We don't care Bear or Bull! ... ThaiDayTrade.com
Group Blog
 
All Blogs
 

Pro: เสี่ยปู่ "ผมไม่ใช่ขาใหญ่ ผมไม่มีก๊วน"

ThaiDayTrade.com อ่านพบบทความของครูบาอาจารย์ ในประชาชาติธุรกิจ เห็นว่า มีคุณค่าสูง จึงนำมาเผยแพร่ หากท่านเห็นว่า เป็นประโยชน์ ท่านสามารถสนับสนุนหนังสือพิมพ์ดี มีคุณภาพ ด้วยการบอกรับเป็นสมาชิก

เสี่ยปู่ "ผมไม่ใช่ขาใหญ่ ผมไม่มีก๊วน"

ขาใหญ่ "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของฉายา "เสี่ยปู่" พอร์ตหุ้นไม่ต่ำกว่า หลักพันล้านบาท เวลาขยับตัวเล่นหุ้นตัวไหน มักดึงดูดความสนใจรายย่อย ขอร่วมวงแจมตามลงทุนหวังกำไรติดไม้ติดมือกันไม่น้อย เสี่ยปู่ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงเส้นทางชีวิตที่วนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นมาราว 20 ปี วันนี้กลายเป็นอาชีพหลัก ว่า

"ผมเข้าตลาดหุ้นปี 2530 ตอนนั้นทำงานอยู่สภาพัฒน์ เป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบาย อยู่ฝ่ายบัญชีประชาชาติ หลังจากเรียนจบเศรษฐ ศาสตร์ เราได้มาดูตลาดหุ้นก็รู้สึกชอบแน่ๆ ทำให้ตัดสินใจลาออกจากราชการ ใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน แต่พอเข้ามาเล่นก็เจ๊งเลย ตอนนั้นพอร์ตประมาณ 1 ล้านบาท เจ๊งเหลือ 2 แสนบาท"

เสี่ยปู่เล่าว่า ตอนนั้นไปสมัครเป็นลูกค้า บล. เอ็มซีซี (ปิดกิจการแล้ว) แต่ไม่รับ ถ้าเป็นต้องใช้เงินขั้นต่ำ 5 แสนบาทเปิดบัญชีเล่นหุ้น (พอร์ต) จึงไปสมัครที่ บล.ธนสยาม ซึ่งตอนหลังๆ พอร์ตผมโตขึ้นเรื่อยๆ ทาง บล.เอ็มซีซี ก็มาเชิญ ไปเป็นลูกค้า แต่ผมปฏิเสธ ผมมาโตจริงๆ หลังช่วงเกิดเหตุซัดดัม ช่วงนั้น ดัชนีผันผวนมากๆ เราได้เวลาตลาดลง

เริ่มเล่นหุ้นก็เก็งกำไรแล้ว

"การลงทุนในช่วงแรกๆ ก็เป็นนักเก็งกำไรแล้ว เพราะสมัยนั้นเล่นหุ้นตัวที่แข็งกว่าตลาด ตอนนั้นเล่นหุ้นไม่มีหลอกเลย ถ้าบอกวันรุ่งขึ้นก็ขึ้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นหลักทรัพย์ที่ขึ้นเยอะมาก แล้วก็มีวอร์แรนต์ ตอนนี้เราก็ดูตลาดเอาว่าเล่นตัวไหน ตัวไหนที่แข็งก็จะซื้อตัวนั้น ตอนนั้น นักเก็งกำไรจะเล่นทางเดียวกัน เก็งกำไรกันจริงๆ ไม่มีพื้นฐาน เศรษฐกิจไม่เกี่ยวเลย ตัวไหนแข็งก็ซื้อ เล่น 1-2 ตัวก็เต็มพอร์ต"

สมัยนั้นหุ้นดังๆ จะมีวอร์แรนต์ของ บล. เอกธำรง แล้วก็มีวอร์แรนต์ของ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ (IFCT) โดยเฉพาะในช่วงประกาศลอยค่าเงินบาท (ปี 2540) ตอนนั้นหุ้นแบงก์ขึ้นหมด ผมทำกำไรได้ถึง 53 ล้านบาท พอร์ตลงทุน ตอนนั้น โตประมาณ 100 ล้านบาท

"ตอนนั้นเป็น pure speculate เลย เราซื้อทั้งๆ ที่รู้ว่า IFCT-W มีมูลค่า เหลือศูนย์แน่ๆ แต่บรรยากาศอารมณ์ตอนนั้นพาไป ให้ต้องซื้อติดพอร์ตไว้ ผมก็เติบโตมาจากการเก็งกำไร แต่จุดที่ทำให้ผมเปลี่ยน คือ มาซื้อหุ้น KK (เกียรตินาคิน) ที่เริ่มซื้อที่ 90 สตางค์ เก็บเรื่อยมาจน 1 บาทกว่า ต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาท ซื้อมา 60 ล้านหุ้น แต่หุ้นโดนบล็อกมากราคาไม่ค่อยขึ้น จนราคามาที่ 3-4 บาท ก็เริ่มขายออกไป ตรงกับขณะนั้นที่มีการออกหุ้นวอร์แรนต์ ในราคา 2.30 บาท ให้สัดส่วน 1 หุ้นต่อ 1 วอร์แรนต์ หุ้น KK วิ่งรวดเดียวถึง 80 บาท วอร์แรนต์อยู่ที่ 60 บาท จากราคาสิทธิที่ถือว่าต่ำ ก็เลยได้คิดว่าถ้าถือหุ้นดีๆ น่าจะทำกำไรได้มากกว่านี้"

จุดเปลี่ยนความคิด "เล่นหุ้นพื้นฐาน"

เสี่ยปู่บอกว่า บทเรียนจากการเล่นเก็งกำไร ทำให้ขาดทุนมากกว่าได้กำไร เพราะเป็นคนที่เล่นขาลงไม่เก่ง ประกอบกับ "มนตรี ศรไพศาล" (กรรมการผู้จัดการ บล.กิมเอ็ง) เอาหนังสือของวอร์แรนต์บัฟเฟดมาให้ จึงอ่านแล้วอ่านอีก ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่หนังสือเล่มนี้ อ่านแล้ววางไม่ลงเลย ก็เลยคิดตลอดเวลาว่า จะเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ value stock ให้ได้ เพราะเชื่อในปรัชญาที่ว่า ราคาหุ้นที่สุดแล้ว จะไปอยู่ในพื้นฐานของตัวหุ้นนั้นๆ ในระยะยาว ยิ่งในตลาดหุ้นสมัยนี้ การเล่นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะยากมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่เก็งกำไรกันได้ง่าย

"แต่หุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน เวลาราคาขึ้นไปเกินกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก มักจะเป็นราคาที่ไม่จริง พอร์ตที่ผ่านมาแม้จะมีการเก็งกำไร แต่ก็เป็นการได้ๆ เสียๆ ถึงพอร์ตจะโตแต่ก็โตแบบเก็งกำไรไม่ยั่งยืน ในช่วงหลังๆ จึงแบ่งพอร์ตลงทุน เป็นหุ้นพื้นฐาน 70% สำหรับลงทุนระยะยาว (long term) และหุ้นเก็งกำไร 30% แต่ก็ยอมรับว่า บางครั้งหุ้นเก็งกำไร ทำกำไรได้เยอะกว่าหุ้นพื้นฐาน แต่บางครั้งการเก็งกำไรของผม ก็จะดูปัจจัยพื้นฐานด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นหุ้นเดินเรือ ชอบ TTA เราไม่ได้ฟังนักวิเคราะห์ แต่จะดูค่าระวางเรือ"

สำหรับเทคนิคการเลือกหุ้น เสี่ยปู่เล่าว่า เวลาซื้อหุ้นจะเป็นช่วงตลาดขาลง ซึ่งเป็นการรอรับซื้อจนได้กำไร โดยหุ้นที่ซื้อจะดูผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นหลัก อย่างหุ้นอิออน ธนสินทรัพย์ (AEONTS) จะสังเกตมาตลอด ตั้งแต่เข้าตลาด โตมากกว่า 30% ทุกปี สูงมาก ถือว่าเป็นหุ้นดีแม้ราคาจะนิ่ง จึงเป็นหุ้นตัวหนึ่ง ที่ถือมาตลอดไม่ขาย ชอบมากตัวนี้

เปิดพอร์ตหุ้นลงทุนยาว-เก็งกำไร

นอกจากนี้ในพอร์ตยังมีหุ้นมูลค่าอื่นๆ อีก ได้แก่ หุ้นกรุงศรีอยุธยา (BAY) และวอร์แรนต์ (BAY-W1), หุ้น ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (C.P.7-11), หุ้นเอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC), หุ้นไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และวอร์แรนต์ (MINT-W3), หุ้นปริญสิริ (PRIN), หุ้นเอส แอนด์ พี ซินดิเคท (S&P) และหุ้น สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนต์ (SF) ส่วนพอร์ตหุ้นเก็งกำไร ช่วงนี้จะเน้นหุ้นพลังงาน ตามกระแสเงินต่างชาติ ที่ไหลเข้ามาช็อปหุ้นกลุ่มนี้ อย่างตัวเต็งๆ จะมีหุ้น ปตท.สผ. (PTTPT) และหุ้น ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และยังมีหุ้นโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ (TTA) หุ้นอะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) หรือ ATC ซึ่งพวกนี้จะปรับตัว ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเก็งกำไรได้ง่าย

"หุ้นเก็งกำไร ถ้าซื้อแล้วขาดทุน ก็ถือว่าดูผิดก็จะขาย ถ้าเป็นหุ้นแวลู ที่ยังดีอยู่ ก็จะถือต่อไป ผมจะดูถ้าช่วงไหนหุ้นขึ้นแรงๆ ในช่วงสั้นๆ ซัก 50% ผมก็จะพิจารณาขาย ถ้าเป็นวอร์แรนต์ ถ้ากำไรซัก 200% ผมอาจไม่ขาย ต้องดูหุ้นแม่เป็นตัวประกอบก่อน ซึ่งวอร์แรนต์หลายตัวที่ซื้อก็เพื่อ ใช้สิทธิแปลงสภาพ เป็นหุ้นสามัญ"

เสี่ยปู่เล่าว่า ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขึ้นบูมมาก ไม่ได้ซื้อเพิ่ม เรียกว่าลดพอร์ตเลย เพราะราคาหุ้นแพงเกินไป จากการที่ปรับขึ้นเร็วและแรง แต่ตัวที่จะซื้อเก็บ จะเลือกหุ้นที่คิดว่าดีและยังสะสมได้ โดยเฉพาะหุ้นเล็กๆ หรือถ้าเวลาที่ฝรั่งขาย ก็จะมานั่งดูหุ้นว่า ยังแพงอยู่หรือว่าถูกลงแล้ว โดยไม่สนใจว่า ในช่วงนั้น ใครซื้อหรือขายอยู่

สำหรับกำไรจากพอร์ตลงทุน ถ้าเป็นหุ้นแวลู จะโตขึ้นเรื่อยๆ บางตัวก็โตเร็ว ส่วนหุ้นเก็งกำไรก็ขึ้นในทำนองเดียวกัน และเวลาที่ได้กำไรจากหุ้นเก็งกำไร จะเอามาซื้อหุ้นพื้นฐานเก็บไว้ โดยสถิติพอร์ตหุ้นมูลค่าเคยกำไรสูงสูดถึง 1,500 ล้านบาท !!! แต่ถ้านับรวมกับพอร์ตหุ้นเก็งกำไรแล้ว ตัวเลขกำไรที่ประมาณการ แบบเปิดเผย ก็เกิน 2,000 ล้านบาท !!!

