6 วิธีรักษา ความนับถือตัวเอง

6 วิธีรักษา ความนับถือตัวเอง... การปกป้องการปกป้องความคิดของตัวเราเองหรือการปกป้องผลงานที่สร้างสรรค์ท่ามกลางคำวิจารณ์ของหัวหน้า และเพื่อนร่วมงาน นับเป็นหนึ่งในสถานการณ์ล่อแหลม เส้นบางๆ ที่แบ่งแยกตัวคุณระหว่างการได้รับยกย่องว่าเก่ง หรือหลงตัวเอง อีโก้จัด คือการแสดงออก ถ้าเรารู้จักใช้มันให้เป็น คุณจะได้ทั้งงานที่ตัวเองภาคภูมิใจ และสามารถรักษาจุดยืนได้อย่างยอดเยี่ยม และนี่คือแนวทางที่เราอยากแนะนำเพื่อให้คุณเป็นดาวเด่นที่มีคนชื่นชม 1. ชัดเจนและมั่นใจกับตัวเองสรุปกับตัวเองให้จบว่างานนี้คุณตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร จุดยืนของตัวเองคืออะไร และมันดีอย่างไร คุณเชื่อและมีเหตุผลมากพอที่จะรองรับในสิ่งที่คิดหรือยัง คุณมีข้อมูลมากพอที่จะปกป้องตัวเองและงานจากการมองต่างมุมหรือยัง ถ้ายัง…พัฒนามันจนคุณมั่นใจ แล้วลุยเลย 2. ชัดเจน มั่นใจกับการกระทำ และคำพูดแม้จะเตรียมการมาดีพอ แต่การพูดเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือคือสิ่งที่ต้องอาศัยทักษะ และประสบการณ์ สำหรับมือใหม่ สิ่งที่ดีที่สุด คือการซักซ้อมในแบบสมมุติเหมือน เล่นละคร ลองบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือมองตัวเองจากกระจก แล้วสังเกตดูว่าบุคลิกภาพของคุณดีพอหรือยัง คำพูดชัดเจน มั่นใจ และกระชับ เข้าใจง่ายไหม ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง วิธีการนี้จะทำให้คุณได้ขัดเกลาตัวเองก่อนลงสนาม และแน่นอนว่า คุณจะรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกถึง 30% ทีเดียว 3. เตรียมใจสำหรับคำวิจารณ์สิ่งที่ต้องยอมรับ คือต่างคนต่างความคิด ดังนั้นสิ่งที่คุณนำเสนอแบบไร้ช่องโหว่ อาจมีคนคิดปลีกย่อยและหาข้อติเตียน วิจารณ์ อย่าเสียกำลังใจ อย่าโกรธ เกลียดเขา เพราะแม้บางคนจะทำด้วยอคติ แต่ก็มีหลายคนที่ทำไปโดยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหน คุณต้องรักษาภาพความเป็นกลางและฟังอย่างตั้งใจ ยิ่งมีสติมากเท่าไหร่ ่คุณก็ยิ่งสามารถเคลียร์ข้อผิดพลาดที่พวกเขายกมาได้ดีเท่านั้น วิธีการที่ดี คือการยิ้มและค่อยๆ คิด ค่อยๆ พูดให้เนิบช้าลงสักนิด ด้วยเสียงที่นุ่มนวลและเหตุผลมาตรฐานที่ไม่มีใครคัดค้าน คล้ายๆ กับที่บอกว่า… โลกมีแรงโน้มถ่วง แอปเปิ้ลจึงตกลงพื้นนั่นแหละ4. เตรียมใจสำหรับความผิดพลาดกล่าวกันว่า คนที่ไม่ทำผิดคือคนที่ไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นมันจึงเกิดขึ้นได้เสมอที่คุณอาจได้รับความผิดหวังจากความผิดพลาด สิ่งแรกที่ต้องทำคือ…ทำใจยอมรับ ในทุกสนามแข่งขัน ผู้ชนะ คือผู้ที่ลุกขึ้นเร็วที่สุดจากความผิดพลาด ดังนั้นถ้าคุณอยากแก้ตัวและมีบทสรุปแบบ Happy Ending คุณจึงต้องรีบได้คิดและออกตัวแก้ไข (ไม่ใช่ออกไข…แก้ตัว) ในสิ่งที่พลาดอย่างกล้าหาญ มีจรรยาบรรณด้วยสติปัญญา ความอ่อนโยน และใจเย็น 5. เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส บางคนต่อสู้เพื่อตัวเองมาตลอดชีวิต แต่ไม่เคยชนะ บางคนแพ้มาตลอดชีวิตแต่กลับได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในโอกาสสำคัญ การเรียกความพ่ายแพ้ว่าเรื่องอับอาย หรือบทเรียน คือกุญแจ สำคัญ การมองย้อนไปแล้วนำความผิดพลาดของตัวเองมาพินิจพิจารณา รวมทั้งการหาคำแนะนำ หรือนำประสบการณ์ วิธีของผู้ได้รับความสำเร็จมาปรับใช้กับตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่ดีและทำให้คุณสามารถพัฒนาตัวเองได้รวดเร็ว ที่สำคัญต้องเปิดใจกว้าง และปรับเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการอย่างจริงจัง และจริงใจ กล้าลองผิดลองถูก และขัดเกลาตัวเอง แล้ววันหนึ่งคุณจะได้รับ ชัยชนะในโอกาสสำคัญ 6. เปลี่ยนวิธีการแต่ไม่เปลี่ยนตัวเองไม่มีสูตรสำเร็จในความสำเร็จ ที่ใช้ได้เสมอกัน เพราะทุกคนต่างกันด้วยพื้นฐานความคิด ครอบครัว ประสบการณ์ ดังนั้นการเลือกเปลี่ยนตัวเอง ต้องให้สอดคล้องกับบุคลิก ลักษณะ และข้อจำกัดในตัวคุณด้วย เช่นเดียวกับหนูซึ่งมองว่าราชสีห์นั้นยิ่งใหญ่ แต่ตัวเองกระจ้อยร่อย จะให้วางท่าสง่า ทำภูมิฐาน ก็ยิ่งชวนขบขัน แต่ถ้าใช้ความคล่องแคล่วในแบบเข้าไหนออกนั่นได้สะดวกโยธินมาพัฒนาให้ยอดเยี่ยม แม้แต่ราชสีห์ยังต้องพึ่งพิง เหมือนที่เราเคยอ่านในนิทานอีสป ดังนั้นสิ่งที่ต้องรักษาไว้เสมอ คือจุดเด่นของตัวเอง รวมทั้งความคิดที่ค้ำจุนความเชื่อมั่น แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ คือจริต วิธีการแสดงออก ที่เหมาะสมกับภาษา ขอบคุณที่มา:GM

