 7918 Pageviews.  

คุณสมบัติของเซียน

คุณสมบัติหรือมุมมอง “ร่วม” ที่นักลงทุนเอกของโลกมี

1. ทุกคนวิเคราะห์หรือมองตัวธุรกิจเป็นหลัก ไม่ได้ “วิเคราะห์หลักทรัพย์หรือหุ้น” ความแตกต่างของสองเรื่องนี้ ก็คือ เซียนนั้น จะวิเคราะห์ว่าธุรกิจมีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร แข่งขันกันอย่างไร ทำกำไรอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ความเสี่ยงของธุรกิจอยู่ที่ไหน ในขณะที่การวิเคราะห์หุ้นหรือหลักทรัพย์นั้น อาจจะเน้นไปที่เรื่องของความเป็นไปได้ของเหตุการณ์บางอย่าง โอกาส ผลประกอบการระยะสั้น ถ้าจะพูดถึงความเสี่ยงก็อาจจะเน้นไปที่เรื่องของความผันผวนของกิจการหรือตัวหุ้นมากกว่า

2. เซียนนั้นมักมีวิธีการหรือแนวทางการลงทุนของตนเองที่มั่นคงแน่นอน เรียกว่ามี “สไตล์” เป็นของตนเอง พวกเขาไม่เปลี่ยนไปมา กลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนของพวกเขานั้นมักจะเหมือนเดิมยาวนานเป็นทศวรรษหรือบางคนก็ตลอดชีวิต ในบางช่วงบางตอนกลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนของเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จนักอาจจะเนื่องด้วยภาวะของตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกลยุทธ์นั้น แต่พวกเขาก็มักไม่เปลี่ยนวิธีการเพื่อที่จะให้ “สอดคล้อง” กับสถานการณ์ พวกเขายึดมั่นกับสิ่งที่เขารู้และเข้าใจดีที่สุด เพราะเขาคิดว่า ในระยะยาวแล้ว นั่นคือวิธีการที่ให้ผลดีที่สุดกับการลงทุนของเขา ตัวอย่างก็เช่นในยุคที่หุ้นดอทคอมและหุ้นไฮเทครุ่งเรืองมากนั้น แนวทางและผลการลงทุนของบัฟเฟตต์ดูด้อยลงไปเมื่อเทียบกับเซียนที่เน้นแนวการลงทุนที่หวือหวา อย่างไรก็ตาม หลังจาก “ฟองสบู่” หุ้นไฮเทคแตก แนวทางของบัฟเฟตต์ก็กลับมาได้รับการยอมรับเช่นเดิม

3. เซียนนั้นมักมีหลักการลงทุนที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย พวกเขาไม่มีสูตรหรือสมการหรือชื่อเรียกที่ต้องใช้แทนด้วยอักษรภาษากรีก ว่าที่จริงหลายคนอาจจะไม่ทำประมาณการกำไรหรือคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทในอนาคตด้วยซ้ำ ความซับซ้อนของตัวเลขถ้าจะมีก็คงเป็นแค่การบวก ลบ คูณ หาร ถ้าจะสรุป ก็คือ หลักการลงทุนของเหล่าเซียนนั้น มักจะสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ และการทำงานก็อาจจะใช้แค่เครื่องคิดเลขธรรมดาหรือไม่ก็ “คิดในใจ” ได้

4. การควบคุมอารมณ์ การมีวินัยในการลงทุน และความกล้าหาญหรือความกลัวในเวลาที่ถูกต้อง เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่เซียนหุ้นทุกคนมี เซียนหุ้นมักไม่ตื่นเต้นหรือกลัวเกินกว่าเหตุเวลาประสบกับสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นหรือหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มร้อนแรงมาก หรือประสบกับภาวะวิกฤติที่ผู้คนต่างพยายาม “หนีตาย” จากเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงอย่างที่ถูก “สื่อ” ออกมาในโลกของการสื่อสารเช่นในปัจจุบัน พูดง่ายๆ เซียนนั้นมีจิตใจที่สงบและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ความอดทนและอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุนั้นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากที่ทำให้เซียนไม่ออกนอกแนว หรือกรอบความเชี่ยวชาญของตน

5. เซียนนั้น มักเป็น Loner หรือเป็นคนที่ชอบอยู่สันโดษคนเดียวในแง่ของการลงทุน นี่ไม่ได้หมายความว่าเซียนจะไม่คุยกับนักลงทุนคนอื่นหรือไม่ปรึกษาว่าหุ้นตัวไหนน่าลงทุน แต่เซียนมักเป็นคนที่มีความเป็นอิสระสูงในการคิดและตัดสินใจลงทุน พวกเขามีเหตุผลและความเชื่อของตนเองที่มักจะไม่ถูกชี้นำหรือชักจูงโดยคนอื่น ว่าที่จริงเซียนบางคนอย่าง จอห์น เนฟฟ์ นั้นชอบ “ทะเลาะ” ว่ากันว่า ในตอนที่เป็นเด็กนั้น เขาแทบจะ “ทะเลาะกับเสาไฟฟ้า” พอโตขึ้นก็ “ทะเลาะกับตลาดหุ้น” แต่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยตนเองนั้น เป็นเพราะพวกเขาได้ศึกษาและผ่านประสบการณ์มามาก

