Group Blog
 
All blogs
 

ห่าวชือ ห่าวชือ .. บ้าเนอะ..

จั่วหัวแปลกๆ.. ตามอ่านให้จบ..แล้วท่านจะรู้ที่มา

เหลืออีกรูปของวันที่ 8 ที่อยากแปะ..


อาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2005
เมื่อวานหลังจากที่ความพยายามติดตามอ้วนไม่สำริดผล เราก็กลับมาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นว่าความผิดพลาดนั้นเกิดจากอะไร ทำไมเทพเจ้าแห่งความบังเอิญไม่เข้าข้างเราบ้างน๊า.. เช้าวันนี้พวกเหล่าแก๊งค์ป้าๆลยต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิกันแต่เช้า .. หลังจากได้ยินเรื่องเล่าขานในการติดตามหาฟู่หลงจากเด็กๆ .. คือก่อนจะไหว้พระ หาไปเถ๊อะ หาเท่าไร ก็หาไม่เจอ พอไหว้พระเสร็จปุ๊บเทพยดาฟ้าดินก็เห็นความตั้งใจจริงของพวกเราทันที รีบๆประทานพรให้สมอารมณ์หมายก่อนที่พวกเราจะคิดกระทำการณ์ที่บ้าระห่ำกันไปมากกว่านี้..

เช้านี้ ( อย่าคิดนะ ว่าเช้านี้ จะหมายถึง เจ็ดโมงหรือแปดโมงเช้า.. เช้าของพวกเรา.. ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า สิบเอ็ดโมงทุกที.. เข็มสั้นยังไม่พ้นเลขสิบสอง .. บ้านเราเรียก..เช้า..) จำไม่ได้ว่าคณะเคซีซีไปไหนกันก่อน แต่สี่ชีวิตของแก๊งป้า ไปไหว้พระกันที่วัดหลงซาน..

วัด หลงซาน.. กะ คณะบ้าปู้จาย.. 555




อีกรูป..


คนในวัดไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่.. ตำแหน่งการจัดวาง ก็คล้ายๆ กับวัดจีนในบ้านเรา เนื่องจากไหว้เจ้ามาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ก็เลยพอจะเดาๆได้บ้างว่า ธูปตรงไหน เทียนอยู่ไหน ( บ่ายนี้ เทียนจะอยู่ซีเหมินติง.. เกี่ยวกันไม๊เนี่ย) ต้องหยอดตังส์บริจาค ค่าธูปค่าเทียนรึเปล่า อันนี้จำรายละเอียดไม่ได้แน่นอน .. แต่ก็ลางๆว่าเห็นเค้าทำไร ก็ตามๆเค้าไป ธูปที่นี่ดอก ย๊าว ยาว ส่วนความมั่นคงของธูปก็ดู ป้อแป้ พิก๊ล.. คือมันไม่ค่อยมั่นคงจะโอนไปเอนมาเหมือนใบไม้ไหว แถมกระถางธูปก็แปลกๆ คือ ปกติธูปบ้านเราจะเกลี่ยฐานปักธูปให้พูนๆหรือไม่ก็ระดับเดียวกับขอบกระถางเพื่อจะได้ปักได้สะดวกๆ .. แต่กระถางธูปที่นี่ขอบกระถางจะสูง ยืนเล็งอยู่ว่าจะเอื้อมมือลงไปปักได้งัย ธูปเป็นดงลย ขืนแหย่มือลงไปเป็นได้โดนธูปจี้เป็นรูพลุนแหงม ไอ้ที่ต้องเดินหลบธูปจิ้มตาอยู่นี่ก็ย่ำแย่อยู่แล้ว แถมควันก็พวยพุ่ง ชวนให้น้ำตาไหลพรากๆ .. จนมองอะไรแทบไม่เห็น ยืนเล็งจะปักธูปอยู่นานสองนาน.. แล้วเราก็เห็นพฤติกรรมของคนท้องถิ่นที่ทำตามๆกัน.. คือ.. โยนธูปที่พลิ้วเหมือนใบไม้ไหวลงไปในกระถาง.. อาการเหมือนปาลูกดอกเลยละ อเมสซิ่งทายวานมั๊กมาก.. ธูปพุ่งลงไปปักเป็นสง่าอยู่ในกระถาง.. โดยที่มือเรายังไม่มีรูพลุน .. โอว.. แค่ปักธูป หนุกหนาน หนุกหนาน.. หลังจากเรียนรู้เคล็ดลับการปักธูป.. เราก็ไหว้เจ้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่าทางการไหว้พระของเราก็ชะมดชะม้อย ไม่เหมือนคนทายวาน ปกติเราต้องคุกเข่าแล้วค่อยตั้งจิตอธิษฐาน แต่คนที่นี่ ..เค้ายืนกลางแจ้ง ยกธูปขึ้นจรดหน้าผากพร้อมกางข้อศอกตั้งฉากกะพื้น.. อือม์ มิน่า..ท่าทางการไหว้เจ้าของอิอ้วนถึงได้ดูยิ่งใหญ่กินเนื้อที่แบบนี้นี่เอง.. เราพยายามเลียนแบบ แต่ ก็มิกล้ากางแขนแผ่อาณาบริเวณ เช่นคนท้องถิ่น.. ท่าทางออกมาเลยเหมือนโค้งประรกประรก ตลกดี..

ไหว้พระไปโดยไม่รู้ว่าพระแต่ละองค์ท่านมีหน้าที่ช่วยเหลือเราทางด้านไหน.. ก็พยายามอธิษฐานรวมๆ ให้การเดินทางราบรื่น คิดอ้วนได้อ้วน เจออ้วน เจออ้วนเจ๋งๆ.. 5555 ขอทุกองค์เหมือนกันโม๊ดดด..

ไหว้พระเสร็จ..เราก็มาหาของที่ระลึกวัดหลงซาน.. คือ ยันต์ ( กันอ้วนหนี) เลือกกันอยู่นาน แล้วก็ได้ติดไม้ติดมือมาคนละ 7-8 อัน โดยที่ไม่รู้ความหมายเหมือนเช่นเดิม เพราะ..หูเราไม่กระดิกกับคำอธิบายของคนขาย ไม่ว่าท่านจะเชียร์ให้พวกเราเช่าอะไร.. เราก็กวาดเรียบ!! ปลอบตัวเองในใจ อะน่า.. ของในวัดศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างติดตัวไว้แล้วดีเอง.. เช่าเครื่องลางของขลังกันเสร็จ.. ป้าก็บ้าจี้ ห้อยยันต์ไว้ติดคอ.. ประหนึ่งเครื่องประดับชิ้นงาม..จริงๆไม่ใช่ไรหรอก ก็เสื้อมันขาวๆ โล่งๆ อ้วนจะได้เห็นว่า.. ป้ามาไหว้พระแล้วน๊า.. มะได้มาตามปู้จายอย่างเดียว ทำอย่างอื่นก็เป็น..อิ อิ ( จะบอกว่าลำพังไหว้พระนะใช้เวลาไม่เท่าไหร่ แต่เลือกเครื่องลางนี่สิ.. ปี้เอสแกถามแล้วถามอีก ..ทั้งๆที่ถามไปก็ไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม แถมป้าเลนส์ก็กว่าจะตัดสินใจตะละชิ้น.. น๊านนาน)

.. ยืนยัน ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์..คำเตือน มองแค่วงแดงๆพอ..
คนอื่น.. "มันบ้า!!"



ไหว้พระกันเสร็จสรรพก็บ่ายคล้อยแล้ว ( แต่อากาศยังเหมือนเจ็ดโมงเช้าบ้านเรา.. แดด หามีไม่) พวกเราต้องรีบจรลีกลับไปที่ ซีเหมินติง เพราะว่าอ้วนจะมาแจกลายเซ็นต์ประมาณบ่ายสองโมง.. เป็นอันอดชมธรรมชาติข้างทาง..จ้ำพรวด จ้ำพรวดกันรวดเดียว..

เมื่อคืนตอนที่เราออกจากร้านบาบีคิวตูดเย็นนั่น เราก็พอจะรู้มาบ้างว่ามีแฟนเพลงบางส่วนไปเข้าแถวรอค้างคืนที่ซีเหมินติง.. เหอะๆๆ แต่พวกเราใจไม่ด้านพอขอนอนบนเตียงนุ่มๆอุ่นๆดีกว่า.. ขืนไป line up มีหวัง แข็งตายแน่ๆ บ่ายวันนี้พอไปถึงบริเวณซีเหมินติง เราก็เห็นเวที เห็นพรมแดง เห็นที่ทางที่กันไว้แล้วสำหรับแฟนๆที่มาเข้าแถวรอ ทางทีมงานเค้าก็ปล่อยแฟนๆที่มาเข้าแถวให้เข้าไปบริเวณที่กั้นไว้จนหน้าเวทีเต็มไปด้วยผู้คนที่พร้อมจะเจอ จูเสี้ยวเทียน.. แถมอัลบั้มเพิ่งวางแผงวันนี้แต่ว่าเสียร้องคลอเนี่ยกระหึ่มจนน่าดีใจแทนอ้วนจริงๆ

แก๊งค์ป้าๆมาสมทบกับคณะเคซีซี ที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าร้านดอกไม้ โดยยึดคอนเซ็ปท์ความนอกคอก...”.เหงาให้ตาย ก็ไม่เข้าไป..ยืนอยู่ใน line ..” ( ร้องตามเป็นทำนองเพลงพี่เบิร์ดนะ) รวมพลปรึกษากันสักพัก ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่.. เนื่องจากถ้ากระจุกตัวกัน ภาพที่ได้ก็จะได้จากมุมเดิมๆ ไหนๆก็หลายหัว หลายมือ หลายกล้อง.. ก็แยกๆ กันไปเก็บภาพละกัน.. เวลาเอามารวมกันจะได้บรรยากาศครบๆ.. คิดได้ดังนี้ ปี้เอสกะป้าเลนส์ไปซ้าย ตะริด ไปหาที่เหมาะๆ ทำตัวเป็นหมีโคอาล่าปีนจักรยานขึ้นไปเกี่ยวเสาทางขวา (ถ้าคุณเห็นขนาดคุณติ๊ดคุณจะคิดว่า..โอ้ว .. เพื่ออ้วน..หมีทำด้าย.. 5 5 5) คุงออม พี่ทิพย์ น้องอิ๋มและสมาชิกสมทบอื่นๆ ยืนปักหลักอยู่หน้าร้านเฝ้าทรัพย์สิน และนำเสนอป้ายประเทศและป้ายคลับ..ยืนโฆษณาชวนอ้วนเชื่อ แบบไม่อายประชากรไต้หวัน.. ส่วนน้องสาวป้ากลับโรงแรมนอนเพราะเห็นอ้วนเมื่อวานจนเบื่อแล้ว.. สุดท้ายป้ากะซีรีเดินไปตรงทางเข้า ยอมอุทิศชีวิตเผชิญหน้ากับอ้วนเป็นพวกแรก..

ไปยืนรออ้วนอยู่ตรงทางเข้าพลางเอาหูแนบลำโพงที่เปิดแต่เพลง La la laจนเกือบจะเป็นหูน้ำหนวก ระหว่างรอก็มีฝรั่งสองสาวยืนเต้นโชว์ให้เราดูเป็นอาหารตา..ดูพอเพลินๆ.. แอบอยากเต้นบ้าง.. แต่หน้ายังมียางมะละกอเมืองไทยอยู่.. เลยได้แต่กระดิกนิ้วก้อยเท้าตามไปพลางๆ กำลังเพลินๆกะสองสาว พี่จือโผล่มาจากไหนไม่รู้ เดินผ่านหน้าเราไปแบบรวดเร็วตั้งตัวไม่ติด จะถ่าย จะเรียก จะวิ่งตาม เอางัยดีฟระเนี่ย!! สุดท้ายได้แต่ยืนนิ่ง กับใจตุ๊มตุ๊มต่อมๆ จือมาแล้ว จือมาแล้ว เดี๋ยวอ้วนจะมาแล้ว.. ยืนบิ้วกันกับซีรีสองคน .. จิ้นกันไปต่างๆนานา “ เฮ้ยจือเดินผ่านไปใกล้มากเลย อ้วนต้องใกล้แบบนี้แน่เลย ..ฮือออ ทำงัยดี..”

คือตรงทางเข้านะคนน้อยมาก รถต้องมาจอดเทียบพรมแดงอยู่แล้ว เราต้องเห็นชัดๆแน่นอน..ใกล้มั๊กมาก.. ระทึก ระทึก.. และแล้ว รถเชฟคันสีดำก็เริ่มยักแย่ยักยันเข้ามา.. ต้องบอกว่ายักแย่ยักยันจริงๆ ไม่ได้เลี้ยวเข้ามาแบบสง่างามแบบที่เราเห็นกันตามงานเทศกาลหนัง งานแจกรางวัลต่างๆ .. อิคันนี้เอาหน้าจิ้มมา.. พอเห็นรถคนก็กรู ..ตรูกะซีรี ที่ฝันหวานกันเมื่อกี้ เป็นอัน ฝันสลาย.. ความฝันโดนคลื่นประชากรถล่มลงตรงหน้า ดันกันมาซี้.. ดันกันมาเล้ย.. เอ้าๆๆ เท้าตรูไม่ใช่พรมเช็ดเท้านะ..ขยี้ซะขนาดนั้น.. ไม่ใช่แค่เราที่อึ้ง.. รถมันยังอึ้ง.. เลี้ยวมาดีๆหยุดกึก ประหนึ่งจะหันหัวออก..แล้วต้องไปตั้งลำมาใหม่.. คราวนี้ร้อนถึงการ์ดต้องออกมาตั้งขบวนรับ.. ความฝันที่จะได้ใกล้พังลงไปตรงหน้า ฮืออออๆๆๆ การ์ดตัวใหญ่กว่ายักษ์อีก บังมิดเลย.. ไหนๆจะคุณๆ ส้นสูงทั้งหลาย..ที่ทั้งเบียดทั้งยันกันนี่อีกหละ.. บอกซีรี.. ปลง.. แกถ่ายละกันนะ..ชั้นคงไม่สามารถ..

สาวฝรั่ง .. เต้นกิจกรรมเข้าจังหวะอยู่ ด้านหลังซีรี


และแล้วก็จริงดังคาด รถตู้สีดำยักแย่ยักยันมาจอดเทียบพรมแดง ประตูแง้มออก ทันใดการ์ดก็เค้ามาบล็อคเป็นวงกลม ป้ากะซีรีกินแห้วตั้งแต่ประตูเปิดแล้วเพราะอยู่ขอบประตู ประตูเลยบังเรามิดเห็นแต่หลังกะหัวอ้วนลิบๆ ภาระกิจล้มเหลว ไม่ได้มาซักกะรูปเลยวิ่งอ้อมรถคันดำกลับไปรวมกลุ่มกับคุงออมทันที ไปถือป้ายโฆษณาชวนอ้วนเชื่อต่อไป พวกเราลั๊ลลากะมินิคอนและวันนี้คนเยอะ อากาศเย้น เย็น พออ้วนร้องเพลงไปได้สักพักฝนก็หยดแหมะๆ แต่ไม่มีใครถอยทุกคนยังคงกรี๊ด และ ร้องตามแบบลืมตาย สุดท้ายฝนก็แพ้ภัยหยุดตกไปเอง มินิคอนฯจบ ก็ถึงเวลาต้องแจกลายเซ็นต์ ระหว่างอ้วนแจกลายเซ็นต์ พวกนอกคอกอย่างเราก็วิ่งเล่นไปรอบๆงานประหนึ่งเป็นงานกีฬาสีโรงเรียน ไปแอบดูฟรีเบิร์ดหลังเวทีบ้าง เกาะขอบเวทีดูเท้าอ้วนบ้าง เบื่อนักได้ข่าวว่าปี้เอสมีไปเดินรอบๆหาของกินมาด้วยเพราะว่าตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย นี่ปาเข้าไปจะสี่โมงเย็นแล้ว

ระหว่างที่รออ้วนเซ็นต์อยู่นี่ พวกเราได้ทำความรู้จักกับฟรีเบิร์ดจนคุ้นเคย เอาเป็นว่าไม่ได้สนใจอ้วนเล้ย จริงๆ เรากิ๊บกั๊บกะคณะฟรีเบิร์ดตั้งแต่อยู่เกาสงแล้วแหละ โดยเฉพาะปี้เอสตามถ่ายรูปแล้วถ่ายรูปอีก จนน้องเสียวเป่าจำได้ ที่จริงด้วยความสง่างามราวกับยักษ์ปักหลั่นของปี้เอส ก็ไม่น่าจะจำได้ยาก พอเจอหน้าน้องเสียวเป่าที่ซีเหมินติง เห็นว่ามีกิ๊บกั๊บโบกไม้โบกมือกันด้วย แถมแอบไปชักภาพกันสองคนกะป้าเลนส์ชริๆ แล้วตรูมัวทำไรอยู่ฟระเนี่ยรู้สึกจะพลาดไปหลายช๊อท

งานแจกลายเซ็นต์ที่ซีเหมินติงครั้งแรกนี่ ถ้าจะไม่เล่าเรื่องแจกจูบก็เหมือนจะเล่าไม่ครบ .. เอาสักนิดละกัน.. คือ ใครซื้อร้อยแผ่น อ้วนจะหอมหนึ่งฟอด..จบ!! สั้นไปมะ..

ไปต่อกันที่เรื่อง ฮา ฮา ดีกว่า พอได้สิริเวลาอันควรเข้าคอกต่อแถวรับลายเซ็นต์เพราะอ้วนหนีเข้าห้องน้ำไปหลายรอบ บ่นกระปอดกระแปดว่าเซ็นต์จนมือแข็งแล้ว แต่ก็ยังหยอดคำหวานว่ายังงัยก็จะเซ็นต์จนครบ แต่พวกท่านๆกรุณาเข้าแถวกันซะที ฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ น้องสาวป้าก็เดินทางมาจากโรงแรมเพื่อรอสมทบจะไปกินข้าวเย็น (ข้าวเย็นวันนี้แต่เป็นมื้อแรกของวัน) น้องสาวดั๊นเดินทางมาพร้อมขนมหวานและทุเรียนทอดที่เด็กๆแบกมาจากเมืองไทย เพื่อเอามากำนัลอ้วนและทีมงาน พวกเราจึงได้ฤกษ์ย้ายตูดเย็นๆไปเข้าแถว พอน้องสาวป้ามาถึงเราก็สอดส่ายสายตาหาเหยื่อรับของกำนัลทันที ฟ้าเป็นใจส่ง พี่จือมาเป็นเหยื่ออันโอชะ ไม่รอช้าตะริดกะซีรีรี่เข้าไปหาพร้อมยื่นไมค์(ปัญญาอ่อน) ไปตรงหน้า พี่จือหันมางงเป็นไก่ตาแตกพอเห็นไมค์จ่อปากถึงกะต๊กใจ แล้วก็แต๋วแตก กระโดดตีหลังซีรีซึ่งไม่ทันแล้ว(ขอบอกว่าท่าแต๋วมาก) เพราะไอ่ซีรีพอแกล้งเค้าได้ก็เปิดตูดวิ่งหนีกลับมาทันที ปล่อยพี่จือเดินเขินกลับไป หายไปสักพักพี่จือก็เดินกลับมาไปแวะคุยกะสาวๆชาวเจปองท้ายๆแถวแบบกันเอ๊งกันเอง..หนอยยย ทีกะเรานะ..ทำเหนียม .. พอคุยกะสาวเสร็จปลายตามาเห็นพวกเราก็เดินก้มหน้างุดๆขึ้นเวทีไป.. อันที่จริงมันก็น่าให้พี่จือเค้ากลัวหรอกเพราะก่อนหน้านี้ พี่จือแกลงจากเวทีมา ซี๊ดหรี่(สูบบุหรี่)ปุ๋ยๆ ปฏิบัติการแจกของกำนัลของตะริดกะซีรีก็เกิดขึ้นทันที เห็นว่าวิ่งเอาขนมไปให้แต่พี่จือไม่รับ อ้อนวอนก็แล้ว ปลอบโยนก็แล้ว อธิบายสรรพคุณก็แล้ว (รายละเอียดบทสนทนา คงต้องไปอ่านที่บล็อคของซีรี กะ lovelyken) พี่จือส่ายหน้าลูกเดียว จนตะริดงัดไม้ตาย ปลดเป้ข้างหลัง แล้วเปิดให้พี่จือดู.. ชี้ลงไปอย่างหนักหน่วง.. นี่ๆๆๆซีดีเคน ถ้ายูไม่เอาขนม ตรูก็ทิ้งมันตรงนี้แหละ..ไม่ต้องซงไม่เซ็นต์มันแล้ว แล้วตะริดก็เดินปัดตูดจากไปโดยทิ้งซีดีไว้ต่อหน้าพี่จือ พี่จือขำกระจายแล้วก็กวักไม้กวักมือเรียกตะริดกลับมา แต่ก็ยังไม่รับขนมอยู่ดี พร้อมกับเลิกสูบบุหรี่หนีขึ้นเวทีด้วยอาการขยาด ท่าทางจะเกรงว่า ดีนะเนี่ยที่มันงอนแล้วหนีไป ถ้ามันโกรธกระโดดทับตรูคงได้แบนแต๊ดแต๋ .. 5 5 5( ตรูสงสารพี่จือเจงๆหว่ะ)


จือ.. "มันเล่นบ้าไรกันฟระ"


เฮ้ย!! สถานีไหน ผมไม่ให้สัมภาษณ์


บ้ากันไม่เลิก..