Cheap SunglassesOakley Whisker ReplicaReplica Oakley GascanReplica Oakley Monster DogReplica Oliver Peoples Victory Sunglasses Aviator Burn NoticeReplica Oakley SunglassesReplica Oakley Flak JacketReplica Oakley SunglassesBurn Notice Replica SunglassesReplica OakleyReplica Oakley Oil RigOakley Antix ReplicaOakley Gascan ReplicaOakley Half Jacket SunglassesOakley SunglassesSunglasses OakleyOakley Juliet SunglassesOakley Sunglasses SaleDiscount Oakley SunglassesOakley SunglassCheap Oakley SunglassesCheap Oakley Juliet SunglassesBuy Oakley Off BrandOakley Cycling Glasses FakeCheap Oakley SunglassesCheap Oakley AntixGovernment Oakley SunglassesReplica Oakley Flak JacketSunglasses For WomenWomens SunglassesWomen SunglassesUsed Sunglasses For Women UsedBuy Womens Sunglasses BuyBuying Women Sunglasses BuyingOrder Womens Sunglasses OrderOnline Sunglasses For Women OnlineDiscount Womens Sunglasses DiscountCheap Women Sunglasses CheapMotorcycle SunglassesLowest Price Motorcycle SunglassesUsed Motorcycle SunglassesBuy Motorcycle SunglassesBuying Motorcycle SunglassesOrder Motorcycle SunglassesOnline Motorcycle SunglassesDiscount Motorcycle SunglassesCheap Motorcycle SunglassesLow Price Motorcycle SunglassesSerengeti Sunglasses




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 21:33:05 น.   
Counter : 341 Pageviews.  

ภัยร้ายรายวัน : ฉก!