6. เซียนนั้นเรียนรู้ความผิดพลาดของตนเองอยู่เสมอ เช่นเดียวกัน พวกเขาเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่นด้วย ซึ่งทำให้เขา “เจ็บตัว” น้อยลง การเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่นนั้น แน่นอน ต้องศึกษาจากประวัติศาสตร์ ดังนั้น พวกเขาจึงมักเป็นนักอ่านตัวยง โดยเฉพาะด้านประวัติศาสตร์หลายๆ แขนง เช่น ประวัติศาสตร์บุคคล เศรษฐกิจ ตลาดหุ้นและอื่นๆ

7. เซียนบางคนนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นคนที่กล้าอย่างบ้าบิ่น หรืออย่างน้อยก็ต้องกล้ากว่าปกติในการรับความเสี่ยง แต่ข้อเท็จจริง ก็คือ เซียนตัวจริงทั้งหลายนั้นมักจะกล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลและไม่ว่าในกรณีใด จะไม่เสี่ยงเกินไปแม้ว่าโอกาสในการที่จะชนะจะสูงกว่ามาก พวกเขารู้ว่า ความผิดพลาดและโชคร้ายนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น การเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ คือ สิ่งที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ คำว่ากล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลนั้น ถ้ามองในภาพกว้าง ก็คือ เขาจะเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ เช่น ต้องมีการกระจายการถือหุ้นในระดับหนึ่งไม่ใช่ลงทุนหุ้นเพียงตัวหรือสองตัวหรือตัวเดียวเกินกว่า 50% ของพอร์ต แต่พวกเขาก็จะไม่กระจายความเสี่ยงมากเกินไป เพราะการทำแบบนั้นถึงแม้จะดูว่าความเสี่ยงลดลงแต่ผลการลงทุนก็จะแย่ไปด้วย

8. เซียนนั้น “ทำงานหนัก” เซียนทุกคนต่างก็ทำงานมากโดยเฉพาะในการอ่านและคิด และสิ่งที่อ่านและคิดของพวกเขานั้น สุดท้ายก็อาจจะเชื่อมโยงไปสู่การลงทุน เซียนที่เป็นนักบริหารกองทุนรวมนั้น แน่นอน พวกเขายุ่งมากกับงานการลงทุน เวลาว่างของพวกเขาน้อยมากและคนทั่วไปก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นเซียนที่ทำงานหนักมาก อย่างไรก็ตาม เซียนที่บริหารเงินของตนเองอย่างบัฟเฟตต์นั้น หลายคนก็จะมองว่าเขาไม่ได้ทำงานหนักอะไรนักหนา เลิกงานห้าหกโมงเย็นก็กลับบ้านแล้ว ไม่มีการขนงานกลับไปทำที่บ้าน เวลาของเขานั้นมีเหลือเฟือตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่นั่นคือ สิ่งที่ปรากฏจากการมองภายนอก ข้อเท็จจริง ก็คือ เขาใช้เวลาอ่านมากมาย และคนที่อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้เท่าเขานั้นผมคิดว่ามีน้อยมาก ว่าที่จริง แม้แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง เช่น เรื่องของสังคมและการใช้ชีวิต เขาก็มีความรอบรู้ไม่น้อยทีเดียว เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้แสดงออกมามากนัก

ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของคุณสมบัติที่เซียนส่วนใหญ่หรือเกือบทุกคนมี และผมเชื่อว่าคนที่อยากจะเป็นเซียนหรืออยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนจำเป็นต้องมี ดีกรีหรือระดับความเข้มข้นของแต่ละคุณสมบัติของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมถึงจิตวิทยาหรือนิสัยส่วนตัวและสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่ายิ่งเราปรับตัวเข้าหานิสัยเซียนได้มากขึ้น เราก็น่าจะลงทุนได้ดีขึ้น

Tags : คุณสมบัติเซียน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR




 

Create Date : 29 มีนาคม 2554   
Last Update : 29 มีนาคม 2554 9:02:18 น.   
Counter : 436 Pageviews.  