ชื่อเสียงดังเลยถูกนำมาหากินในห้องค้า

ด้วยไซซ์พอร์ตใหญ่ขนาดนี้ เสี่ยปู่จึงยอมรับว่า บ่อยครั้งที่ชื่อเสี่ยปู่ ถูกนำไปใช้อ้างในตลาดหุ้นว่า "เข้าเล่นหุ้นตัวนั่นตัวนี่" หวังเรียกแมลงเม่า เข้ามาร่วมวงปั่นหุ้น หรือถูกข้อหาว่า "เป็นนอมินีให้กลุ่มนักการเมือง" ซึ่งตนขอยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองเลย ซึ่งที่ผ่านมา ก็เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ฯเข้ามาตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบอะไร และไม่เว้น แม้กระทั่งข่าวว่า "เสี่ยปู่รับจ้างทำราคาให้กับหุ้นใหม่ที่จะเข้าตลาด" ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า มีการติดต่อจริง แต่ก็บอกไปตรงๆ ว่าทำไม่ได้ เพราะหุ้นจอง พอเข้าตลาดวันแรกก็ขายกันแล้ว

"ที่ผ่านมาก็มีถูกเพ่งเล็งจากทางการบ้างเหมือนกัน ตามที่หนังสือพิมพ์ เอาไปลงกัน ว่าไปปั่นหุ้นตัวนั้นตัวนี้หลายๆ ตัวก็เป็นแค่ข่าวลือ เพื่อให้หุ้นวิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่จริงเลยที่เข้าไปซื้อแล้วหุ้นมันจะขึ้น ขายแล้วลงก็ไม่ใช่ เคยซื้อหุ้นเยอะไม่ขึ้นก็มี และ ผมก็ไม่ใช่ขาใหญ่อะไรด้วย เพราะขาใหญ่ๆ จริงมีไม่เยอะ เป็นข่าวลืออุปโลกน์กันไปมากกว่า ขาใหญ่ตัวจริงต้องมีเครือข่าย มีก๊วน เล่นตัวเดียวกัน พากันดันราคาขึ้นไป พอหัวหน้าเป่านกหวีด ปรี๊ดก็ขายกันหมดอย่างนี้ สำหรับผมจะเล่นลงทุนคนเดียว ไม่ค่อยมีก๊วน แต่ก็จะคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง ถ้าเห็นดีด้วยก็ซื้อบ้างถ้าไม่ก็ไม่ซื้อ"

เป้าหมายชีวิต "เล่นหุ้นไปเรื่อยๆ"

เสี่ยปู่บอกว่า แม้อายุ 55 ปี ก็ยังชอบการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ ซึ่งคิดว่า จะเล่นหุ้นไปเรื่อยๆ ชีวิตมีความสุขดี ทุกวันนี้ กลางคืนก็จะมีเข้าไปดูข่าว ในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับหุ้น ดูว่าเขาแชตหุ้นอะไรกันบ้าง มีหลายเว็บ ทั้งกระทิงเขียวในพันธุ์ทิพย์ฯ ทุกวันนี้ก็เล่นหุ้นเป็นอาชีพส่งลูกเรียนต่อเมืองนอก ขณะที่ภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้านอยู่ ตอนนี้ก็มาเล่นหุ้นเหมือนกัน แต่คนละพอร์ตกัน เพราะลงทุนคนละสไตล์ พอกลับถึงบ้านจะคุยหุ้นกันนิดๆ หน่อย ซึ่งปรากฏว่า ภรรยาได้กำไรมากกว่าในรอบหุ้นขึ้นที่ผ่านมา ส่วนลูกๆ 3 คน หากเรียนจบกลับมาในอนาคต ก็อยากให้เข้ามาเล่นหุ้นเหมือนกัน

พอถามถึงงานอดิเรก เสี่ยปู่จะบอกว่า จะมีทั้งการสะสมรูป ศิลปะ งานตัดแต่งต้นไม้ ปลูกต้นไม้ที่บ้าน ที่สำคัญ เงินส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้ฟุ่มเฟือย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่จะทุ่มสุดๆ เน้นแบรนด์ดังๆ เท่อย่างเวอร์ซาเช่ ที่ใส่มาให้สัมภาษณ์ด้วยมาดเนี้ยบ บุคลิกนิ่มๆ แบบนักวิชาการใส่แว่น แต่นี่เป็นขาใหญ่เล่นหุ้น "เสี่ยปู่"

Source: //www.ThaiDayTrade.com




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2551 0:57:25 น.
Counter : 723 Pageviews.  

Pro: เสี่ยยักษ์ "ขอปักธงเป็นแคมเปอร์"

ThaiDayTrade.com อ่านพบบทความของครูบาอาจารย์ ในประชาชาติธุรกิจ เห็นว่า มีคุณค่าสูง จึงนำมาเผยแพร่ หากท่านเห็นว่า เป็นประโยชน์ ท่านสามารถสนับสนุนหนังสือพิมพ์ดี มีคุณภาพ ด้วยการบอกรับเป็นสมาชิก

เสี่ยยักษ์ ขอปักธงเป็นแคมเปอร์

"เวลาคนถามผมว่า จะซื้อหุ้นอะไร ผมก็จะถามเขากลับว่า คุณรู้มั้ย หุ้นตัวนี้มีกำไรเท่าไหร่ พื้นฐานของหุ้น เจ้าของหุ้นเป็นไง หุ้นมีจุดขาดทุนตรงไหน คุณรู้แล้วหรือยัง ถ้าคุณยังไม่รู้ คุณไปดูก่อนแล้วค่อยมาถามผมดีกว่า คือ ผมอยากให้ทุกคนเป็นมืออาชีพ ผมเน้นมากเลย "เสี่ยยักษ์" ชื่อจริงของเขา "วิชัย วชิรพงศ์" นักเล่นหุ้นขาใหญ่ชื่อดัง ที่มักถูกนักเล่นหุ้นรายย่อย สอบถามถึง หุ้นที่เล่น เพื่อหวังจะเกาะกระแสเก็งกำไรตามด้วย

เสี่ยยักษ์บอกว่า การจะเล่นหุ้นประสบความสำเร็จได้ ต้องใช้ความพยายาม อย่างมาก ในการเรียนรู้ ซึ่งแต่ละคน จะสำเร็จจากตลาดหุ้นกันหลากหลายรูปแบบ และต้องดูตัวเองเหมาะกับสไตล์ไหน เพราะ ความเป็นจริงของตลาดหุ้นนั้น ทฤษฎีกับการปฏิบัติคนละเรื่องกันเลย และ การเล่นหุ้น จะเป็นเหมือนแฟชั่นเปลี่ยนตลอดเวลา ถ้าจับทิศทางไม่ถูกก็แพ้

กางตำราเล่นหุ้นยังแพ้

"ผมมาเล่นหุ้นใหม่ๆ เปิดเล่นตามตำราเลย ซื้อหนังสืออ่านวิธีเล่นหุ้น หุ้นพี/อีต่ำ จะดี เล่นไปเล่นมา แพ้ฮะ คือ แฟชั่นมันไม่ใช่ เขาไปทะเลกันใส่กางเกงขาสั้น แต่เราใส่กางเกงขายาวรองเท้าบูต ไม่เข้าท่า คล้ายกับว่าคุณจะลงทุน แต่คุณไม่เป็นมืออาชีพ โอกาสชนะก็น้อย ผมเล่นหุ้นเป็นจากการอ่านหนังสือไปซื้อจากตึกตลาดปี 25-26 ตลาดการลงทุน จะสอนไว้ว่า ทุกๆ รอบตลาดจะมีไครซิส ผมก็รอจนเกิดแบล็กมันเดย์ (ปี"30) ผมเข้ามาลงทุนเลย ตอนนั้นดัชนีต่ำมาก แต่ด้วยความที่เราไม่ใช่มืออาชีพ กลัวเงินหมดมากกว่าได้ จึงไม่กล้าตัดสินใจตลอดเวลา ช่วงนั้นเอาเงินมาลงทุน 2.5 ล้านบาท ยุบไป 5 แสนบาท คนอื่น เพื่อน เสี่ยปู่ รวยกันหมด"

เมื่อขาดทุนเงินหาย 20% ก็รู้สึกถอดใจ และกลับไปทำงานที่บ้านโรงงานเส้นหมี่ ที่อยุธยา แต่ได้ข้อคิดจากพี่ชายที่เป็นหมอว่า "ได้สู้เต็มที่แล้วหรือยัง ของอย่างนี้ ต้องมีการจ่ายค่าเทอม" จึงตั้งใจว่า คนอื่นทำงานกัน 8 ชั่วโมง แต่ตัวเองจะขอทำซัก 10 ชั่วโมง ถ้ายังแพ้ก็จะขอสู้เป็น 12 ชั่วโมง จึงจุดประกายขึ้นมาทีละนิดๆ จึงอยากจะเน้นว่า "คนเรา ต้องใช้ ความพยายาม"

เสี่ยยักษ์เล่าว่า เพื่อนของภรรยาเป็นทันตแพทย์สนใจจะเล่นหุ้นมาก เพราะไม่อยากทำงานแล้ว โดยหวังว่าขอแค่ทำกำไรเพียง 5-10% เอาแบบแค่เล่นๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้กันเยอะมาก ซึ่งทางปฏิบัติจริงๆ ตลาดหุ้น ไม่ได้ทีเล่นทีจริงด้วยนะ เวลากินทีกินรวบหมด ถึงแม้จะบอกว่า ขอเอากำไรแค่น้อยๆ แต่อีกมุมหนึ่ง มีเงาใหญ่ๆ ที่เขาไม่รู้ว่าคุณจะเอามากหรือน้อย ส่วนใหญ่จะโดนแบบนี้กันหมด เหมือนเวลาสึนามิมา มันรวบคุณหมดไม่รู้ตัว