ภัยร้ายรายวัน : ฉก!การเดินทางไปที่ใดที่หนึ่ง หลายๆ คนคงจะต้องใช้บริการห้องน้ำในที่แห่งนั้น ซึ่งจะสะอาดหรือถูกสุขลักษณะเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของสถานที่นั้นๆ และไม่ว่าจะสะอาด หรูหรา หรือสกปรก ส่งกลิ่นเหม็น หากร่างกายต้องการขับของเสีย ทั้งเบา ทั้งหนัก คุณก็คงจะต้องใช้บริการห้องน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะคุณผู้หญิง การเข้าห้องน้ำ-ห้องส้วมคงจะต้องมีหลายขั้นตอน บางคนจะต้องหอบหิ้วสัมภาระ และเมื่อจะต้องทำกิจธุระ พวกเธอก็จะต้องวางสิ่งของเหล่านั้น ไม่ว่าจะที่จุดวางบริเวณด้านหลังชักโครก หรือที่แขวนบริเวณบานประตูด้านใน ซึ่งหลายๆ แห่งมักจะติดป้ายเตือนให้ตรวจทานทรัพย์สินอันมีค่า และรักษาความสะอาดก่อนออกจากห้องน้ำ
และในการแขวนกระเป๋าถือ สะพายของคุณผู้หญิงไว้บนที่แขวนสัมภาระนี่เอง ที่อาจสร้างความหวาดหวั่นให้กับคุณผู้หญิง เพราะล่าสุด ในห้องน้ำที่เปิดให้บุคคลทั่วไปใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีมิจฉาชีพอาศัยการไม่มีระบบรักษาความปลอดภัย เช่น กล้องวงจรปิด หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย ประกอบกับสถานที่แห่งนั้น ไม่ใช่บริเวณที่มีคนคับคั่งเกินไป
คุณผู้หญิงที่ประสบเหตุ เผยว่า เธอต้องเข้าห้องส้วมแห่งนั้น เพราะต้องทำธุระเบา โดยลักษณะของห้องส้วมนั้น สะอาดพอใช้ได้ ไม่ทรุดโทรม แยกชาย-หญิง บริเวณห้องส้วมในช่วงที่เธอใช้บริการนั้นไม่มีใครอยู่เลย เธอเดินเข้าไป พบว่าไม่มีใครอยู่สักคน ด้านในมีห้องส้วมทั้งหมด 4 ห้อง เธอเลือกห้องด้านในสุด
เมื่อเข้าอยู่ในห้องส้วม เธอแขวนกระเป๋าสะพาย ที่มีกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ บัตรสำคัญต่างๆ และเครื่องสำอาง จากนั้นเธอนั่งทำธุระบนส้วมซึม ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้า วิ่งเข้ามาในห้องน้ำอย่างเร็ว และสอดมือเข้ามาที่ช่องประตูด้านบน พร้อมกับดึงกระเป๋าสะพายของเธอออกไป
เมื่อเห็นดังนั้น เธอรีบแต่งกายให้เรียบร้อย แล้ววิ่งออกจากห้องส้วม ปรากฏว่า ไม่พบใครเลยสักคน เธอเดินดูโดยรอบบริเวณ จนพบกับลุง-ป้าที่ยืนขายน้ำดื่ม เธอเข้าไปถามว่าเห็นใครถือกระเป๋าสะพายบ้างไหม ทั้งลุง-ป้า บอกกับเธอว่า คุณคงจะถูกขโมยกระเป๋าในห้องน้ำมาหรือ บริเวณนี้มีเด็กติดยาเสพติด มักจะชอบขโมยกระเป๋าของคนที่มาใช้บริการห้องน้ำซึ่งไม่ได้อยู่ในย่านนี้
เธอพยายามถามต่อถึงรายละเอียดของผู้ที่ลุง-ป้าคิดว่าเป็นผู้ขโมยกระเป๋า แต่ทั้งสองก็ตัดบท เพราะกลัวถูกทำร้ายภายหลัง โดยให้เธอยืมโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนรู้จัก
จากนั้นญาติของเธอเดินทางมารับ และพาเธอไปแจ้งความ เพื่อลงบันทึกประจำวัน โดยเธอได้สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าเคยเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า กรณีดังกล่าว เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่หายไปพักใหญ่ และช่วงนี้ก็กลับมาเกิดขึ้นอีก การกระทำดังกล่าวน่าจะเป็นฝีมือของเด็กติดยาเสพติด โดยเจ้าทุกข์รายก่อนๆ นั้นไม่สามารถเห็นลักษณะของคนร้ายได้ ประกอบกับบริเวณนั้นเป็นแหล่งชุมชนที่มีพื้นที่กว้าง จึงยากต่อการตรวจสอบ
ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันเหตุร้าย คุณควรเลือกใช้บริการห้องน้ำ-ห้องส้วมในบริเวณที่ปลอดภัย ไม่เปลี่ยว แต่ถ้าหากมีความจะเป็นต้องเข้าใช้งาน ควรถือทรัพย์สินอันมีค่าเอาไว้อย่าให้ห่างตัว.เดลินิวส์




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 21:08:51 น.   
Counter : 297 Pageviews.  

A-Z Save the World by our hands

A-Z Save the World by our hands A void products with a lot of packaging: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ สิ้นเปลือง ลดขยะได้ 10% ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 545 กิโลกรัมต่อปี
 
 B uy recycled paper products: หันไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กระดาษรีไซเคิล เพราะการผลิตกระดาษรีไซเคิลช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 70-90% และช่วยลดการตัดไม้ทําลายป่าด้วย
 
 C heck your tires: ตรวจเช็กลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมทุกสัปดาห์ ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 113 กิโลกรัมต่อปี
 
 D rive less: ขับรถยนต์ให้น้อยลง หันไปเดิน ปั่นจักรยาน หรือใช้ระบบขนส่งมวลชนเท่าที่จะทำได้  ช่วยลดการใช้น้ำมันได้ถึง 3%
 E at less meat: ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ดูดซับแสงอาทิตย์ได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า และวัวหายใจเอาก๊าซมีเทนออกมามากที่สุด
 
 F ly less: การบินแต่ละครั้งของเครื่องบินจะปล่อยก๊าซที่  ทําลายชั้นบรรยากาศออกมาเป็นจํานวนมาก การลดจํานวน     การบินเพียงปีละ 1-2 เที่ยว ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ นอกจากนี้ ควรสนับสนุนให้สายการบินหันมาใช้พลังงานสะอาด  มากขึ้นด้วย
 G et a green power: หากเป็นไปได้ ควร  หันไปใช้พลังงานงานสะอาด เช่น พลังงานลม    พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานชีวภาพ เป็นต้น
 
 H ave cloth bags and bring to the market: พกถุงผ้าไปซื้อของแทนการใช้ถุงพลาสติก
 
 I nsulate Your Home: ติดฉนวนกันความร้อนภายในบ้าน บริเวณผนังและเพดาน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 907 กิโลกรัมต่อปี
 
 J oin the efforts to stop global warming with your kids: สร้างจิตสํานึกให้เด็กมีส่วนร่วมในการ   ลดปัญหาโลกร้อน ด้วยการเป็นตัวอย่างที่ดี และส่งเสริมให้เด็กๆ เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์เพื่อปลูกจิตสํานึกรักษ์โลก
 
 K eep your car tuned up: หมั่นตรวจเช็กและดูแลรักษาเครื่องยนต์ หากผู้ใช้รถยนต์ 1% หมั่นดูแลรถยนต์สม่ำเสมอ   จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายพันล้านกิโลกรัมต่อปี
 