ปั่นหุ้น" เขาทำกันอย่างไร

ปั่นหุ้น" เขาทำกันอย่างไร


แมลงเม่า หมายถึง ปลวกในวัยเจริญพันธุ์ มีปีก ชอบบินเข้าเล่นแสงไฟในยามค่ำคืน และมักจบชีวิตในเปลวไฟ

นักลงทุนรายย่อย หมายถึง ผู้คนซึ่งพอจะมีสตางค์ ที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น เพราะทนต่อความยั่วยวนของราคาหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาไม่ได้ สุดท้ายมักจะหมดตัวไปกับหุ้นปั่น

ส่วนนิยามโดยสรุปของการปั่นหุ้น คือ การล่อ และลวงนักลงทุนรายย่อยให้เข้าไปซื้อหรือขายหุ้น ที่มีราคาสูงหรือต่ำกว่าสภาวะปกติ โดยเจตนาไม่สุจริต การเปรียบนักลงทุนรายย่อยว่าเป็นแมลงเม่า จึงเหมาะสมด้วยประการฉะนี้


ลักษณะของหุ้นที่นิยมปั่น
1) มีมูลค่าทางตลาด ( MARKET CAPITALISATION ) ต่ำ จะได้ไม่ต้องใช้จำนวนเงินมากในการไล่ราคา

2) ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ดี เพื่อที่นักลงทุนสถาบันจะไม่เข้ามาซื้อขายด้วย ซึ่งจะทำให้ยากต่อการควบคุมปริมาณ และราคาหุ้น

3) มีราคาต่อหุ้น ( MARKET PRICE ) ต่ำ ถ้าราคาต่ำกว่า 10 บาทยิ่งดี ด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งเป็นผลทางจิตวิทยา เช่น หุ้นถูกไล่ราคา จาก 3 บาท เป็น 6 บาท ถึงแม้ราคาจะปรับขึ้นมา 100% แล้ว แต่คนยังรู้สึกว่าไม่แพง เพราะยังถูกกว่าราคาพาร์ ( PAR )

4) ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นนักลงทุนสถาบัน มักมีต้นทุนที่ราคาพาร์ หรือสูงกว่า แม้หุ้นจะขึ้นมามาก แต่ถ้าเขาเชื่อว่าแนวโน้มของธุรกิจดี เขามักจะไม่ขาย ( ถ้าแนวโน้มธุรกิจไม่ดี เขาก็ขายทิ้งไปนานแล้ว ) ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่านักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงในการซื้อขาย

5) มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อย เพื่อความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมปริมาณหุ้นได้ตามที่ต้องการ

6) ผู้ถือหุ้นใหญ่รู้เห็นเป็นใจ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว จึงไม่สนใจเมื่อราคาหุ้นขึ้น หรือลงหวือหวามีข่าวดีมารองรับ ระยะหลังเริ่มมีการใช้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมาเป็นตัวล่อใจนักลงทุนรายย่อย เพื่อให้ตายใจว่าราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นมาสมเหตุสมผล เช่น ข่าวการปรับโครงสร้างหนี้ ,ข่าวการร่วมกิจการ , กำไรรายไตรมาสที่พุ่งขึ้นสูงเป็นต้น

ขั้นตอนในการปั่นหุ้น

1) การเลือกตัวหุ้น นอกจากจะต้องเลือกตัวหุ้นที่มีลักษณะตามที่กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว ยังต้องมีการนับหุ้นด้วยว่าหุ้นตัวนี้ตอนนี้มีใครถืออยู่ในสัดส่วนเท่าไร หากจะเข้ามาปั่นหุ้น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ ถ้าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ความร่วมมือด้วยก็จะง่ายขึ้น

2) การกระจายเปิดพอร์ตการลงทุน จะเปิดพอร์ตกระจายไว้สัก 4 - 5 โบรกเกอร์ ในชื่อที่แตกต่างกัน มักจะใช้ชื่อคนอื่นที่ไว้ใจได้เช่น คนขับรถ , เสมียน , คนสวน เพื่อป้องกันไม่ให้โยงใยมาถึงตนได้

3) การเก็บสะสมหุ้น มีหลายวิธีทั้งวิธีสุจริต และผิดกฎหมายในลักษณะการลวงให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ราคาหุ้นตัวนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปการเก็บสะสมหุ้น มีวิธีดังต่อไปนี้