เจาะหาสไตล์เล่นหุ้น

เสี่ยยักษ์บอกว่าการเล่นหุ้นต้องสไตล์ใครสไตล์มัน ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ช่วงนั้นเสี่ยสองเด่นสุด ใครไม่เล่นหุ้นเสี่ยสองก็ไม่มีทางรวย เพราะเมื่อก่อนยังไม่มีกองทุน ไม่มีสถาบัน และต่างชาติไม่มาก แล้วผู้จัดการกองทุนเพิ่งจบใหม่ๆ ยังไม่มีประสบการณ์ตลาดหุ้นมาก กองทุนซื้อหุ้น พื้นฐานเสร็จหมด แม้แต่หุ้นแบงก์ก็ไม่ขึ้นกัน แต่หลังเกิดไครซิสผ่านมา 10 ปี ดัชนีลงมา 200 กว่าจุด รายย่อยแมลงเม่าตายหมด เหลือแต่คนเก่งๆ และกองทุนมีประสบการณ์มากขึ้น ขณะที่ต่างชาติใหญ่ขึ้น ดัชนีขึ้นมาเป็น 400 จุด ช่วงนั้นมีหุ้นพลังงานเข้ามาอย่าง ปตท. ที่ปรับตัวขึ้นหลายร้อยเท่าในวันนี้

จุดเปลี่ยนการลงทุนเกิดขึ้น หลังตั้งข้อสังเกตได้ว่า หุ้นรัฐวิสาหกิจ หรือหุ้นมวลชน จะต่างกับหุ้นเอกชน ที่เจ้าของเข้ามาแล้วหวังเอาเงินออกไป ซึ่งไม่ใช่ระดมเงินตรงอย่างที่ตำราว่ากัน ถ้าไม่เชื่อลองไปดูหุ้นปั่นแต่ละตัว พอมีหุ้นพลังงานเข้ามา เลยจับตาลงทุนหุ้นนี้เลย อย่าง ปตท.เปิดจองที่ 35 บาท ช่วงนั้นไปจองที่ต่างจังหวัดเลย เพราะคนเล่นหุ้นน้อย ก็ขอเบอร์ 1 ทุกๆ อำเภอ อำเภอละ 1 ชื่อ ซึ่งได้หุ้น ปตท. มา 7 แสนหุ้น แต่ตอนหุ้นเข้าตลาดหุ้น ก็มีแรงเทขาย จากรายย่อย โดยเขย่าราคาจน ปตท. เหลือ 28.75 บาท เพราะรายใหญ่ เขาไม่ให้ได้กำไรไปง่ายๆ

"ผมก็ขายนะ แล้วนำเงินไปเล่นหุ้นอื่นเรื่อยๆ แต่พอ ปตท. ขยับราคา ถึงจุดจุดหนึ่ง เริ่มดีขึ้น ผมก็สั่งซื้อ ปตท.จริงๆ จังๆ อีกครั้งที่ 70 บาท ที่พูดตรงนี้ เพราะอยากโฟกัสว่า ต้องเล่นหุ้นดีมีพื้นฐาน ซึ่งตอนนั้นขึ้นมา 190 บาท รอบแรก ผมยังไม่ขายเลย ถ้าคุณจะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น คุณต้องถือยาวให้ได้ แต่โดยธรรมชาติของตลาดมันเย้ายวน ทำให้อยากกำไร นี่คือสไตล์ เรามาเล่นหุ้นมวลชน มี 2 ตัว ปตท. กับ ปตท.สผ. เพราะเป็นหุ้นมหาชน"

"ตั้งแต่นั้นมา พอร์ตใหญ่จะมีหุ้นพลังงาน ผมสำเร็จจริงๆ เลยจาก ปตท. และ ปตท.สผ. เป็นหุ้นขุนศึกคู่ใจ อย่างช่วงตลาดหุ้นขึ้นแรงรอบที่ผ่านมา โชคดีที่จับทิศทางตลาดถูก ที่หันมาเล่นหุ้นเกี่ยวกับคอมโมดิตี้ อิงกับราคาตลาดโลก ก็เลยเล่นหุ้นเพียง 2 ตัวนี้ แฟชั่นปัจจุบัน คุณต้องเล่นหุ้นตามสถาบันต่างชาติ กองทุน คุณต้องเล่นหุ้นแบบนี้ถึงจะชนะได้ คุณจะยังไปติดเล่นหุ้นปั่นเดิม ไม่ได้แล้วนะ เพราะปั่นก็แปลว่า ไม่จริง ของไม่จริง ปั่นขึ้นมาตีฟอง ขึ้นไปเรื่อยๆ"

ทฤษฎีห่านบิน

เสี่ยยักษ์ก็ยอมรับว่า ในช่วงเกิดปัญหาซับไพรมมองผิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ จึงได้หยุดเล่น ทำให้ไม่มีหุ้นอยู่ในพอร์ตเลย ตอนหลังจึงมาวิเคราะห์ เห็นวอแรนบัฟเฟด กล้าเข้ามาตั้งกองทุนแล้วรับซื้อหน่วยลงทุนราคาถูก ก็สะท้อนว่าความเสี่ยหายน่าจะจบที่จุดๆหนึ่ง จึงได้ข้อคิดว่า เวลาเกิดวิกฤต จากแอ็กซิเดนต์ ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวกลับได้เร็ว ต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า จึงได้เปลี่ยน แปลงมุมมองทันที เผอิญหุ้นทั่วโลกก็ขึ้น ซึ่งตาม "ทฤษฎีห่านบิน" ถ้าห่านตัวหนึ่งบินขึ้นไป เดี๋ยวห่านตัวอื่นก็จะบินตาม พอห่านตัวไหนจอด ก็จะจอดลงกันทั้งฝูง

"หลังๆเราติดตามทฤษฎีห่านบิน พอห่านเริ่มบินเราก็บินด้วย ไม่ใช่บางคนยังแช่น้ำอยู่ บางคนบอกอย่าไปเล่นหุ้นตัวใหญ่ๆ เลย ที่จริงไม่ใช่นะ ผลตอบแทน ปตท.สผ. 20% เลยใน 2 อาทิตย์ช่วงนั้น ต้องมองภาพใหญ่ให้ออกว่า ราคาน้ำมันโลกขึ้นแน่ถึง 90 เหรียญ/บารเรล แล้วกราฟของน้ำมันชี้ว่า กำลังเริ่มตัดขึ้น เผอิญเราวิเคราะห์ถูก ตอนนั้นมีคนอื่นชวนเล่นหุ้นตัวนั้นตัวนี่ แต่ผมไม่เล่น พวกหุ้นเล็กหุ้นปั่นการเมืองก็เคยเล่นแล้ว โดนหมด นิสัยผมชอบถือหุ้นยาว ถ้าได้กำไรน้อยๆ ไม่เอา เลี้ยงหมูต้องเลี้ยงให้อ้วนๆ ไม่ใช่ซื้อมาจับขายเลย มันต้องเลี้ยงทีเดียว 90 กิโลเลย กำไรก็ต้องเยอะๆ ถึงจะชนะ ผมไปเล่นพวกนั้นผมขาดทุนตลอด"

ที่สำคัญการเล่นหุ้นอย่างน้อยต้องมองภาพใหญ่ให้ออก อย่างเวลา เศรษฐกิจในประเทศไม่ดี ถ้าจะเล่นหุ้น คุณต้องเล่นหุ้นที่อิงกับราคาสินค้าโลก เช่น หุ้นน้ำมัน เดินเรือ เพราะไม่มีใครกด หรือ กำหนดราคาสินค้าโลกได้

เสี่ยยักษ์มองว่า การเล่นหุ้นในตลาดจะต้องใช้ฝีมือ 70% โชคชะตา 30% ซึ่งถ้าทุ่มเทศึกษาจริงๆ มีโอกาสชนะแน่ จึงอยากจุดประกายว่า ตลาดหุ้นมีโอกาส แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า จะเล่นหุ้นยังไง จึงยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ให้คิดว่า ตลาดหุ้นเป็นสินค้าที่จะซื้อเก็บ ซึ่งพอเปิดร้านโชห่วย ควรจะจ่ายสินค้าเข้าร้าน ตั้งแต่เข้าเพื่อไว้ขาย ซึ่งตอนเช้าของตลาดหุ้นก็คือ ช่วงที่ราคาหุ้นลงมากแล้ว ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเล่น จะเป็นจังหวะซื้อหุ้น จนกระทั่งมีของเต็มร้าน ก็ให้รอจังหวะจ้องขายของออก แต่วันไหนเขาไม่ฮิตกัน ก็มองหาซื้อของเข้าร้านได้ ซึ่งอยากให้คิดเป็นหลักการค้าอย่างนี้เวลาเล่นหุ้น

"ปกติผมจะซื้อหุ้นตั้งแต่เช้าตี 4 ตี 5 เนื่องจากทุกคนบอกว่า ตลาดหุ้นผีดุ แล้วคนเจ๊งหุ้นก็เพราะเจอผี ซึ่งคำพูดตรงนี้หมายถึง ปกติราคาหุ้นจะมีรอบวัฏจักร ขึ้นแล้วก็ลง ดังนั้นถ้าจะซื้อหุ้นต้องซื้อก่อนคนอื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เพราะเป็นช่วงที่ หุ้นราคาถูก คนที่เจ๊งเขาขายออกมากันแล้ว แต่ถ้าเข้ามาซื้อหุ้นในช่วงบูมๆ ก็เท่ากับว่าเข้ามาซื้อหุ้นตอนช่วงที่ขึ้นไปสูง อย่างนี้มีสิทธิ์เจอผีหลอกได้ เพราะตลาดหุ้นอยู่ในช่วงใกล้ช่วงเวลาตี 2 ตี 3 แล้ว จำไว้เลย เล่นหุ้น ต้องมีคนตาย"

ขอปักธงเป็นแคมเปอร์

เสี่ยยักษ์ยอมรับว่า เวลาเล่นหุ้นจะเครียดและจริงจัง และใช้สมาธิอย่างมาก จะเงียบเลยในห้องเทรดของตน เพราะถ้าวันไหนล่นหุ้นไม่จริงจังก็จะแพ้ ซึ่งบางทีหุ้นลงทำอะไรไม่ได้ แต่ตรงนี้ยังไม่เครียดเท่าหุ้นขึ้น เพราะ ต้องมานั่งวางแผน จะเล่นอย่างไรดี และต้องเปิดตำราเล่มไหนมาสู้ ซึ่งเป็นเรื่องยากจริงๆ และเวลาเล่นหุ้นกลับบ้านแล้ว จะต้องจดไดอะรี่ เขียนกลยุทธ์ไว้ว่า เล่นหุ้นวันนี้แพ้เพราะอะไร เก็บเป็นตำราเลย