 L earn more and spread the words: หมั่นติดตามข่าวสารเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน หรือส่งหนังสือ Mother&Care ฉบับนี้ให้คนในครอบครัว เพื่อนๆ และคนรู้จัก
 
 M ove & adjust air condition: ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม ทําความสะอาดเครื่องปรับอากาศเป็นประจํา ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 80 กิโลกรัมต่อปี
 
 N o a regular light: หันไปใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์แทนหลอดไส้ การเลิกใช้หลอดไส้ทุกๆ 3 หลอด ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 136 กิโลกรัมต่อปี
 
 O rganic and local products: รับประทานอาหาร ออร์แกนิกเท่าที่จะทําได้ นอกจากมีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยลดโลกร้อนและเลือกซื้ออาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในท้องถิ่น หรือภายในประเทศ ช่วยลดการเผาผลาญเชื้อเพลิงในการขนส่ง
 
 P lant a tree: ปลูกต้นไม้ เพราะตลอดอายุขัยของต้นไม้ 1 ต้น ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ตัน 
 
 Q uit using old appliances: เปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชิ้นที่ใช้งานมานาน ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายร้อยกิโลกรัมต่อปี
 
 R educe, Reuse & Recycle: ลดการสร้างขยะ ลดการใช้ถุงพลาสติก บริจาคเสื้อผ้าสภาพดีที่ไม่ใช้แล้ว   ให้องค์กรการกุศล ใช้กระดาษรีไซเคิล ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  ได้ 450 กิโลกรัมต่อปี โดยการใช้กระดาษรีไซเคิลทุกๆ รีม    ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2.25 กิโลกรัม
 
 S tart a carpool: ทางเดียวกันไปด้วยกัน ติดรถเพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้จักไปทํางานด้วย ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 358 กิโลกรัมต่อปี
 
 T ake Shorter Showers: ใช้เวลาอาบน้ำให้น้อยลง ใช้น้ำอย่างประหยัด ปิดก๊อกน้ำขณะแปรงฟัน ใช้เครื่องทําน้ำอุ่นเมื่อจําเป็นเท่านั้น ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 295 กิโลกรัมต่อปี
 
 U nplug un-used electronic devices: ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งหลังจากใช้งานเสร็จ ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 453 กิโลกรัมต่อปี
 
 V ote for Leaders who solve Global Warming: เลือกผู้นําหรือพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ปัญหาโลกร้อน
 
 W hen it is time for a new car, buy a fuel efficient car: เมื่อซื้อรถหรือเปลี่ยนรถคันใหม่ เลือกรถที่ใช้พลังงานสะอาด หรือรถที่เผาไหม้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,360 กิโลกรัมต่อปี
 
 X  -ray your home energy using: เช็กว่าแต่ละวันกิจกรรมใดบ้างที่  ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นจํานวน  มาก แล้วคิดหาวิธีการปรับเปลี่ยนง่ายๆ ที่ทําได้ทันที
 
 Y ou: เมื่ออ่านถึงบรรทัดนี้ หลายคนคงรับรู้ข้อมูลของภาวะโลกร้อนมาพอสมควร แต่คง ไม่เกิดประโยชน์อันใดหากว่าทุกคนเพียงรับรู้แล้วก็ปล่อยผ่านไป ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนควรหันมาทําอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากตัวเองก่อน
 
 Z oning your life to self – sufficiency: ลองจัดการวิถีชีวิตใหม่ กินอยู่ และใช้ (พลังงาน) อย่างพอเพียง เริ่มตั้งแต่ หลังจากอ่าน Mother&Care ฉบับนี้จบ หันไปถอดปลั๊กไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน ปิดทีวีที่เปิดทิ้งไว้    ดูว่าจากข้อ A – Y ข้อใดที่คุณทําได้ทันที แค่นี้ก็ช่วยโลกของเราให้เย็นลงได้ค่




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 20:44:32 น.   
Counter : 322 Pageviews.  