ที เจปอง ละ กิ๊บกั๊บ นะพี่จือ หนอยยยย..


ขากลับก้มหน้างุดๆ.. กัว กัว กัว..


ป๊าดโธ่..ทำหยิ่ง


พิธีกร ภาคสนาม..รบ


ตากล้องที่อยากเป็นพิธีกร..ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าจะเริ่มมียาง
เพราะมีสายตาจับจ้องจากรอบข้าง..นึกว่าพวกมันบ้า!!


มันสัมภาษณ์กระทั่งแมวอ้วน..เอากะมัน!!


และแล้วก็ถึงเวลาอันมงคลฤกษ์ คณะเราได้ฤกษ์ขึ้นเวทีจำได้ว่าตอนจะขึ้นมีถามด้วยว่าถึงร้อยไม๊..รีบส่ายหน้ากันดิก กัวได้ KISS 5 5 5 แค่หกสิบเองเรามันจน!! เจ้าหน้าที่บนเวทีทั้งหลายจะมีฝั่งซ้ายอ้วนสามคน มีพี่โจว และเด็กแกะซีดีอีกสองคน ส่วนฝั่งขวาอ้วนจะมีผู้หญิงหนึ่งคน คอยตากลายเซ็นต์ให้แห้งก่อนรวบส่งให้เรา นึกภาพเหล่านี้เก็บไว้ในใจให้ขึ้นใจก่อนนะคะจะได้ไม่สับสน

คณะเราขึ้นเวทีไปสี่คนแรก พวกลิ่วล้อขอบเวทีที่ไม่ได้มีหน้าที่บริเวณโต๊ะเซ็นต์แต่ก็ยืนตั้งป้อมก่อสงครามกันอยู่ก็มาตัดแถวตรงป้าพอดี หนอยยยยย ก็เลยหน้ายักษ์ปั้นหน้ายักษ์แยกเขี้ยวไปว่า “มาด้วยกัน!!” ไม่ปี้เอสก็ป้าเลนส์รีบกวักมือเรียกจากด้านบนเวที ลิ่วล้อทั้งหลายเลยปล่อยเราอีกสี่เข้ามา เราเลยตบเท้าตั้งป้อมก่อสงครามกับอ้วนแทน นำขบวนโดย หมีโคอาร่าติ๊ดตี่ ซีรี ป้าเลนส์ ปี้เอส ป้า คุงอิ๋ม พี่ทิพย์ ปิดขบวนด้วยคุงออม ก่อนขึ้นเวทีระหว่างที่เราเข้าแถวรอนั้นเรามีเตี๊ยมๆ กันบ้างว่า ถ้าเพลง La la la ขึ้นมาตอนที่รับลายเซ็นต์ เราจะแหกปากร้องให้อ้วนได้ชื่นใจกันสักยก หรือไม่ก็ หยงปู้ ก็พอไหว.. แต่พอเราขึ้นไป .. ดนตรีก็วิเวกเป็นเพลง เห่ยไป๋ .. ซะงั้น ..

มองหน้ากันเลิกลั่ก ใบ้รับประทาน แต่ด้วยอาการบ้าเข้าขั้นอย่างพวกเรา ไม่มีทางเตรียมการมาแผนเดียวอยู่แล้ว เมื่อแผนการรบแผนA ไม่ได้ผล พวกเราเตรียมแผนB กันมาแล้ว.. ต้นเสียงนับ “สาม..สี่” ( มันนับเหมือนจะมาเต้นหรีดร้องเพลงเชียร์ยังงัยยังงั้น) “โผะเอาแคโหระ มาฝะ อยะ ให้ เธอะด๊ะกิน ผะมีวิตะมิน มะเต๊าะกินเขาะแผะ” พร้อมกับวางขนมลงไปบนโต๊ะ.. เอากะมันซี้ .. ช่วยกลับไปอ่านตัวหนาสีแดงข้างบนนะคะทั่นยังจำคนเหล่านั้นได้ไม๊.. แรกๆ งง คะ คุณขา .. ทุกอย่างหยุดหมุนนิ่งอึ้ง.. และแล้ว อาการตัวกระเพื่อมของบุคคลเหล่านั้นก็ปรากฏออกมาทางซีดีที่ไสมาให้อ้วนเซ็นต์ .. ทำไมซีดีมันสั่นๆหว่า.. มองหน้าตะละคนก้มหน้างุดๆๆๆ ขำกันทั้งทีม .. เราก็งงว่าเค้าฟังภาษาไทยออก หรือขำความหน้าไม่อายของพวกเรากันแน่..

ยังไม่จบแค่นั้น พิธีการเรายังไม่สิ้นสุด สุดที่รักจือ เค้าเห็นคณะเราขึ้นมาตั้งแต่แรก จากที่ชี้โบ้ชี้เบ้สั่งนู่นสั่งนี่อยู่หน้าเวที ท่านเล่นหนีไปยืนอยู่ขอบบันไดทางลงทำตัวลีบ นึกว่าพวกเราจะไม่เห็น .. เสียใจ!!พอเราให้ของอ้วนเสร็จ เป้าหมายถัดไปคือพี่จือทันที พิธีกรภาคสนามรบทั้งสองยังไม่ละความพยายามในการแจกของกำนัล รี่เข้าไปหา พี่จือหลังชนฝาถอยไปไหนไม่ได้เลยต้องหันหน้าสู้ แบบ...จนตรอก .. ( รายละเอียดบทสนทนา เชิญที่บล็อคซีรีกะlovelyken ..อีกครั้ง) เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่บนเวที อ้วนก็นั่งเซ็นต์ไปสิ ลิ่วล้อทั้งหลายก็ตัวกระเพื่อมกันไม่เลิก พิธีกรสองคนไปต้อนพี่จือให้รับของกำนัล เจ๊เจวียนเห็นความตั้งใจดีของเราก็พยักเพยิดให้พี่จือรับๆไปเต๊อะ. พวกมันจะได้สงบซะที คณะป้าๆ ก็ยืนเชียร์อยู่หน้าอ้วน .. กลายเป็นว่า อ้วนเป็นหัวหลักหัวตอ ทุกคนหันไปสนใจจือกัน ..ซะงั้น และแล้วตะริดก็งัดไม้ตายตะโกนไปว่า durian crispy!! (ออกสำเนียงไทยๆหน่อยก็ ทุเรียนคิสปี้) กริบกันทั้งเวที .. อ้วนชะงัก.. พี่จือจิตหลุด..ร้องมาว่า โอววว ห่าวชือ ห่าวชือ!! คราวนี้คณะอิป้าสำทับกันทั้งเวที . ห่าวชือ ห่าวชือ.. yeah yeah!! พี่จือพอรู้ว่า อร่อย อร่อย ก็เลย “สวัสดีค๊าบ”.. เท่านั้นแหละ อิอ้วนหันไป ตาจ้องที่กล่องทุเรียน ปากก็ด่าพี่จือ “บ้าเนอะ”..

เห๊อะๆๆๆ เสียงไร ข้าศึกโจมตีไม่ทันตั้งตัว พวกเรางงกับเสียงที่ผ่านโสตไปเมื่อกี้ ได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่กเก็บความสงสัยไว้ในใจว่า มานพูดภาษาไทย สองรูหูตรูเพี๊ยนไปแล้วแน่ๆ ..

สติกระเจิงกันไปสักพัก อ้วนมันเซ็นต์ไอ้หกสิบแผ่นนี่ไม่เสร็จซะที พอพี่จือรับของกำนัลเราไปเราก็เริ่มกลับมาสนใจอ้วนอีกครั้ง จะยืนค้ำหัวหรือก็ใช่ที่ สามป้าเลย คุกเข่าลงไปยลโฉมหน้าท่านซะหน่อย นั่งเกาะขอบโต๊ะประหนึ่งรออาจารย์เซ็นต์การบ้าน สักอึดใจอิพิธีกรภาคสนามรบสองคนเดินกลับขบวนมาแล้วก็ยื่นไมค์ให้ป้าเลนส์ แล้วก็สั่งว่า “ป้าถามไรอ้วนหน่อยสิ”
อิเจ๊ก็บ้าจี้ รับไมค์มาจ่อปากตัวเอง แล้วเอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเทาว่า “เสี้ยวเทียน เล่ยปู้เล่ย”.. พร้อมกับยื่นไมค์ ไปรอคำตอบจากอ้วน คราวนี้ไม่แค่ ลิ่วล้อที่ตัวกระเพื่อม เพื่อนตรูเรียบร้อยราวผ้ายับๆพับไว้มันทำได้ ตรูก็กระเพื่อมอายแทบแทรกแผ่นดิน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เสี้ยวเทียนไม่ตอบ พวกเราเลยนำเสนอเพลงที่สองแบบฉับพลัน “เหนื่อยไม๊คนดีมีพี่เป็นแฟน ครองรักบนความขาดแคลน ยากแค้นพี่กลัวเธอท้อ”..
ตอนนี้ลิ่วล้อข้างหลังท่าทางจะไม่ไหวกันแล้ว สั่นกันเป็นจ้าวเข้า เรายังไม่เลิกลา ส่งเพลงต่อไปแบบนอนสต๊อบ
“ เหนื่อยไม๊สิ่งที่เธอทำอยู่ สิ่งที่ฉันได้คอยเฝ้าดู ยิ่งรู้ยิ่งห่วงใย”..

โอ้ววว.. อิอ้วนมันไม่มีทีท่าจะขำสักนิด นั่งเซ็นต์แกรกๆ แต่พอมาดูลายเซ็นต์ล๊อตนี้ทีหลัง เราจึงเห็นว่า มันเซ็นต์ไม่เป็นตัวเลย ยึกยือ ประหล๊าดประหลาด และแล้วอ้วนก็เซ็นต์จนเสร็จ พิธีกรภาคสนามรบสองคนก็ประสานเสียงกันอีกครั้งด้วยคำพูดที่เตี๊ยมมาโดยมีโพยอยู่ในมือตะริด “จู๊หนี่” รอบแรก..ไม่ผ่าน เจ๊เจวียนพยายามชะโงกหน้ามาดูข้อความที่เขียนในมือตะริด แล้วก็ส่ายหน้าขำๆเดินกลับไปเพราะช่วยไรไม่ได้ จะพูดจีนแต่ดันเขียนเป็นคำอ่านไทย เทวดาก็ช่วยยากละงานนี้ แต่พิธีกรทั้งสองก็พยายามจนสัมฤทธิ์ผล ข้อความประมาณ “ขอให้ยอดขายทะลุล้าน” พร้อมกับอิอ้วนที่พยักหน้ารับหงึกๆแบบระอาเต็มที คงคิดในใจเมื่อไหร่พวกมันจะลงจากเวทีซะที๊... จากนั้นพวกเราก็พร้อมใจกัน “ขอบคุณค่า” และก็มีเสียงสวรรค์ตอบกลับมา “ขอบคุงคับ”.. โอ๊ะๆๆๆ อีกแล้ว ..

สั่งซ้ายหันแล้วก็เตรียมลงจากเวที ของป้ามีคดีกะลิ่วล้ออีกนิดหน่อยเพราะรู้สึกว่าอ้วนจะเซ็นต์มาเกินหกสิบแผ่น คือเนื่องจากรบลากันบนเวทีนานจัดและลิ่วล้อก็มัวแต่ตัวกระเพื่อมกันอยู่เลยคว้าเอาของคนข้างหลังมาให้อ้วนเซ็นต์ด้วย พอเรารวบเฉพาะของเราลงมา ลิ่วล้อด้านซ้าย(อ้วน) ก็เรียกเราว่าเราเอาไปไม่หมด ป้าก็หันไปส่ายหน้าดิกว่า ไม่ใช่ของตรู ของตรูครบแล้ว ลิ่วล้อก็ยังคงไสซีดีมาให้.. เราก็ไสกลับ ม่ายช่าย เค้าก็ไสมา .. ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้าอ้วน ก่อนที่อ้วนจะแผ่รังสีอำมหิตป้าก็เลยรีบเผ่นออกมาปล่อยให้ลิ่วล่อ ไสซีดีต่อไป

เรามาพบกะพี่จือที่บันไดทางลง พี่ทั่นมายืนส่งเราเป็นตุ๊กตาหน้าห้าง ยกมือไหว้เราปะรกปะรก แล้วก็พูดว่า “สวัสดีค๊าบ” จนเราต้องแก้ให้ว่า “ขอบคุณค๊าบ”.. ข่าวว่ามีบางคนโลภจับมือพี่จือด้วย.. หนอยยยยยยยยยยยยยยย

เนื่องจากอยู่บนเวทีนานจัด .. แถมพอลงมาข้างล่างยังเม้าส์แตกกันอีก น้องสาวอิชั้นก็เลยเดินมาหาด้วยความโมโหหิวและหนาวปาทุกอย่างลงตรงหน้า แล้วก็งอนกลับโรงแรมไปพวกเราเลยสำเหนียกว่าต้องไปหาอะไรกินแล้ว .. ขนาดสำเหนียกยังอยู่กันจนซีเหมินติงปิด อ้วนกลับน่านแหละ..จากนั้นก็ไปง้อน้องสาวที่โรงแรม แล้วก็ตะเวณไปกินข้าวที่ร้านเก่าอ้วน .. ทั้งๆที่จองไว้แล้วแต่มีอันต้องย้ายร้านเราเลยไปกิน ที่ร้านใหม่แทนโดยมีพี่สิบสองเจ้าของร้านดูแลเราอย่างดี.. เป็นอันอิ่มอกอิ่มใจ หมดไปอีกหนี่งวัน

.. เหนื่อยไม๊คนดี มีพี่เป็นแควน.. 5 5 5




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2548    
Last Update : 31 สิงหาคม 2548 0:35:27 น.
Counter : 944 Pageviews.  

..บ้านใหม่ที่ ไถเป่ย..[Jan-2005]

ทิ้งเวลามาเกือบครึ่งปี กว่าจะหาฤกษ์ยามจรดนิ้วพิมพ์เรื่องราว เก้าวันที่ไต้หวัน ทีแรกตั้งใจว่าจะไม่เขียนแล้วแต่พอนั่งเปิดรูปไปมา ไอ้นั่นก็จำไม่ได้ไอ้นี่ก็นึกไม่ออกคิดแล้วถ้ายิ่งปล่อยให้ผ่านไปความจำปลาทองอาจเลือนหาย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทริปหน้าแน่ๆ .. เพราะเราอาจจะกลับไปเที่ยวซ้ำไปซ้ำมา คิดได้ดังนี้ ก็เริ่มรื้อรอยหยักอันยับยู่ยี่ในสมองเอามาเก็บใน blog ประหนึ่งเป็น เพนชิบ ของดับเบิ้ลดอร์ดีกว่า

อ่อ.. ก่อนจะเริ่มเล่า .. ขอไปทำรูปก่อน..


..นี่งัย บ้านหลังใหม่ ที่พักพิงเก้าวันเต็มๆ ในไท่เป่ย..
อยู่จนรู้สึกว่า home sweet home เลยหละ.. พอเที่ยวจนเหนื่อย พวกเรามักจะบอกกันว่า "กลับบ้านเหอะ" บ้านเรามีสถานีMRT เป็นส่วนตัวอยู่หน้าบ้านด้วยน๊า..แสนจะสบาย..


เห็นห้องที่ซุกหัวแล้ว.. อันนี้หน้าบ้านเรา.. อิ อิ




หลังจากผ่านการซ้อมใหญ่ จากทริปจับกวาง ตอนนี้พวกเราพร้อมแล้ว สำหรับ ทริปจับหมู ( หมูป่าซะด้วย เพราะดุอิ๊บ) เพราะความที่ไอ้งานเปิดตัวอัลบั้ม เวลาของเสี้ยว เนี่ยมันเป็นโรคเลื่อนแล้วเลื่อนอีก พลอยทำให้เวลาเตรียมตัวของพวกเรายาวนานขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่

  • หนึ่ง ขอวีซ่า ว่ากันว่า วีซ่าไต้หวันขอยากนักยากหนา พวกเราก็ยังกล้าไปขอกันเอง เจ้าหน้าที่ก็ซักนู่นซักนี่กะเอาเราให้ขาว เพราะคนไทยไปขอวีซ่าเข้าไต้หวันกันเยอะม๊ากกกกกกก เจ้าหน้าที่เค้าก็งงๆ ว่า มันพร้อมใจอะไรกันนักกันหนาจะบินกันช่วงนี้ ทั่นก็คงระแคะระคายมาว่า ไอ่พวกนี้มันไม่มีไรร๊อก.. ต้องบินตามปู้จายแหงม.. ทั่นก็เลยกะรีดๆๆๆๆให้ได้ความจริง.. ประมาณว่า "พูดออกมาเดี๋ยวนี้!! ว่าจะไปตามดูเอฟ" เอ๊า ก็รู้อยู่แก่ใจซะขนาดนั้น เพ่ก็ปั้มๆ ผ่านๆมาให้เค้าเต๊อะ.. จะต้องอ้าโอษฐ์ เอ่อ อ่า กันอีกทำม๊าย.. ว่าแล้ว เจ้าหน้าที่ทั่นก็แนะนำว่า วันหลัง(คงหมายถึง วันหน้า)ก็วงเล็บไว้ด้วยนะ ว่า (f4) วีซ่าทั่นจะประหนึ่งประทับลงตราที่ ตม.แล้วเลย... ผ่านฉลุย

  • สอง โรงแรม อันที่จริงโรงแรมนี่หาแล้วหาอีก หาอีกหาแล้วเน้นว่าต้องใกล้ MRT จะได้เดินทางสะดวก สอบถามจากเพื่อนที่เคยไป เพื่อนที่เรียนที่โน่น เพื่อนที่เป็นคนที่โน่นสนนราคาก็แพงหูดับทั้งนั้น เพราะไต้หวันไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ไอ้จะโรงแรมเพียบ ราคากันเองแบบบ้านเรา ฝันไปเต๊อะ.. ก็เลยต้องเป็นธุระให้เพื่อนไต้หวันหาให้ พอเค้าถามว่าเราจะอยู่กี่วัน นับนิ้วดูแล้วตอบเค้าไปว่าประมาณ 10 วัน ตี๋ไต้หวันตกใจตาหายตี่เลย ..จะมาทำม๊ายตั้งสิบวัน.. หารู้ไม่ว่าจริงๆ อยากอยู่สัก14เอาให้เต็มสตรีมวีซ่า ให้มาลากคอตรูออกนอกประเทศไปเล้ย.. แต่บางทั่นลางานได้แค่นี้แหละ..เต็มแม๊คแล้ว.. พอบอกจำนวนวัน.. ราคาก็ลดลงทันที ..กลายเป็นแขก วีไอผี ทันใด ..

  • สาม ตั๋วเครื่องบิน อันนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร เราได้เอเจนซี่ดี ที่เป็นปัญหาไม่ใช่เอเจนซี่ แต่เป็นพวกเราๆกันเอง บ้างจะไปวันที่ 6 กลางคืน บ้างจะไป 7 กลางคืนเพราะลางานไม่ได้ .. สุดท้ายก็เลยใครใคร่บินก่อน..ก็บินก่อน ใครใคร่บินหลัง.. ก็ตามไป แต่มีข้อแม้ว่า คนบินก่อนต้องปูพรมรอรับคนบินทีหลังด้วย.. ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง.. อิ อิ เพราะคุณน้องๆที่บินก่อนพวกเธอกะเวลาไปถึง สนามบินเจียงไคเช็ค ประมาณเที่ยงคืน เรื่องอาร๊ายจะต้องเสียค่าห้องอีกคืนให้เปลืองอัฐ สนามบินนี่ละว้า โอ่อ่า น่านอน เห็นจากวีดีโอที่ถ่ายมา นึกในใจว่าดีนะเนี่ยที่ไม่ตัดสินใจ บินก่อนพร้อมพวกมัน หวิดแข็งตายคาสนามบิน ให้อ้วนมันหัวเราะเยาะเล่นซะไม๊ละ ก็ที่ว่าหนาวๆๆๆเนี่ย คนเมืองร้อนอย่างเราเดาไม่ถูกหรอกว่า ต้องเสื้อกี่ตัวผ้าห่มกี่ผืน ไอ้หมวกกะถุงมือ ชาตินี้อยู่บ้านเราอย่าหวังได้แตะ พอไปอยู่โน่นหากันให้จ้าละหวั่น เพราะความที่เป็นคนเมืองร้อนด้วยละมั้ง พอมาเจออากาศหนาว ก็เลยรู้สึกหนาวกว่าที่ควรจะหนาว (เข้าใจป่าว) .. เอาเป็นว่า พวกที่บินก่อน ก็ได้ไป ถูสนามบินเจียงไคเช็ค รอเราหนึ่งคืน พร้อมกับ ชื่นชม บันไดเลื่อนที่อ้วนมันถ่าย เลิฟสตรอม.. คุ้มไม๊เนี่ย..




(แค่เรื่องเตรียมตัวจะบิน .. ยาวกว่าหางว่าวอีก..)

หลังจาก กรี๊ดกระจุยกะงานเค้าท์ดาวน์ต่างๆผ่านทางทีวีที่ "อ้วน" ไปเปิดตัวประเดิมอัลบั้มใหม่.. ถึงเสียงจะหลบใน ถึงหน้าตาจะบูดบึ้ง ถึงจะอึ้งกะเสื้อผ้า แต่พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะเหิรฟ้าไปพบกับ "อ้วน" ตัวเป็นๆ..
และแล้ว ห้าโมงเย็นวันที่เจ็ด มกราคม ศักราชใหม่ สี่ชีวิตก็พร้อมหน้ากันที่ดอนเมือง ด้วยเที่ยวบินที่ TG636 แถมเจอคนหน้าคุ้นๆ บนเครื่องเพียบ!!