"อย่างเมื่อ 2-3 วัน ผมเก็บไดอะรี่เล่มเก่ามาอ่าน เพราะหุ้นที่เล่น มันเข้าทางเดิม ก็รู้สึกเหมือนเคยแพ้มา คือ ในช่วงหุ้นขึ้นมา 20% ปตท.สผ. ขึ้นมา 20% ผมต้องทำยังไงดี ในตำราผมเขียนเลย ถ้าในระยะเวลาอันสั้น เมื่อไหร่ที่หุ้นขึ้นมาถึง 20% ให้ทยอยขายทิ้ง นี่หมายถึงตำราของแต่ละคน อย่างน้อยไดอะรี่จะมีเร็กคอร์ดส่วนตัว คุณจะได้จำความรู้สึกมันเสียเปรียบนะ ดีที่ผมรีบกลับไปดู ถ้าขึ้นมาเร็วๆ ขนาดนี้ ต้องทยอยขายดีกว่า ผมเลยขายไปเรื่อยๆ จนหมด แต่ถามว่าปรับตัวลงจะเล่นอีกไหม ก็เล่นอีก ตอนนี้รอปรับตัวลงอยู่"

สำหรับขนาดพอร์ตลงทุน เสี่ยยักษ์บอกว่า "พอร์ตตอนนี้สูงสุดแล้ว บอกแค่ว่ามีเยอะละกัน ผมมีอิสระภาพทางการเงิน อยากใช้ได้ใช้ ไม่ต้องคิดมากวันนี้"

ที่ผ่านมาช่วงเล่นหุ้นใหม่ๆ พอพอร์ตโตขึ้นจะบอกครอบครัวว่าหากพอร์ตโตถึง 100 ล้านจะซื้อรถเบนซ์ ซึ่งก็สามารถทำได้ตามเป้า ซึ่งจะตั้งเป้าใหม่ว่าถ้าถึง 300 ล้านบาท จะซื้อรถสปอร์ต ในที่สุดก็ทำได้ และที่อยากได้คือรถเฟอร์รารี่สีแดง 20 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าว่าถ้าพอร์ตได้ 600 ล้านบาท ก็จะซื้อแล้วก็ได้จริงๆ

"ที่พูดไม่ใช่จะบอกว่าฟุ่มเฟือย แต่จะบอกว่า เวลามีกำไรเล็กๆ น้อยๆ อย่าไปใช้ ให้เก็บไว้ก่อน เหมือนเลี้ยงหมูให้อ้วนๆ หรือต้นไม้เลี้ยงไว้โตๆ ถึงค่อยแยกกระถางค่อยๆ ปล่อยให้โตไปเรื่อยๆ ก่อน ไม่ใช่ว่าตัดดอกเลย ผมเห็นบางคนหนุ่มๆ เล่นหุ้นมากำไร 3 ล้านซื้อนาฬิกาเรือนละ 7 แสน ไม่ได้ พอมีค่อยขยับจะดีกว่า แล้วถามเราไปกู้ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะอาชีพเล่นหุ้น เสี่ยงมากจริงๆ"

วันนี้ถนนเล่นหุ้นของเสี่ยยักษ์เล่าว่า ได้ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาลูกหนึ่ง ที่พอใจแล้ว ก็จะขอปักธงตั้งแคมป์ตรงนี้แล้ว เพราะอยากพักผ่อนหาความสุข ซึ่งตอนนี้ก็มีจัดสรรเงิน ไปลงทุนที่ดินด้วยบ้านพักตากอากาศที่ครบครันหลังใหญ่

"ชีวิตของคนมีหลากหลายรูปแบบ บางคนก็สู้ต่อไป บางคนก็ไม่สู้พอแล้ว ส่วนของผมก็เป็นแคมเปอร์ ขึ้นถึงยอดเขาลูกนี้ก็พอแล้ว อยากพักผ่อน แต่ก็มีบางคนที่ยังต้องการจะปีนต่อไป พอเขาพักหายเหนื่อย ก็ปีนไปยอดเขาอื่นๆ อีกอย่าง วันนี้ความเป็นนักฆ่าผมหายไป killer instint คุณต้องมีนะ เมื่อก่อนผมทำการบ้านขยันตลอดเวลา แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่แล้วนะ รักสบาย เหลือแต่ชั้นเชิง แต่ความรู้ใหม่ๆ เราไม่มีแล้ว กลางคืนพวกเด็กหนุ่มเขาแขต ในเซตเทรด แต่ผมไม่มีแล้ว ความสดไม่มี เมื่อไหร่ที่ไม่มีตรงนี้ คุณสู้เขาไม่ได้"

เสี่ยยักษ์ทิ้งท้ายว่า ด้วยอายุกว่า 50 ปี ก็ไม่ขออะไรมากไปกว่า เห็นความสุข ความสำเร็จของลูกหลาน ซึ่งตอนนี้ก็มีหลานเข้ามาเล่นหุ้น ประสบความสำเร็จ ต่อไปก็ว่าจะให้ลูกลองเข้ามาเล่นหุ้นซัก 1 ล้านบาท ให้เข้ามาเรียนรู้ หาประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ โดยเฉพาะในตลาดหุ้น ว่าของจริงโหดร้ายแค่ไหน

Source: //www.ThaiDayTrade.com




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2551 0:57:46 น.
Counter : 1339 Pageviews.  

สติปัฐฐาน กับ Technical Analysis

Technical Graph ถ้าไม่นำมาวิเคราะห์ร่วมในลักษณะของ Dynamic มันก็คือ เครื่องมือที่ Big Players เอามาใช้ฆ่ารายย่อยดีๆนี่เอง

หุ้นรับเหมาฯ ขนาดกลางตัวหนึ่ง ก็เพิ่งโชว์ให้เห็น ทำ Buy Signal อย่างสวยงาม แล้วก็ขายทิ้งดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ……. Buy Signal มันเกิดขึ้น ณ ขณะหนึ่ง แต่หาก volume กับ ราคา ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน มันก็คือ การทำสัญญาณซื้อเพื่อหลอกขายของ เท่านั้น

การเคลื่อนไหวขึ้นลงของหุ้น เป็น Dynamic …….. ระดับราคา ณ ขณะใดขณะหนึ่ง เป็นอนัตตา เลยไม่รู้ว่าจะเรียกว่า อะไรแพง อะไรถูก ……… ตราบใดที่ระดับราคายังมีแนวโน้มไปต่อ หุ้นราคา 300 up ก็อาจจะถูก แต่ถ้าแนวโน้มราคายังลงต่อ หุ้นราคา 20 สตางค์ ยังแพงเกินไปเลย และ หุ้นที่เคยอยู่ที่ราคา 2 บาท อาจจะถูกมากก็ได้ แม้มันจะไป 4 บาทแล้วก็ตาม ถ้าแนวโน้มยังจะไปต่อ ไม่ว่าจะขึ้นไปต่อ ด้วยเหตุผลทาง Fundamental หรือ Technical ก็ตาม

ถ้าผมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทขนาดเล็ก หรือ เป็นผู้จัดการกองทุน ขนาดใหญ่ หากผมอยากขาย ผมก็ต้องชี้นำราคา ให้ผู้อื่นอยากซื้อ ผมก็จะซื้อนำ จนกระทั่งกราฟ “กำลังจะ” เกิด Buy Signal พอมวลชนเห็นว่า มันน่าจะผ่าน หรือ “รู้สึกว่า” จะขึ้นต่อ ผมก็จะวางขาย แหมๆ ขายได้ทั้งราคาที่แพง และ ปริมาณหุ้นที่เพียงพอกับออร์เดอร์ที่รอ completed ด้วย ในทางตรงข้าม หากผมอยากให้ผู้อื่นขายให้ผม ผมก็จะขายนำจนกระทั่งกราฟ “กำลังจะ” เกิด Sell Signal พอมวลชนเห็นว่า มันน่าจะผ่าน หรือ “รู้สึกว่า” จะลงต่อ ผมก็ตั้งรอซื้อ ซื้อได้ทั้งราคาที่ถูกและได้ปริมาณหุ้นที่เพียงพอกับออร์เดอร์ที่รอ completed ด้วย

เลิกคาดการณ์ เลิกเดา เลิกเอาความรู้สึก มาใช้ ดีกว่า ระลึกรู้กับปัจจุบัน ว่าไปตามระบบ ก็พอ ……. อนัตตาทั้งนั้น

จากกราฟล่าสุด 28 ก.ย. กราฟระยะ Month และ กราฟระยะ Week สำหรับ นักลงทุนยังให้ HOLD ส่วนกราฟระยะ Day ยังโอเค เส้น 5-day ยืนเหนือเส้น 10-day และ เส้น 10-day ยืนเหนือเส้น B.B. Avg ได้

ถ้าพูดแบบนักวิเคราะห์ ก็ต้องบอกว่า แนวต้าน 850 แนวรับ 840 หาก 840 รับไม่อยู่ แนวรับถัดไปอยู่ที่ 830 และหาก 830 รับไม่อยู่ แนวรับต่อไป 817

มวลชนก็ยึดติดกับราคา คิดว่า อยากได้ราคาต่ำๆ ก็เลยตั้งรอที่แนวรับ 840 ........ พอ 840 รับไม่อยู่ ก็ไปรอรับที่ 830 พอ 830 รับไม่อยู่ ก็ไปตั้งรอที่ 817 แล้วถ้า 817 รับไม่อยู่อีกล่ะ มีเงินซื้อเพิ่มอีกรึป่าว?

ถ้าท่านคิดว่า รู้สึกว่า สังหรณ์ว่า วิเคราะห์ว่า มันต้องขึ้นต่อแน่ๆ เพราะอย่างนั้น อย่างนี้อย่างโน้น ท่านไปซื้อหุ้นเลยแถวๆราคาปิดวันศุกร์ที่ 845 จุด มันอาจจะขึ้นต่อเลย ก็ได้ หรือ จะลงมาตั้งหลักใหม่แถว 840 หรือ 830 ต้นๆก็ได้ แล้วทำไม ไม่ซื้อตามทันที (Follow Buy) เมื่อมัน breakout and up ผ่าน 850 ล่ะคับ ไม่ถือว่าแพงเลย หากผ่าน 850 ได้จริงโดยมี Volume การันตีการขึ้นต่อ เพราะนี่คือ จุด start ของขาขึ้นรอบใหม่ หรือ อีกทางเลือกหนึ่ง หากมันเลือก ลงมาก่อน ก็ควรรอดูว่า 840 หรือ 830 ต้นๆ มันยันอยู่หรือเปล่า หาก 830 ยันอยู่ ซื้อที่ 835 ก็ยังดีกว่าสุ่มซื้อที่ 845 เพียงเพราะเดาว่า รู้สึกว่า มันจะขึ้น มั๊ง แต่หาก 830 ยันไม่อยู่ ท่านอาจได้ซื้อถูกกว่าเดิมมาก แถวๆ 820-821 ด้วยซ้ำ หากแนวรับ 817 มันยันอยู่