คนชอบติ-ยกตนข่มท่าน กับวิธีการแก้ไข

คนชอบติ-ยกตนข่มท่าน กับวิธีการแก้ไขไม่ว่าท่านจะเป็นหรือท่านจะเจอคนประเภทที่ชอบติ ชอบยกตนข่มท่าน เชื่อว่าไม่นาน หากไม่มีการแก้ไขบุคลิกภาพ ปัญหาตั้งแต่ระดับหมางใจเล็กๆ อาจขยายวงใหญ่ไปเป็นปัญหาร้ายแรง-แตกร้าวขึ้นได้              คนชอบติ               “คนชอบติ” หมายถึง คนที่คอยจ้องแต่จะจับผิด มองเห็นแต่สิ่งไม่ดี ไม่ค่อยพอใจอะไรง่ายๆ จนกลายเป็นคนที่น่ารำคาญ พาลสร้างความหงุดหงิดให้คนรอบข้างได้ แต่การติอย่างสร้างสรรค์ก็มี เรียกว่า ติเพื่อก่อ คือติด้วยเจตนาที่หวังจะให้ผลออกมาดียิ่งขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น               ถ้าคิดว่าคุณเป็นคนชอบติเพื่อก่อ อยากจะให้อะไรๆ ดีขึ้น คุณก็ควรมีเทคนิคในการติด้วย อาจจะเริ่มด้วยการพูดชื่นชมในสิ่งที่ดีของอีกฝ่ายก่อน และตามด้วยสิ่งที่อยากจะให้เขาแก้ไข พร้อมๆ กับบอกเหตุผลหรือจูงใจให้เขาคล้อยตาม และอย่าลืมถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายเสมอว่าเขาคิดอย่างไร ซึ่งแสดงถึงการให้เกียรติ และพร้อมที่จะรับฟังเหตุผล ท่าทีที่แสดงออกควรสุภาพ น้ำเสียงนุ่มนวล และพูดกันสองคน อย่าทำให้เขารู้สึกอับอาย เสียหน้า วิธีการนี้จะทำให้คนถูกติ ไม่ต่อต้าน แต่จะรู้สึกขอบคุณและยินดีที่จะทำตาม               แต่ถ้าคุณเป็นคนช่างติพร่ำเพรื่อ เอาแต่พูดถึงความไม่ดีของคนอื่น หรือติไม่เลือกจนเป็นนิสัย ก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เช่น               >> เลือกติเฉพาะสิ่งที่แก้ไขปรับปรุงได้ บางอย่างแก้ไขปรับปรุงไม่ได้ เป็นเรื่องสุดวิสัย ก็อย่าไปติ เป็นการสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจเปล่าๆ               >> ลดความสมบูรณ์แบบของตัวเองลง ดูว่าสิ่งนั้นมีผลเสียหายมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มากและไม่มีผลกระทบต่อส่วนรวม ก็ควรปล่อยไปบ้าง               >> ฝึกมองในมุมกลับ ลองมองซิว่า คนที่คุณอยากติมีอะไรดีบ้าง หรือจุดดีของงานชิ้นนั้นอยู่ตรงไหน               >> คิดย้อนกลับเข้าหาตัวเองว่า คุณเคยเป็นหรือเคยทำในสิ่งที่คุณกำลังติบ้างหรือเปล่า มองดูตัวเองก่อนที่จะไปมองคนอื่น และถ้าจะให้ดีควรทำเป็นตัวอย่างให้เห็น หรือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนอื่น บางครั้งการบอกด้วยการกระทำก็ดีกว่าและชัดเจนกว่าบอกด้วยคำพูด               และถ้าคุณอยู่ใกล้กับคนชอบติ ก็ควรชี้ให้เขาเห็นมุมมองที่ดีของคนหรือสิ่งที่เขากำลังติ บ่อยๆ เข้าเขาก็อาจจะซึมซับไปได้บ้าง และมีมุมมองที่ดีขึ้น              คนชอบยกตนข่มท่าน               การยกตนข่มผู้อื่นเป็นทางออกของคนที่มีปมด้อย และมีความรู้สึกต่ำต้อยกว่าคนอื่น จึงพยายามแสดงออกถึงสิ่งที่คิดว่าเป็นจุดเด่นของตัวเอง แต่แสดงออกในเชิงโอ้อวด เพื่อลดความรู้สึกด้อยในใจ และยกความสำคัญของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมักสร้างความรำคาญใจให้คนรอบข้าง เป็นนิสัยที่ทำลายสัมพันธภาพ และอาจก่อให้เกิดศัตรูได้               ไม่มีใครหรอกที่ชอบฟังคำพูดเชิงยกตัวเหนือคนอื่น อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ยิ่งพูดในลักษณะข่มผู้อื่นด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความรู้สึกไม่เป็นมิตรให้เกิดขึ้นได้ง่าย               แต่ถ้าจะแก้ไข ต้องอาศัยคนที่มีอำนาจสูงกว่า หรือคนที่มีบุญคุณและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า เป็นผู้ตักเตือนด้วยความเมตตาและหวังดี ส่วนคนรอบข้างก็อาจช่วยปรับพฤติกรรมด้วยการไม่สนใจ ไม่แสดงความชื่นชม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการเสริมแรงให้นิสัยดังกล่าวคงอยู่ต่อไป               สำหรับคนที่มีนิสัยชอบยกตนข่มท่าน ก็คงต้องพยายามปรับปรุงตัวเองด้วย อาจใช้วิธีเตือนสติ บอกย้ำกับตัวเองว่าคุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณมีดีอะไร ไม่จำเป็นต้องแสดงให้คนอื่นรู้ ให้เขารับรู้ด้วยตัวเองหรือรับรู้จากคนอื่น จะเพิ่มความนิยมชมชอบได้มากกว่า แต่ถ้าไม่มีใครรู้ก็มิใช่เรื่องที่คุณจะต้องไปแคร์ ถ้าคุณแคร์ แสดงว่าคุณให้ความสำคัญกับคนอื่นมาก จนยอมให้คนอื่นมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของคุณ ให้พยายามสร้างความรู้สึกพอใจ เต็มอิ่มและภาคภูมิใจกับสิ่งที่คุณเป็น และสิ่งที่คุณมีอยู่ อย่าดูถูกตัวเอง เพราะคนที่ดูถูกตัวเองก็มักจะคิดว่าคนอื่นจะดูถูกคุณไปด้วย ถ้าคุณปรับความคิดของคุณได้ คุณก็จะปรับพฤติกรรมของคุณได้เช่นเดียวกัน              การปรับพฤติกรรมและพัฒนาบุคลิกภาพ               การพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีให้แก่ตนเองที่สำคัญมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่ภายในจิตใจ ได้แก่ การเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง และส่วนที่ปรากฏภายนอก ได้แก่ ทักษะการเข้าสังคม คนที่รู้จักพัฒนาบุคลิกภาพ ย่อมไม่ทำตนเจ็บป่วย ไปเที่ยวติคนอื่น หรือยกตนข่มผู้อื่น               การเสริมสร้างความมั่นใจ...เริ่มจากการที่คุณรู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง รู้ว่าตัวเองมีจุดดี จุดด้อยตรงไหน ยอมรับความสามารถของตนเองว่าบางอย่างตัวเองทำได้ดี บางอย่างก็มีข้อจำกัด ทำได้ไม่ดี การคิดสิ่งต่างๆ โดยยึดหลักของเหตุผลและความเหมาะสมตามกาลเทศะ ก็จะทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นได้ เพราะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปให้การยอมรับ               นอกจากนี้ ควรฝึกฝนทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวของคุณเอง การพึ่งตัวเองบ่อยๆ ก็ทำให้คุณทำสิ่งต่างๆ ด้วยความมั่นใจมากขึ้น คนที่ทำสิ่งต่างๆ ย่อมมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา คำตำหนิติเตียนที่คุณได้รับอาจจะทำให้เสียความมั่นใจไปบ้าง คุณต้องไม่ท้อถอย แต่ต้องพยายามป้องกันแก้ไขไม่ให้ความผิดพลาดเหล่านั้นเกิดซ้ำอีก จะช่วยสร้างความมั่นใจเพิ่มขึ้น การเสริมสร้างความมั่นใจต้องอาศัยเวลา ต้องการมีความมั่นใจเรื่องใดก็ต้องทำเรื่องนั้นบ่อยๆ ความมั่นใจก็จะเกิดขึ้นได้               ในส่วนของการพัฒนาทักษะทางสังคมนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้มีโอกาสเข้าสังคมบ่อยๆ เช่น ไปงานพบปะสังสรรค์เลี้ยงรุ่น เป็นต้น ดังนั้นคุณจึงควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ไปงานกับเพื่อนหรือคนรู้จักใกล้ชิดแล้วเรียนรู้โดยการสังเกตดูว่า ในงานนั้นคนทั่วไปเขาแต่งตัวกันอย่างไร เริ่มต้นทำความรู้จักหรือทักทายกันอย่างไร มารยาทสังคมที่จำเป็นมีอะไรบ้าง ท่าทีการวางตัวทำอย่างไร นอกจากนี้ควรสังเกตเรื่องที่พูดเนื้อหาที่พูด เรื่องใดเป็นเรื่องที่คนสนใจ สำหรับคนที่เริ่มเข้าสังคม ทักษะแรกที่คุณสามารถทำได้คือ การฟังด้วยความตั้งใจ และจากประสบการณ์ที่ได้รับ คุณก็สามารถเลือกทำในสิ่งที่จะเหมาะสมกับตัวคุณได้ต่อไป               การพัฒนาบุคลิกภาพทั้งการเสริมสร้างความมั่นใจและการพัฒนาทักษะการเข้าสังคมเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องอาศัยความสนใจและความตั้งใจที่จะฝึกฝนอย่างจริงจัง                หากต้องการขอคำปรึกษาเพิ่มเติม สามารถโทรศัพท์มาได้ที่หมายเลข 02-526-3342 ตลอด 24 ชั่วโมง ที่มา ผู้จัดการ