สี่ชีวิตเหยียบสนามบินเจียงไคเช็ค เวลาท้องถิ่นก็ราวๆ เกือบห้าทุ่ม.. กะว่าจะสูดอากาศแรกแห่งไต้หวันให้เต็มปอด.... ซู๊ดดดด อึก!! กลิ่นสนามบิน อับ!! สุดทน.. กลิ่นละม้ายคล้าย ศรีษะ ที่ไม่ได้ สระ.. นอยหนัก คว้ายาดมกันวุ่น.. พิธีการต่างๆในตม.ก็ผ่านมาแบบปกติ ไม่มีไรน่าตื่นเต้น อาจจะเพราะบินมานานแล้วก็ดึกแล้ว.. พวกเราถึงจะตื่นเต้นแต่ก็ติดจะง่วงๆ.. ระหว่างทางออกจากสนามบิน ก็เป็นธรรมเนียมของกระเหรี่ยงอย่างเรา ที่ต้องเหลียวซ้ายแลขวาหาmap ไว้กันตาย ก็คว้ามาได้ คนละแผ่นสองแผ่น พร้อมกับมองหารถที่มารับ..และแล้วเราก็เจอ.. พยักหน้าหงึกๆ.. คนขับรถก็เดินนำเราไปลิ่วๆ.. พอเดินพ้นประตูสนามบิน..ถึงกะผงะ... ทั้งหนาวทั้งฝน.. แต่ยังมีคนแอบบ่นว่า "ไม่เห็นหนาวเลย .. ที่กวางหนาวกว่าอีก".. (จะอยากหนาวกันไปไหน..ห๊า!!) เราขาดการติดต่อกับคณะถูพื้นสนามบินที่ล่วงหน้ามาตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่คิดว่าถึงยังงัยก็คงเจอกันที่โรงแรมอยู่ดี..
คนขับรถให้เรารออยู่บริเวณที่ไม่โดนฝน.. แล้วก็ไปเอารถมารับ.. อูยยย..รถตู้โฟลค แหม..แอบคิดว่า โรงแรมตรูสุดหรูแน่ๆ.. 555 เดี๋ยวก็รู้..

นั่งมาแทนที่จะหลับเพราะดึกมากแล้ว.. แต่พวกเรากับตื่นตาตื่นใจ กับบ้านเมืองซึ่งจริงๆ ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากบ้านเราเท่าไร.. แต่ที่นี่..เมืองนี้ เป็นที่ที่อ้วนพำนักพักพิง เป็นเมืองที่อ้วนอยู่อาศัย .. ทุกอย่างที่เคยอยู่ในสายตาอ้วน.. ก็เลยเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเราไปซะหมด.. อ้วนบังตา.. 555

ถนนในเมืองดูโล่งๆกว่าแถบชานเมือง โรงแรมของเราตั้งอยู่บนถนน จงเสี้ยวฯ (จงเสี้ยว..ไรไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเป็น sec.3) รถตู้ค่อยๆเลี้ยวมาตามซอยแคบๆ.. พวกเราก็เริ่มเล็งที่ทางกันไว้แล้ว.. พอเห็นโรงแรม..ถึงกะอึ้ง..ตึงๆๆๆๆ โรงแรมอยู่ตรงหัวมุม ในซอยแคบๆแห่งหนึ่งที่มองเข้าไปมีบ้านเรียงรายกันตลอดซอย หน้าปากซอยจอดมอเตอร์ไซด์กันเป็นดง ด้านขวาเป็นโรงแรม ด้านซ้ายทีแรกมองดูตั้งนานว่ามันคืออะไร มาถึงบางอ้อตอนเช้าว่าคือทางลง MRT ใกล้ประหนึ่งเป็นประตูโรงแรมเลย ตอนเห็นทีแรกนึกว่าประตูเข้าโรงเจ.. ก็รั้วมันเขียวๆอะ..

เหอๆๆๆ.. หน้าตางงเหมือนคนบ้า..ลากกระเป๋าลงจากรถแล้วก็กระดึ๊บกระดึ๊บกันเข้าไปในล๊อบบี้ ฝนก็ตกปรอยๆ..พอเห็นตรง reception เป็นอึ้งกันอีกรอบ.. รูหนูเลยแหละ.. ลิฟท์อยู่เลยไปนิด มีอยู่สองตัว.. ใหญ่กว่ารูตะหมูกตรูหน่อยเดียว..เข้าไปพร้อมกันสี่คนพร้อมสัมภาระ.. ยังหวั่นใจว่ามันจะพาตรูไปถึงห้องม๊าย เห็นขนาดล๊อบบี้ข้างล่างแล้วให้หวั่นใจ ไม่ทันนึกถึงคณะที่มาก่อนเลย.. อยาก อยากจะขึ้นไปดูห้องใจจะขาดรอนๆ.. พอถึงห้อง.. แล้วก็ไม่ผิดหวัง.. อือม์ ตรูจะหายใจออกจนครบเก้าวันไม๊เนี่ย.. กะลังนึกๆว่าถ้าอยู่ไม่ไหวต้องย้ายโรงแรมแน่ๆ..คิดดู ทั้งชั้นมีอยู่8 ห้อง.. มีอยู่กี่ชั้นจำไม่ได้แน่.. แต่สุดท้ายอยู่แค่คืนเดียวเราก็รักโรงแรมนี้ ถึงขนาดเรียกมันว่า "บ้าน" และก็คิดว่ากลับไปคราวหน้า..เราก็จะกลับไปนอนที่"บ้าน"นี้อีก.. นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.. อย่าดูถูกความแคบ.. เพราะที่แคบๆ..อบอุ่นเสมอ.. (นี่!! เน่าดีมะ)


จัดแจงสัมภาระกันเข้าที่เข้าทางก็คงราวๆใกล้ๆเที่ยงคืน โทรไปห้องคณะถูพื้นฯ ก็ไม่มีใครรับ ปรึกษากันสักพักนึงเราก็ตกลงกันว่าจะออกไปสำรวจรอบๆบริเวณ (ไม่ได้สำเหนียกเล้ย..ว่ามันดึกแล้ว) เพราะก่อนรถจะเลี้ยวมาโรงแรมเราเห็น 7-11 อยู่หลังนึง..เชิญชวนให้เราไปเสียเงินยิ่งนัก ไปหาเสบียงเตรียมไว้ก็ยังดี คิดได้ดังนี้ก็จรลีออกจากรูหนูโดยมีคนเตรียมมาโคดพร้อมอยู่หนึ่งคนเพราะตรวจสอบสภาพอากาศมาอย่างดีว่า ไถเป่ย.. ฝนตก.. ปี้เอสเลยเป็นคนเดียวที่มีเสื้อกันฝน..ส่วนสามคนที่เหลือเป็นพวกกระโหลกหนา..ลุยฝนเปาะแปะกันไป..
เดินออกจากโรงแรมมาสักพัก ก็ตระหนักว่าทางไม่ใช่ใกล้ๆ แถมยังต้องเดินผ่านตึกมืดๆหาไม่เจอแม้กระทั่งน้องหมาสักตัว.. หวั่นใจว่าจะโดนจี้แต่วันแรกไม๊ว๊า.. และแล้วตึกในไถเป่ยก็ทำให้เราอเมสซิ่ง เพราะพอเราเดินผ่านบริเวณตึกที่เห็นว่ามืดๆ นั้น ไฟฟ้าก็จะติดให้เราอัตโนมัติ เพราะเค้ามีเซ็นเซอร์เอาไว้เพื่อความปลอดภัยของคนเดินถนน.. อูยยยยย.. น่าอยู่เจงๆ.. พอเราเดินผ่านไปไฟก็ดับเหมือนเดิม.. ประหยัดซะไม่มี.. มีแอบเดินกลับให้ไฟมันติดเล่น ซะงั้น.. เดินชื่นชมฟุตบาธธรรมด๊าธรรมดาจนมาถึง เซเว่น ( ที่มารู้ทีหลังว่าถ้าเดินทะลุซอยมืดๆมา ย่นระยะทางได้โข .. แถมยังมีเซเว่นที่ใกล้กว่านี้อีก..นี่เดินมาตั้งไกล..แต่ก็ไม่ผิดหวัง)..


ดูดิ..มืดขนาดนี้ยัง ก๋ากั่น.. สามคนในเฟรม กะ หนึ่งคนถ่ายรวมกันเป็น สี่พอดี..


ภาระกิจแรกที่เราปฏิบัติได้สำเร็จ..คือ.. พรีเมี่ยมเจย์..555



พวกเราหลงระเริงเดินวนอยู่ใน เซเว่นอยู่เกือบชม.เห็นจะได้สินค้าบ้านเมืองเค้าน่ารักน่าซื้อกว่าเซเว่นบ้านเราอักโขอยู่ เราพ่นภาษาไทยกันอยู่สี่คนประหนึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอน ทั้งคนขาย ทั้งลูกค้ายืนงงมองเราเหมือนมนุษย์ต่างดาว ไม่ก็กระเหรี่ยงตกดอย.. แล้วเราก็เสียอัฐในคืนแรกไปร่วมสามพันNT พนักงานยิ้มแก้มแทบแตก ที่ไต้หวันเนี่ยเค้าเลิกใช้ถุงพลาสติกกันนานแล้วคือ ถ้าคุณมาคอนวีเนี่ยนสโตร์คุณต้องนำถุงผ้าติดตัวมาเองเพราะว่าถ้าคุณไม่เอาถุงติดตัวไปคุณจะต้องหอบของออกมา หรือ ไม่ก็ต้องเสียค่าถุงพลาสติก หนึ่งถึงห้าเหรียญแล้วแต่ร้าน เป็นการลดปริมาณขยะได้อย่างชะงัด.. แต่คืนนี้เราซื้อของกันทะลุเดือด.. จนพนักงานยอมแถมถุงผ้าให้เราหนึ่งใบ แบบไม่ต้องขอให้เมือยปาก แค่บอกว่า "FREE" เค้าก็พยักหน้าหงีกๆ ให้เราแต่โดยดี.. หรือว่า เมาภาษาไทย พวกเราไปแล้วก็ม่ายรุ..

พวกเราสี่คนมาได้พบปะกะคณะเคซีซีที่ล่วงหน้ามาก่อนอย่างเป็นทางการก็ล่วงเลยไปเช้าวันที่ 8 แล้ว เพราะกลับมาจากเซเว่นก็โทรไปหาปรากฎว่าท่านทั้งหลาย สลบเหมือดจากการผจญภัยตามหาฟู่หลงมาทั้งวัน.. ข่าวว่าหลงแล้วหลงอีก.. ที่แท้ก็อยู่แค่ปลายจมูก .. 555
(แก้ข่าวนิดหน่อย วันนี้โดนปี้เอสทักมาว่า "แก๊.. บล็อคแกอะเล่าข้าม ชั้นจำได้ว่า ซีรี ลงมานี่นา " เอ่อพี่คะ.. เล่นละเอียดยิบทุกช๊อทแบบนี้.. นิ้วนู๋หงิกพอลีเอาเป็นว่าพอโทรขึ้นไปอะ..เค้าหลับกันแล้ว แต่ด้วยความอาวุโสที่ไม่สนหน้าอินหน้าพรหม เลย "สั่ง" ให้มานลงมาเอาอ้วนมาให้ดูม่ายงั้นอย่าหวังว่าจะนอนอย่างสงบ.. )

แล้วก็กรี๊ดกันสลบด้วยปกอัลบั้ม..




วันที่ 8 มกราคม 2005
วันนี้มีงานแจกลายเซ็นต์อัลบั้ม on ken's time เป็นวันแรก.. และที่แรกที่จะไปคือ เกาสง จริงๆวันนี้ต้องแจกสองที่แต่ที่ไถจง ถูกงดไปเพราะอ้วนต้องกลับมาให้ทันงาน สึนามิ ค่ำวันนี้ที่ตึก 101 พวกเราเลยเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อยจากทีแรกตั้งใจจะไปเครื่องกลับรถ ก็เลยไปเครื่อง.. แล้วก็กะว่าจะกลับกะเครื่องอ้วน..อิ๊ อิ๊..

เนื่องจากเพิ่งมาไต้หวันครั้งแรก แต่ก็อาจหาญจะไปต่างจังหวัดของประเทศเค้าซะและ ทั้งๆที่อยู่เมืองไทยจะไปพ้นกรุงเทพแต่ละทีต้องคิดแล้วคิดอีก แต่เพื่ออ้วน เพราะอ้วน ตัดทุกประเด็นความกลัวไปได้เลย เราหาข้อมูลมาพอควร สำรวจเส้นทาง(จากแผนที่) และก็วางแผนการเดินทางกันค่อนข้างรัดกุม กะให้ถึงเกาสง ก่อน อ้วนไปสัก สามสี่ชม. เพราะเป็นที่โปรโมทอัลบั้มเป็นที่แรก เราก็อยากเกาะขอบเวที คิดวางแผนกันไปต่างๆนาๆ .. แต่ที่แน่ๆ ต้องอยู่ในงบที่เราวางไว้..คิดได้ดังนั้น.. บิน!! แค่เพิ่ม มาม่า เป็นอาหารหลัก อีกสักยี่สิบมื้อ แค่นี้เอ๊ง! ซำบายมาก

เราวางแผนกันดีขนาด จองตั๋วเครื่องบินตั้งแต่ยังไม่ไปถึงไถเป่ย.. ( คิดเอาละกัน..บ้าขนาด) รู้สึกว่าจะจองตั๋วไปเกาสงได้ก่อน ตั๋วไปไต้หวันอีก.. 5555 ถึงขนาดโดนครหาจากยายของเพื่อนที่อาศัยอยู่ไต้หวันว่า "เพื่อนเนี่ยรวยมากเหรอ ทำธุรกิจอะไรอะทำไมต้องรีบขนาดนั้น" ... เอ่อออ..คุณยายคะ..พวกนู๋ไม่รวยหรอกคะ.. แต่ พวกนู๋มันบ้า!! บ้าปู้จายแบบพ่อแม่ไม่ให้อภัยแล้ววว.. แต่ขอย้ำ ว่าพวกนู๋บ้าแบบมีสติคะ.. มีสติพอที่จะคิดว่า "เราต้องบินไปบินกลับจะได้ทันอ้วน" ..มีสติเหลือแต่สตางค์(ร่อย)หลอ

(พล่ามไปเรื่อย .. วันที่แปดตรูไม่ถึงสนามบินซะที)
ด้วยความรักสบาย พวกเราก็เลยต้องเร่งกันหน้าตั้ง เพราะกว่าจะงัดกันขึ้นจากที่นอน ก็แทบจะไม่มีเวลาเหลือไปสนามบิน .. ก็ใครใช้ให้อากาศที่ไต้หวันน่านอนนักหนา ฟ้าไม่เคยสว่าง มองทีไร ก็ประหนึ่งหกโมงเย็น ฝนปรอยๆทั้งวัน อุณหภูมิไม่ต้องพูดถึง เกิน สิบห้า นี่หรูมาก..

โชคดีที่คณะกวาดถูสนามบินได้ศึกษาแผนที่เป็นการถางทางมาเรียบร้อย เราก็แค่แบกสัมภาระขึ้นหลัง เดินไปหน้าบ้าน(โรงแรม) ข้ามถนนหน้าปากซอย ก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าประหนึ่งประตูเดียวกัน .. แล้วก็ตามแก๊งลูกหมูอย่างเดียวโดยไม่ต้องเหลียวแลแผนที่ให้เสียเวลา ไอ้ติ๊ดว่างัยตรูตาม คุงออมว่างัย ก็ว่างั้น.. จากใต้ดินไปโผล่บนดิน แล้วต้องข้ามสะพาน แล้วต้องลงมาหนึ่งชั้น แล้วต้องขึ้นชานชลานี้.. แล้วต้องไปต่อแท๊กซี่.. ฟังด้วยสมองอันเบลอๆ ..เออๆๆๆๆๆ เอางัยก็ได้..ตรูง่วง..

แล้วเราก็มาถึง Sungshan Domestic Airport แบบใกล้เวลาเต็มที ก็ไปเจรจาต้าอ่วยหน้าเค้าเตอร์สักพัก.. เป็นอันได้ตั๋วมาครบคน เราเก๊าะเหิรฟ้าด้วย Madarin Airlines มุ่งหน้าสู่เกาสง.. ท้องฟ้าเหนือเมฆที่ปกคลุมไถเป่ย.. แดดเปรี้ยงมาก.. นั่งบนเครื่องบิน นึกว่านั่งอยู่บนรถทัวร์บ้านเรา แดดมันแยงตาเล่นเอาหลับยากอยู่ คิดว่าจะงีบซะหน่อย.. ตรูก็ได้งีบ(อ้าว) ก็ง่วงอิ๊บ!! แดดก็แดด..ตรูจะนอน.. กาฟงกาแฟ ไม่ต้องเสิร์ฟ จานอน


ลงจากเครื่องด้วยอาการ งงงวย สุดริด เพราะถูกปลุกแบบกระทันหัน.. ไรว้า..ไมบินแป๊บเดียว.. ไม่ถึงชม.ดีมั้ง..ลงมาก็ต้องตาสว่างตกตะลึงกะสนามบินที่มืดตึ๊ดตื๋อ แม่เจ้า!! สนามบินเกาสง ไฟดับ!! (คิดในใจ..โห..โคดบ้านนอกเลย.. นิสัยดีมากตรู) แต่ที่แปลกใจกว่านั้นคือ ทุกคน "หน้าตาเฉยมาก" ประหนึ่ง ชิน!! มันคงดับบ่อยแล้วแหละ.. ชินกันทั้งจังหวัด..เราก็เลยตีเนียน ทำชิน .. กะเค้าบ้าง .. มีเรื่องให้ขบคิดมากกว่าจะมาตกตะลึงกะไฟดับ..คือ ทำยังงัยเราถึงจะไปที่หมายได้ ด้วยสนนราคาที่ถูกที่สุด.. อือม์ ข้อนี้ต้องขบให้แตก มิฉะนั้น มาม่าจะตามมาอีกหลายมื้อ..

และแล้วเราก็ได้คำตอบนี่คือพาหนะของเรา.. สนนราคาคนละไม่กี่เหรียญ..ประหยัดกว่าแท๊กซี่แยะ..เราไม่รีบ


หลังจากสอบถามกับประชาสัมพันธ์อยู่พักใหญ่พวกเราก็ตัดสินใจเดินมาขึ้นรถเมล์ดีกว่า เราก็ไปชี้โบ๊ชี้เบ๊กับคนขับว่าถ้าถึงห้างHANSHIN..( อย่ามาถามหาความแน่นอนจากเรา อันนี้เอามาจากป้ายที่เห็น..) ก็บอกเราด้วยเน้อ พี่เน้อ.. คนขับก็ใจดีรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ.. และพวกเราก็เริ่มกินลมชมวิวกันมาบนรถเมล์ ตื่นตาตื่นใจกะทางรถไฟซึ่งถ้ามันอยู่ในเมืองไทยมันจะไม่น่าสนใจเท่านี้ สักพักมีแม่บ้านเกาสงเดินขึ้นมาพร้อมลูกชายวัยไม่น่าจะเกินหกขวบ คราวนี้พวกเราเริ่มกลายเป็นของเล่นของคนท้องถิ่น เค้าคงแปลกใจว่ากระเหรี่ยงพวกนี้มาจากไหน และจะไปไหน .. ก็เป็นปัญหาที่เราเคยๆประสบมาสำหรับการมาท่องเที่ยวในประเทศที่พูดภาษาจีน คือทุกคนจะนึกเอาเองว่า มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกใบนี้ เข้าใจภาษาจีน..ท่านจะไม่พยายามฟังเราว่าเราไม่รู้เรื่องไปถึงไหนแล้ว ท่านจะพูด พูด พูด จนเราเข้าใจท่านได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ จับใจความได้ว่า เค้าถามว่าเรามาจากไหน พอรู้ว่าไท่กั๋ว เค้าก็ตกจายว่าประเทศคุณราบเป็นหน้ากลองเพราะคลื่นสึนามิ ทำไมยังมาเที่ยวกันได้อีก..ทำให้เราละอายใจเป็นที่ยิ่ง.. แต่ก็พยายามจะอธิบายว่า สถานที่เกิดเหตุมันห่างไกลจากบ้านเรายิ่งนัก และเราก็เตรียมตัวกันมาก่อนที่สึนามิจะเกิด เป็นตายร้ายดียังงัยเราต้องมาเกาสงให้จงได้ เค้าก็งงๆ ว่าเกาสงมีอะไรดี.. เราบอกเค้าคำเดียวสั้นๆว่า จูเสี้ยวเทียน.. 5555

คุณนายเธอยิ้มพิมพ์ใจคิดไรเพลินๆ

บรรยากาศข้างทางที่เกาสง.

คุณแม่บ้านเกาสงที่เข้าใจเอาเองว่า ภาษาเค้าเป็นภาษาเรา

กะลูกชายที่เอาแต่แลบลิ้นใส่พวกเรา


อ๊ะๆๆ.. ใช่ว่าแค่รถเมล์แล้วเราจะถึงทันที .. ถ้าถึงเลยก็เรียกว่าไม่ประหยัดจริง.. เรายังต้องมีอันเดินเท้าอีก..ซึ่งมาลองไล่ดูตอนนี้..รู้สึกว่าเราเดินเท้ากันเกือบกิโล ผ่านประมาณ สามถึงสี่แยกไฟแดง.. เอาเป็นว่าลงจากเครื่องตอนเก้าโมงเช้านิดๆ ถึงที่หมายราวๆ สิบเอ็ดโมงครึ่ง.. นั่งเครื่องบินยังไวกว่าเดินเลยคะ คุณขา!!