* การทยอยรับหุ้น เมื่อเห็นว่าราคาหุ้นลงมามากแล้ว ก็ใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นแบบไม่รีบร้อนวันละหมื่น วันละแสนหุ้น ขึ้นกับว่าหุ้นตัวนั้นมีสภาพคล่องมากน้อยขนาดไหน วิธีนี้เป็นวิธีสุจริตไม่ผิดกฎหมาย จะใช้เวลาในการเก็บหุ้นตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน การกดราคาหุ้น ถ้าระหว่างที่กำลังเก็บสะสมหุ้น ยังไม่ได้ปริมาณที่ต้องการ เกิดมีข่าวดีเข้ามาหรือตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เริ่มมีรายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้ ก็จะใช้วิธีขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมาเป็นการข่มขวัญนักลงทุนรายย่อย ถือเป็นการวัดใจ นักลงทุนรายย่อยมักมีอารมณ์อ่อนไหว เห็นว่าถือหุ้นตัวนี้อยู่ 2 - 3 วันแล้วหุ้นยังไม่ไปไหน แถมยังมีการขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมา ก็จะขายหุ้นทิ้งแล้วเปลี่ยนไปเล่นตัวอื่นแทน สุดท้ายหุ้นก็ตกอยู่ในมือรายใหญ่หมด วิธีนี้จะใช้เวลา 5 - 10 วัน การเก็บแล้วกด วิธีนี้มักใช้เมื่อมีข่าววงใน ( INSIDE NEWS ) ว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะมีข่าวดีเข้ามาหนุน ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่มีสภาพคล่อง จะใช้วิธีโยนหุ้นไปมาระหว่างพอร์ตของตนที่เปิดทิ้งไว้รายย่อยเมื่อเห็นว่าเริ่มมีการซื้อขายคึกคัก ก็จะเข้าผสมโรงด้วย คนที่ถือหุ้นอยู่แล้ว ก่อนนี้ไม่มีสภาพคล่อง จะขายหุ้นก็ขายไม่ได้ไม่มีคนซื้อ พอมีปริมาณซื้อขายมากขึ้นก็รีบขายหุ้นออก บางคนถือหุ้นมาตั้งแต่บาทหุ้นตกลงมาถึง 5 บาท พอเห็นหุ้นตีกลับขึ้นไป 5.5 บาท ก็รีบขายออก คิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้ขายที่ราคาต่ำสุด ช่วงนี้รายใหญ่จะเก็บสะสมหุ้นให้ได้มากที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 5 วันทำการ

ขณะเดียวกันต้องคอยดูแลไม่ให้หุ้นมีราคาขึ้นไปเกิน 10 % เพื่อไม่ให้ต้นทุนของตนสูงเกินไปถ้าเกิดราคาสูงขึ้นมากจะใช้วิธีโยนขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมา โดยให้พวกเดียวกันที่ตั้งซื้อ ( BID ) อยู่แล้วเป็นคนรับเมื่อได้จำนวนหุ้นตามที่ต้องการแล้ว สุดท้ายจะกดราคาหุ้นให้ต่ำลงมายังจุดเดิม โดยใช้วิธีโยนขายหุ้นโดยให้พวกเดียวกันตั้งซื้อเหมือนเดิม แต่จะทำอย่างหนักหน่วง และรวดเร็วกว่า ทำให้ราคาหุ้นลดอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้จะใช้เวลา 3 - 5 วัน รายย่อยบางคนคิดว่าหมดรอบแล้ว จะรีบขายหุ้นออกมาด้วย

รายใหญ่ก็จะมาตั้งรับที่ราคาต่ำอีกครั้ง ช่วงนี้จะตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีการไล่ซื้อ หรือไม่ก็หยุดการซื้อขายไปเลยให้เรื่องเงียบสัก 4 - 5 วันเป็นการสร้างภาพว่าก่อนข่าวดีจะออกมา ไม่มีใครได้ข่าววงในมาก่อนเลย รอจนวันข่าวดีประกาศเป็นทางการ จึงค่อยเข้ามาไล่ราคาหุ้น

วิธีสังเกตว่าในขณะนั้นเริ่มมีการสะสมหุ้นแล้วคือ ปริมาณซื้อขายจะเริ่มมากขึ้นผิดปกติ จากวันละไม่กี่หมื่นหุ้น เป็นวันละหลายแสนหุ้น ราคาเริ่มจะขยับแต่ไปไม่ไกลประมาณ 5-10% มองดูเหมือนการโยนหุ้นกันมากกว่า กดราคาหุ้นจนกว่าจะเก็บได้มากพอ แล้วค่อยไล่ราคาหุ้น

ข้อระวังอย่างหนึ่ง คือ มีหุ้นบางตัวโดยเฉพาะหุ้นตัวเล็กๆ นักลงทุนรายใหญ่มีข่าวอินไซด์ว่า ผลประกอบการงวดใหม่ที่จะประกาศออกมาแย่มาก หากภาวะการซื้อขายหุ้นตอนนั้นซึมเซา เขาจะเข้ามาไล่ซื้อ โยนหุ้นกันระหว่าง 2-3 พอร์ตที่เขาเปิดไว้ ให้ดูเหมือนรายใหญ่เริ่มเข้ามาเก็บสะสมหุ้นรายย่อยจะแห่ตาม รุ่งขึ้นรายใหญ่จะเทขายหุ้นขนานใหญ่ รายย่อยเริ่มลังเลใจ ขอดูเหตุการณ์อีกวัน
พอผลประกอบการประกาศออกมา ราคาก็หุ้นดิ่งเหวแล้ว รายย่อยจึงถูกดึงเข้าติดหุ้นราคาสูงในที่สุด

* การไล่ราคาหุ้น เมื่อได้ปริมาณหุ้นมากพอ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการไล่ราคา แต่การไล่ราคาต้องหาจังหวะที่เหมาะสมเหมือนกัน หากจังหวะนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอ รายย่อยก็จะขายหุ้นทิ้งเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปสูงพอประมาณ แต่หากหาเหตุผลมารองรับได้ รายย่อยจะยังถือหุ้นไว้อยู่ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้น น่าจะสูงกว่านี้อีก กว่าจะรู้สึกตัว ปรากฏว่ารายใหญ่ขายหุ้นทิ้งหมดแล้ว เหตุผลหรือจังหวะที่ใช้ในการไล่ราคา มักจะใช้ 3 เรื่องนี้