ซื้อเมื่อผ่านแนวต้านแน่นอนแล้ว หรือ ซื้อเมื่อแนวรับ ยันการไหลลงได้ พร้อมวกกลับ ได้แล้ว ทำให้เกิด Cost-effective มากกว่าคับ อย่าไปตั้งที่แนวรับ เพียงเพราะอยากได้ราคา low ….. เงิน เป็นทรัพยากรที่มีจำกัด

อนัตตา จะเป็นอะไรก็ได้นะคับ อย่าไป Bet ล่วงหน้า ว่าต้องขึ้นแน่ๆ หรือต้องลงแน่ๆ มีสติอยู่กับปัจจุบันก็พอ เพราะไม่รู้จะคาดการณ์กันไปทำไม คาดๆเดาๆไป มันก็ไม่ต่างจากการพนัน เดาผิด เสียเงินอีกต่างหาก รอการยืนยันทิศทาง ดีกว่าคับ เพราะการเดินเกมส์ ไม่ได้อยู่ที่เรา มันขึ้นอยู่กับ กลยุทธ์การรบ ของ Big Player ของ ผู้จัดการกองทุนต่างๆส่วนใหญ่มากกว่า ว่าเขาจะสู้ตายในทันที (ทุบหม้อข้าวลุย) หรือ จะขอพักเหนื่อยก่อน (เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตี เอ็งหนี ข้าตาม)

ดังนั้น คำถามที่ถามว่า มันจะผ่าน 850 จุดหรือไม่ วันไหน และ มันจะลงมาถึงไหน วันไหน มันก็ยังยืนยันคับว่า ผมไม่รู้ และไม่คิดว่า ผู้จัดการกองทุนใดกองทุนหนึ่งจะรู้ด้วย เพราะตลาดหุ้น ประกอบไปด้วย Big Players มากราย ......... มีสติระลึกรู้เฉพาะในปัจจุบัน ก็พอ เพราะ เราไม่ใช่ผู้เดินเกมส์ เราเป็นเพียงผู้เกาะ Cash Flow ของ Big Players ขึ้นไป

ซื้อเมื่อมีความชัดเจนให้ซื้อ ราคาเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ถ้าถึงเวลาต้องซื้อ ก็ต้องซื้อ เมื่อถึงเวลาต้องขาย ก็ต้องขาย อย่าดูราคา ให้ดูที่แนวโน้ม

ฟิวเจอร์ วันศุกร์ Settlement price อยู่ที่ 619.8 จะขึ้นต่อไปเลยก็ได้ เพราะ ยังยืนเหนือ เส้น 5-day & 10-day และ B.B. avg ได้ หรือ จะลงต่อก็ได้ เพราะ Indicators ต่างๆ มันหมดแรง ถ้าพูดแบบนักวิเคราะห์ ก็ต้องบอกว่า แนวต้าน 620 หากผ่านได้ แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 624-625 และ แนวต้านต่อไปจะเป็น 628-629 แนวรับ 614-616 หากรับไม่อยู่ แนวรับถัดไปอยู่ที่ 608-610 และหากรับไม่อยู่ แนวรับต่อไปจะอยู่ที่ 605

วางแผนกันยังไงกับ Futures Trading ครับ?

และอย่าลืมเปลี่ยนแผนที่วางไว้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วยนะคับ เพราะการเคลื่อนไหว ของราคา เป็น อนัตตา และหากผิดพลาดขึ้นมา อย่าลืมแก้ไขพร้อมกลับฝั่งโดยเร็ว ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย

//www.ThaiDayTrade.com




 

Create Date : 30 กันยายน 2550    
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 16:52:11 น.
Counter : 643 Pageviews.  

“Follow Buy” after Breaking UP … The hour we’ve been waiting for

“ทุกคนจะมีจังหวะฟ้าลิขิต...ทุกคนต้องเคยได้รับโอกาสนั้น แต่คุณจะตักตวงมันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง” .........กูรูหุ้นพันล้าน... วิชัย วชิรพงศ์ เสี่ยยักษ์

“Follow Buy” after Breaking UP … The hour we’ve been waiting for

หลังจากไหว้ครู ยกวาทะ ครูใหญ่ “เสี่ยยักษ์” มาเป็นศิริมงคลแล้ว ThaiDayTrade.com ก็จะขอเข้าเรื่องต่อ อยากให้เห็นความสำคัญ ของกลยุทธ์ “Follow Buy” ถึงโอกาสจะมีไม่บ่อยนัก แต่น้ำขึ้นต้องรีบตัก

ขอพูดคุยเผื่อไว้เป็นการล่วงหน้าครับ หากเราเจอสถานการณ์ Break Out and UP with Volume Outperform ในโอกาสต่อๆไป …………. โอกาสเช่นนี้ มันทำเงินได้มากๆ จนถึงมากมายมหาศาล มากเพียงพอ ที่จะนำเศษของกำไร ไปแบ่งจ่ายขาดทุนบ้าง ในหลายๆครั้ง ที่เราผิดพลาดจากเทรดดิ้ง ไม่ว่าจะเป็น ขาดทุนจริง เป็นตัวเงิน หรือ ขาดทุนค้างพอร์ต แบบที่ว่า “ไม่ขายไม่ขาดทุน” ก็ตาม และ ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการ ขึ้นจริงหรือขึ้นหลอก ของ SET Index หรือของ Index Futures หรือ ของหุ้นรายตัว ก็ตาม โดยกำไรในส่วนนี้ มากเพียงพอ ที่มือเก่าที่มีประสบการณ์หลายท่าน จะซื้อเต็มวงเงิน แล้วนำเฉพาะ กำไรจำนวนมากออกมา ในวันด้วยซ้ำ หากยังไม่มั่นใจภาวะตลาด

Sideway before Breaking Out

ไม่ว่าจะเป็น Stock Trading, Option & Futures Trading, Forex Trading, Commodity Trading, etc. เราต่างก็เคยเจอสถานการณ์ลำบากใจเสมอ สถานการณ์ที่เมื่อมันวิ่งไปชน กรอบบน แล้วก็ลง แต่พอลงมาชน กรอบล่าง แล้วก็ขึ้น แต่พอขึ้นไปนิดนึง มันก็ลงอีก และลงมาแป๊ปนึงมันก็ขึ้นอีก การเคลื่อนไหวของระดับราคา มันแกว่งแคบมาก แคบจนซื้อไป ก็ไม่มีกำไรให้คุ้มเสี่ยง ขายไป ก็ไม่มีโอกาสให้ซื้อกลับ โวลุ่มตลาดก็สุดแสน จะเบาบาง สถานการณ์แบบนี้ จำเป็นต้อง รอคอย สถานเดียว รอมันเลือกทาง รอดูว่ามันจะ break up หรือ break down กรณีถ้าเป็น Futures Trading ก็ยิ่งให้โอกาสทำกำไรงามทั้ง 2 ทาง ถ้ามันเลือกที่จะ break up ก็ต้อง long ขึ้นไปในทันทีที่มันตัดสินใจเลือกขึ้น หรือ ถ้ามันเลือกที่จะ break down ก็ต้อง short ลงไปในทันทีที่มันตัดสินใจเลือกลง แต่ในที่นี้จะมุ่งเน้นคุยกัน ในเรื่องของหุ้นก่อนดีกว่า เพราะกลยุทธ์ของ Option Trading & Futures Trading มันยาวเกินกว่าพื้นที่ในหน้านี้

Break Out

กรณี SET แกว่งไปมาแคบๆ เป็นเวลานาน เช่น เคลื่อนไหวไปมา ไม่เลือกทางซะที สมมุติตัวเลขว่ามันวิ่งไปมาระหว่าง 800-820 เรามี 2 ทางเลือก ใช่ไหมครับ คือ พนันว่า SET จะขึ้นแน่ๆ เราก็เลย bet เลือกซื้อหุ้น ซึ่งหาก SET Index มันขึ้นจริง เราก็จะได้ของถูก และกำไรงาม แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอคอยมัน อีกนานแค่ไหน กว่ามันจะเลือกทาง แต่หาก SET Index เลือกลง เราจะติดหุ้น ที่ราคาสูงเลย หรือไม่ก็ต้องขายขาดทุน เมื่อ limit loss อีกทางเลือกหนึ่ง รอซื้อ เมื่อมันเลือกได้แล้วว่าจะขึ้น รอซื้อเมื่อมันผ่าน 820 แน่นอนแล้ว

ไม่ว่าจะขึ้นจริงจัง หรือ ขึ้นกลางๆ หรือ ขึ้นหลอกๆ แต่การที่มัน Breakout and up ขึ้นไปได้ มันจำเป็นต้องไปต่อระยะนึงก่อน ดังนั้น ณ จุดที่ breakout and up สำเร็จ จึงเป็นโอกาสทำกำไรงามในวัน ได้เลยทีเดียว เพราะมันจำเป็น ต้องไปต่อ (ทำไม จึงจำเป็นต้องไปต่อ ดูในส่วนของ Volume Outperform)

แนวคิดนี้ ใช้ประยุกต์ได้ กับใน Futures Trading และ หุ้นรายตัว เช่นกันคับ ยกตัวอย่างกรณีของ Thai Oil Plc. และ PTTCH โดนบีบโดนกด อยู่ระยะนึง ขึ้นก็ไม่ขึ้น ลงก็ไม่ลง นี่ก็เป็นการรอเลือกทาง เช่นกัน อย่างรอบล่าสุดของ TOP ก่อนประกาศเงินปันผล พอลงมา 78 ก็ขึ้น แต่พอขึ้นไปใกล้ 80 ก็ลง แต่พอลงมาถึง 78 ก็ขึ้นอีก และเมื่อเข้าใกล้ 80 บาท ก็ลงอีก ….. อย่างนี้ ก็คือ การรอเลือกทางเช่นกัน

Resistance Area

ระดับราคาของหุ้นรายตัว ที่ขึ้นไปแล้วติดแนวต้านที่ราคานั้นๆ เป็นประจำ หรือ ระดับดัชนีของ SET ที่ขึ้นไปแล้วติดแนวต้านที่ SET Index นั้นๆเป็นประจำ แต่ไม่ยักกะลงซะที แสดงว่า ผู้เล่นหลักเจตนา block หุ้น ไม่ยอมให้ผ่าน (ยังเก็บของได้ไม่ครบ จึงขนหุ้นมาขวางที่ฝั่ง offer ไม่ให้ขึ้น แล้วตั้ง bid รอซื้อ) หรือแปลว่า มีออร์เดอร์ขาย ที่ระดับราคานั้นๆจำนวนมาก (แต่ที่ราคาไม่ลง เพราะ มีคนตั้งซื้อ รอซื้อจำนวนมากเช่นกัน)

