ลุมพินีวันในสมัยพุทธกาล
ในสมัยพุทธกาล ลุมพินีวันอยู่ในเขตแห่งดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีป
ตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ เมืองหลวงของพระเจ้าสุทโธทนะ และกรุงเทวทหะ
เมืองหลวงของพระเจ้าชนาธิป
เป็นพระราชอุทยานลาดลุ่มร่มรื่นกึ่งกลางระหว่างทางสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
ของกษัตริย์และประชาชน
สภาพของลุมพินีวันในสมัยนั้นอาจจะพิจารณาได้จากคัมภีร์วิสุทธชนวิลาสินี
อรรถกถาขุททกนิกาย อปทาน ได้พรรณนาเป็นภาษาบาลีไว้ว่า
"ทวินฺนํ ปน นครานํ อนฺตเร อุภยนครวาสีนมฺปิ
ลุมพินีวนํ นาม มงฺคลสาลวนํ อตฺถิ,
ตสฺมึ สมเย มูลโต ปฏฺฐาย ยาว อคฺคสาขา
สพฺพํ เอกปาลิผุลฺลํ อโหสิ สาขนฺตเรหิ เจว
ปุปฺผนฺตเรหิ จ ปญฺจวณฺณา ภมรคณา นานปฺปการา จ
สกุณสงฺฆา มธุรสฺสเรน วิกูชนฺตา สกลํ ลุมฺพินีวนํ
จิตฺตลตาวนสทิสํ ฯเปฯ"
แปลว่า: "ในระหว่างเมืองทั้งสอง มีป่าสาละชื่อลุมพินีวันอันเป็นมงคล
สมัยนั้นสาละทั้งหมดล้วนมีดอกออกสะพรั่งเป็นแนวเดียวกัน
แต่รากจนสุดปลายกิ่ง ตามกิ่งก้านสาขาและดอกนั้นล้วนมีหมู่ภมรนานาชนิด
และหมู่นกหลากหลายชนิดส่งเสียงกู่ร้องประสานสำเนียง ดังทั่วทั้งป่า
ลุมพินีวันนั้นจึงประดุจเช่นเดียวกับสวนจิตรลดา
(อันมีในดาวดึงสเทวโลก) ฉะนั้น ฯลฯ"
หลังจากการประสูติของพระพุทธองค์แล้ว
ไม่ปรากฏหลักฐานอื่นว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมา ณ ที่แห่งนี้แต่อย่างใด
แม้พระพุทธเจ้าจะได้เสด็จมา ณ กรุงกบิลพัสดุ์
ก็ประทับที่นิโครธารามที่พระประยูรญาติจัดถวาย
หาได้มาประทับหรือแสดงธรรม ณ ลุมพินีวันอีกไม่
เนื่องเพราะลุมพินีวันนั้นเป็นอุทยานไม่มีผู้คนอาศัยนั่นเอง
ลุมพินีวันหลังพุทธปรินิพพาน
หลังพุทธปรินิพาน กษัตริย์ซึ่งได้รับส่วนแบ่งแห่งพระบรมสารีริกธาตุ ไ
ด้นำพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ในสถูปแห่งหนึ่ง
ไม่ไกลจากลุมพินีวันนัก จวบจนพุทธศักราชได้ 294 ปี
พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จนมัสการพุทธสังเวชนียสถานทั่วทั้งชมพูทวีป
พร้อมด้วยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ (หรือพระอุปคุต)
ได้เสด็จมานมัสการ ณ ลุมพินีนี้
พระองค์โปรดฯ ให้พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระนำทาง
และชี้จุดที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ แล้วทรงสร้างอาราม
พระเจดีย์และเสาศิลาจารึกไว้เป็นสัญลักษณ์ว่า
ลุมพินีวันนี้มีความสำคัญอย่างไร
ซึ่งเสาศิลาหินทรายของพระเจ้าอโศกยังคงตั้งอยู่
ณ ที่เดิมจนถึงปัจจุบัน
หลังจากยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช
เรื่องราวของลุมพินีวันได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ของพระพุทธศาสนาเกือบ 700 ปี
โดยไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารที่สามารถสืบค้น
ถึงความเป็นไปของลุมพินีวันในช่วงนี้ได้ จนในประมาณ พ.ศ. 900
สมณะฟาเหียนได้เดินทางจากประเทศจีนมาถึงลุมพินีวัน
ท่านได้กล่าวไว้สั้น ๆ เพียงว่าได้พบบ่อสรงสนาน
และระบุที่ตั้งของลุมพินีวันว่าอยู่ไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์
ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 14-16 กิโลเมตร
ต่อมา ในปี พ.ศ. 1181 สมณะเฮี้ยนจัง หรือ พระถังซำจั๋ง
ได้เดินทางมาถึงลุมพินีวัน โดยได้ทำการการจดบันทึกระบุที่ตั้งสถานที่ต่าง ๆ
ในลุมพินีวันไว้คร่าว ๆ ท่านได้กล่าวถึงบ่อสรงสนาน
ซึ่งคงเป็นบ่อเดียวกับที่สมณะฟาเหียนกล่าวไว้ในบันทึก