- ภาวะตลาดรวมเริ่มเป็นขาขึ้น กราฟทางเทคนิคของราคาหุ้นเริ่มดูดี มีข่าวลือ ซึ่งปล่อยโดยนักปั่นหุ้นว่า หุ้นตัวนี้กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานไปในทางที่ดีขึ้น

การไล่ราคา คือ การทำให้ราคาปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีการคือ จะมีการเคาะซื้อครั้งละมากๆ แบบยกแถว แล้วตามด้วยการเสนอซื้อ ( BID ) ยันครั้งละหลายๆ แสนหุ้นจนถึงล้านหุ้น เพื่อข่มขวัญไม่ให้รายย่อยขายสวนลงมา
รายย่อยเห็นว่าแรงซื้อแน่น จะถือหุ้นรอขายที่ราคาสูงกว่านี้ รายใหญ่บางคนอาจจะแหย่รายย่อยด้วยการเทขายหุ้นครั้งละหลายแสนหุ้น เหมือนแลกหมัดกับหุ้นที่ตนเองตั้งซื้อไว้เอง รายย่อยอาจเริ่มสับสนว่ามีคนเข้ามาซื้อแต่เจอรายใหญ่ขายสวน ราคาจึงไม่ไปไหน สู้ขายทิ้งไปเสียดีกว่า รายใหญ่จะโยนหุ้นแหย่รายย่อยอยู่สัก 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจะตามมาด้วยการไล่ราคาอย่างจริงจังทีละขั้นราคา ( STEP )

ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตลาด คนชอบซื้อขายกัน การไล่ราคาจะไล่แบบช้าๆ แต่ปริมาณ ( VALUME ) จะสูง ราคาเป้าหมายมักจะสูงขึ้นประมาณ 20-25% หากภาวะตลาดกระทิง ราคาเป้าหมายอาจจะสูงถึง 50% แต่ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตัวเล็กพื้นฐานไม่ค่อยดี ปริมาณการซื้อในช่วงเวลาปกติมีไม่มาก การไล่ราคาจะทำอย่างรวดเร็ว ราคาเป้าหมายมักจะสูงถึง 40-50% ถ้าเป็นภาวะกระทิง ราคาเป้าหมายอาจขยับสูงถึง 100%

ช่วงไล่ราคานี้อาจจะกินเวลา3 วันถึง1 เดือนขึ้นกับว่าเป็นหุ้นอะไรภาวะตลาดอย่างไรเช่นถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะกินเวลาสั้นแต่ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดีจะใช้เวลานานกว่าและถ้าเป็นภาวะกระทิงนักปั่นหุ้นจะยิ่งทอดเวลาออกไปเพื่อให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่ตั้งเป้าเอาไว้

ในช่วงต้นของการไล่ราคานักลงทุนรายใหญ่อาจยังคงมีการสะสมหุ้นเพิ่มอยู่บ้างแต่รวมกันต้องไม่เกิน5% ของทุนจดทะเบียนในแต่ละพอร์ตที่ใช้ปั่นหุ้นอยู่พอปลายๆมือจะใช้วิธีไล่ราคาแบบไม่เก็บของคือตั้งขายเองเคาะซื้อเองเมื่อซื้อได้ก็จะนำหุ้นจำนวนนี้ย้อนไปตั้งขายอีกในราคาที่สูงขึ้นและเคาะซื้อตามอีก
ทำเช่นนี้หลายๆรอบสลับกันไปมาระหว่างพอร์ตต่างๆของตนเองค่อยๆดันราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากมีหุ้นของรายย่อยถูกซื้อติดเข้ามาจนรู้สึกว่าเป็นภาระมากเกินไปก็อาจมีการเทขายระบายของออกไปบ้างแต่เป็นการขายไม้เล็กๆในลักษณะค่อยๆรินออกไปเพื่อไม่ให้นักลงทุนรายย่อยตกใจเทขายตามมากเกินไปตัวหุ้นเองจะได้มีการปรับฐานตามหลักเทคนิคเพื่อจูงใจนักลงทุนรายใหม่ที่ยังไม่ได้ซื้อจะได้กล้าเข้ามาซื้อ