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 17:13:43 น.   
Counter : 920 Pageviews.  

7 ความเข้าใจผิดที่แม้แต่หมอยังเชื่อ !!

7 ความเข้าใจผิดที่แม้แต่หมอยังเชื่อ !!ไลฟ์ไซน์/บริติชเมดิคัลเจอร์นัล – จริงหรือเมื่อตายไปแล้วเล็บและผมยังยาวได้ รวมถึงคำแนะนำของแพทย์อย่าง ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วแล้วจะดี อ่านหนังสือในที่แสงสลัวไม่ดีต่อสายตา รวมทั้งเราใช้สมองแค่ 10% เองเท่านั้นหรือ เหล่านี้งานวิจัยใหม่บอกว่าเป็น “มายาคติ” ที่แม้แต่คุณหมอเองก็ยังเชื่อ !!              ดร.อารอน แคร์รอล (Dr. Aaron Carroll) และ ดร.ราเชล ฟรีแมน (Dr.Rachel Vreeman) 2 กุมารแพทย์ จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอินเดียนา (Indiana University School of Medicine) สหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อปฏิบัติและความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพ จนออกมาเป็นรายงาน “มายาคติทางการแพทย์” ผ่านวารสารบริติชเมดิคัลเจอร์นัล (British Medical Journal) ฉบับล่าสุด โดยแจกแจงออกมาเป็น 7 ข้อคือ       1.มนุษย์ใช้สมองแค่ 10% เท่านั้น       ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1900 เชื่อกันว่าสมองของคนเราทำงานเพียงแค่ 10% ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ใครคนหนึ่งกุขึ้น เพื่อที่จะต้องการครอบงำกลุ่มคนหมู่มาก กระทั่งวิทยาการก้าวหน้า นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาสมองจากภาพสแกน ก็ไม่พบว่ามีสมองส่วนไหนที่อยู่นิ่งเฉย หรือว่ามีเซลล์สมองในบริเวณไหนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และจากการศึกษากระบวนการทางเคมีของเซลล์สมองบ่งชี้ว่าไม่มีสมองบริเวณไหนที่ไม่ทำงาน และจากการศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองยังบ่งชี้ว่าสมองที่ถูกทำลายเกือบทั้งหมดนั้นจะมีบริเวณจำเพาะที่เมื่อถูกทำลายแล้วจะมีผลต่อการสมรรถภาพร่างกาย       2.ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว       "ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าคนเราต้องการน้ำมากมายขนาดนั้น" ดร.ฟรีแมนระบุ ซึ่งเธอคาดว่าความเชื่อนี้มีที่มาจากสภาโภชนาการของสหรัฐฯ เมื่อปี 2548 ที่แนะนำให้ประชาชนบริโภคของเหลววันละ 8 แก้ว แต่ในปีต่อๆ มาหลังจากนั้น คำว่า "ของเหลว" จำกัดอยู่เฉพาะแค่ "น้ำเปล่า" ไม่ได้หมายรวมถึงน้ำผัก ผลไม้ กาแฟ หรือว่าของเหลวอื่นๆ เข้าไปด้วย       อีกหนึ่งต้นตอของความเชื่อนี้น่าจะมาจากเฟรเดอริค สแทร์ (Frederick Stare) โภชนากรที่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มวันละ 6-8 แก้ว ซึ่งครอบคลุมทั้งน้ำเปล่า ชา กาแฟ นม เบียร์ และซอฟดิงก์อื่นๆ ต่อมาการแนะนำที่ปราศจากข้อมูลอ้างอิงของสแทร์ถูกหักล้างด้วยข้อมูลของไฮนซ์ วาลติน (Heinz Valtin) ที่รายงานไว้ในวารสารอเมริกันเจอร์นัลออฟฟิสิโอโลจี (American Journal of Physiology) ที่ว่าการบริโภคนม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ เป็นประจำในแต่ละวันเท่านี้ร่างกายก็ได้รับของเหลวเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ในทางตรงกันข้าม การดื่มน้ำมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายเมื่อเกิดภาวะสารน้ำในร่างกายมากผิดปกติจนเกิดเป็นพิษ หรือที่เรียกว่า "น้ำเป็นพิษ" (water intoxication)       3.ตายไปแล้วแต่เล็บและเส้นผมยังคงงอก       ผู้แต่งหนังสือเรื่อง "แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง" (All Quiet On The Western Front) บรรยายไว้ว่าเล็บของเพื่อนคนหนึ่งยาวขึ้นหลังจากพิธีฝังศพผ่านไปแล้ว ส่วนจอห์นนี คาร์สัน (Johnny Carson) นำความเชื่อนี้มาเขียนเป็นเรื่องขำขันจนกลายเป็นความเชื่ออมตะว่า หลังจากตายไปแล้ว 3 วัน ผมและเล็บของเราจะงอกใหม่       แพทย์ส่วนใหญ่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนจะเห็นว่า ที่จริงแล้วขณะที่ศพกำลังแห้งลง เนื้อเยื่อส่วนที่นุ่มอย่างผิวหนังก็จะหดตัว ทำให้เผยชิ้นส่วนของเล็บมากขึ้น ทำให้ดูว่ายาวออกมา เช่นเดียวกันเส้นผม ซึ่งจะสังเกตเห็นผิวหนังหดตัวได้น้อยกว่า อย่างไรก็ดีฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้ผมและเล็บยาวนั้นไม่มีทางทำงานหลังจากเจ้าของร่างสิ้นใจไปแล้วเป็นแน่       4.ผมหรือขนงอกเร็วกว่าเก่าเมื่อโกน แถมหยาบและสีเข้มขึ้นด้วย       ปี 2471 นักวิทยาศาสตร์ทดลองโกนผมแล้วเปรียบเทียบผมที่งอกใหม่กับผมที่ไม่ได้โกน ผลปรากฏว่าผมที่งอกขึ้นมาแทนผมที่ถูกโกนไปก่อนหน้านั้นไม่ได้มีสีเข้มหรือเส้นหนา หรืองอกเร็วไปกว่าผมปกติเลย การทดลองครั้งหลังๆ ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน ที่จริงแล้วเมื่อผมถูกโกนและงอกใหม่เป็นครั้งแรก จะยังเป็นเส้นผมทื่อๆ ตรงส่วนปลาย แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ปลายผมที่เคยแข็งทื่อก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพและอ่อนนุ่มขึ้น ส่วนที่มองเห็นเป็นสีเข้มกว่าปกติ เนื่องจากว่าในตอนแรกผมเส้นนั้นยังไม่ถูกแดดเผาทำลายให้สีซีดจางลง       5.