ซึ่งบ่อนี้ยังคงมีอยู่มาจนปัจจุบัน
และกล่าวว่าไม่ไกลจากบ่อนั้นไปประมาณ 24 ก้าว
มีต้นสาละต้นหนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
จากจุดนั้นไปทางใต้มีเจดีย์องค์หนึ่ง
เชื่อกันว่าเป็นจุดที่พระอินทร์เสด็จจากสวรรค์ลงมาต้อนรับพระราชโอรสที่ประสูติใหม่
ใกล้ ๆ กันมีเจดีย์อีกสี่องค์ ที่สร้างไว้เพื่อถวายแก่ท้าวจตุโลกบาล
ที่ทำหน้าที่ถวายอภิบาลพระโอรสประสูติใหม่
และใกล้กันนั้นมีเสาอโศกรูปม้าประดิษฐานอยู่บนยอด
จวบจน พ.ศ. 2438-2439 เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮมและคณะ
ได้ค้นพบเสาศิลาพระเจ้าอโศกซึ่งถูกฝังดินไว้
และพบจารึกเป็นอักษรพราหมีระบุว่าที่แห่งนี้คือสถานที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
จากนั้นจึงเริ่มมีการขุดค้นทางโบราณคดี
โดยพบซากปรักหักพังจำนวนมาก ซากสถูปกว่า 50 องค์
และซากวิหารอาราม มีอายุตั้งแต่สมัยราชวงศ์โมริยะ ราชวงศ์ศุงคะ
ราชวงศ์กุษาณะ และสมัยคุปตะ (ประมาณ พ.ศ. 300 - พ.ศ. 950)
จุดแสวงบุญและสภาพของลุมพินีวันในปัจจุบัน
ฯพณฯ อู ถั่น อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ
ผู้ดำริให้ชาวพุทธทั่วโลกร่วมกันบูรณะลุมพินีวัน
ให้เป็นพุทธอุทยานประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน
ลุมพินีวันได้รับการบูรณะและมีถาวรวัตถุสำคัญที่ชาวพุทธนิยมไปสักการะ
คือ "เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช"
ที่ระบุว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ
นอกจากนี้ ยังมี "วิหารมายาเทวี"
ภายในประดิษฐานภาพหินแกะสลักพระรูปพระนางสิริมหามายาประสูติพระราชโอรส
โดยเป็นวิหารเก่ามีอายุร่วมสมัยกับเสาหินพระเจ้าอโศก
ปัจจุบัน ทางการเนปาลได้สร้างวิหารใหม่ทับวิหารมายาเทวีหลังเก่า
และได้ขุดค้นพบศิลาจารึกรูปคล้ายรอยเท้า
สันนิษฐานว่าเป็นจารึกจำลองรอยเท้าก้าวที่เจ็ด
ของเจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงดำเนินได้เจ็ดก้าวในวันประสูติ
พุทธอุทยานประวัติศาสตร์ของโลก
ลุมพินีวันได้รับการพัฒนาจากชาวพุทธทั่วโลก
โดยเฉพาะจากโครงการฟื้นฟูพุทธสถานลุมพินีวันให้เป็น
"พุทธอุทยานทางประวัติศาสตร์ของโลก"
ซึ่งเป็นดำริของ ฯพณฯ อู ถั่น ชาวพุทธพม่า
ในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ
ท่านตั้งใจเริ่มโครงการฟื้นฟูให้ลุมพินีวัน
เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธบนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ากว่า 6,000 ไร่
(ขนานตามแนวเหนือใต้)
แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับปลูกป่าและสร้างวัดพุทธนานาชาติจากทั่วโลก
กว่า 41 ประเทศ โดยโบราณสถานลุมพินีวันตั้งอยู่ทางด้านใต้
ปัจจุบัน มีวัดไทยและวัดพุทธทั่วโลกไปสร้างอยู่จำนวนมากและมีขนาดใหญ่โต
เพื่อรองรับพุทธศาสนิกชนที่มาสักการะแสวงบุญ
ในปี พ.ศ. 2540 ลุมพินีวันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก
ภายใต้ชื่อ "ลุมพินี สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า"
ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 21
ที่เมืองนาโปลี ประเทศอิตาลี อีกด้วย
ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้
(iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรม
ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
(vi) - มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์
หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์