เมื่อมันผ่านได้ แสดงว่า ผู้เล่นหลัก ไม่ block หุ้นแล้ว หรือ ออร์เดอร์ขาย ณ ระดับราคานั้น completed แล้ว ไม่มีของมาขาย ณ ระดับราคานั้นแล้ว ออร์เดอร์ขาย อย่างจริงจัง หมดเกลี้ยงแล้ว ………… เมื่อผ่านแนวต้านสำคัญนั้นๆ ไปได้แล้ว มันจำเป็นต้องไปต่อ (ทำไม จึงจำเป็นต้องไปต่อ ดูในส่วนของ Volume Outperform)

Volume Outperform

เมื่อ SET Index หรือหุ้นรายตัว ผ่านแนวต้านสำคัญไปได้ พร้อมด้วย Volume Outperform เราจะถือว่านี่คือ การ การันตี ขาขึ้นรอบใหม่ เพราะผู้เล่นหลัก จะรีบกวาดซื้อหุ้นส่วนที่เหลือในทุกระดับราคา เพื่อ อำนาจ control หุ้น ส่วนกองทุนต่างๆที่ไม่ใช่ผู้เล่นหลัก เมื่อเห็นว่า มันผ่านแนวต้าน ไปได้แล้ว ก็จะ “Strong Buy” ในทันที ก่อนที่ราคาจะไปไหนไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนตำหนิ จากคณะกรรมการการลงทุนว่า ทำไม ยูไปซื้อสูงกว่าราคาเฉลี่ย หรือ ทำไมยูไม่ซื้อ ไอม่ายเข้าใจ ขณะที่เซียนหุ้นทั้งหลาย ก็จะ “Follow Buy” เพื่อเกาะ Fund Flow ขึ้นไป โดยจะมีคนส่วนใหญ่ ในตลาด ได้แต่นั่งมอง ว่ามันขึ้นไปเร็วจัง มันขึ้นไปมากแล้ว ……….. กระบวนการไล่ซื้อ อย่างรวดเร็วและรุนแรง จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่า “คนสุดท้าย” จะเข้ามา

คำว่า Volume Outperform ไม่ใช่การดูเพียงว่าตัวไหนติด Most Active หรือ Top Gainers นะคับ เพราะหุ้นส่วนหนึ่ง มีคนเทรดมากและติด Most Active โดยปกติอยู่แล้ว ส่วนกรณี Top Gainers บอกเพียงว่า หุ้นตัวไหนวิ่งขึ้นเยอะ ไม่ได้บอกว่า มันจะไปต่อ และ Volume Outperform ก็ไม่ใช่การดูว่า หุ้นตัวนั้น มีเปอร์เซ็นต์ซื้อมากกว่าเปอร์เซ็นต์ขายด้วยคับ นั่นมันภาพลวงตา ….. Big Players สามารถ bid เอง offer เอง เคาะซื้อเอง เคาะขายเอง เพื่อลวงกันได้ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นตัวใหญ่หรือหุ้นตัวเล็กก็ตาม

แต่หุ้นที่มี Volume Outperform จะเป็นหุ้นที่มีเม็ดเงิน เข้ามาลุยมากๆ ในวันแรกๆ มีปริมาณการเทรดหนาแน่น เมื่อเทียบกับปริมาณการเทรดเฉลี่ย ของหลายวันทำการที่ผ่านมา …….. ถ้าโวลุ่ม เข้าข่าย Outperform และราคาขยับ ขึ้นเรื่อยๆ แปลว่า เม็ดเงินกำลังเข้ากวาดซื้อ และหากราคานั้น ผ่านแนวต้านไปได้ แสดงว่า มันกำลังจะวิ่งไปทดสอบแนวต้านต่อไป บนโน้นเลย ยิ่งต้องเลือกใช้ กลยุทธ์ "ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อ" คนส่วนใหญ่เมื่อเจออาการเช่นนี้ มักจะซื้อไม่ทัน ติว่าแพง หรือ ต่อรองราคาในช่วงขาขึ้น (แต่ยินดีซื้อถูกในช่วง ขาลง)

“สำหรับผม ถ้าจะซื้อหุ้น...ต้องดูทรง (กราฟ) ด้วย แม้ราคาจะขึ้นมาแล้ว 30% ถ้ายังพอไปต่อไหว...ก็เล่น ผมถือว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า บนสวรรค์มีไม่รู้ตั้งกี่ชั้น แต่เวลาลงนรกก็มีไม่รู้ตั้งกี่ขุมเช่นกัน จะไม่มีคำว่าถูก ว่าแพงในตลาดหุ้น"......... คุณ วัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง รายใหญ่ตลาดหุ้น

ข้อสังเกต: ความต่างระหว่าง "แมงเม่า" กับ "Follow Buy" คือ แมงเม่า จะเข้าซื้อเมื่อเห็นการกระตุกราคาขึ้น ส่วน Follow Buy เป็นกลยุทธ์การเทรด ที่ระดับแนวต้านนั้น ผ่านขึ้นไปได้แล้ว พร้อมด้วยโวลุ่มเข้า Outperform

หากผ่านแนวต้านด้วยโวลุ่มเล็กน้อย แปลว่า มีคนทำ buy signal หลอก หรือ เราๆท่านๆ อยากซื้อ ก็เลยเคาะซื้อ และ บังเอิญนั่นเป็น Buy Signal พอดี

ถ้าโวลุ่มเข้า Outperform แต่ราคาทรุดลงต่อเนื่อง แปลว่า Big Players กำลังตั้งหน้าตั้งตาขาย นะคับ อย่าเพิ่งรีบซื้อเด็ดขาด ถ้ามี ต้องรีบขายทิ้งโดยเร็ว เพราะหากขายเร็วพอ แทบจะการันตีได้เลยว่า มีโอกาสได้ซื้อคืนแน่ ในราคาที่ต่ำกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

หากนำพฤติกรรมรายใหญ่มาวิเคราะห์ มันมีความจำเป็นคับ ที่เมื่อผ่านแนวต้านด้วย Volume Outperform แล้ว ต้องขึ้นต่อ …… ยกตัวอย่าง สมมุติ ท่านเป็นผู้จัดการกองทุน และสมมุติต่อแล้วกันว่าท่านเก็บหุ้น Thai Oil Plc. ไปถึง 20 ล้านหุ้นแถวราคา 79 บาท ถ้าราคาไม่ขึ้นไปถึง 88-90 บาท ท่านจะสามารถ ขายทำกำไรได้หมด 20 ล้านหุ้นหรือไม่คับ แหม อุตส่าห์ลงแรง ตุนไว้ตั้ง 20 ล้านหุ้นแถว 79 บาทแล้วนี่ หากขึ้นไปนิดๆหน่อยๆ จะขายได้หมด หลายสิบล้านหุ้น โดยไม่ขาดทุนหรือเปล่าคับ …….. ในเมื่อผ่านแนวต้านไปได้ ข้างบนก็โล่ง และเมื่อโล่งก็ลากง่าย หากไม่ลากก็ขายไม่หมด จึงจำเป็น ต้องลากขึ้นไป ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้หุ้นของตนเป็น High-demand stocks ด้วยเหตุนี้ เมื่อผ่านแนวต้าน ราคาขยับขึ้นพร้อม volume outperform มันต้องขึ้นก่อน ส่วนจะขึ้นจริงขึ้นหลอก เราก็ออกมาได้เรียบร้อยแล้วล่ะ ตอนนั้น

"หุ้นยิ่งขึ้นต้องยิ่งซื้อ หุ้นยิ่งตกต้องยิ่งขาย" "จงทำตามแนวโน้มตลาด" นี่คือ กฎข้อแรก ที่คุณหมอเรียนรู้ หลังจากขาดทุนอย่างหนัก".........ท.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม คุณหมอเซียนหุ้นพันล้าน

"ตอนที่เริ่มสตาร์ทผมลงเงินไป 500,000 บาท ตอนนั้นเลือกหุ้นที่คิดว่ามี "ราคาถูก" ผมจะซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมามากๆ เลือกหุ้นที่มีพี/อี เรโชต่ำ และซื้อหุ้น ที่มีราคาต่ำกว่าพาร์ เพราะเราคิดว่าราคาถูก" "สิ่งที่คิดว่า "ราคาถูก" และ "ปลอดภัย" เอาเข้าจริง กลับตรงกันข้าม เล่นช่วงแรกเจ๊งมาตลอด จนเหลือเงินอยู่ 180,000 บาท" ในที่สุด ได้ข้อสรุปมาว่า “ถ้ามัวแต่ยึดข้อมูลในอดีต สักวัน คงหมดตัวแน่!!!" .........ท.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม คุณหมอ เซียนหุ้นพันล้าน

Right Stocks at the Right Price on the Right Time

ทุกครั้งที่ SET Index สามารถ breakout and up ขึ้นไปได้ นักลงทุนส่วนหนึ่ง ก็รีบไปซื้อหุ้นราคาถูก ด้วยมองว่า มันถูก เดี๋ยวมันจะขึ้น แต่ความจริง เม็ดเงินไปกระจุกอยู่ใน Leading Stocks เท่านั้นคับ ดังนั้น เมื่อ SET สามารถผ่านขึ้นไปได้ ต้องเล็งก่อนเลยว่าตัวไหน มีเม็ดเงินไปกระจุกตัว (แน่นอน หุ้นตัวนั้น ก็ต้องมี Volume Outperform) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น Large Cap. หรือ กลุ่มหลักทรัพย์ครับ ที่จะวิ่งขึ้นมาก่อน แล้ววันต่อๆมา ถึงค่อยเป็นคิวของ กลุ่มรับเหมาฯ หรือ อสังหาฯ จากนั้น ถึงจะเป็นหุ้นเล็กเก็งกำไร หากไปเลือกผิดตัว ผิดราคา ผิดเวลา จะกลายเป็นว่า SET ขึ้น แต่ตัวที่เราเลือก มันกลับไม่ขึ้น

หุ้นที่มี Volume outperform ก็คือ หุ้นที่มีเจ้ามือลุย จะเป็น หุ้นพื้นฐาน หรือ หุ้นเก็งกำไร จะเป็นหุ้นคนไทย หรือ หุ้นที่มีฝรั่งเป็นเจ้ามือ ก็ช่างเหอะ เปรียบเหมือน การขึ้นรถเมลล์ หากรถเมลล์นั้น มีที่ให้เรานั่งเยอะ ก็มักจะต้อง จอดรอคนอีกนาน กว่าจะสตาร์ท เผลอๆโชเฟอร์จะขอไปหลับก่อน ด้วยซ้ำ ตื่นแล้วจึงค่อยมาออกรถ ขณะที่ รถบางคัน คนแน่นไปหมด ที่นั่งก็ไม่มี แต่เครื่องร้อนแล้ว จะออกเดี๋ยวนี้แล้ว