อ่านหนังสือในที่แสงน้อยทำให้สายตาเสีย       เรื่องนี้เป็นที่เชื่อถือกันอย่างแพร่หลาย และผู้ใหญ่ก็มักจะห้ามไม่ให้เด็กๆ อ่านหนังสือในที่มืดหรือที่ที่มีแสงน้อย มิฉะนั้นแล้วจะสายตาสั้นและต้องสวมแว่น เป็นต้น ความเชื่อนี้น่าจะมาจากจักษุแพทย์ที่บอกว่าหากใช้สายตาในที่แสงสว่างน้อยกว่าปกติจะมีผลต่อการรับภาพของประสาทตา ทำให้อัตราการกระพริบตาลดลง ตาแห้งและระคายเคือง       อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนักวิจัยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตายังไม่พบหลักฐานชี้ชัดว่าการอ่านหนังสือในที่มืดจะทำลายสุขภาพตาอย่างถาวร แต่สามารถทำให้ดวงตาย่ำแย่และการมองเห็นด้อยลงเป็นเวลาชั่วครั้งชั่วคราวได้       6. รับประทานไก่งวงทำให้ง่วงนอน        เดิมทีแพทย์และนักวิจัยต่างก็เชื่อว่าหากรับประทานไก่งวงแล้วจะรู้สึกง่วงนอน แต่พบว่าสารทริปโตแฟน (tryptophan) ในไก่งวงนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ผู้ที่รับประทานไก่งวงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ทว่าในไก่งวงไม่ได้มีทริปโตแฟนมากไปกว่าไก่ทั่วไปหรือเนื้อวัวเลย มีเท่าๆ กันประมาณ 350 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 115 กรัม ขณะที่แหล่งโปรตีนอื่นๆ อย่างเนื้อหมูหรือชีสมีทริปโตแฟนมากกว่าไก่งวงเสียอีกเมื่อเทียบเป็นน้ำหนัก เพียงแต่ว่าผู้คนนิยมบริโภคไก่งวงกันมากเป็นพิเศษในช่วงวันหยุด และยังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย เหตุนี้จึงทำให้รู้สึกง่วงและหลับง่ายกว่าปกติ       นอกจากนี้แพทย์ยังนำกลไกในร่างกายมาอธิบายได้ว่าอาการง่วงนอนมักเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาหารมื้อนั้นเป็นเนื้อสัตว์เสียส่วนใหญ่ หรือมีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมาก จะกระตุ้นให้รู้สึกง่วงนอนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากว่าเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ลดลง       7. ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในโรงพยาบาล เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย       ที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสียชีวิตเนื่องมาจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่พบว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่รบกวนการทำงานของอุปกรณ์การแพทย์บางอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น เครื่องควบคุมการให้สารละลายในผู้ป่วย (infusion pump), เครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของระบบหัวใจ (cardiac monitor)       ทว่าขณะที่ยังไม่มีรายงานใดๆ ยืนยันถึงอันตรายของการใช้โทรศัพท์มือในโรงพยาบาล ในปี 2545 มีการเผยแพร่เรื่องที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือในสถานพยาบาลแห่งหนึ่งแล้วปรากฏว่าเครื่องควบคุมการให้สารอะดรีนาลีน (adrenaline) ทำงานผิดปกติ หลังจากนั้นวอลล์สตรีทเจอร์นัล (Wall Street Journal) ก็นำก็รายงานมากว่า 100 รายงานที่ระบุว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่รบกวนการทำงานของอุปกรณ์แพทย์ในช่วงก่อนปี 2536 ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือในโรงพยาบาล       เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาวิจัยถึงเรื่องดังกล่าวในประเทศอังกฤษ พบว่าโทรศัพท์มือถือรบกวนการทำงานของอุปกรณ์แพทย์เพียง 4% เท่านั้น และต้องอยู่ห่างจากอุปกรณ์นั้นภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร และจากการทดสอบการใช้โทรศัพท์มือถือ 300 ครั้งในห้องพักพื้น 75 ห้อง ไม่พบสิ่งใดผิดปกติเลย ในทางตรงกันข้ามพบว่าแพทย์ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนสามารถสื่อสารได้ชัดเจน และลดความผิดพลาดได้มากยิ่งขึ้น       “เมื่อพวกเราเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนแรก แพทย์ส่วนใหญ่จะยังไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง กระทั่งพวกเขาได้ศึกษาหลักฐานต่างๆ อย่างละเอียดแล้ว เขาจึงยอมรับกันว่าที่พวกเขายึดถือมานั้นมันไม่ได้ถูกต้องไปทั้งหมด” ดร.ฟรีแมนกล่าว

Ring DiamondsPrincess Cut Diamond RingEmerald Cut Diamond RingsDiamond Ring SettingsDiamond RingMens Diamond RingsAntique Diamond RingsDiamond Fashion RingsDiamond Ring AntiqueDiamond RingsDiamond RingAntique Diamond RingsPink Diamond RingGold Engagement RingsWhite Gold Engagement RingsWhite Gold RingsGold RingsWhite Gold RingGold RingDiamond Wedding RingsWedding RingsDiamond Wedding RingEngagement And Wedding RingsUnique Wedding RingsWedding RingWedding RingsTattoo Wedding RingWedding Ring SetsWedding RingUnique Wedding RingsDiamond Wedding RingsAntique Engagement RingsVintage Engagement RingsAntique RingsAntique Style Engagement RingsVintage RingsAntique Engagement RingVintage Engagement RingAntique Engagement RingsVintage Engagement RingsMoissanite RingsAnniversary RingsRings NecklacesCubic Zirconia RingsTitanium RingsEternity RingsPearl RingsEngagment RingsAnniversary RingPromise Rings




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 16:31:21 น.   
Counter : 283 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  

beaushi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add beaushi's blog to your web]