การปล่อยหุ้น เมื่อหุ้นขึ้นมาได้80% ของราคาเป้าหมายแล้วระยะทางที่เหลืออีก20% ของราคาคือช่วงของการทยอยปล่อยหุ้นช่วงนี้จะเป็นช่วงชี้เป็นชี้ตายการลงทุนของนักปั่นหุ้นถ้าทำพลาดนักลงทุนรายย่อยรู้เท่าทันหรือตลาดไม่เป็นใจเช่นเกิดสงครามโดยไม่คาดฝันนักปั่นหุ้นเองที่จะเป็นผู้ติดหุ้นอยู่บนยอดไม้จะขายก็ไม่มีใครมารับซื้ออาจต้องรออีก6 เดือนถึง1 ปีกว่าจะมีภาวะกระทิงเป็นจังหวะให้ออกของได้อีกครั้งอีกทั้งอาจจะไม่ได้ราคาดีเท่าเดิมหรือถึงกับขาดทุนก็ได้
วิธีการปล่อยหุ้นเริ่มจากการรอจังหวะที่ข่าวดีจะประกาศออกมาเป็นทางการนักปั่นหุ้นซึ่งรู้มาก่อนแล้วจะเริ่มไล่ราคาอย่างรุนแรง4-5 ช่วงราคามีการโยนหุ้นเคาะซื้อเคาะขายกันเองครั้งละหลายแสนหุ้นปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพื่อดึงดูดความสนใจของรายย่อย

เมื่อรายย่อยเริ่มเข้าผสมโรงนักลงทุนรายใหญ่จะตั้งขายหุ้นในแต่ละช่วงราคาไว้หลายๆแสนหุ้นและจะเริ่มเคาะนำส่งสัญญาณไล่ซื้อครั้งละ100 หุ้นบ้าง3,000 หุ้นบ้างหรือแม้แต่ครั้งละ100,000 หุ้นหลายๆครั้งเมื่อหุ้นที่ตั้งขายใกล้หมดเขาจะเคาะซื้อยกแถวพร้อมกับตั้งซื้อยันรับที่ราคานั้นทันทีครั้งละหลายแสนหุ้นถามว่าเขาตั้งซื้อครั้งละหลายแสนหุ้นเขากลัวไหมว่าจะมีคนหรือนักลงทุนสถาบันขายสวนลงมาคำตอบคือกลัวแต่เขาก็ต้องวัดใจดูเหมือนกันหากมีการขายสวนก็ต้องใช้วิธีเคาะซื้อแต่ไม่ใช้วิธีตั้งซื้อนักลงทุนรายย่อยเมื่อสังเกตว่ามีการไล่ซื้อจะเข้ามาซื้อตามนักลงทุนรายใหญ่ซึ่งคอยนับหุ้นอยู่พอเห็นมีเหยื่อมาติดจะเคาะนำที่ราคาใหม่ที่สูงขึ้นอีกแต่เพื่อให้ไม่ต้องซื้อหุ้นเข้ามาเพิ่มเขาจะเคาะซื้อไม้หนักๆก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขายอยู่เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเองสมมติตนเองตั้งขายไว้500,000 หุ้นเมื่อได้รับการยืนยันจากเทรดเดอร์ว่าเริ่มมีการเคาะซื้อจากนักลงทุนอื่นถึงคิวหุ้นของตนแล้วเช่นอาจมีคนเคาะซื้อเข้ามา10,000 หุ้นเขาจะทำทีเคาะซื้อเองตามอีก200,000 หุ้นเพื่อให้รายย่อยฮึกเหิมเมื่อซื้อแล้วเขาก็จะเอาหุ้น200,000 หุ้นนี้มาตั้งขายใหม่ยอมเสียค่านายหน้าซื้อมาขายไปเพียง0.5% แต่ถ้าสำเร็จจะได้กำไรตั้ง50-100% เพราะฉะนั้นการไล่ซื้อช่วงนี้จึงเป็นการซื้อหนักก็ต่อเมื่อซื้อหุ้นตนเองตบตารายย่อยขณะที่ค่อยๆเติมหุ้นขายไปทีละแสนสองแสนหุ้น

ส่วนการตั้งซื้อ( BID ) ที่ตบตารายย่อยว่าแรงซื้อแน่นนั้นหากสังเกตดีๆจะพบว่าเมื่อตั้งซื้อเข้ามาสองแสนหุ้นสามแสนหุ้นสักพักจะมีการถอนคำสั่งซื้อออกแล้วเติมเข้ามาใหม่เพื่อให้การซื้อนั้นไปเข้าคิวใหม่อยู่คิวสุดท้ายและจะทำอย่างนี้หลายๆครั้งนักลงทุนรายย่อยที่ตั้งซื้อเข้ามาจะถูกดันไปอยู่คิวแรกๆหมดและถ้าเขาเห็นว่านักลงทุนอื่นมีการตั้งซื้อเข้ามามากพอสมควรแล้วนักลงทุนรายใหญ่ก็จะมีการเทขายสลับเป็นบางครั้งเรียกได้ว่ามีทั้งการตั้งขายและเคาะขายพร้อนกันเลยทีเดียว