อย่าง วันศุกร์ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา ทันที่ที่ SET สามารถ breakout and up ขึ้นไปได้ ท่านจะสังเกตเห็นว่า หุ้น Large Cap. และ หุ้นหลักทรัพย์หลายตัว ผ่านแนวต้านขึ้นไปได้ เช่นกัน พร้อมกับติดอันดับ Volume Outperform ซึ่งเป็นสัญญาณ เม็ดเงินเข้ามาลุยจริงจัง ขอยกตัวอย่าง กรณีของ RRC ซึ่งปกติเทรดกัน ไม่ถึง 20 ล้านหุ้น แต่เม็ดเงินกลับเข้ามากระจุกตัวมาก ในวันศุกร์ที่ผ่านมา เทรดทั้งวันไปถึง 73 ล้านหุ้น ผลักดันราคาขึ้นไป จาก 23.70 ไปถึง 24.80 ได้อย่างสบายๆ เพราะ Fund Flow เข้ามากระจุกตัวที่นี่ กรณีของ IRPC ก็เช่นกัน ปกติเทรดกันไม่ถึง 20 ล้านหุ้น แต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เม็ดเงินกลับเข้ามากระจุกตัวมาก ผิดปกติ เทรดทั้งวันไปถึง 118 ล้านหุ้น ผลักดันราคาขึ้นไป จาก 6.45 ไปถึง 6.80 อย่างง่ายดาย

“หุ้นจะเป็นขาขึ้น "ราคา" และ "ปริมาณ" จะต้องเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน” .........วิชัย วชิรพงศ์ เสี่ยยักษ์

Right Now

เมื่อสแกนเจอหุ้นที่ breakout ผ่านแนวต้านขึ้นมาได้แล้ว ด้วย Volume Outperform ก็ลุยเลย follow buy เลยคับ มันสามารถทำกำไรได้เยอะ ในเวลาสั้นๆด้วย เพราะนี่คือการเกาะเงินเขาขึ้นไป ส่วนมันจะ ขึ้นจริง หรือ ขึ้นหลอก เราไม่ใช่ผู้กำหนด แต่ถ้าหน้าไพ่ ณ ชั่วโมงนี้ คือ ลุย เราก็ควรจะมีส่วนได้ด้วย ใช่ไหมคับ

ว่าแต่ว่า ฟิวเจอร์ผ่าน 600 จุดขึ้นมาได้ ท่าน Follow Long หรือยัง

“ทุกคนจะมีจังหวะฟ้าลิขิต...ทุกคนต้องเคยได้รับโอกาสนั้น แต่คุณจะตักตวงมันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”.........กูรูหุ้นพันล้าน...วิชัย วชิรพงศ์ เสี่ยยักษ์

Source: //www.ThaiDayTrade.com

thanapon@ThaiDayTrade.com




 

Create Date : 22 กันยายน 2550    
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 16:52:02 น.
Counter : 2500 Pageviews.  

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

Mr. Messenger แห่งพันธ์ทิพย์ และ VIP รับเชิญของ ThaiDayTrade.com ได้นำเรื่องราวดีๆ มาฝากสังคมรายย่อย อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ล่าสุด ท่านได้นำ "ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย" จาก นิตยสาร สารคดี ย้อนรอย มาฝากพวกเรา ให้มีสติและตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

===============================

จาก 300 จุด ไปสู่ 1,700 จุดอย่างรวดเร็ว และ หล่นลงมาสู่ 300 จุดได้อีกครั้ง ในเวลาที่เร็วกว่า ทำให้ ThaiDayTrade Team ยิ่งตระหนัก ถึงความสำคัญ ของการเกาะติดแนวโน้ม โดยไม่ยึดติดราคา .....

หากหวังราคาถูกๆแบบในอดีต ขณะที่แนวโน้มเป็นขาขึ้น จะไม่ได้ซื้อหุ้น และอาจต้องตามไปซื้อในราคาที่แพงมาก ในท้ายที่สุด ..... แต่ถ้าได้ของถูก อย่างที่หวัง ขณะที่แนวโน้มหลักเป็นขาลง ราคามันก็จะลง ลง ลง มาให้ซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุน ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน อดีตสอนให้เรารู้ว่า ถึงแม้จะมั่นใจ ในหุ้นที่ตนถืออยู่ มากเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อตลาดหุ้นปรับฐานใหญ่ ในแต่ละครั้ง เราก็ยังต้องรู้จักบริหารความเสี่ยง ด้วยการหยุดซื้อหุ้น หรือ ขายตัดขาดทุน หรือ Long Put ใน Options หรือ Short ในฟิวเจอร์ เพื่อเอาตัวให้อยู่รอด ปลอดภัยให้ได้ ตามความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์

===============================

ขอยกพื้นที่ จากนี้ไป ให้กับ สารคดี ย้อนรอย ในตอนที่มีชื่อว่า "ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย"
===============================

"...ชีวิตผม เริ่มต้นจากติดลบ จากการเป็นหนี้ เพราะหุ้น และผมก็มีชีวิตที่ดีได้ เพราะหุ้น ผมจะไม่พลาดอีกต่อไป อย่างน้อย ผมกันเงิน ๕๐ เปอร์เซนต์ ไปซื้อที่ดิน เพื่อความมั่นคงในชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือ ผมต้องรู้ตัวเองว่า ผมจะต้อง ไม่โลภเกินไป"

นักเล่นหุ้น ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ท่านนี้ก็เป็นหนึ่ง ในบรรดานักเล่นหุ้น มืออาชีพ ที่คร่ำหวอด ในวงการ มานานนับสิบปี ประสบการณ์ แต่ละครั้ง ของคนเหล่านี้ ซื้อมาด้วยเงินมหาศาล บางคน เกือบต้องเอาชีวิตเข้าแลก เซียนหุ้นบางคน มีความรู้แต่ ป. ๔ แต่สามารถอ่านงบการเงิน ของบริษัทต่าง ๆ ได้ บางคน เคยมีอาชีพ ขายไอศกรีม แต่ปัจจุบัน กลายเป็น เศรษฐีร้อยล้าน เซียนหุ้นบางคน อาจเคยเป็นมหาเศรษฐี เป็นเจ้าของภัตตาคารมีชื่อ แต่ความรุ่งเรืองนั้น กลับกลายเป็นอดีตที่ขมขื่น เมื่อต้องขายกิจการทุกอย่าง ที่ตัวเองมี เพื่อชดใช้หนี้สิน ที่เกิดจากการเล่นหุ้น

หุ้นคืออะไร มันเป็นยาพิษ หรือน้ำหวาน ของนักเล่นหุ้นกันแน่?

===============================

ย้อนกลับไป เมื่อ ๑5 ปีที่แล้ว นักเล่นหุ้น รู้ดีว่า ตลาดหุ้นเมืองไทยขณะนั้น อยู่ในภาวะกระทิง อันเป็นผลมาจาก เศรษฐกิจไทย ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงปีละประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เหล่านักเผชิญโชค หลายแสนคน ต่างมุ่งหน้า ไปขุดทองกันที่ ห้องค้าหลักทรัพย์ เพื่อถ่ายทอดคำสั่ง ให้โบรกเกอร์เคาะซื้อขาย หุ้นต่าง ๆ บนกระดาน

หลายคน ยังคงจำ วิธีซื้อขายหุ้นแบบเก่า ที่ใช้วิธีเคาะกระดาน เสียงดังสนั่นได้ดี ก่อนที่จะเปลี่ยน มาเป็นวิธีซื้อขาย ด้วยคอมพิวเตอร์

ใครที่เคยไป ห้องค้า ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย อาคารสินธร คงไม่ลืม บรรยากาศ เมื่อเวลา ๙.๓๐ น. ทันที ที่เสียงอ๊อด อ๊อด อ๊อด...ของสัญญาณบอกเวลา เปิดตลาดหุ้นดังขึ้น ชีวิตในห้องโถง ซึ่งมีขนาดพอ ๆ กับโรงยิม ก็เริ่มเคลื่อนไหว ที่ผนังทั้งสามด้านของห้อง มีกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ ติดตั้งอยู่ บนกระดาน แบ่งเป็นช่อง ๆ แสดงชื่อบริษัท ที่มีการซื้อขายหุ้น แยกเป็นหมวดหมู่ ตรงกลางห้อง เป็นที่ตั้งโต๊ะ ของบรรดาบริษัทโบรกเกอร์ ที่ได้รับอนุญาต ให้เป็นนายหน้า ทำการซื้อขายหุ้น แทนบุคคลทั่วไป ที่ไม่สามารถ ซื้อขายหุ้นได้โดยตรง แต่ละบริษัท มีเครื่องคอมพิวเตอร์ บันทึกรายการ ซื้อขายใบหุ้น ของลูกค้า และโทรศัพท์ฮอตไลน์ ที่ไม่ต้องหมุนหมายเลข ต่อไปถึงบริษัทแม่ที่อยู่ข้างนอก เพื่อรอรับคำสั่ง จากลูกค้าที่ต้องการ ซื้อขายหุ้น เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว เจ้าหน้าที่ หรือเทรดเดอร์ ของแต่ละบริษัท ซึ่งสวมชุดสีน้ำเงิน มีชื่อ และหมายเลขประจำตัว ปักด้วยด้ายสีเหลือง แลเห็นเด่นชัด อยู่กลางหลัง ก็วิ่งไปเคาะซื้อขายหุ้น บนกระดาน ด้วยปากกา

เทรดเดอร์ ของบริษัทใด มีความคล่องตัวสูง สามารถชิงเคลื่อนไหว เข้ายึดพื้นที่ หน้ากระดาน ได้เร็วกว่า คู่แข่ง ก็สามารถสนอง คำสั่งซื้อขายหุ้น ของลูกค้า ได้ดีกว่า

แม้ว่าการซื้อขายหุ้นทั่วโลก จะเปลี่ยนมาใช้ คอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังใช้ หลักการเดิม คือ "การประมูล" ใบหุ้น เปรียบเสมือนสินค้า ในท้องตลาด เมื่อมีการประมูล ผู้ให้ราคาซื้อสูงกว่า ก็ย่อมซื้อได้ ในขณะเดียวกัน ผู้เสนอราคาขาย ในราคาต่ำกว่า ก็มักจะขายได้ก่อน ภายใต้ข้อกำหนดว่า ราคาซื้อขาย ของหุ้นแต่ละตัว จะขึ้นลงได้ไม่เกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ของราคาซื้อขาย ครั้งสุดท้าย ของวันก่อน