เริ่มเดิน


สงสัยเค้าจะมีตลาดเช้าแบบบ้านเรา

กระทั่งเขียงหมู


จริงๆที่เดินไม่ถึงซะทีเนี่ยไม่ต้องโทษใคร ก็ คุณๆ ช่างแวะทั้งหลาย แวะทั้งเซเว่น แวะทั้งร้านหนังสือ

แวะน้ำลายหก เพราะหิว

เลยต้องหาไรกินกันตาย..คนแถวนั้นเรียกกันว่า.. เจี๊ยวจึ..(เจงๆ)


กว่าจะถึงที่หมายเล่นเอา กระอัก


ถึงห้าง..แย้ว สิบเอ็ดโมงครึ่งพอดี..เดินมาร่วม ชม.ครึ่ง.. พอมาถึงจึงรู้ว่า.. ลืมแบนเนอร์เคซีซีไว้บนรถเมล์..แป่ว!!
มีบางคนโกรธจนหน้าบูดเป็นตูดอ้วนเลย.. อุ๊ อุ๊



พอเดินเลี้ยวหัวมุมห้าง ก็ให้เห็นเวทีอันอลังฯ เช่นนี้


เดินกันมาตั้งนาน กินก็กินกันไปแล้ว พอมาถึงที่หมายก็จับจองพื้นที่ ก่อนหน้าที่เราจะมาถึงมีคนมาต่อแถวแล้วสองสามแถวเห็นจะได้ เท่าที่สังเกตุดูก็จะเป็นแฟนเพลงต่างประเทศซะส่วนใหญ่ มีอินโด เกาหลี แล้วก็ญี่ปุ่นทุกคนมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง สงสัยว่าเพิ่งจะลงเครื่องกันมาหมาดๆ หรือไม่ก็เตรียมพร้อมเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแล้ว เพราะคงต้องบินเข้าไถเป่ย เพื่องานที่ซีเหมินติงพรุ่งนี้.. เพื่ออ้วน ทุกคนต้อง อดทน!! อดทนกันทุกประเทศ
ด้วยความที่เดินทางมานาน พอมาถึงที่หมายเลยเริ่มออกอาการ ท่อรั่ว..ห้างหรูหราไฮโซมั๊กมาก.. แต่เดินไปถามหาห้องน้ำกะพนักงานขายของห้าง ภาษาปะกิตไม่กระดิกหูสักคน toilet ก็แล้ว rest room ก็แล้ว..ส่ายหน้ากันดิก ภาษาจีนตรูก็จำไม่ได้ว่าห้องน้ำนี่เค้าว่างัย..สุดท้ายต้องทำท่าประหนึ่งจะล้างมือ เลยถึงบางอ้อกันทั้งห้าง นีกในใจว่าดีนะที่ตรูไม่ต้องนั่งให้ดู เกิดที่นี่มีแต่ส้วมหลุมท่านั่งคงน่าดูพิลึกละนั่น พอปลดทุกข์เสร็จโลกก็พลันสดใสเจอผู้หญิงคนนึง หน้าคุ๊นคุ้น ปี้เอสก็สะกิดๆ แล้วเรียกไปยืนส่องกระจกแอบดู
“ใช่มือเชลโล่อ้วนป่าว. แก”
“ แหงะ .. ไม่แน่ใจ ไปถามดิ”
ยืนเกี่ยงกันอยู่อย่างนั้น..จนเค้าแต่งตัว แต่งหน้าเสร็จออกจากห้องน้ำไป.. เป็นอันชวด

ช่วงนี้จะเป็นช่วงกระวนกระวายเพราะพอเรามาถึง ก็เริ่มเห็น ฟรีเบิร์ด เดินเล่นกันให้ขวักไขว่ บ้างก็สูบบุหรี่ บ้างเดินเข้าไปในห้างฯ เรารู้สึกถึงรังสีอัมหิตเดาเอาว่าอ้วนก็ต้องมาถึงแล้วอาจจะเตรียมตัวอยู่ในรถเชฟฯ คันที่จอดเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างเวทีก็เป็นได้ เดากันไปต่างๆนาๆ.. เหอๆๆๆ แล้วก็ออกอาการ อาย.. แบบไม่มีเหตุผล.. นั่งนิ๊ง นิ่ง แบบเป็นระเบียบเรียบร้อย ใครจะเรียกให้ไปไหนก็ม่ายไป ปี้เอส เจ๊เลนส์ ซีรี ตะริด เดินไปซื้อซีดี กันสองสามรอบ ตรูก็นั่งแปะอยู่กับที่.. ท้องไส้ปั่นป่วนซะงั้น..ไม่รู้เป็นไรสิน่า พอรู้สึกว่าจะได้เจออ้วนทีไร มือไม้มันพาลสั่นแหงกๆ ทู่กที.. สงสัยต้องไปฝึกกำลังภายในมาใหม่

พวกเรารออยู่นานพอควร ก็ไม่มีวี่แววว่าอ้วนจะออกมา อาจจะเพราะคนยังน้อยอยู่มั้ง .. ระหว่างนั้นพวกเราก็ตั้งแถวรออย่างเป็นระเบียบ เราอยู่ประมาณแถวที่ห้า เพื่อนต่างชาติที่มาก่อนเค้าก็ตั้งซีดี กันเป็นแถวๆ จับจองพื้นที่กันอย่างเป็นระเบียบ ด้วยความชะล่าใจในวัฒนธรรมของประเทศศิวิไลซ์เค้าปฏิบัติกัน ปี้เอส ซีรี และ ตะริด เลยวิ่งไปซื้อ สตาร์บัค ฝั่งตรงข้ามเพราะ อยากกาแฟ มากมาย แค่คล้อยหลังเท่านั้นแหละ มีรถบัสสามคันเบ้งๆ มาจอดเทียบหน้าลาน และหลังจากนั้นก็ประหนึ่งคลื่นสึนามิโถมกระหน่ำ.. พวกเราที่มาต่อแถวก่อนเรียงคิวตามแบบที่คนศิวิไลซ์แล้วเค้าปฏิบัติกัน กลับเจอคลื่นสึนามิโถมกระหน่ำอย่างไร้มารยาท ทั้งเท้าเขี่ย ทั้งเบียด ทั้งแทรก.. บอกตรงๆ ว่า เซ็ง และ หมดอารมณ์ เป็นยิ่งนัก.. ยกของทุกอย่าง ออกไปยืนเกือบหน้าห้างฯ เพราะเซ็งกับพฤติกรรมความยิ่งใหญ่ ของผู้ที่เรียกตนว่า คลับอย่างเป็นทางการ.. ก็พอจะเข้าใจสำหรับความที่อยากใกล้ชิด แต่ก็น่าจะเคารพสิทธิ และมีมารยาทกันบ้าง สต๊าฟน่าจะจัดการคนของตนให้เป็นระเบียบได้มากกว่านี้..

เสียอารมณ์เล็กๆ แล้วก็ตั้งสติปฏิบัติภาระกิจของเราต่อไป.. ช่วงนี้คงต้องเล่าเป็นภาพละกัน

คุณน้องเค้าว่า เค้าอายคะ..


คนนี้ไม่สู้กล้อง.. แต่หลังจากนี้ไม่นานจะเห็นแต่หน้าเธออยู่ในกล้อง


รถเชฟฯ ดำมะเมื่อมจอดอยู่เป็นนานสองนาน.. ตรูท้องไส้ปั่นป่วนเพราะรถคันเดียว.. นอย


ตั้งแถวรอ แต่หันตรูดให้เวที เพราะร้อนมั๊กมาก



สึนามิถล่มเลยต้องมา เกาะขอบเวที


แต่ก็รู้สึกดี เพราะอ้วนอยู่แค่เอื้อม.. อิ อิ



..สงสัยจะเห็นใจปลาสวายอย่างเรา.. ดูมานหัน..

แล้วเราก็รู้ว่าน้องเชลโล่ ชื่อ เสียวเป่า

คนนี้ขวัญใจคนใหม่ปี้เอส

คนนี้เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต น้องซีรี

จะลืมมือกลอง สุดเท่ห์ ได้งาย

.. คนนี้มาเปลี่ยนแปลงชีวิตจือ.. 555

.. ปลาสวาย ชวนฝัน.. 5 5 5..

พอร้องเพลงเสร็จ.. อ้วนก็เริ่มแจกลายเซ็นต์ .. แรกๆ ก็ตาหว๊านหวาน..

แต่พอถึงพวกเรา.. ก็โทรมสุดๆ แบบนี้.. ผมเผ้ายุ่งเหยิง.. แต่ก็ยังร่าเริง คิกคัก


ถ้าใครคิดว่าเรื่องเล่าของวันแรกจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ ขอบอกว่าท่านคิดผิด เรายังมีวีรกรรมเด็ดๆ หลังจากกลับจากเกาสง .. ที่เล่นเอา .. หมดตะหลูด กันไปตามๆกัน.. คอยอ่านต่อละกั๊น..

หลังจากแจกลายเซ็นต์ที่เกาสงเสร็จ อ้วนต้องกลับไปงานสึนามิที่ไถเป่ย เรารู้กันตั้งแต่บ่ายๆ ก่อนอ้วนจะมาแล้ว จึงเป็นเหตุให้เราไม่จองตั๋วเครื่องบินขากลับทันทีที่มาถึงเกาสง เพราะหลังจากเห็นเครื่องบินลำกระจิดริดแล้ว ทำให้น้ำลายหก อยากนั่งลำเดียวกะอ้วนซะงั้น .. เราเลยไม่จองตั๋วกลับเพราะกะจะกลับกะอ้วน แต่ด้วยความโอ้เอ้รอจนอ้วนแจกลายเซ็นต์เสร็จ ก็บึ่งแท๊กซี่ตามไปสนามบินเพราะความไม่รู้จักพอ ยิ่งเห็นใกล้ๆ ก็ยิ่งเกิดกิเลส อยากใกล้เข้าไปเรื่อยๆ.. เรื่องอย่างนี้หักห้ามใจกันลำบาก.. อิ อิ เราประชุมเพลิงกันอยู่พักนึงพอตกลงกันได้ว่าจะกลับลำเดียวกะอ้วน ก็สายไปเสียแล้ว.. ช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่ถึงสนามบิน เที่ยวบินนั้น.. เต็ม!! ข่าวว่าแฟนอ้วนท้างน้าน.. เอาฟระ.. ไม่ได้นั่งลำเดียวกัน .. ตีคู่กันไปก็ยังดี เรากลับไปเคาทเตอร์สายการบินเดิมที่เราบินมาแล้วซื้อตั๋วเที่ยวบินที่ออกเร็วที่สุด หวังจะให้ทันอ้วนในเกทที่สนามบินSungshan สู้กันยิบตาละงานนี้.. พอได้ตั๋วเครื่องบิน เห็นเวลาแล้ว คาดว่า เราต้องวิ่งสู้ฟัดกันอีกรอบ.. พวกเราก็เริ่มวิ่งแบบไม่คิดชีวิต .. ผ่านทุกด่านมาจนถึงบริเวณที่พักผู้โดยสาร ที่จะขึ้นเครื่อง มีชะงักเล็กน้อย แล้วก็มองเวลาที่ประตู “ตาย..อ่ะ.. ม่ายทันแล้ววว”.. พวกเราก็พรวดพราดออกจากประตูสู่รันเวย์ .. แล้วก็วิ่งไปหา รันเวย์ที่มีเบอร์เกทเบอร์เดียวกะในบอร์ดดิ้งพาส.. เจ้าหน้าที่สายการบิน ยืนงง เป็นไก่ตาแตก ว่าอิกะเหรี่ยงพวกนี้วิ่งมาจากไหน.. ไม่แน่ใจว่า สจ๊วตหรือนักบิน.. ทำท่ากางแขนประมาณจะเล่นบัลลูนกะพวกเรา.. พวกเราก็ไม่สนใจ แถกบอร์ดดิ้งพาส ไปตรงหน้า.. ท่านคงเห็นว่าห้ามไปก็เท่านั้น เลยฉีกบอร์ดดิ้งพาสพวกเรา แล้วปล่อยให้ขึ้นเครื่องไป.. เพื่อที่จะให้เรารู้ว่า.. “ เค้ายังไม่ได้เรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง” .. ยืนอายแทบแทรกแผ่นดิน เพราะเจ้าหน้าที่ไม่บอกอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้ กะเหรี่ยง เจ็ดคน ต้องตกตะลึงกะสภาพ เครื่องบินโล่งๆ ไร้ผู้โดยสาร แล้วยังมีหน้าไปถามแอร์ท้ายเครื่องว่า “เครื่องไม่เต็มนั่งตรงไหนก็ได้ไม๊คะ”.. เหอ เหอ เหอ.. ( ไม่สำเหนียกกันเล้ย ..ว่าเครื่องบิน ไม่ใช่ รถหวานเย็นบ้านแกร..) แอร์ยิ้มๆ ส่ายหน้าแล้วให้เราไปนั่งตามที่นั่งที่ระบุไว้.. อะ ตามเลข ก็ตามเลข เอางัยก็ได้ให้ถึงไถเป่ยก่อนอิเทียนเท๊อะ.. พอเราหายเหนื่อย ผู้โดยสารคนอื่นๆ ถึงทยอยขึ้นมา.. เราจึง ตะหนัก เป็นครั้งที่สองว่า.. พวกเราวิ่งหน้าตั้ง ผ่านทุกพิธีการในสนามบินแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม.. แถมไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหน หยุดเราได้ทัน.!! บุญแค่ไหนแล้วที่เค้าไม่คิดว่าเรามาก่อการร้าย.. อ้วนนะอ้วน.. เพราะอ้วนคนเดียว..

แต่แล้วความพยายามของพวกเราก็ไม่เป็นผล เราไม่เจออ้วนทั้งในเกท และที่สนามบิน .. ม่ายเป็นไร กลับไปตั้งหลักที่บ้านก็ได้ เราก็จับแท๊กซี่จากสนามบินกลับไปที่บ้านน้อยของเรา .. แล้วก็ไปเปิดทีวีรอดูอ้วน .. ซึ่งมารู้ทีหลังว่า..บางท่านตามไปที่ตึก 101 แล้วก็เจอเทวดาทั้งสี่ แบบตัวเป็นๆ ในขณะที่พวกเรานอนตีพุงดูเทวดาผ่านตู้สี่เหลี่ยม.. แต่พวกเราก็หมดแรง..ตามต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ.. เหนื่อยมากๆ .. สงสัยอาการของพวกเราคงเหมือนกับคนที่ยกตุ่มออกจากบ้านได้เพราะไฟไหม้บ้าน พอรู้สึกตัวอีกทีก็ไม่มีปัญญาแบกตุ่มกลับมาได้แล้ว.. เฮ้อ!! เหนื่อยอิ๊บอ๋าย

พวกเราพักพอเอาแรงได้สักชม.สองชม. ท้องมันก็เริ่มร้องหาอาหาร พึ่งจะรู้ว่า ตั้งกะเจี๊ยวจึเมื่อเช้าจนป่านนี้ยังไม่ได้มีอะไรตกไปถึงท้องเลย .. เราเลยรู้สึกหิวอย่างรุนแรงตกลงกันว่าจะไปหาของกินแถวซีเหมินติง ตั้งใจจะไปสำรวจที่ทางสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วยเพราะคุณป้าๆที่ตามมาทีหลังยังไม่เห็นไถเป่ยเลย..มาถึงเมื่อคืน เช้าบินไปเกาสง กลับจากเกาสง ฟ้าก็มืดแหล่ว..เด็กๆเลยรับปากว่าจะพาไปดู ซีเหมินติง แล้วโฉบไปฟู่หลง..

มาถึงซีเหมินติงคงราวๆสามทุ่ม ป้าๆ ตื่นตาตื่นใจ ทั้งอากาศ ทั้งผู้คน แล้วก็ ของกินที่ขายข้างทาง ซื้อโน่นซื้อนี่ใส่ปากกันไม่หยุด ของกินข้างทางเหล่านี้ เค้าไม่ใส่ถุงพลาสติกให้ด้วยนะ คือซื้อปุ๊บก็ต้องกินเลยถ้าจะเก็บกลับก็หาภาชณะมาใส่เอง ทีแรกก็คิดว่าใส่ปากแหยบๆ ไปเรื่อยๆเดี๋ยวคงอิ่ม.. ก็เลยกินไป ชมร้านรวงเค้าไป ..แต่สุดท้าย ก็คิดว่าหาไรเป็นเรื่องเป็นราวตกถึงท้องดีกว่า ตั้งแต่มานี่ยังไม่ได้ กินอาหาร เป็นมื้อๆเลย.. เจี๊ยวจึเมื่อเช้าก็กินกันตายมาก่อน ว่าแล้ว เราก็เหลือบไปเห็นร้านหน้าตาดีหนึ่งร้าน.. ( อิ อิ..นรกมีจริงละทีนี้) ท่าทางจะเป็นร้านบาบีคิว ประหนึ่งไดโดมอนบ้านเรา .. สนนราคาที่แปะไว้หน้าร้านก็พอรับได้.. หน้าตาอาหารรึก็ยั่วใจ เราเลยตัดสินใจ เลี้ยวป๊าบเข้าร้านนั้นทันที แล้วปัญหาเดิมๆที่เราพานพบก็คือ “คุยกันไม่รู้เรื่อง” .. พวกเราก็เลยต้องใช้ภาษาจีนงูๆ ปลาๆ สั่งกันไปตามเรื่อง เมนูก็ดันไม่มีรูป ไม่เหมือนกับที่แปะไว้หน้าร้าน สุดท้าย เจ้าของร้านก็มานำเสนออาหารชุด แบบว่าถ้าคุณมาเท่านี้เราจะจัดอาหารเซ็ทนี้ๆๆๆๆมาให้.. เราได้ยิน ซีฟู๊ด.. ก็ เออๆๆๆ เอาแบบนั้นแหละ.. แต่ไม่เอาเนื้อ (โนหนิว) หารู้ไม่ว่า หายนะกำลังมาเยือน..

พนักงานเสิร์ฟก็แสนจะน่ารัก.. พยายามจะมาเรียนภาษาไทยกะเรา แล้วก็พยายามพูดภาษาอังกฤษ พวกเราก็สอนกันไปสนุกสนานเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับพนักงานทั้งร้าน ทุกคนกุลีกุจอจะมาเสิร์ฟโต๊ะเรา ต้องการอะไรขอให้บอก บริการถึงที่..อบอุ่นยิ่งนัก เรากินกันตั้งแต่คนเต็มร้านจนเหลือโต๊ะเราโต๊ะเดียว แถมกินกันไม่หยุดปาก เพราะอร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะ ซุปที่เสิร์ฟมาในกระบอกไม้ไผ่.. แล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องกลับซะที .. เพราะมองออกไปนอกร้าน ร้านอื่นเค้าก็ปิดกันหมดแล้ว เหลือบดูเวลาก็เกือบๆเที่ยงคืน .. กินกันมาราธอนมาก.. แล้วเราก็เรียก เช็ค!!

ใครสักคนรับบิลมา.. แล้วก็ ได้แต่ หัวเราะสติแตก.. 5555 รับการ์ดไม๊วะ.. เสียงรอบข้างถามกันให้ระงม “เท่าไร เท่าไร”.. ป้ารับมาดู . แล้วหัวเราะตาม.. ไม่เท่าไร.. แค่ เจ็ดพัน!! คราวนี้พร้อมใจกันหัวเราะแบบไร้สติ เจ้าของร้านกับพนักงานในร้านก็งงๆ ตกลงจะจ่ายไม๊.. เจ๊เลนส์ก็ควักตังส์จ่ายแต่โดยดี.. แล้วเจ้าของร้านก็กุลีกุจอ เอาของกำนัลมาให้พวกเรา .. เป็นหมากฝรั่งเก้าอันพอดีคนเป๊ะ.. แถมยังส่งนามบัตรมาให้ แล้วก็ “โอกาสหน้าเชิญใหม่นะค๊า”.. พวกเราเดินออกจากร้านมาด้วยอาการ เย็นตูด!!
(อ๊ะ.. แต่ถ้ากลับไป ก็จะไปกินอีกนะ.. ทัง(ซุป)อร่อยมากจริงๆ)

เดินออกจากร้านด้วยร่างที่ไร้สตางค์ แล้วก็หัวเราะกันออกมาแบบคนบ้า เป้าหมายถัดไปของเราคือ ฟู่หลง .. ( ยังมีแรง ผจญภัยกันต่ออีกนะ!! ) เรานั่ง MRT กลับมาที่สถานนีเดียวกะบ้านเรา .. งงๆ เล็กน้อย ตกลงว่าจะไปฟู่หลง หรือ จะกลับมานอน.. เด็กๆก็บอกว่า จายเย็นๆ เดินตามมา.. แล้วเราก็ได้รู้ว่า .. บ้านเราประตูสอง ส่วนฟู่หลง ประตูสี่..สถานีเดียวกัน.. โฮ๊ย!! ชีวิตวันๆนึงมันจะมีเรื่องให้ ประหลาดใจกันได้สักกี่เรื่องเชียว.... ยลฟู่หลงกันเป็นที่พอใจ ก็เดินกลับโรงแรมนอน ด้วยความอิ่มเอม เป็นวันนึงในชีวิต ที่ไม่คิดจะลืมเลย จริงๆ..