หากจะสรุปวิธีการที่ใช้ในช่วงปล่อยหุ้นนี้สามารถแบ่งออกได้4 วิธีการย่อย
มีการตั้งขายหุ้น( OFFER ) ไว้ล่วงหน้าหลายแสนหุ้นในแต่ละขั้นเวลาเริ่มเคาะซื้อนำครั้งละ100 หุ้น2-3 ครั้งและจะเคาะซื้อหนักๆก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขาย( OFFER ) เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเมื่อซื้อได้จะรีบนำมาตั้งขายต่อและจะมีการเติมขายหุ้นตลอดเวลาเมื่อหุ้นที่เสนอขาย( OFFER ) ใกล้หมดจะเคาะซื้อยกแถวแล้วตั้งเสนอขาย( BID )เข้ามายันหลายแสนหุ้นแต่จะทยอยถอนออกแล้วเติมเข้าตลอดเวลา

4) เมื่อหุ้นของคนอื่นที่ตั้งซื้อ( BID ) มีจำนวนมากพอจะมีการเทขายสวนลงมาเป็นจังหวะๆ

เขาจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆหุ้นในพอร์ตของตนเองจะค่อยๆถูกระบายออกไปและในสุดท้ายเมื่อข่าวดีได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นเขาจะทำทีเคาะไล่ซื้อหุ้นตนเองอย่างหนักแต่จะไม่ตั้งซื้อแล้วเพราะกลัวถูกขายดังนั้นจึงเป็นภาพเหมือนมีคนมาไล่ซื้ออย่างรุนแรงแล้วอยู่ๆก็หยุดไปเฉยๆถามว่าแล้วเขาปล่อยหุ้นไปตอนไหนคำตอบคือเขาทยอยตั้งขายไปในระหว่างที่เขาทำทีซื้อนั่นเองผู้เคราะห์ร้ายคือรายย่อยที่ไปเคาะซื้อตามแต่รีรอที่จะขายเพราะเห็นว่ายังมีแรงซื้อแน่นอยู่สุดท้ายต้องติดหุ้นในที่สุด


บทสรุป

ตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นแหล่งระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญของประเทศชาติประชาชนทุกคนได้รับโอกาสให้นำเงินออมเข้ามาลงทุนกับบริษัทชั้นดีในตลาดหลักทรัพย์หากเขาเหล่านั้นลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจย่อมสามารถสร้างผลกำไรและความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวแต่ถ้าเข้ามาลงทุนด้วยวิธีเก็งกำไรโดยปราศจากความรู้ย่อมมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของนักปั่นหุ้นที่มีอยู่มากมายในตลาดหุ้นได้

เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวเปรียบได้ดั่งสายฝนซู่ใหญ่ที่พัดสาดเข้ามาอีกครั้งแสงระยิบระยับของกระดานหุ้นเร้าใจแมลงเม่าไม่แพ้แสงไฟในฤดูฝนเหล่าแมลงเม่าน้อยใหญ่พากันโบยบินเข้าตลาดหุ้นและแล้วตำนานเรื่องเดิมของเหล่าแมลงเม่าก็เริ่มต้นอีกครั้ง

//www.stock2morrow.com/showthread.php?t=20080




 

Create Date : 25 มีนาคม 2554   
Last Update : 25 มีนาคม 2554 13:51:46 น.   
Counter : 442 Pageviews.  

Technical Anlysis : Double Top

echnical Analysis Question of the Week:

In a Double Top (reversal), which top has more upside volume?
******
One significant event that Tycoon readers should be aware of is the break of support in the U.S. dollar index.

You can see in the chart below that the greenback already broke a key support level at about 76.00, and is about to test 75.00

In the 1-year daily chart below, you can see that the intermediate down trend line (red line) was tested and proved itself to be potent. Circled in red, you can see that the first horizontal support at about 76.50 (the solid green line) was broken, followed by a break of the next possible support level at about 75.85



Circled in black, above, you can see the COT (Commitment of Traders) showing more and more selling from "large traders", who, if you study the historical data, are usually correct.



Above, in the 5-year weekly chart, you can see what has happened in the past when the large traders exited the dollar this way. (You can also see there is another bottom around 71, but let's cross that bridge when we get to it.)

The dollar has been in a long-term decline for about 9 years, and the down trend was interrupted in 2008 when the market crashed and hedge fund managers reversed their long oil / short dollar position. It happened again when the Euro crisis was gripping the markets between February and April of 2010. But this thing just seems to want to go down!

In 2010, the U.S. stock market had an inverse relationship to the U.S. dollar, but that relationship hasn't been as apparent this year. The idea was that the U.S. dollar made the multi-national companies more profitable, which would bode well for the large-cap indices, and that the stock market was considered the "risky" place to be while the dollar was a "high quality" place to store value while sitting on the sidelines.

But now, even as we witness all of the uprisings in the Middle East, the devastation in Japan, and a stock market sell off, there has been no flight to the U.S. dollar. This might be attributed to the hawkish stance on interest rates in Europe and the rising euro, or to the disconnect between the low inflation that Bernanke sees (core inflation, which strips out food and energy) versus the high inflation that everyone else is starting to see. It might also be the hedge funds taking a short position in the U.S. dollar.




We are not here to give opinions on the "why". We just want to know "what" the markets are doing, and how that affects our bank accounts.