ภาพที่เห็นชินตา ในเวลานั้น อีกประการ คือ ภาพตัวแทนโบรกเกอร ์ยืน บนโต๊ะ มือหนึ่ง ถือกล้องส่องทางไกล ดูราคาหุ้น บนกระดาน อีกมือหนึ่ง ถือโทรศัพท์มือถือ ขนาดใหญ่ รุ่นโบราณ คอยรายงาน ราคาหุ้น ให้ลูกค้า ที่รอฟังอยู่ที่ บริษัทโบรกเกอร์ข้างนอก รับทราบ ในเวลานั้น การรายงานราคาหุ้น มีเพียงการถ่ายทอดเสียง ผ่านวิทยุคลื่น เอ.เอ็ม. ความถี่ ๑,๔๙๕ กิโลเฮิรตซ์ ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ได้เปลี่ยนวิธีการซื้อขายหุ้น บนกระดาน ที่ใช้มานานถึง ๑๖ ปี ตั้งแต่เปิดตลาดฯ ครั้งแรก เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๑๘ มาเป็นการซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ เพื่อรองรับ ปริมาณการซื้อขาย จากวันละไม่กี่ร้อยล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นวันละ ๕ ,๐๐๐ กว่าล้านบาท

บรรยากาศ การรับคำสั่งซื้อขายหุ้น ที่โกลาหล อลหม่าน และเสียงเคาะซื้อขาย บนกระดาน ก็หายไป แทนที่ ด้วยความเงียบของเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ปรากฏตัวเลข บนจอกระดานดิจิตอลแทน นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถนั่งดู ราคาซื้อขายหุ้น ที่รายงานสด ผ่านจอโทรทัศน์ ที่บ้านได้อีกด้วย ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ ได้เปลี่ยนกฎใหม่ ให้ราคาซื้อขายของหุ้นแต่ละตัว ขึ้นลงได้ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ทำให้การทำกำไร หรือขาดทุน มีผลต่างมากขึ้น

ความสะดวก ของการเล่นหุ้น และเศรษฐกิจไทย ที่ยังสดใสกระตุ้นให้ ชนชั้นกลาง แห่กันเข้ามาเล่นหุ้น ไม่ขาดสาย จากไม่กี่หมื่นคน พุ่งขึ้น เป็นเรือนแสน คนหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าหมอ อาจารย์ สถาปนิก วิศวกร นักธุรกิจ ฯลฯ ไม่มีอันทำงาน เพราะต้องเงี่ยหูฟัง ราคาซื้อขายหุ้น ในแต่ละวัน หลายคน ตัดสินใจ ลาออกจากงาน มาเล่นหุ้นอย่างเดียว เพราะเชื่อว่า ไม่มีอาชีพใด จะ ทำเงิน ได้มหาศาล เท่าการเล่นหุ้น

"ผมซื้อหุ้น กระดาษสหไทย ราคา ๑๐๐ กว่าบาท จำนวน ๑ หมื่นหุ้น ตอนนี้ราคา ๗๐๐ กว่าบาท ลงทุนไม่ถึง ๒ ล้านบาท กำไร ๕ ล้านกว่าบาท"

"ผมซื้อหุ้น เอกธนกิจ ๒๐๐ กว่าบาท จำนวน ๑ หมื่นหุ้น ขายไป ๕๐๐ กว่าบาท กำไร ๓ ล้านกว่า ใช้เวลาไม่ถึง ๒ เดือน"

ภายหลังเหตุการณ์ แบล็กมันเดย์ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๐ ดัชนีตลาดหุ้น ได้ลงสู่จุดต่ำที่ระดับ ๒๘๔.๙๔ จุด ในสิ้นปีนั้น และได้ทะยานขึ้นไปสูงถึง ๑,๑๐๐ จุด ในเวลาต่อมา ก่อนจะไปพบกับ วิกฤตการณ์สงคราม อ่าวเปอร์เชีย ในปี ๒๕๓๓ ซึ่งทำให้หุ้นตกลงมา ๕๐๐ กว่าจุด พอสงครามสงบ หุ้นกำลังจะโงหัวขึ้น ก็มาเจอเหตุการณ์ เดือนพฤษภาคมปี ๒๕๓๕ หุ้นก็รูดลงไปอีก แต่บรรดา นักเล่นหุ้น ทั้งสามส่วน คือ สถาบันการเงิน นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายย่อย หรือที่เรียกกันว่า แมลงเม่า ยังคงมุ่งหน้าเข้าตลาดหุ้น อย่างต่อเนื่อง ด้วยเชื่อว่า เศรษฐกิจไทย โตจนฉุดไม่อยู่ ช่วยกันเล่นหุ้นจน ดัชนีหุ้นทะยานขึ้น สู่จุดสูงสุด ในประวัติศาสตร์ถึง ๑๗๖๓.๗๘ จุด มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด ถึงประมาณวันละ ๔ หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๗ คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ พึงพอใจกับรายได้ ที่เกิดขึ้นง่าย ๆ นักวิเคราะห์หุ้น ถึงกับฟันธงว่า ดัชนีหุ้นจะทยานขึ้นสู่ ๒,๐๐๐ จุด ในปีถัดไป

แต่หลังจากนั้น หุ้นไทย ก็เข้าสู่ภาวะหมี อย่างยาวนาน หุ้นไทยตกต่ำลงเรื่อย ๆ เมื่อความจริง เริ่มปรากฏว่า ความเจริญทางเศรษฐกิจไทย เป็นเพียงภาพลวงตา นักลงทุนจากต่างชาติ ที่มีต้นทุนหุ้น ในราคาต่ำมาก เริ่มขายทิ้งหุ้น อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ข่าวร้ายทยอยเข้ามา ตลอดเวลา จนกระทั่ง มาถึงการลดค่าเงินบาท ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐ และวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก ในปีเดียวกัน บริษัทไฟแนนซ์ ๕๖ แห่งถูกสั่งปิด ธนาคารพาณิชย์ของไทย ถูกต่างชาติ เข้ามาซื้อกิจการ บริษัทนับพันแห่ง ล้มละลาย รัฐบาลต้องกู้เงิน และเชื่อฟัง ไอเอ็มเอฟ หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ แต่โดยดี ทำให้ ดัชนีหุ้นไทย ตกต่ำ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน มูลค่าการซื้อขายลดลง เหลือเพียง วันละ ๗๐๐ กว่าล้านบาท ในเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ และเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๑ ดัชนีลดต่ำสุด เหลือเพียง ๒๐๗.๓๑ จุด หุ้นของบริษัทจำนวนมาก ในตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นสิ่งไร้ค่า ดังตัวอย่าง

หุ้นของ บริษัทเอกธนกิจ ที่เคยสูงถึง ๕๘๔ บาท เหลือมูลค่าเป็นศูนย์ เพราะบริษัทถูกสั่งปิด คนที่เคยซื้อหุ้นเอกธนกิจ ต้องทำใจว่าเงินในกระเป๋า หายวับไปภายในพริบตา

หุ้นของ บริษัทเกียรตินาคิน ที่เคยสูงถึง ๖๓๒ บาท เหลือต่ำสุดเพียง ๐.๙๐ บาท

หุ้นของ บริษัทแลนด์แอนด์เฮาส์ ที่เคยสูงถึง ๗๕๖ บาท ลดเหลือต่ำสุด เพียง ๖.๘๐ บาท

มูลค่ารวมของ ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งหมด ที่เคยมีสูงถึง ๓,๓๐๐ พันล้านบาทในปี ๒๕๓๗ ลดลงเหลือเพียง ๑,๒๖๘ พันล้านบาท ในปี ๒๕๔๑ หรือเงินหายไปจาก ตลาดหลักทรัพย์ ๒ ล้านล้านบาท ภายในสี่ปี

ถึงต้นปี ๒๕๔๓ มูลค่ารวมของ ตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้นมา ๒,๑๐๐ พันล้านบาท และดัชนีกระเตื้องขึ้นมา อยู่ที่ ๓๐๐ กว่าจุด

วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนรายย่อย หรือแมลงเม่าส่วนใหญ่ ตายสนิท หลายคน ต้องเปลี่ยนอาชีพ ไปขายอาหาร หรือขายแรงงาน หลายคนฆ่าตัวตาย หนีหนี้สิน จากการเล่นหุ้น หลายคนติดคุก เพราะโกงเงินของบริษัท มาใช้หนี้ จากการเล่นหุ้น

เกมหุ้นครั้งนั้น สรุปได้ว่า นักลงทุนฝรั่งชนะ และโยกเงินออกไปเล่นหุ้น ประเทศอื่นแทน ขณะที่นักลงทุนชาวไทย ตายสนิท

ไม่มีใครรู้ว่าภาวะกระทิงจะกลับมาอีกหรือไม่ หรือเศรษฐกิจไทยจะฟื้นเมื่อใด แต่ในตลาดหุ้นก็ยังมีแมลงเม่าใหม่ ๆ ที่ยังไม่เข้าใจ สัจธรรม ที่ว่า "ความโลภ ไม่เคยปรานีใคร" เข้ามาเสี่ยงในตลาด อย่างต่อเนื่อง แม้ว่า นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ หลายคน จะลงความเห็นตรงกันว่าโอกาสของการเล่นหุ้น ในช่วงเวลานี้ จะบาดเจ็บมากกว่า ได้เงินกลับบ้าน เพราะเศรษฐกิจ ไม่ฟื้นจริง และทุกวันนี้ นักลงทุนต่างชาต ิที่ทยอยเก็บหุ้นราคาถูกไว้ เมื่อสองปีก่อน เริ่มทยอยขายหุ้นอีกครั้งหนึ่ง

===============================

ก่อนจบ ขอเล่านิทานเตือนสติ นักเล่นหุ้นทั้งหลายว่า

เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีนักเล่นหุ้นคนหนึ่ง ที่ร่ำรวย จากการเล่นหุ้นมาก นั่งรถแท็กซี่ มาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะรถเก๋งคันงาม ของเขาเข้าอู่ไปซ่อม ระหว่างทาง ก็ชวนคนขับรถ คุยกันเรื่องหุ้น พร้อมกับแนะนำว่า หากคนขับรถ มีเงินเก็บ ก็ควรจะเอามาเล่นหุ้น จะได้ร่ำรวยเหมือนเขา เพราะก่อนที่จะมาเป็น เซียนหุ้น เขาก็เคยขับแท็กซี่มาก่อน

ฝ่ายคนขับแท็กซี่ ได้ฟังดังนั้น ก็พูดขึ้นว่า

"ขอบคุณครับพี่ แต่ก่อนที่ผมจะมาขับแท็กซี่ ผมก็เคยร่ำรวย เป็นเซียนหุ้น เหมือนพี่ตอนนี้แหละ"

สิบกว่าปีต่อมา เจ้าของรถคันงามดังกล่าว ได้ขายบ้าน ขายรถ เพื่อใช้หนี้ จากการเล่นหุ้น ไปจนหมดสิ้น ปัจจุบัน เป็นโชเฟอร์ขับรถประจำตำแหน่ง ให้แก่นักธุรกิจฝรั่ง ที่เข้ามาซื้อกิจการราคาถูก ในเมืองไทย

จาก นิยสาร สารคดี ...ย้อนรอย




 

Create Date : 15 กันยายน 2550    
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 16:51:48 น.
Counter : 867 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

thanapononline
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




Friends' blogs
[Add thanapononline's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.