ซีเหมินติงยามค่ำคืน


ร่าเริงแบบยังไม่สำเหนียกในชะตากรรม


ชื่อร้าน..ที่ไม่มีวันลืม


เห่ย ไป๋


ถ่านบ้านเค้าแปลกดี


อลังการณ์ .. งานสร้าง..


ไฟหม๊ายยย ฟายหม๊ายยย


ตานี่แหละที่พนักงานประจำโต๊ะ.. ฮีโร่ ทุกสถานการณ์
เห็นว่าเคยมาไทยด้วยนา


นี่ก็ .. พยายามเป็นผู้ช่วย .. ฮีโร่.. หน้าเหมือน อุดม มั๊ย


.. ซาก เจ็ดพัน ที่ ผันไปอยู่ในท้อง..


เจ้าของร้านคนสวย.. ใช่ซี้.. ดูดเงินตรูไปแล้วนี่..


ของกำนัล กัน เราบ่น.. เคี้ยวไว้ ปากจะได้ไม่ว่าง



เมื่อบ่ายดูตูดอ้วน..ตอนนี้ เรา "หมดตูด"


.. สภาพแบบนี้ คนวิ่งหนีกันทั้งฟู่หลง


.. ชุดนี้ เล่นเอา ตะริด ฮากระจุย..


..บ้านเรา ..แสนสุขใจ..


.. หนาวกันจับจิต..ฝนก็ตก..


.. เก้าชีวิต.. นับดิ ครบไม๊..(คนถ่ายหนึ่งคน)


.. เหนื่อยมาทั้งวัน.. กลับบ้านนอนกัน เต๊อะ..


( แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่.. วันพรุ่งนี้ที่ซีเหมินติง คงมีช่วงเวลาดีๆรอเราอยู่เหมือนวันนี้เนอะ)




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2548    
Last Update : 19 สิงหาคม 2548 20:51:58 น.
Counter : 715 Pageviews.  

แก๊งค์ลูกหมูตะลุยจับกวาง

หลังจากรอคอยกันมานาน จะเปลี่ยนใจกันก็หลายหน โยนหัวโยนก้อย กันอยู่หลายรอบ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
เช้าวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2547 วันที่จะเหินฟ้าไปจับกวางขาวๆ ปากห้อยๆ กันซะที ลูกหมูหกตัวนัดเจอกันที่ ดอนเมือง
(ที่ๆวิ่งเล่นกันจนพลุนมาหลายรอบ) เวลาเก้าโมงเช้า เหอๆๆ มากันตรงเวลา เป๊ง ประหนึ่งกลัวต้องวิ่งขึ้นเครื่อง
งานนี้ขอเดินเนิบๆ เฉิดฉายในแอร์พอร์ต แบบนักท่องเที่ยวธรรมดาบ้างเถอะว้า.. ตรูวิ่งจนหอบมาหลายรอบและ..
TG 668 พาแก๊งค์ลูกหมู มาถึงกวางโจว บ่ายสามโมง อื้อออ อากาศเย็นน่าเดินเล่นมั๊กมาก.. โค้ทกะถุงมือตรูได้ใช้แล้วเว้ยเฮ้ย..
แต่กว่าเราจะได้ออกจากสนามบินอันโอฬารแห่งนี้ ก็ปาไปเกือบห้าโมง.. เนื่องจากคณะวีวีสตาร์ที่มารับเราต้องรอเพื่อน
ที่มาจากเซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง..
เดินทางจากสนามบินถึงในตัวเมืองกวางโจว ใช้เวลาประมาณหนึ่งชม. พอรถแล่นเข้าตัวเมือง ก็ได้เห็นว่บ้านเมืองเค้าเจริญใช่เล่น
ดูสะอาดตากว่าที่คิด และแล้วเรื่องนอยๆ ก็เกิดขึ้นจนด้ายยย แก๊งค์ลูกหมูเจอน้องหมวยหลอก ซะงั้น..
ก็รถ airport expressมาส่งเราหน้าโรงแรมสุดหรูแห่งหนึ่ง โอโห..น้องหมวยจองโรงแรมได้ถูกใจเจ๊เจงๆ
ที่ไหนได้ น้องหมวยหันมาพูดว่า this way เกิดอาการเง็งๆ ว่ามะใช่ที่นี่เหรอ.. อะ เดินก็เดิน.. กระเป๋าตรูก็นะ
หั่นเสี้ยวเทียนใส่ไปได้ทั้งคน..ต้องเดินลากข้ามถนนในกวางโจว ที่รถมันวิ่งกันขวักไขว่ ไอ่คนเดินก็ไม่สนใจรถ
สะพานลอยก็มีไว้ เป็นเหล่าเต๊ง ของคนจรจัด ..
เดินผ่านแยกที่หนึ่ง พอทำใจ
เดินผ่านแยกที่สอง มีอาหารพอล่อน้ำลาย
เดินผ่านแยกที่สาม อิหมวยเมิงตาย.. พาตรูเดิน มาสามกิโลแม้วแล้วนะเว้ย.. เมื่อไหร่จะถึง.. อีกนิด ได้ฆ่าหั่นศพ
หมวย ยัดกระเป๋าเดินทางตรูแล้วววว
ดีว่าแยกที่สี่ มาให้เห็น ทันตา .. อิหมวย รอดตายไปซะงั้น..
พาเดินมาไกลโข แล้วยังต้องมารอแบ่งห้องกันอีก.. หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย... ช้าอีกนิด กินหมวยเซี่ยงไฮ้
กวางเจา ปักกิ่ง เป็นอาหารแน่แล้ว..
อาหารเย็นมื้อนี้ เป็น บะหมี่เกี๊ยว ที่เห็น แล้วต้องกระโจนใส่ เกี๊ยว ลูกใหญ่มั๊กมาก.. ต้องขอบคุณพี่นก
ที่ช่วยทำให้แก๊งค์ลูกหมู ไม่อดตาย.. เพราะทุกคนภาษาจีนกระดิกอยู่แค่ขนรอบๆรูหู .. อิ อิ จิ้มรูปหน้าร้าน
กว่าจะถึงบางอ้อว่า รูปมันบอกแค่ว่า ไอ้นั่นนะ.. เกี๊ยวกุ้ง+ไข่กุ้ง .. ไม่ใช่เสิร์ฟเป็นจานแบบน้านนนน..


( สนามบินไป่หยุน ที่น้องหมวยว่า ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชีย รอสุวรรณภูมิบ้านเราก่อนเต๊อะ.. ชริ ชริ)

Beijing Lu

พอกินอิ่มก็เริ่มตาสว่าง สติ เริ่มกลับมา โรงแรมที่น้องหมวยจองให้นั้น
อยู่บนถนน เป่ยจิงลู่ ( ลู่ แปลว่า ถนน ) ทีแรกแอบนอยว่า เป่ยจิงลู่แล้วงัย
มองไปตรงข้ามโรงแรม เห็น shop discount ของ บาเลโน .. ฮึ่มๆๆ มีแค่เนี๊ยะ
ที่ไหนได้.. พอท้องอิ่มสมองปลอดโปร่ง ตาก็เริ่มสว่าง.. เป่ยจิงลู่ มีอะไรดี..

รู้กัน..

สตอเบอรี่ ชุบน้ำตาล ลูกอวบๆ ปิดท้ายด้วยส้มน้อยๆ หนึ่งเม็ดอยู่ที่ปลายไม้
อาหย่อยยยยยยย..

(ปล. ไอ้ส้มน้อยเม็ดสุดท้ายเนี่ย.. มีคนได้ลิ้มรสแค่สองคน .. คือป้า กะ นก
กิ้งโค้ง.. ไอ้ไม้แรกเกี่ยงกันกิน ป้าทำใจ กินเองก็ได้วะ.. อู้หู.. รสชาติอาหย่อย
อย่าบอกใคร.. จากนั้นลูกหมูขี้อิจฉาทั้งหลาย ก็อยากกินส้มน้อยซะอย่างงั้น
แต่คราวนี้ซื้อกี่ไม้ก็ได้แต่ พุทธาเชื่อม.. ลูกหมูไจโกะยอมซื้อองุ่นมาหนึ่งไม้
เพราะเห็นว่ามีส้มน้อยอยู่ปลายไม้ .. (กว่าจะยอมซื้อก็วันสุดท้ายแล้ว) ลูกหมู
ไจโกะ หลอกล่อให้ทุกคนกินองุ่น ตัวเอง ปล่อยองุ่นไม้นั้นไว้ แล้วไปแพ็ค
กระเป๋า หน้าเค้าท์เตอร์โรงแรม.. เงยหน้าขึ้นมาอีกที "เฮ้ย ..ส้มหายไปไหน!!"
อิ อิ อิ.. นกกิ้งโค้งดวดไปทางปลายไม้.. ซะงั้น.. ลูกหมูไจโกะ.. ทำได้แค่
เอามือกุมกบาล.. อดกิง.. )

เป่ยจิงลู่ มี เขาวงกต IP-Zone

พอเห็นร้านเท่านั้นแหละ.. แก๊งค์ลูกหมู.. อู้หู.. อู้หู.. ตี๋ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ ตี๋(ปาก)ห้อย ตี๋เม้ม
มีทุกแบบ ตื่นตาตื่นใจ.. วนดูทุกซอกทุกมุน .. จะสอยตั้งแต่วันแรก ก็เกรงจาย.. เล็งๆไว้วันสุดท้ายค่อยมาสอย
ตอนนี้น้องๆ หมวยทั้งหลายก็อยู่ในร้านด้วย ลูกค้าในร้านเป็นแก๊งค์ตี๋กันหมด จนพนักงานที่ขายของลดราคา
เปลี่ยนคำที่เชียร์ๆ อยู่ มาเรียกชื่อ อู๋เจี้ยนหาว เป็นระยะๆ.. มันส์เค้าหละ..
เดินวนรอบเขาวงกต กันจนเหนื่อย แก๊งค์ลูกหมูก็ตั้งท่าจะมูฟ .. เริ่มเรียงแถวนับหัวหมู.. อ๊ะ.. หายไปหนึ่งหมู..
เอาละวา ลูกหมูนิค หายไปตั้งกะวันแรก.. เดินหากันจนทั่วร้าน วนหากันอยู่หลายรอบ ก็หาม่ายเจอ..
กะตะโกนเรียกอยู่แล้ว.. น้องลูกหมู เดินหัวฟู ออกมาจากห้องแต่งตัว.. น้องจ๋า..วันหลังไปไหน แจ้งให้ทราบหน่อยนะจ๊ะ..
ป้าหมูจะเป็งลม.. นึกว่าทำลูกเค้าหายซะแล้วววว.. แต่การอ้อยอิ่ง .. อยู่ใน เขาวงกตไอพีโซน..
ทำให้แก๊งค์ลูกหมู ต่อรองทั้งถุง ทั้งโปสเตอร์ กันแบบ ไม่รู้จักอิ่ม.. ซื้อถุงเท้า เอาถุง ซื้อร่ม เอาโปสเตอร์ กันซะงั้น..
เล่นเอาเป็นที่โจทก์ขานของพนักงานกันไป ถึงกะต้องเดินมาถาม..ว่ามาจากไหน.. ตอบอย่างภาคภูมิใจ ในภูมิภาค..
" ไท่กั๊วเหลิน ".. ไม่ไรป่าวววว..

( ลูกหมูสีจมปู หลงระเริงเขาวงกต.. อุ อุ)

เป่ยจิงลู่.. มี ป้อ กะ เทียน.. น่าร๊าก..

แต่เนื่องจากใช้พลังงานในเขาวงกต ไปซะหมด..
เห็นอ้วนยังเฉย แถม ไม่เห็นรูปข้างบนซะงั้น..
พอมาเห็นในกล้องทวด เลยต้องแหงนไปดูอีกรอบ..

หมดแรง บะหมี่เกี๊ยว กันด้วย บรรยากาศ ถนนเป่ยจิงลู่ ในคืนแรกของการจับกวาง..

ปุ้งนี้.. กวางขาวๆ ปากห้อยๆ จะมาถึง สนามบินไป่หยุน ตอนสิบเอ็ดโมง.. ต้องเก็บแรง
กันก่อนแหล่ว..


วันที่ 5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ .. ขอให้คุณพ่อมีความสุข

เป็นเช้าวันใหม่ ในกวางโจว ที่แสนจะตื่นเต้น เพราะขนาดนอนไปตอนประมาณ
เกือบตีสี่ ยังสามารถตื่นมาได้ตอน 7 โมงเช้า ก็ตั้งแต่งานคอนฯที่เมืองไทย
ก็ปาไป 1 ไตรมาสกว่าๆ แล้ว ที่ไม่ได้เจอ พ่อเทวดาหน้าหยกทั้งหลาย ถึงจะเจอ
แค่คนเดียวก็เถอะ.. งี๊ดๆๆ แอบอยากเจอ มากกว่าหนึ่ง ฮือๆๆๆๆ

เช้าวันนี้ต้องหาอาหารเช้ากระแทกท้องกันเอง เพราะดูท่าทางน้องหมวยทั้งหลาย
เธอก็วุ่นๆ กับการเตรียมการต้อนรับน้องตี๋ และ จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ คณะจับ
กวางจากไท่กั๊ว ซึ่ง นอกจากแก๊งค์ลูกหมูแล้ว ยังมี พี่นก ป้าแวน พี่อ้อย จูตาล
พี่คุณนาย แล้วก็เพื่อนพี่คุณนาย (ที่คุ้นหน้าทุกงาน แต่.. แฮะๆๆ จำชื่อบ่ได้ ..
ขออำภัย) งานนี้ไม่ได้พี่นกเราคงไม่ได้กิน โจ๊กแสนอร่อย กับ บะหมี่เกี๊ยว ที่รู้สึก
ว่าเมื่อคืนยังไม่หนำใจ แต่หลังจากมื้อเช้านี้แล้ว.. แก๊งค์ลูกหมู สั่งลา บะหมี่เกี๊ยว
กวางโจว..ไปเลย.. พอเห็นเกี๊ยว ร้อง “ เบื่อโว้ย !!” ทันที.. เรากินข้าวเช้ากันแบบ
ไม่รู้จักอิ่ม เหมือนจะรู้ว่า เรื่องนอยเรื่องที่สอง กะลังจะเกิดขึ้นในเย็นวันนี้.. อุ อุ

กินเสร็จ ก็ กลับไปเดินเล่นบนถนนเส้นเมื่อคืน.. แล้วก็ย้อนกลับไปโรงแรมตาม
เวลานัด คือ 10 โมง ยืนรอพลพรรค กันจนครบถ้วน ก็มูฟกันไปขึ้นรถบัส ตรงลาน
จอดรถด้านหลังโรงแรม .. พอเห็นรถ.. อื้ออออออออออหือออออออ ( ว่าจะถ่าย
รูปมา .. แล้วก็ลืม) น้องหมวยวีวี ตกแต่งรถบัสคันงาม ด้วยแบนเนอร์น้องตี๋ ไฟล์
แอนด์ไอซ์ ซึ่งพวกเรายังไม่ได้เห็นโฆษณาเต็มๆ เลย ตอนที่ออกมาจาก ไท่กั๊ว

ได้เวลา.. ออกเดินทาง.. มากวางโจว ครั้งแรก.. แต่ขอบอก สนามบินไป่หยุน..
คุ้นแล้วเว้ยเฮ้ย.. เดินจนพลุน ใหญ่ และสวย จริงๆ.. เนื่องจากเมื่อวานเย็นเรายังไม่
คุ้นสถานที่เลยไม่กล้าแตกแถวไปไหน แต่วันนี้มาอีกรอบเราเลยแยกตัวออกมา
เดินหา mapเมืองกวางโจว เพราะว่า จะต้องอยู่ต่ออีก 3 วัน ถ้าไม่มี map สงสัย
ต้องเล่น อีตักกันในโรงแรมเป็นแน่ พอเช็คเวลาเครื่องที่น้องตี๋มา แล้วก็ปล่อยทวด
ให้ยืนเกาะกระจก.. รอลูกชาย ลูกหมูที่เหลือ ก็ไปตะลุยหา map.. ขอบอกว่า
กระทั่งเจ้าหน้าที่สนามบิน ภาษาอังกฤษ ยังไม่กระดิกหู.. สุดท้าย เดินขึ้นเดินลง
กันจนเวียนหัว เก๊าะ ไม่ได้แผนที่อยู่ดี.. เฮ้อ.. หมูนอย..

แต่ก็ด้วยอาการเดินสำรวจเนี๊ยะแหละ.. แก๊งค์ลูกหมูเลยได้เจอร้านเอสแอนด์เค
ร้านที่สองในกวางโจว ซึ่งร้านแรกที่เจอเมื่อคืน เราพยายามเจรจาต้าอ้วย ขอนู่น
ขอนี่เป็นการใหญ่ แต่ก็ได้อะไรมาไม่มาก อาจจะเพราะลูกค้าเยอะ เค้าเลยไม่ง้อ
แต่ที่สนามบิน ร้านเงียบเป็นเป่าสาก เราก็เลยไปสร้างความคึกคัก ด้วยการซื้อร่ม
แค่ 1 คัน.. ที่เหลือ แม่สั่งให้มา ขอ.. อิ อิ ได้ถุงใบเล็กใบน้อยมาเพียบอยู่ แถม
ได้ถ่ายรูปกะอ้วน .. ที่หลบไปยืนเหงาๆ อยู่ข้างเสาคนเดียว.. มัวหลงระเริง จนลืม
เวลา เลยต้องวิ่งหน้าตั้งกลับมารอรับน้องตี๋ และแล้ว ก็รู้ว่า อ้วนขโมยถุงมือไปข้าง
นึง.. แง๊ๆๆๆ ถุงมือคู่ละ 890 ... หายไปเพราะมัวแต่ หลงระเริงกะอ้วนข้างเสา..
ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

.. บรรยากาศสนามบินไป่หยุน ..



นาทีระทึก very moment

สมาชิกบ้านเม้ง คงทราบกันดีว่า ปกติ ปี้เอสเนี่ยจะปลูกแห้วไว้เป็นไร่ๆ เพราะเกือบ
ทุกครั้งที่เหล่าเทวดาหน้าหยกบินมาไท่กั๊ว ปี้ทั่นต้องมีอันชวดเกือบทุกทีซิน่า.. เหอๆๆ

แต่คราวนี้ คาดว่าพิกัดที่ตั้งของเมืองกวางโจว ไม่เหมาะสมกับการปลูกไร่แห้ว..
อย่างแรง หรืออาจเป็นเพราะ ทั่นปี้เอส และ ทวดเป็นคนตระกูลเฉิน บรรพบุรุษที่
กวางโจว เลยช่วยคุ้มครองให้สมหวังทุกประการ.. เหล่านี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ
ซึ่งเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ แต่มีปัจจัยหนึ่งที่อยู่ในความควบคุมของเรา คือ
ยางบนใบหน้า .. อุ อุ พอออกนอกประเทศไปในถิ่นที่เราไม่รู้จัก และก็ไม่มีใคร
สักคนรู้จักเรา เค้าด่าเราก็ฟังไม่รู้เรื่อง เราด่าเค้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง หน้าไปหลาอยู่บน
จอทีวีแม่ก็ไม่รู้ โอวอิสระเสรีที่เสี้ยวเทียนต้องการ ( ขอหน่อย )

ดังนั้น ไม่ทันต้องคิด และคิดไม่ทัน ปี้เอสซึ่งมีความได้เปรียบทางด้านรูปร่าง
พอไม่ต้องกลัวกล้องสะอย่าง พี่ทั่นก็สามารถเข้าไปยืนในจุดที่พอใจ แถมได้รับ
อากาศเบื้องบนไม่ต้องมาทน ดมหัวไม่สระผมของหมวยๆ ทั้งหลาย ให้ระคาย
ตะหมูก.. ( ไม่สูงบ้างแล้วไป.. ว้อย) เที่ยวบินน้องตี๋มาตรงเวลา ( เที๋ยว CZ ไรอะ
นู๋ลืม.. ฮืออ)

แต่ เหมือนบรรพบุรุษตระกูลเฉินจะกลั่นแกล้งให้น้องตี๋ ยืนรอกระเป๋า เป็นอนุสาวรีย์
ให้เราได้ยลกันอยู่นานสองนาน ถึงจะเห็นแต่ข้างหลัง แต่ก็เป็นที่อิ่มอกอิ่มใจ
เพราะยืนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน เกือบ 10 นาที ทำให้มีเวลาคิดว่า
จะเข้าไปประชิดตัวได้ด้วยวิธีใด และมีเวลาหยั่งรากให้มั่นกับพื้น พร้อมบอก
ตัวเองว่า “ ถ้าตรู ล้มลงไป เป็นศพแน่ๆ สหบาทาหมวย คงไม่ปรานีใคร”
คิดได้ดังนั้น ยืนกางขาให้มั่น .. มือขวาตั้งกล้อง ตาจับจ้องที่หลังน้องตี๋
พอตี๋เริ่มขยับ กล้องก็เริ่มทำงาน งานนี้หมูป้ายืนอยู่ห่างๆ ประมาณ 5-6 ก้าว
คลิปก็ได้มาห่างๆ แต่ก็เห็นน้องตี๋และพี่จือชัดเจน .. และแล้วน้องตี๋ ก็ค่อยๆ
เคลื่อนกลายออกมาจากสนามบิน..ใช้เวลาประมาณ นาทีกว่าๆ เกือบสองนาที
ขึ้นรถแวนคันสีขาว ออกจากสนามบินไป ช่วงเวลานั้น ลูกหมูไจโกะ ก็วิ่ง
แหกปากมาเหมือนโดนใครเชือด.. ปากก็ระร่ำระลัก พูดแต่ว่า.. จับมือ (เสียงสูง
ขึ้น ) จับมื้อ.. (สูงขึ้นอีก) จับมื๊ออออออออออ

เออ.. กรูรู้แล้วววว จับมือใครละเว้ย.. “จับมือตี๋ .. จับจูง จับจูง .. จือคว้ายังไม่
หวั่น.. จับไม่ปล่อยเลย”... ( เป็นจือหน่อยไม่ได้ พะจะหยิกให้เขียวเชียว..
อิจว้อย) พอรถตี๋ออกไปทวดก็วิ่งกลับมา หน้าซีดมั๊กมาก ช่วงนี้เหมือนว่า
เทพอุ้มสมประจำตัวทวดยังไม่ตื่นจากบรรทม.. หรือว่าเจอ เทพยักษ์ ของปี้เอส
ขวางดวงอยู่ก็ม่ายรุ.. อุ อุ ( เรื่องราวความประทับใจของแต่ละคนคงต้องให้ลูก
หมูแต่ละตัวมาแจกแจงกันเองเน้อ)


(อันนี้ยืนนิ่งเป็น อนุเสาวรีย์ อยู่ลิบๆ)


พอน้องตี๋ลับตาไป .. และสาวกทั้งหลายก็เริ่มหายจากอาการตื่นเต้น ก็ตั้งสติกัน..
แยกย้ายกันกลับโรงแรม เพื่อเตรียมตัวไปงาน .. แต่ท่าทางตะละคน สติมันวิ่งตาม
รถน้องตี๋ไปด้วย ทั้งหมวยทั้งไม่หมวยเดินกลับรถบัสกันไม่ถูก เดินผิดเดินถูกเกือบ
เข้าไปทัวร์รันเวย์ท้าลมหนาวในสนามบิน.. ซะงั้น

กลับมาถึงโรงแรมกี่โมงจำบ่ได้ รู้แต่ว่าน้องหมวยวีวี นัดให้ไปพร้อมกันที่หน้า
โรงแรมตอนประมาณ บ่าย 3 โมงครึ่ง ช่วงนี้เริ่มนอยกับที่นั่งในบัตรกันแล้ว เพราะ
ว่าน้องหมวยไม่ยอมแจกบัตรเข้างาน พอถามว่าจะได้นั่งตรงไหน ก็ตอบไม่ได้
เหมือนกัน แก๊งค์ลูกหมูเดินทางมาไกลก็อยากดูใกล้ๆ เลยสืบเสาะจนรู้ว่าที่ที่น้อง
หมวยจัดไว้ให้เรานั้นเป็นที่ที่อยู่บนชั้นสองข้างเวที รับรองไม่มีใครขึ้นไปบังได้..
เหอๆๆ แก๊งค์ลูกหมูไม่กัวแขกเฟร้ย.. เลยตะเกียกตะกาย เสียตังส์ค่าตั๋วกัน
อีกรอบเพื่อที่จะได้นั่งดูตี๋อย่างใกล้ชิด ..