I've written in recent articles -- about Helicopter Ben, inflation, and the commodity bull -- that one contributing factor to the commodity market's strength has been and will likely continue to be a declining U.S. dollar. Most commodities are priced in the U.S. dollar, and because of this, the U.S. dollar has an inverse influence on commodity prices.

So what happens when the U.S. dollar falls out of bed?

The disaster in Japan prompted investors to take profits in certain commodities, but to go long others.

According to Bloomberg, in the week ending March 15, an index of managed money net-long positions (bets on rising commodity prices) in 18 commodities dropped 14% from a week earlier. That's the biggest decline since June 29, 2010 and the smallest net holding since early August.

The sell off was mainly in agriculturals like corn, wheat, soy (soybeans, soybean oil), cocoa, sugar, and orange juice, as well as in metals such as copper. Hedge funds cut bullish positions in corn futures by 17%, and in cattle by 8.7%.

I would use this commodity sell off as an opportunity to start nibbling on long-term commodity positions, since the food crisis isn't going away, the energy supply is at risk, and as we've been discussing, the dollar is getting weaker and weaker, and that decline will ultimately be bullish for commodities.

The U.S. dollar had an inverse relationship with the stock market for much of 2010, but that was when people viewed stocks as risky and the dollar as a safe haven. My view is that commodities are going to be considered the safe haven, while the U.S. dollar is a risky place to park your value.

I don't know if it happens this week, this month, or this quarter, but the commodity space continues to be the place to get paid, and the devaluation of the dollar is happening right in front of our faces while commodities pulled back on Japan. This, to me, spells opportunity!

******
Answer (to TA question from above the article):

The first top in the double top has more upside volume, as there are more buyers buying more stock. As the second top forms, there is less conviction and less confidence in the breakout. At this point, the stock isn't moving higher so much because of buyers pushing the stock up, as they buy shares recklessly with little regard to price. Instead, it's moving higher because the sellers step out of the way in an effort to allow the stock to move higher so they can exit at a better price.




 

Create Date : 23 มีนาคม 2554   
Last Update : 23 มีนาคม 2554 14:10:01 น.   
Counter : 504 Pageviews.  

คุณสมบัติ 5 ข้อที่เทรดเดอร์ควรมี

People often ask me questions like, "What qualities do top traders have?" One person even hired me on a consulting basis for a half day to get my answers to this question. However, paying a sizable fee for that information is unnecessary. Here are the five most important characteristics that I have found researching top traders.

1. A belief that you create your results in life.
Most people don't understand this concept. They repeat the same mistakes over and over again because they blame their mistakes on external factors. For example, if you blame your bankruptcy in one of my marble games on the person who pulled the 5R marble against you, you are not taking responsibility for your position sizing error of risking 20% (or more!) of your equity on a single trade. Consequently, you'll repeat this mistake over and over again and there will always be someone to blame for pulling the 5R marble against you.

Conversely, top traders are constantly determining how they produced their results and working to correct their mistakes. They create their reality.

2. The interest and desire to really understand yourself.

You cannot understand how you create your own results if you don't know yourself intimately. I believe that most people live their lives like the automatons in the movie, The Matrix. They just do their thing, not realizing how much they have been programmed by their culture, and their family and friends rather than understanding that they always have a choice in everything.

The great traders I know continually study and challenge themselves, their thinking, their actions, and their reactions.

3. Discipline to continually work to improve yourself.

Top traders often have a passion to work on themselves. A good trader will probably complete the Peak Performance Course once or twice and internalize many aspects of it. A top trader, or a potential top trader, will go through the course many times and develop a discipline that involves spending 1-4 hours each day working on improving himself or herself.

Several years ago we held a private workshop for one of the best traders in the world. I expected to go out to dinner with him after the workshop and get to know him better; that did not happen. Instead, his entire day was so meticulously planned (i.e., so he could fit in all of his daily disciplines) that he had exactly the amount of time to attend the workshop but—literally—not three minutes more.

Discipline of that nature creates excellence.

4. The ability to strategize well.

Good traders tend to excel at high skill games (e.g., poker, backgammon, chess, blackjack) because they can create good strategies and stick with them.

Top traders execute their strategies based on robust business plans that they have created to guide their trading. They have taken the time and effort to form meaningful objectives. They have also developed effective strategies to reach those objectives by understanding the multiple scenarios that are possible and how they will respond.

5. The ability to get in the zone.

Top traders can become one with the market and accurately sense what it is doing. They have the ability to live in the present moment without being influenced by the past or the future. It's a very intuitive state and often gives them a total sense of how successful their moves will be in the market even before they make them.

Now, take a look at yourself and consider honestly if you have what it takes to be a top trader.




 

Create Date : 01 มีนาคม 2554   
Last Update : 1 มีนาคม 2554 13:21:01 น.   
Counter : 537 Pageviews.  

1  2  

vizion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนคิดการณ์ไกล 10 ปีจะปลูกต้นไม้ ส่วนคนคิดการณ์ไกล 100 ปีจะมีลูกหลาน
[Add vizion's blog to your web]