กว่าจะรวมพล กันครบ แล้ว ย้ายก้น ไปที่ จงซานฮอลล์ ( Sun Zhongshan Jiniantang
= อนุสรณ์สถานซุนจางซานจี้เนี่ยนถาง : อยู่ใกล้กับถนนเจี่ยฟ่างเป่ยลู่
กับตงเฟิงลู่ หลังคามุงกระเบื้องสีน้ำเงิน สร้างขึ้นหลังอสัญกรรมของ ดร.ซุนยัดเซ็น
ในปี 1925 เสร็จสมบูรณ์ในปี 1931 โรงละครและห้องบรรยายมีเนื้อที่ 12,000
ตารางเมตร จุคนได้หลายพันคน – จากหนังสือนำเที่ยวของปี้เอส )
ไปถึงจงซานฮอล์ ก็ใกล้ๆ ห้าโมงแล้ว แก๊งค์ลูกหมูเริ่มรู้สึกตัวว่า โจ๊กกะเกี๊ยว
เมื่อเช้าถึงจะกินไปมากแค่ไหน ลูกหมูก็สามารถกักตุนอาหารได้แค่กระเพาะเดียว
เริ่มกระจองอแงบ่นหิว กันแล้ว.. ทีแรกว่าจะเดินเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ แต่รอกันไป
รอกันมาจนพิพิธภัณฑ์ปิด .. ซะงั้น . อด ได้แต่เกาะรั้วมอง ป๋องพี่เป๊บบิคเบ้งอยู่
หน้าฮอล์ น้องหมวยแจ้งให้ทราบว่าจะมีซาลาเปามาให้ตอนห้าโมงครึ่ง ฟังตั้งนาน
ไอ่ซาลาเปาเนี่ย ก็คือ พี่แมคโดนัล บ้านเรานี่เอง.. เอาฟระ เสียค่าบัตรไปพันนึง
(ค่าบัตรใหม่ที่นั่งดีกว่าสิริราคาไม่ถึง 500 ) กินของน้องหมวยให้คุ้มหน่อย..
(ลืมบอกไปว่า หน้างานมีตั๋วผีขายเพียบ ) และแล้วก็รู้ว่าคิดผิด ปาไปหกโมง
เปายังไม่มา นกกิ้งโค้งเริ่มโมโหหิว เดินง่วนหา มันเผา ( ใครไปเมืองจีน ควรหามา
กินให้ได้ มันร้อนๆ เผาในปีบ หัวหญ่ายๆ ผิดมันบ้านเรา .. หย่อยๆๆๆ) เดินจนจะ
รอบรั้วฮอล์ ไม่มีของขายจั๊กเทือก เลยต้องกินน้ำลูบท้องรอ เปาของหมวยต่อไป
รอไป ก็อยากจะงับหัวหมวยไป.. ฮ่วย.. สักหกโมงครึ่ง .. เราถึงได้กิน เปา..
แบบ หายไปในพริบตา ใส่ถึงมือปุ๊บ ยัดเข้าปาก วาบ.. หมด.. ม่ายอิ่ม..

คราวนี้เริ่มไม่สนใจกองทัพหมวย .. แก๊งค์ลูกหมูมีแรงแล้วก๋ากั่น เริ่มออกเดินเท้า
แยกตัวไป หาแหล่งอาหาร และห้องน้ำ เพราะคาดว่าห้องน้ำในฮอล์ คงเข้า
ข่าย “รับไม่ได้” เป็นแน่.. เราก็เดินไปตามทางที่รถเลี้ยวเข้ามาเพราะจนป่านนี้เรา
ยังหา map กวางเจา ไม่ได้เลยระหว่างที่จะเดินถึงถนนใหญ่ พระเจ้าก็เริ่มเห็นใจเรา
โดยส่งมาแป๊ะขายมันเผาเดินผ่านหน้าเรา .. ปี้เอสกะนกกิ้งโค้ง ฐานที่เคยมาเมือง
จีนกันแล้ว เลยรู้ว่า ไอ้ปีบเก็บขยะนั่นเป็นแหล่งอาหารอันโอชะ.. เราเลยได้มันมา
คนละหัว เดินงับต่างหัวน้องหมวย แล้วก็มุ่งหน้าหาแหล่งน้ำต่อไป

เดินผ่าน ข้างๆ จงซานฮอล์ เหมือนเป็นศาลาว่าการเมืองกวางโจว.. (ไม่รู้เค้าเรียก
อะไร แผนที่เน่าไม่อยู่ในมือตอนนี้ ) ถัดไป ก็เป็น โรงแรมตงเฟิง ที่ตอนแรกเรา
กะจองห้องพักที่นี่เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้กับที่จัดงาน .. จากถนนตรงนั้นมองไปก็
เหมือนกับจะไม่มีแหล่งน้ำของแก๊งค์ลูกหมู แล้วสายตาทวดก็ไปต้องแสงไฟ ดวง
น้อยๆ ที่รอดผ่านรั้วโรงแรม ทวดว่า ตรงนั้นต้องเป็นร้านขายของแน่ เราเลยเสี่ยง
เดินผ่านซอยมืดๆ เข้าไป..

แล้วก็ไม่ผิดหวัง เป็นคอนวีเนี่ยนเล็กๆ หรือเรียกว่า โชวห่วย บ้านเรานั่นเอง มี
สารพันสินค้าครบครัน คว้าน้ำ พร้อมหนมติดไม้ติดมือกันออกมา พร้อมกับสายตา
ประหลาดใจของเจ้าของร้านว่า ไอ้พวกนี้มันหลุดมาจากโลกไหนว่า ( คือในมือ ก็
ยัง ใส่ข้อมือ ถือลูกโป่งพร้อมจะดูคอนเสิร์ต) พอเสบียงและน้ำพร้อม เราก็พร้อม
จะลุย

โดยไปตั้งมั่นกันที่ห้องน้ำ ของโรงแรมตงเฟิง ตอนขาเข้าต้องทำตัวเฉิดฉาย
ว่าข้าพักที่นี่ แต่ด้วยความพะรุงพะรังคุณยามเธอก็แอบจับตามอง.. ลูกหมูม่ายสน
เดินกันเฉิบๆ ขึ้นบันไดเลื่อนดิ่งไปที่ห้องน้ำ(ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกนะว่าห้องน้ำอยู่ไหน
แต่คาดว่ามัวงกๆ เงิ่นๆ ดูป้ายอยู่ด้านล่าง เกรงจะถูกจับโยนออกไปเป็นแน่)

.. แม่เจ้า .. ห้องน้ำโรงแรมสี่ดาว เป็น.. “ส้วมหลุม” กรูอยากตาย.. ดีว่ายังมีประตู
มิดชิด.. นอยจนขำ.. แอบคิดว่า ตรูไม่ได้นั่งยองๆมานานแค่ไหนแล้วเนี๊ยะ..

.. แต่โรงแรมนี้ มีดีอยู่อย่าง.. คือ “ มีร้านขายmap “ ยับปี้!! อีก 3 วันที่เหลือ รอด
แล้วเว้ยเฮ้ย ไม่ต้องนั่งเล่นอีตักที่โรงแรม..

.. คราวนี้เราก็ดิ่งกลับมา ด้วยสภาพพร้อมรบ.. กะ น้องตี๋.. อิ่มและน้ำก็มี ทุกข์ก็
ปลดแล้ว map ก็ได้มาไว้อุ่นใจ คราวนี้แหละ.. กรี๊ดกระจุย..


( ภาพน้องตี๋หน้างาน สว่างวาบได้เพราะแสงแฟลช.. พี่เป๊บทำยังกะ ตีหัวคนมาดู
งาน.. ปิดไปซะมืดแปดด้าน ..)


..มีเรื่องไม่คาดฝันอีกนิหน่อย.. ที่กลายเป็นตำนานแก๊งค์ลูกหมูในคราวนี้.. ก็คือ
ข้างรั้วของ จงซานฮอล์ โดยบังเอิญ เราได้พานพบกะ โคโค่ เพื่อนชาวฮ่องกง
ที่ไม่ยั่นในการหาพรีเมี่ยมให้เรา และมาดูคอนฯที่เมืองไทย หลังจากนั้นปี้เอสและ
น้องนิค ก็มีล่ามในการนั่งดูตี๋ ส่วนป้า ป้าเลนส์ และนกกิ้งโค้ง นั่งมองน้องตี๋
พะงาบ พะงาบ แบบมะรู้เรื่อง.. ฮึ่มๆๆ ไม่เกิดเป็นคนตระกูลเฉินบ้างแล้วไป๊..
อาไร้.. โชคจะเข้าข้างแล้วเข้าข้างเล่าอยู่ล่าย..

ส่วนทวดหลังจากบรรพบุรุษ สาวประวัติแล้วว่าทั่นก็เป็นคนตระกูลเฉินเช่นกัน เลย
หอบความโชคดีมาไว้ใกล้ๆ ประมาณ แถวห้าจากหน้าเวที แล้วก็โชคดีซ้ำซ้อนได้
คุยกะลูกชาย โดยมีสักขีพยานเป็นคนทั้งฮอลล์

เนื่องจากฟังน้องตี๋ไม่ค่อยรู้เรื่อง อิป้า ก็ง่วงเหงาหาวนอนซะงั้น.. กระเด้งมาเป็น
ระยะ ตามความน่ารักของน้องตี๋.. แต่ที่ทำเอาตาหว่าง ก็เสียงเย็นๆ ของทวดนี้
แหละ.. พอน้องตี๋ ชี้ไท่กั๊ว เราก็มองตาม เห็นป้าย ไทยแลนด์ ( อันเป็นป้ายลง
ยันต์มาแล้วจากน้องยูเรก้า ซึ่งคราวที่แล้วก็หอบไปสิงค์มาด้วย.. ต้องขอบคุณจู
ตาลที่ หอบมาจากเมืองไทยอีกรอบ ) ทวดพูดไรไม่รู้ ตี๋ถามไรไม่เข้าใจ รู้แต่..
เสียงทวด เสียงทวด เสียงทวด.. ดีจายน้ำตารื้นนนน.. ฮือๆๆๆ ( รายละเอียดใน
ฮอลล์หาดูได้จากในคลิป.. เนื่องจากนั่งดูบ่ฮู้เรื่อง เลยเล่าได้บ่ถืก )



.. ลำดับเหตุการณ์ระทึก..

ป๋องเนี๊ยะ เพื่อแม่


แม่ป๋มข้ามทะเลมาจากไท่กั๊ว .. นั่งอยู่โน่นค๊าบ

แม่จำราศีเกิด ป๋มได้ป่าว

แม่อยากขึ้นไปเล่น เกมส์นี้เจงๆ .. ลูกตี๋เอ๊ย


( เห็นเกมส์นี้ปุ๊บ อิป้าโวยวาย.. ตรูเล่นต้องชนะแหงม..
ตรูอยากเล่น.. กระโดด หยอยๆ แหกปากเท่าไร.. ก็มะมี
ใครสน.. นอย.. ตรูอยากเล่น.. (ลืมควบคุมยางบนใบหน้า
อีกและ.. )เก็บกด ไปเล่นกะปี้เอสในวัด วันรุ่งขึ้น..ซะงั้น..)


..แต่ความโชคดีของแก๊งค์ลูกหมูยังไม่หมดแค่นั้น เนื่องจากเราเจอแม่หมูโคโค่
เราเลยตะล่อมแม่หมูอย่าเพิ่งกลับฮ่องกง ให้อยู่เป็นไกด์นำเที่ยวให้เราก่อน
พวกเราเลยไม่กลับกะรถที่น้องหมวยวีวีจัดไว้ให้ โดยจะไปหาอาหารกวางตุ้งกินกัน
รอบดึก

ก็เดินวนอยู่ใน จงซานฮอลล์ หาทางออกไม่ได้ สุดท้ายก็เลยวนจนรอบ มาทาง
ด้านหลังฮอล์เห็นกาดกะคนจำนวนนึงยืนออกันอยู่ ก็เลยได้ความว่า น้องตี๋นั่งให้
สัมภาษณ์อยู่ด้านในยังไม่ออกมา .. อาฮะ.. เดชะบุญอะไรเช่นนี้.. ยืนพ้อยท์เท้า
กันซักพัก พิธีกรในงานเป๊บก็เดินออกมา.. เราก็ แท่ดๆๆ เข้าไป เจ๊าะแจ๊ะ จนทวด
ได้ลายเซ็นต์มาด้วย.. อิอิ.. จากนั้นก็ยืนเข้าแถวรับเสด็จน้องตี๋..

แล้วก็ไม่ผิดหวัง น้องตี๋นั่งเปล่งประกายแสงโอโม่อยู่ในรถ แก๊งค์ลูกหมูมัวตะลึง
แสงเข้าตา เลยไม่สามารถจับภาพมาให้ได้ .. แต่น้องตี๋ก็โบกไม้โบกมือทักทายจน
รถลับประตูไป.. งานนี้ หลงทางได้ลาภโดยแท้.. ขอบคุงแม่หมูที่พาเดินวนซะทั่ว
ฮอล์มืดๆ..

พอภาระกิจจับกวางเสร็จสิ้น .. ลูกหมูทั้งหลาย ก็เพิ่งตระหนักว่า จากโจ๊กกะเกี๊ยว
เมื่อเช้า ถึง ซาลาเปา เมื่อเย็น ขณะนี้ สามารถเขมือบควายได้ทั้งตัวแล้ว..
และแม่หมูก็พาเรามากินอาหารกวางตุ้งแสนอร่อย ราคาถูกที่สุดเท่าที่อยู่กวางโจว
มา .. ( ฉ่อยซำ อาหย่อยมั๊กมาก.. : ฉ่อยซำ คือผักกวางตุ้ง)


คืนนี้พกแต่ความอิ่มเอมกลับไปนอนหลับเป็นตาย..


ตำนานแก๊งค์ลูกหมูตะลุยกวางโจว

หลังจากภาระกิจจับกวางเสร็จสิ้น ข่าวสุดท้ายทราบว่าน้องตี๋นั่งรถแวนออกจากกวางโจวกลับไปฮ่องกง ตั้งแต่เมื่อคืน พวกเราก็เตรียมวางแผนใช้ 3 วันที่เหลือ ตะลุยกวางโจวไหนๆ ก็มาแล้ว เดี๋ยวแม่ถามจะได้ตอบแม่ถูก หรือไม่ก็จะได้มีรูปถ่ายไปอำพรางคดี.. อิ อิ

แพลนมีคร่าวๆ ประมาณว่า ไปเที่ยวตามสถานที่ในหนังสือแนะนำไว้ และ ก็หาไรหย่อยๆกิน หาที่ช๊อปของเอฟ(อันนี้ไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากฟังคณะอื่นเล่ามา น้ำยายเลยเริ่มใย๋ ) เรามีเวลา วันที่ 6 7 และ 8 ก่อนบ่ายสี่โมง เพราะเครื่องออกตอน 2 ทุ่ม

ตอนเช้า พี่นก ก็จัดการจองห้องพัก ต่อให้อีก 2 คืน ส่วนคณะของพี่นก ป้าแวน และ คุณนายจู เห็นว่าจะไปตะลุยมาเก๊ากันต่อโดยที่จะค้างที่กวางโจวอีกคืนเดียว ก็เลยร่ำลากันในเช้าวันนั้น เพราะคาดว่า ออกจากโรงแรมไป คงกลับกันมาดึกพอควร

กว่าจะตื่น ทำธุระ จัดการห้องพัก ก็ปาไป เกือบสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว เราเลยรวบยอดอาหารเช้ากับกลางวันเข้าไว้ด้วยกัน โดยฝากท้องไว้กับแม่หมู แม่หมูถามว่าจากกินไร “ ติ่มซำ ติ่มซำ ติ่มซำ” จากินติ่มซำ แม่หมูก็พยักหน้าหงึกๆ .. คิดในใจว่า “ เหอๆๆ ไม่เสียเที่ยวแล้วตรู” แล้วแม่หมูก็พาแก๊งค์ลูกหมูเดินออกจากโรงแรม ย้อนไปตามถนนที่น้องหมวย พาเดินลากกระเป๋ามาวันแรก แก๊งค์ลูกหมูก็ตื่นตาตื่นใจกับร้านรวง ที่เห็นวันแรก แล้วก็ กะแวะ กะแวะ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้แวะ (จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปแวะ.. ฮือๆๆๆ) เดินกันพออ่วม แม่หมูก็ชี้ไปที่ร้านนึง ว่า กินร้านนี้ไม๊.. ยี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โจ๊กกกกกก.. ม่ายกิง ส่ายหน้ากันดิก.. แม่หมูทำหน้าระอา แล้วก็เดินไปถามอาแปะคนนึงที่นั่งเฝ้าหน้าร้านแถวนั้น ( ที่กวางเจา ถ้าถนนไหน ขายของประเภทไหน เค้าจะขายกันทั้งถนน ถนนที่เราเดินผ่านในเช้าวันนี้ ขายภาพเขียน ทุกร้านสองข้างทางก็มีแต่ภาพเขียน มีถนนนึงนั่งรถผ่าน ขายประตู ทั้งถนนสองข้างทาง มีประตูเป็นร้อย ) อาแปะแนะนำว่าหัวมุมถนนตึกที่เราเดินผ่านชั้น 6 มีร้านอาหารกวางตุ้ง ( และแล้วตรูก็จำชื่อร้านไม่ได้ ) เราเดินขึ้นบันไดเลื่อน ไป 6 ชั้น แล้วก็พบทางเข้าเหมือนเป็นบันไดหนีไฟหลังร้าน ทีแรกก็งงๆ แต่ก็มีพนักงานแต่งกี่เพ้าออกมาต้อนรับ ยังนึกในใจว่า ร้านยังมาซ่อนอยู่ในหลืบขนาดนี้ แต่พอเข้าไป อู้หู อย่างหรู แอบกระซิบถามแม่หมูว่า แพงไม๊ แม่หมูส่ายหน้าดิก โอเจ ระหว่างเดินหาที่นั่ง ป้าก็เดินไป เอานิ้ว ชี้ไปที่ลิฟท์ มืออีกข้าง ก็ไปสะกิด แม่หมู .. Heyๆๆ ทำไมตรูไม่ขึ้นจากทางนี้ แม่หมูหันมาหัวเราะสติแตก พร้อมตอบว่า I don’t know เวรไม๊ล่า จะพาตรูรอดตลอดรอดฝั่งไม๊เนี่ย แต่อาหารมื้อนั้นก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เนื่องจากภาษาจีนอ่านไม่ออก ภาพก็ไม่มีให้ดู เราก็เลยต้องอาศัยแม่หมูลูกเดียว ได้อาหารออกมาหน้าตาแบบเนี๊ยะ..


หลังจากอิ่มหมีพีมันกันแล้ว ก็ได้เวลาออกตัว ไปเที่ยวตามสถานที่ตั้งใจไว้ แห่งแรกที่หมายตาคือ วัดกตัญญู เค้าเรียกว่า GUANG XIAO CHAN SI (กวงเสี้ยวฉางซื่อ) วัดเนี๊ยะถ้าไปโดยรถไฟใต้ดินจะต้องขี้นบริเวณสถานี XI MEN KOU ( ซีเหมินโคว) โอว ทั้งเสี้ยวทั้ง ซีเหมิน อิป้าพยักหน้าหงึกๆ ไป ไป ไป.. ตกลงที่แห่งแรกที่จะไป ก็คือ วัดเสี้ยว นี่แหละ และทางที่จะไปก็คือเราต้องเดินไปขึ้น รถไฟใต้ดิน คราวนี้แม่หมูก็พาเดินมาเรื่อยๆ จนเรามาบรรจบ กับถนน Zongshan-5 lu ซึ่งถนนเส้นนี้ ถ้าเราเดินออกจากโรงแรมไปตามเส้น shopping เมื่อวาน ก็จะมาบรรจบถนนเส้นนี้.. เริ่มแหม่งๆ ว่า แม่หมูไม่รู้ทาง เพราะระหว่างเดินมา แม่หมู ถามทางกับ อาม่า อาแปะมาตลอดทาง นกกิ้งโค้งเห็นดังนั้นเริ่มควักแผนที่มา ดูเองดีก่า ระหว่างดูแม่หมูก็วิ่งไปถามทาง แล้วก็ กลับมาบอกว่า ระหว่างที่เรายืนอยู่มีสถานีรถไฟใต้ดินอยู่สองทางซ้ายกับขวา ห่างพอๆ กัน จะไปขึ้นสถานีไหน เราก็ตามใจแม่หมู พอดีกวางโจวเนี่ยฝั่งคนขับมันอยู่คนละข้างกับบ้านเรา คือ พวงมาลัยซ้าย ถ้าเราจะไปขึ้นสถานีทางซ้าย ก็ต้องให้แท๊กซี่ไปยูเทิร์น เราเลยตัดสินใจ ไปขึ้นสถานีขวามือ ก็ลงไปงกๆ เงิ่นๆ อยู่สถานีรถไฟใต้ดินซักพัก เราก็ได้ขึ้น แล้วก็นั่งรถเลยมาสองสถานี ผ่าน GONGYUANQIAN แล้วไปขี้นที่ XI MEN KOU พอขึ้นจากสถานี แม่หมูก็เรียกแท๊กซี่ ให้ไปส่งที่วัดกวงเสี้ยวฉาง แท๊กซี่มันทำหน้างงๆ แล้วก็ทำเสียง จึ๊ จ๊ะ ป้าก็งงๆ ว่าทำไมมันไม่กดมิเตอร์ มันก็เลี้ยวขวา ป๊าบ สูดหายใจสองที มันแทบจะถีบเราลง ก็ไอ้วัดเนี่ย มันเดินเข้าซอยมาไม่ถึง 100 เมตร ก็เห็นแล้ว เจ๊ป้าเลนส์ทำท่าจะไม่จ่ายตังส์เพราะมันไม่ยอมกดมิเตอร์ มันก็โวยวายใส่ เจ๊มีเถียง “ อย่าดุซีโว้ย กรูไม่รู้เรื่อง” เออเว้ยเพิ่งเห็นเจ๊เม้งก็งานนี้แหละ สะกิดเจ๊ จ่ายๆไปเหอะ 7 หยวน กรูนั่งยังงงเลยว่า จะคิดตังส์เท่าไหร่ดีกว่า ( นึกถึงเรื่องบุญชู ที่ใครสักคนเข้ากทม.มาแล้วเรียกสามล้อ ไปส่ง ไอ้สามล้อมัน กลับรถ ข้ามถนน แล้วบอก “ถึงแล้ว” โอวนี่ตรูบ้านนอกพอๆ กะบุญชู ใช่ไม๊เนี่ย .. ) ลงจากรถได้ ทุกคนก็ชี้หน้า แม่หมู โคโค่ ฮาลั่น I don know .. แหงะ จะไม่รู้อีกกี่เรื่องเนี่ย แอบนอย..

( บรรยากาศภายในวัด เงียบสงบ .. ไม้ดูเก่ามาก แล้วก็สะอาด คนไม่ค่อยเยอะเท่าวัดบ้านเรา)


วีรกรรมแม่หมูยังไม่หมดแค่นั้น.. ระหว่างที่เราเดินเข้าวัดเสี้ยว คนที่นั่งเก็บตั๋วอยู่หน้าวัด ก็พ่นภาษาจีนเสียงดังว่าเราต้องไปซื้อตั๋วก่อน ราคา 4 หยวน (ใช่ป่าวหว่า ) พวกเราก็หันซ้ายหันขวา ม่ายเห็นซุ้มขายตั๋วจั๊กเทือก พลันสายตาโคโค่ ก็เหลือบไปเห็น กล่องไม้หนึ่งใบตั้งอยู่หน้ายักษ์ตนหนึ่ง เธอก็ชี้ๆประมาณว่า ให้เราใส่เงิน ลงไปในกล่อง แก๊งค์ลูกหมูเริ่มเกากบาลแกรกๆ เจ๊เลนส์ (แอบมาเล่าทีหลัง) นึกในใจว่า “ตรูใส่เงินลงไป แล้วไอ้กล่องไม้เนี่ย มันจะยื่นตั๋วมาให้ทางไหนฟระ” ทุกคนไม่หลงกล แม่หมูแล้ว มีแต่เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นบนใบหน้า เจ๊เลนส์ เลยออกเดินสำรวจพื้นที่ แล้วก็ไปเจอห้องขายตั๋วอยู่หลังยักษ์ตนนั้น ไจโกะ ที่ยืนเถียงกะ โคโค่อยู่ เลยไขข้อข้องใจว่า ไอ้กล่องไม้เนี่ย ถ้าเป็นบ้านตรูเค้าเอาไว้ใส่เงินบริจาคเฟร้ย ขืนตรูหยอดไป มันจะบริจาคตั๋วเข้าวัดให้ตรูไม๊.. นอย ขำกันจนคนฉีกตั๋วงง ว่ามันไปยืนมุงตู้บริจากทำไม.. แม่หมู นะ แม่หมู..


( กล่องเจ้ากรรม)


สาระ ( จากหนังสือนำเที่ยวของปี้เอส)

วัดกวงเซี่ยวซื่อ ซึ่งพ้นภัยจากการปฏิวัติวัฒนธรรมมาได้เพราะโจวเอินไหลสั่งให้อนุรักษ์เอาไว้ ตำนานเล่าว่าวัดนี้เก่าแก่กว่าเมืองกว่างโจวเสียอีก มีอายุอยู่ในราว ค.ศ.400 แต่วิหารบางหลังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่สร้างขึ้นหลังอัคคีภัยในปี 1269, 1629 และอาจหลังปี 1832 ด้วย ตรงประตูทางเข้ามีรูปพระสังกัจจายน์สีสดในตั้งอยู่ ที่ลาดด้านหน้ามีกระถางกำยานสำริดขนาดมหึมา วิหารหลังใหญ่มีเพดานไม้ลงรักเป็นสีแดง ส่วนลานวัดด้านหลัง ก็มีเจดีย์เหล็กเก่าแก่ที่สุดในจีน ตั้งอยู่หลายองค์ ( มัวแต่หลงของพรีเมี่ยมของวัด เลยไม่ได้เดินไปดู..นอย) พระโพธิพรรม (ตั๊กม้อ) ภิกษุชาวอินเดียผู้ก็ตั้งนิกายฉาน(เซน) และคิดค้นมวยวัดเส้าหลินขึ้น ก็เคยมาเยือนวัดนี้เช่นกัน


บริเวณภายในวิหารมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่จรดเพดาน อยู่ 3 องค์ แต่ห้ามถ่ายรูป ข้างในวิหารกลางเหมือนจะเป็นที่สำหรับสวดมนต์ แล้วก็มีวิหารสองข้าง โคโค่ว่า( เชื่อได้ไม๊เนี่ย) ข้างนึง เป็นกลอง อีกข้างเป็น ระฆัง.. จำได้แค่เนี๊ยะ.. นอกนั้น ก็เดินชม ดื่มด่ำความงาม แบบ แบ๊ะๆ

เสร็จจากวัดกวงเสี่ยวซื่อ เราจะไปต่อกันที่วัด ลิ่วหรงซื่อ( วัดไทรหกต้น)( Guangzhou Liurong Monastery) คราวนี้พอออกจากวัดโคโค่ก็โบกแท๊กซี่ ทุกคนก็ เฮ้ย!! ดูแผนที่ก่อน .. เป็นอันว่าความไว้วางใจในตัวแม่หมูเป็นอันจบสิ้น ลงกล่องบริจาคไป.. กร๊ากกกกก

ดูแผนที่ แล้วก็เห็นว่าวัดนี้อยู่ไม่ไกล ก็เลยลองเดินกันดู แล้วเรา ก็กลายเป็นกระเหลี่ยงหลงตรอกไปทันที เพราะว่าพอมันเป็นตรอกเล็กๆ มันก็จะไม่ปรากฏบนแผนที่ คราวนี้จะซ้ายจะขวา ก็ต้องอาศัยโคโค่อย่างเดียว แม่หมูก็ถามทาง แล้วก็ this way .. this way ไปเรื่อยๆ ถึงจะไม่เชื่อแต่ก็ทำไรบ่ได้แล้ว ต้องจำใจเดินตามแม่หมูไปต้อยๆๆเราเดินกันไกลมาก จนนึกด่าตัวเองว่า ทามมายตรูไม่นั่งแท๊กซี่ ไอ้ครั้น จะโวยวายกะแม่หมู ก็โดนกีบโตบเพราะทีแรก แม่เรียกแท๊กซี่ไว้แหล่ว แต่ลูกหมูดันหยิ่งกันเอง ก้มหน้าก้มตาเดินไป ห้ามบ่น แต่พอเงยหน้าอีกที “แม่เจ้า” พระที่ไหว้ไว้ที่ วัดกวงเสี่ยวซื่อ วิ่งกลับวัดกันไปหมดแล้วววว.. ก็ในตรอกมันเป็นบ้านคนทั้งสองข้างทาง เค้าก็เอาไม้ไผ่ พาดออกมา ไว้ตากผ้า ไม่เว้นแม้แต่ลิงน้อยหลากสี หลายขนาด .. ตรูจาบร้า.. คราวนี้ก็เดินไปแหงนไป หลบรัสมี น้องลิงทั้งหลาย คล้ายๆ เดินหลบกองขี้หมา แต่กลับกันเพราะต้องแหงนหน้า แต่งตัวก็ผิดชาวบ้านร้านตลาดอยู่แล้ว ท่าเดินยังแปลกๆ อีก ผ่านบ้านไหน เค้าก็มองกันเหลียวหลัง.. ระหว่างเดินหลบน้องลิงไป เราก็สำรวจวิถีชีวิต คนกวางโจวไปในตัว แล้วสายตาก็ไปป๊ะกับร้านเสริมสวยเล็กๆ แห่งหนึ่ง ติดไว้หน้าร้านว่า ค่าสระผม 3 หยวน โอวถูกมาก(อันที่จริงในกวางโจว มีร้านตัดผมเดิร์นๆ อยู่หลายร้าน แต่ร้านบ้านๆ พวกเราก็เพิ่งเคยเห็น) พอเราเดินผ่านหน้าร้าน สายตาอัตโนมัติ ก็พาเราแลเข้าไปในร้าน แล้วก็เป็นอัน โต๊ะจาย .. เพราะว่า หน้าคนถูกสระ หายไป.. หยึ๋ย .. พินิจอยู่พักใหญ่ ก็เห็นว่า เค้าคว่ำหน้าสระผม ไอ้คนเกา ก็ แกรกๆๆ อย่างเมามันส เรายืนทึ่งกับค่าสระผม 3 หยวน แบบตะลึง พอคนในร้านเริ่มหันมาประหนึ่งจะชักชวนให้ไปสระ เราก็โกยกันแน่บ..

เมื่อไหร่ตรูจะถึงวัดไทรหกต้นเนี่ย.. สุดซอยแล้วน๊า.. เจออาม่านั่งเหงาๆ อยู่คน โคโค่เลยเดินไปถาม อาม่าก็ชี้ทางมาแบบ เลือกเอาละกัน จะไปทางไหน .. เอาเข้าไป..
เดินจนใกล้หมดแรง และแล้วเราก็มาถึง ดีว่าหน้าวัดไม่มีกล่องไม้.. แต่โคโค่ดันพาเข้า ตรงทาง Exit .. ใครฆ่าตรูที เลยต้องชี้ให้แม่หมูดู.. แม่หมูหัวเราะ แล้วก็ Sorry เราเลยต้องพาแม่หมูมาทาง Enter (ตกลงใครเป็นไกด์แน่ฟระ)

สาระ .. อีกและ..

ทางตอนบนของถนนจงซานลู่มีตรอกแคบๆสายหนึ่งทอดไปสู่ ลิ่วหลงซื่อ (วัดไทรหกต้น) กับ ฮวาถ่า(เจดีย์บุปผา) ที่สร้างขึ้นในปี 1097 และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกว่างโจว เจดีย์นั้นดูจากภายนอกสูงเก้าชั้น แต่ละชั้นมีประตูและระเบียงล้อมรอบ เมื่อเข้ามาข้างในจะพบว่าจริงๆแล้วมีถึง 17 ชั้น สามารถขึ้นไปชั้นบนสุดเพื่อชมดูทัศนียภาพของตัวเมืองกว่างโจวได้

.. พิสูจน์แล้วว่ามี 17 ชั้นเจงๆ กว่าจะตะกายไปถึงเหนื่อยมั๊กมาก.. แต่ข้างบนสวยดี .. คริ คริ..


พอออกจากวัด ลิ่วหรงซื่อ คราวนี้ไม่พูดพล่ามทำเพลง โบกแท๊กซี่ ไป Chen Clan Academy (วัดเฉินเจียซื่อ) ทันที ( ในหนังสือเขียนว่าเป็นวัด แต่ เข้าไปดูแล้ว เหมือนบ้านขุนนางเก่า มากกว่า) ไม่รอให้แม่หมูแนะนำอะไรทั้งนั้น ไปถึง บ้านตระกูลเฉิน เหมือนปี้เอสกะทวดจะได้กลับมาเยี่ยมบรรพบุรุษ ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรม แถมได้ความภาคภูมิใจ ประหนึ่งบ้านนี้ตรูเคยอยู่กันมา ฮา...


จะให้สาระ

วัดตระกูลเฉิน ได้รับการบูรณะหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมยุติลง มีอายุนับย้อนไปถึงปี 1894 ตั้งอยู่ตอนบนของถนนจงซานซีลู่ มีลานหกชั้น วางผังแบบจีนโบราณ ตกแต่งตัวอาคาร ประตู และเจดีย์ด้วยลวดลายสลักเสลาสวยงาม ลายสลักที่ใหญ่ที่สุดยาว 28 เมตร เล่าเรื่องสามก๊ก...

บนหลังคาตกแต่งด้วยงานจำหลักไม้ อิฐ และ หิน..

แซ่เฉินเป็นหนึ่งในแซ่ที่พบมากที่สุดในมณฑลกว่างตง (ในแก๊งค์นี้ ก็มี แซ่เฉิน อยู่ 2 คน)

หลังบ้านตระกูลเฉิน มีสวนหลังบ้าน ที่มีเรื่องราวของ Ah Q
จนป่านนี้เราก็ยังไม่รู้ว่า Ah Q คือใคร แต่ แก๊งค์ลูกหมูได้
ไปสร้าง ปะ-ติด- มา-กรรม อันใหม่.. เป็น 7WARIOR ซึ่ง
ไม่สามารถเปิดเผยรูปต่อธารกรรมนัลได้.. กร๊ากกกกกก


( เล่าต่อ)

ร่ำลาส่งแม่หมูเสร็จ เราก็มองหน้ากัน คิดถึงชะตากรรมตัวเอง โอว ไม่มีแม่แล้ว .. จีนก็ไม่กระดิก อังกฤษเค้าก็เดินหนี ทำงัยดี.. ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป.. ตกลงปลงใจว่าไปโรงแรม White Swan ดีกว่า เพราะว่าย่านนั้นเป็นเขตเมืองเก่า เรียกว่า เกาะซาเมี่ยน (ZHAMIAN ISLAND)

ในหนังสือปี้เอส แนะนำไว้ว่า เกาะซาเมี่ยนเป็นเขตตัวเมืองซีกตะวันตกเฉียงใต้ที่อนุรักษ์มรดกจากยุคอาณานิคมไว้เป็นอย่างดี เดิมเป็นสันดอนทรายริมฝั่งแม่น้ำจูเจียงตอนบน ต่อมาจึงได้รับการพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปี 1859 จีนได้แบ่งเกาะเล็กๆแห่งนี้ให้ชาติตะวันตกหลายชาติเช่า แต่ที่หลักๆ ก็มีอังกฤษกับฝรั่งเศส และได้ขุดคลองล้อมเกาะเอาไว้ ช่วงกลางคืนจะมีการปิดประตูเหล็กกับสะพานแคบๆ กันไม่ให้คนจีนเข้า ปัจจุบัน ซาเมี่ยนให้ความรู้สึกเหมือนเมืองรีสอร์ทผิดกับภาพลักษณ์อันสับสนจอแจของกว่างโจวโดยสิ้นเชิง สถานทูตหลายแห่งกับโรงแรมห้าดาวอย่าง ไวท์สวอนจะตั้งอยู่ที่มุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ.. ( แง๊ๆๆๆ อดปาย)

หลังจากดู map กันแล้ว เราก็รู้ว่า สถานีMRT ที่ใกล้ที่สุด คือ HUANGSHA ก็นั่งรถไฟ ย้อนกลับไป พอขึ้นมาบนพื้นดิน มีอัน แบ๊ะๆ ทีแรกกะเรียกแท๊กซี่ แต่ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่า มันอยู่ทิศไหนกันแน่ ก็เลยเดินเท้าไปหาถนนใหญ่ดีกว่า เดินมาเรื่อยๆ จึงรู้ว่าแถวนี้เหมือนเป็นท่ารถเมล์หลายสายอยู่ มองข้ามไปฝั่งตรงข้ามลิบๆ ก็เห็นแสงไฟ มลังมะเลืองอยู่ ทุกคนลงความเห็นว่าต้องใช่แน่.. ก็เลยตัดสินใจข้ามถนน .. เหอๆๆ มันเป็นถนนกึ่งๆ ไฮเวย์ที่ตัดกันขวักไขว่มั๊กมาก.. แต่มาหลังจากมองไปสุดลูกหู ลูกตา ก็คาดว่าถ้าเดินหาทางข้ามชาตินี้คงไม่ได้ข้าม และแล้ว บรรพบุรุษก็ส่งชายหนุ่มผู้นึงมาข้ามให้เราดู .. แก๊งค์ลูกหมู ทำตามแบบเป็ด วิ่งกันแท่กๆๆ ข้ามไปอีกฝั่ง เพื่อที่จะเห็นป้าย บอกเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ใจความว่า “ กรุณาใช้ทางข้ามใต้ดิน” .. บังเอิญเป็นหมู ไม่ใช่ตัวตุ่นเลยหาทางข้ามไม่เจอ.. เกือบโดนรถทับแบน ซะงั้น..
สำหรับทางที่จะเดินเข้าไปหาแสงไฟ ก็กำลังขุดถนนกันเมามัน แก๊งค์ลูกหมู ก็ไม่ยั่น เดินดุ่ยๆ ท้าดงตีน เข้าไปซะงั้น .. เดินเข้าไปเรื่อยๆ เริ่มเหมือนตลาดปากคลองบ้านเรา.. มีร้านอาหารทะเลอยู่ลิบๆ แล้วเราก็ได้ประจักษ์แก่สายตา ว่าแสงไฟที่เราเห็นนั้นมันอยู่ตั้งฟากกระโน้น.. โฮ..


ทำงัยได้.. กาง map เข้าไปถามคนขายตั๋ว ถามอังกฤษ ตอบจีน ดีว่าปี้เอสเรียนมาได้ 5 เล่ม พอจะรู้ว่า พวกตรูเดินเข้ารูผิดซะแหล่ว.. ที่จริงไม่ต้องเรียนตรูก็รู้.. หลงแหงม.. แต่แสงไฟฝั่งตรงข้ามก็เย้ายวนเหลือเกิน สุมหัวกันสักพัก จะเดินท้าดงตีนออกไป หรือจะขึ้นเรือไปตายดาบหน้า ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียว “ตุ้ยเมี่ยน” หกคน 3 หยวน ถูกจะตาย ทำไมจะไม่ข้าม ( ตุ้ยเมี่ยน แปลว่าฝั่งตรงข้าม นั่งเรือข้ามฝากตกคนละ 2.50 บาทพอๆ กับท่าพระจันทร์บ้านเรา ) แล้วแก๊งค์ลูกหมู ก็ได้ ลงเรือ ( เครื่องบิน รถบัส รถยนต์ รถไฟ นั่งมาหมดแล้วทริปนี้ .. เรือยังได้นั่ง.. เอากะตรูซี้.. ) แล้วก็ตาละห้อย บ๋ายบาย รร.ไวท์สวอน ตรงกลางแม่น้ำไข่มุก ( Pearl river )

( ภาพ รร.ไวท์สวอน จากฝั่งตรงข้าม)



ข้ามไปอีกฝั่ง คาดว่า เป็นบริเวณที่เรียกว่า Bai’etan Bar Street ก็ไม่ผิดหวัง เป็นสวนสาธารณะสำหรับเดินเล่น และมีเครื่องเล่นประเภทชิงช้า ไม้ลื่น .. แก๊งค์ลูกหมู ก็ไปลองเล่นแล้วแต่สภาพร่างกายจะอำนวย ถึงตรงนี้ ทวดเริ่มไม่ไหวแล้ว เหมือนจะปวดหัวอย่างแรง พวกเราเลยรีบเดิน ดูแผนที่แล้วก็เดินออกจากซอยซึ่งมีร้านรวงอยู่สองข้างทาง แต่สินค้า เหมือนจะเป็นแถบชานเมืองแล้ว คุณภาพจะไม่เหมือนกับที่เราเดินใน เป่ยจิงลู่ ออกมาถึงถนนใหญ่เห็นรถวิ่งกันขวักไขว่ก็เริ่มเง็ง กันอีกรอบว่าจะซ้ายหรือจะขวาดี เนื่องจากวันนี้ทั้งวัน คนที่เรียกแท๊กซี่คือแม่หมู ไอ้ครั้นจะเรียกเองก็ไม่มีปังยาต้าอ่วยด้วย ทีแรกก็ยังจะเรียกกลับไปเกาะซาเมี่ยน แต่เห็นอาการทวดแล้ว คิดว่ากลับโรงแรมดีกว่า ก็เลยว่าจะเรียกแท๊กซี่ไปขึ้น MRT เกือบไปแล้ววว .. หลังจากไปไหว้ วัดตระกูลเฉินมาแล้ว บรรพบุรุษก็ดลใจปี้เอส ให้ลองเดินข้ามไปเรียกแท๊กซี่อีกด้าน เพราะตรงที่เรายืนอยู่เหมือนจะเป็นป้ายรถเมล์ .. พอเดินข้ามกำแพงกั้น ก็มองเห็นทางลง MRT สถานี Fangcun เกือบไปแล้ว เกือบเรียกให้แท๊กซี่ด่ารอบมิดไนท์ซะแล้ววว ..

( ป้ายต้อนรับคณะลูกหมู จากกลางแม่น้ำไข่มุก.. อิ อิ)

จากสถานี Fangcun เราก็ดิ่งกลับไปที่ Nongjiangsuo แล้วต่อแท๊กซี่กลับโรงแรม ดูแลให้ทวดนอนพักผ่อนแล้วพวกเราก็หนีลงมาเดินเล่น Beijing lu อีกรอบ แวะกินโจ๊ก กับ ก๋วยเตี๋ยวหลอด รอบดึก ( เริ่มสั่งเองเป็นแล้ว โคโค่สอนมาหลายคำ ฉ่อยซำ (ผักกวางตุ้ง) ชาชู (หมูแดง)..ไม่อดตายแล้วเว้ย แม่หมูบอกไว้ 5 5 5) แล้วก็ไปร้าน 7-11 (ที่หาได้ยากเย็นในกวงโจว) กวาดซื้อมาม่า กะจะขึ้นไปปาร์ตี้ แต่พอขึ้นไปจัดแจงให้ ทวดทานมาม่า ได้นิดหน่อย พวกเราก็หมดแรง.. หลับเป็นตาย .. เหนื่อยอิ๊บ..



..รูปนี้เป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน..ตรงที่เราข้ามแม่น้ำไปถึง แต่เด็กอนามัยเดินผ่าน..ซะงั้น..


เช้าวันที่ 7 เราตื่นกันสายมาก เนื่องจากเมื่อวานเล่นกันจนหมดแรง แล้ววันนี้เราแพลนกันไว้ว่าจะ shopping ก็เลยไม่ค่อยรีบร้อน ลงมากินก๊วยเตี๋ยวหลอด กะ โจ๊ก (ร้านเมื่อคืน) แถมมีปาท่องโก๋ตัวยาวๆ กะ ซาละเปาแบบบ้านเราด้วย แต่ลูกใหญ่กว่า กินกันจนเกินอิ่ม เพราะคาดว่าต้องเดินอีกไกล ที่แรกที่เราจะไปคือ ตลาด Stationery ซึ่งจากการบอกเล่าของพี่นก และคุณนายจู ก็รู้ว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก .. แก๊งค์ลูกหมูค่อยๆ เดินไปสักพักใหญ่ๆ ก็เจอ ( เกือบ ครึ่งกิโลแนะ) หลังจากนั้น เราก็ตื่นตาตื่นใจต่อของกันแหลกลาญ พยายามซื้อกล่องใส่เครื่องประดับที่บุด้วยผ้าจีน กระเป๋าผ้าแบบจีน ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้ แต่ด้วยความเมามัน ก็ต่อกันไปเรื่อย อี้เก้อ เหลียงเก้อ ซานเก้อ.. ต่อจนคนขายถามว่ามาจากไหนกัน .. ตอบอย่างภาคภูมิใจในประเทศชาติ.. ไท่กั๊ว.. 5 5 5 เค้าส่ายหัวดิก.. เราเดินสำรวจไปจนทั่วตลาดเพื่อจะมองหาร้านที่พี่คุณนายบอกไว้ แต่ก็ไม่เจอ ไอ้ครั้นจะถามทางคงไม่รู้เรื่องกัน ทีแรกกะโทรหาน้องพราย ให้คุยทอสับให้หน่อย แต่โทรไม่ติด เราเลยดิ่งกลับไปร้านเก่าที่เราต่อราคาเค้าแหลก ไปถามเอากะเค้า ว่าเราจะหา “โจวเจี๋ยหลุน” ได้ที่ไหน (งานนี้ต้องพึ่งเจย์ เพราะเกรงว่าถามหาเอฟ อาจจะดังไม่พอ กร๊ากกกกก) เค้าก็ใจดี ให้ลูกน้องเดินนำทางเราไปเรื่อยๆ จนออกจากตลาดแล้วก็ข้ามถนนไป เหอๆๆๆ พอเห็นร้านเท่านั้นแหละ.. โลกหยุดหมุน กระโจนเข้าใส่ ( ร้านที่ 3 ในทู้คุณจิ้มจุ่ม นั่นแหละ) เห็นโปสเตอร์ warriors ของพี่เป๊บ แต่ไม่มีของตาเสี้ยว ซะนี่.. เราเจี๊ยกแตก ตอนเจอ เซ็ทพินของพี่เป๊บ กวาดกันมาหมดแผง แล้วก็ ถาม น้องหมวย จิ้มไปที่โปสเตอร์เป๊บซี่ “เสี้ยวเทียน โหย่ว เหม่ยโหย่ว” น้องหมวยก็กุรีกุจอไปคุ้ยมาให้ หาอยู่แป๊บนึง น้องหมวยหันมาตอบว่า “เหม่ยโหย่ว” อิป้ากะป้าเลนส์ ประสานเสียง “ เหม่ยโหย่วลา” ( แปลว่าไรไม่รู้ รู้แต่น้ำเสียงผิดหวังมาก แล้วอาหมวย ก็ตอบกลับมาสีหน้าน้ำเสียงดีใจ (แทนอิป้า) “ โหย่วๆๆๆ” โอวคุงเทียนเล่นซ่อนตัวอยู่ใต้สุดของชั้น มีประมาณ 21 แผ่น เราเลยกวาดมาเรียบ เดินวนกันทั่วร้าน พนักงานในร้านก็เพียรเอานู่นเอานี้มาเสนอ พอรู้ว่าเราบ้าเอฟ ก็ขุดกรุกันมาขายเลย มันบร้าขายตรูก็บร้าซื้อ ข่าวว่าของถูกกว่าที่ฮ่องกงนัก .. เลยกวาดกันมาซะยกใหญ่ อยู่ในร้านนี้จนประหนึ่งฟังพนักงานขายรู้เรื่อง น้องหมวยทั้งหลายไม่สนใจลูกค้ารายอื่น มาล้อมหน้าล้อมหลังถามว่าเรามาจากไหน แล้วก็ขอแรกตังส์.. ซะงั้น เพราะเทอไม่เคยเห็นเงินไทย แถมมีการเอาไปดม แล้ว บอกว่าเงินเราหอมอีกต่างหาก มีเรื่องขำขันเล็กน้อยที่ร้านนี้ เนื่องจากเราเจรจากะน้องหมวยคนที่หาพี่เสี้ยวให้เรากันจนถูกคอ พอจะออกจากร้าน เจ๊เลนส์เลยกำแบงค์ 20 ส่งให้ หวังจะให้น้องเป็นที่ระลึก พร้อมกับ พูดว่า “เก๋ยหว่อ”ทีแรกน้องหมวยยื่นมือมา พอได้ยินเจ๊เลนส์ เก๋ยหว่อ เท่านั้นแหละ หดมือกลับแทบไม่ทัน ร้อนถึงปี้เอสต้องรีบโพล่งออกไป “เก๋ยหนี่ เก๋ยหนี่” กร๊ากกกกกันไป ทั้งคนให้คนรับ .. พอเรากำลังจะเดินพ้นจากร้าน น้องหมวยคนเดิมก็วิ่งมา ส่งสาสน์รัก ประมาณว่า อิตาคนนั่งคิดตังส์ เหล่ป้าเลนส์อยู่นานแล้ว บอกว่า “ เหิ่นเพี่ยวเลี่ยง” กร๊ากกก มนต์รักกวงโจว ซะละมั้งงานนี้.. อิ อิ

เนื่องจากซื้อของกันมาเต็มอัตราศึก เราเลยต้องเรียกแท๊กซี่เอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อน จากนั้น เราก็ให้เค้าท์เตอร์เขียนชื่อสถานที่ที่จะไป เพื่อให้แท๊กซี่อ่านเพราะคาดว่า มัวงม MRT มีหวังไม่ได้ไปตามที่ต้องการแน่ๆ ( แล้วทำไม ไม่ทำงี้ตั้งแต่แรกหว่า.. ) เป้าหมายถัดไป คือ ห้าง China Plaza ใกล้ ๆ Lieshilingyuan Station ที่ๆบอกว่า มีน้องตี๋ ก็เทวดาทั้งหลายอยู่ตามทางขึ้นสถานี แต่คราวนี้บรรพบุรุษไม่ช่วยอะไร เพราะเราเจอแค่น้องตี๋ ซึ่งกว่าเราจะไปถึง ก็ 4 โมงเย็นแล้ว มัวหลงระเริงอยู่ใต้ดินเกือบ 2 ชม. เลยต้องกิน Mac รองท้อง แล้วก็บึ่งไปที่ ถนน Shang Jiu Lu กันต่อ


บรรยากาศ ถนน shang jiu lu .. เป็นถนนคนเดิน เหมือนๆ กับที่ เป่ยจิงลู่ แต่ว่าร้านจะเยอะกว่า คนก็เยอะกว่า ถนนก็ยาวกว่า


สาเหตุที่เราไปถนนนี้ก็เพื่อ.. โจวเจี๋ยหลุน.. ร้าน Meters/Bonwe


มาถึง ชางจิ่วลู่ พอแวะร้านเจย์เสร็จ ก็เดินตุหลัดตุเหล่ ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย จนหลงไปใน IPZone อีกรอบ นกกิ้งโค้งได้รองเท้ามา 2 คู่ ทวดได้รึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ต่อนู่นต่อนี่ ชมคนขายหน่อยว่าหล่อกว่าน้องตี๋ เราเลยได้ถุง kentex มาโดยไม่ต้องซื้อของซะนิด.. อิ อิ

แต่อิป้าดันลืมถุง Gior ที่ช๊อบไว้เลยต้องบึ่งแท๊กซี่กลับไปเอา ดีว่าถามไว้ว่าร้านปิดกี่โมง ได้ความว่าปิด 5 ทุ่ม กลับถึงโรงแรมตอน4ทุ่ม45 ใช้เวลา 15 นาที บวกกับวิ่ง 4*100 เหนื่อยแทบขาดใจ..

( ฝีมือน้องนิค ได้แค่ถุง สมุดภาพขโมยถ่ายเอาก็ได้ .. อิ อิ)


ป้ากะนกกิ้งโค้งต้องบึ่งกลับไปเอาถึง เลยพลาด ช๊อทเด็ดที่ 7-11..

.. เนื่องจากเรากินแม็ครองท้อง แล้วก็ซื้อมาม่าครบทุกรส ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อน คืนนี้เราก็เลยตกลงกันว่าจะปาร์ตี้มาม่ากัน ก็เลยลงไปหาซื้อไส้กรอก ลูกชิ้น เพื่อความสมบูรณ์ทางโภชนาการ ..

.. ไม่คาดฝัน กลางดึกคืนนั้นเราเลยได้รู้ว่าพรุ่งนี้จะมี พรีเมี่ยมพี่เป๊บออกมายั่วน้ำลาย อีกแล้ว..

( ที่ 7-11 กวงโจวตอนนี้มีลูกศิษย์น้องนิคเพิ่มขึ้นอีกคน รายละเอียด .. อุ อุ อุ.. สัมภาษณ์น้องนิคกะปี้เอสจะได้ความกระจ่างกว่า ได้ข่าวว่า ฮา)


8 ธันวาคม วันคล้ายวันเกิด ป้าเลนส์

.. เราพยายามสอดส่ายสายตาหาร้านเคก อยู่หลายวันแต่ก็ไม่พบ.. แต่เราก็วางแผนการณ์ไว้ เซอร์ไพร์สเจ๊อยู่ก่อนแล้ว เลยต้องตื่นแต่เช้า มาเนรมิตผู้มอบของขวัญให้เจ๊ ..ตามมีตามเกิด ได้ออกมาหน้าตาประมาณเนี๊ยะ..

.. ถึงตาเสี้ยวจะหัวเล็กไปหน่อย อุ้มแมวตัวน้อยมาให้ .. ก็ตั้งใจทำนะเออ..

.. ยืนขำ อิซีเหมินอยู่นานก่อนจะทำใจย่องไปห้องเจ๊เลนส์โดยมีน้องนิคเป็นสายคอยส่งซิก .. รออยู่หลังม่านจนจะหายใจไม่ออกตาย เจ๊ก็ไม่ออกจากห้องน้ำ เลยต้องให้น้องนิคทำทีเป็นปวดท้อง .. เจ๊ก็ยอมออก.. ขนาดอิเทียนอยู่บนเตียงตัวเองแท้ๆ ยังมองไม่เห็น .. จนไอ้หลังม่านเริ่มอยู่ไม่สุก ยุกยิก ยุกยิก อิเจ๊ตกใจ นึกว่าผีหลอก เราเลยต้องออกมาเฉลย.. เจ๊เอ๊ย.. ลูกกะตาเหรอนั่น.. ฮ่วย.. แก๊งค์ลูกหมู เซร็ง.. ซะงั้น..

..เสร็จธุระตอนเช้า เราก็มาเช็คเอ้าท์พร้อมกับฝากของที่โรงแรม และให้รถโรงแรมไปส่งที่สนามบิน 4 โมงครึ่ง สนนราคา ประมาณ 250หยวน ดีกว่าลากกระเป๋าใส่ศพไปขึ้น Airport Express ที่โรงแรมเดิม ..

.. เช้าวันนี้สดใสที่สุดตลอดเวลาที่มาอยู่ที่กวางโจว เพราะอิตาฟร้อน ที่พูดภาษาปะกิตได้ หน้าตา หล่อตี๋ได้ใจมั๊กมาก เราเลยขนานนามเค้าว่า คุณคนหล่อ.. ซึ่งนกกิ้งโค้งจะขอเป็นคนไปเจรจาตลอด .. ถ่วงเวลาถามนู่นถามนี่ซะงั้น เพราะเป็นคนเดียวที่พูดภาษาปะกิตได้ ..

.. สถานที่ท่องเที่ยวแหล่งสุดท้ายที่เราต้องไปให้ได้ คือ อนุเสาวรีย์ 5 แพะ.. ( ตำนานเล่าว่าดาวลูกแกะเป็นผู้สร้างเมืองก่วงโจว - หนังสือนำเที่ยวของปี้เอส) เราก็ให้คุณคนหล่อเขียนชื่อสถานที่ให้ .. แล้วเราก็ออกจากโรงแรม เพื่อไปสอยพรีเมี่ยมที่ร้าน 7-11 ก่อน

.. พรีเมี่ยม 1 กล่อง ต้องซื้อน้ำ 2 ขวด กว่าจะได้ครบคน เราก็ต้องแบกน้ำกัน ประมาณ 20 โหล.. ทีแรกกะจะทิ้งไว้ที่ร้านนะแหละ.. ขี้เกียจแบก แต่เจรจากันแล้ว ถ้าเป็นที่ฮ่องกง เราอาจซื้อน้ำพอเป็นพิธี แล้วก็ซื้อพรีเมี่ยมได้ในราคา 5 หยวน แต่ที่นี่ 5ไม่ยอม10ไม่ยอมเราก็เลยงอนเดินแบกน้ำออกมาทำตัวเป็นซานต้า ไปแจกตามร้านอาหารที่เราไปซื้อๆ มา.. ก็ได้รับคำขอบคุณกันทั่วหน้า มานอยก็ที่ IPZone ซึ่งผจก.ร้านสั่งไม่ให้พนักงานรับ.. เราก็เลยเดินงอลตุ๊บป่อง เอาน้ำมาแปะไว้ที่ถังขยะหน้าร้านซะงั้น .. แต่พอคล้อยหลังไป ก็มีคนมาเก็บไปทันที .. ปี้เอสกะนกกิ้งโค้งแอบเดินตามไปดูว่าเค้าจะเอาไปไหน.. เลี้ยวเข้าห้องน้ำไปเลย.. ตามต่อบ่ได้.. 5 5 5..

.. หลังจากอิ่มเอมกะพรีเมี่ยมที่แรกมา และทำตัวเป็นซานต้าแจกไป๋ซื่อแล้ว เราก็ปฏิบัติภาระกิจสุดท้ายโดยการ พิชิต 5 แพะได้สำมะเร็จ..


5 แพะเนี่ย อยู่ใน Yuexia Park ซึ่งกว่าเราจะหากันเจอ ก็เดินข้ามเขากัน 1 ลูกพอดี.. เกือบย้อนกลับไปเตะอียามด้านหน้าแล้ว ชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้ตรูเดินข้ามเขา ที่จริงเดินอ้อมทางราบก็ได้..

.. ระหว่างทางข้ามเขา เราก็เจอเค้าถ่ายแบบกันอยู่ แอบจิ้นว่าเป็น ตาเสี้ยวมาถ่ายมิวสิค.. ซะงั้น .. พอให้บันเทิงเริงใจไม่กลับไปงับหัวยาม..

.. ถ่ายรูป กะซื้อของที่ระลึกกันอยู่พักใหญ่ๆ ก็กลับไปเป่ยจิงลู่ เก็บตกของฝาก ที่ยังไม่ได้ซื้อ พอสี่โมงเป๊ง ก็กลับโรงแรม..

.. คุณคนหล่อมาเดินวนเวียนดูเราแพ็คกระเป๋าอยู่หน้าล๊อบบี้ พร้อมกับแววตาสมเภช ว่าได้พวกนี้มัน ช๊อบยังกะไปยุโรป.. บ้านมันไม่มีเหรอฟระ.. ดีนะที่ไม่เห็นขวดพี่เป๊บ..

.. สี่โมงครึ่งเค้าก็รีบๆ ไล่ให้พวกเราออกจากโรงแรม.. มาถึงสนามบินใกล้ๆ 6 โมง .. กะเดินเล่นใน duty fee ซะหน่อย .. ปากดว่า ..มีอยู่กระจึ๋งเดียว เลยต้องนั่งเม้าส์กันจนเครื่องจะออก.. มีเสียวเล็กน้อยก่อนกลับ เพราะใน boarding pass มันเขียนไว้ว่า gate A8 เราก็ไปนั่งรอ ที่ A8 จนจะ 2 ทุ่มก็ยังมีเรานั่งอยู่กลุ่มเดียว .. เริ่มนอยว่าไม่มีใครบินกับตรูรึงัยเนี่ย.. สักพัก เหลือบไปเห็น A6 .. เอ๊า!!ย้าย gate ก็ไม่บอก.. เกือบตกเครื่องแล้วไม๊ละ..

กลับถึงกทม. ห้าทุ่มพอดี พร้อมกับหูเพี๊ยนๆ ไปกับสำเนียงแปล่งๆ ของสจ๊วตการบินไทย.. ทั่นเดินมาตรงหน้า บอกเราว่า " วันนี้เอาบรั่นดีมา" .. เล่นเอาตรูงง มาบอกตรูทำไมฟระว่า เอาบรั่นดีมา .. ได้คำเฉลยจากปี้เอสว่า ทั่นพูดว่า "หนี่เหย้า บรั่นดี มา".. พ่อคู๊ณณณณ ..


จบมหากาพย์แต่เพียงเท่านี้..
ปล. ยังมะมีปันยา ป๊ะรูป.




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 4 สิงหาคม 2548 19:46:40 น.
Counter : 597 Pageviews.  


จ้ายโหยว่
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add จ้ายโหยว่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.