เคยบอกคนที่แอบชอบว่าชอบรึเปล่าครับ? แล้วเป็นยังไงกันบ้าง? ตอน 1



สวัสดีครับ

(ขอเกริ่นก่อนว่ากระทู้นี้ยาวนะครับ ยาวมากด้วย ถ้าจะอ่านอาจต้องใช้เวลานานนิดนึง หวังว่าจะชอบนะครับ)


ผมคิดว่าเพื่อน ๆ หลายคนต้องเคยแอบชอบใครแน่ ๆ ใช่ไหมครับ? (ต่อให้แข็งแค่ไหน มันก็ต้องมีบ้างแหละ)

อาจจะแบบเดินผ่านแล้วชอบ ได้ยินเสียงแล้วชอบ เห็นหลังแล้วชอบ หรือว่าอยู่ใกล้ ๆ ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันบ่อย ๆ แล้วชอบ โอ๊ย เยอะแยะ ล้านแปดเหตุผลให้เราชอบคนอื่น 555+


ต้องบอกก่อนนะครับว่าเรื่องที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องตอนผมอยู่ ม.ปลาย(ช่วงชีวิตนี้ใครไม่เคยชอบคนอื่นเลยบ้าง ยกมือขึ้นหน่อย เร๊วววว ไม่น่ามีเนาะ ถ้ามีแสดงว่าคุณแข็งมาก ๆ ยอมรับครับ ฮ่า ๆ) เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ผมแอบชอบนานที่สุดสำหรับชีวิตผมแล้วครับ ประมาณ 3 ปี จนมาถึงตอนนี้เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ผมมักจะเล่าให้คนอื่น ๆ ฟังเสมอ (รวมถึงแฟนคนปัจจุบันด้วย แฟนผมก็เล่าของเขาเหมือนกันนะครับ แลกกันฟังสนุกดี 555+)   


วันนี้ผมจะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน สมัยที่ผมยังเป็นเด็กหัวเกรียน เรียน รด. อยู่ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งใน กทม. (ไม่ขอระบุลึกกลัวจะมีคนรู้จัก เขินครับ)


ตอนสมัย ม.4 ผมก็เป็นเด็กคนนึงที่แอบชอบคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อย ก็มันมีแต่คนขาว ๆ น่ารัก ๆ อะ ก็ต้องบริหารหัวใจกันหน่อย ใช่ป่ะล่ะ 555+


ตอนขึ้น ม.4 เราก็จะได้พบกับเพื่อนใหม่ ๆ จากต่างโรงเรียนบ้าง จากห้องอื่น ๆ ตอน ม.ต้น บ้างคละกันไปแล้วแต่บุญแต่กรรม


ตอนเรียนเทอมแรก ผมก็ชอบเพื่อนคนนึงที่อยู่ในห้องเดียวกัน แต่เป็นการชอบที่หน้าตาเป็นหลัก ไม่ได้สนบ้าบออะไรทั้งสิ้น ขอแค่หมวย ๆ จบ แต่ก็ไม่ได้อะไรมากนะครับ เพราะมันไม่มีแรงจูงใจอย่างอื่นให้เข้าไปจีบ หรือคุยต่อ คือเพื่อนคนนี้เขาจะเป็นคนแบบ กูไม่รู้จักมึง อย่ามายุ่ง 55+ (ใช่ซี๊ ก็เราไม่ใช่ พระเอกหนังเกาหลีนี่) แล้วก็จบไป แบบงง ๆ จำไม่ได้ว่าทำไมถึงเลิกชอบ สงสัยจะติดเกมกับเพื่อนเกินไป ผู้ชายมันก็มีแค่นี้แหละคุณ เกม เพื่อน เตะบอล พูดจริง ๆ นะ


พอเปิดเทอม ม.4 เทอมสอง ห้องผมก็มีเพื่อนใหม่อีกคนนึง เขาย้ายมาจากต่างจังหวัด (หูย แค่คิดก็ขนลุก นี่พิมพ์ไปยิ้มไป 555+) เพื่อนผมคนนี้ชื่อ บี(นามสมมติ) บีเป็นคนที่โดยรวมน่ารักมากครับ ขาว ๆ ตัวไม่สูงไม่เตี้ยยิ้มนี่น่ารักมากและบวกกับการที่เขาเพิ่งเข้ามาใหม่ เพื่อน ๆ ในห้องทั้งชายและหญิงก็เลยจะเห่อ ๆ หน่อย เช่น เฮ้ยเธอมาจากไหนเหรอ? ทำไมถึงย้ายมาล่ะ? ฯลฯ


แต่บอกก่อนนะครับ ตอนนี้ผมเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไร จำไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ชอบตั้งแต่ตอนแรก (แต่ก็นะ อย่างที่บอกไปว่าคนเรามันมีเหตุผลให้ชอบกันมากมาย)


พวกเราก็เรียนกันมาเรื่อย ๆ ครับ จนผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน


ผมมักจะกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนคนนึงแทบทุกวันชื่อ ซี เพราะเราสองคนแว๊นมาที่โรงเรียนทั้งคู่ มีวันนึงระหว่างทางที่กำลังเดินไปเอารถมอเตอร์ไซค์


ซีก็พูดว่า “เฮ้ยมึง กูแอบชอบคนนึงว่ะ”

ผม “ใครวะ คนในห้องเหรอ?”

ซี “เออ ใช่” แล้วมันก็ร่ายยาว ฯลฯ จนมาถึง “เออ บีก็น่ารักนะมึง ได้ข่าวว่ามีคนรุมจีบเยอะเลย มึงไม่ลองจีบดูเหรอวะ?”

ผม “โอ้ย เอาจริงดิ กูว่าเฉย ๆ ว่ะ พวกมึงอะเห่อไปเรื่อย” (ปากพล่อยชิบหาย สุดท้ายก็ชอบเขา 555+)


แต่ยอมรับเลยครับว่า หลังจากวันนั้นผมก็เริ่มสังเกตุบีมากขึ้น มันเหมือนโดนสะกดจิตอะ คือพอมีใครพูดถึงใครในทางใดทางนึง เราก็จะเริ่มสังเกตุคนนั้นมากขึ้น ความบ้าบอคือ หัวใจผมมันเริ่มทำงานอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้สนใจผู้หญิงมาตั้งแต่ช่วงปิดเทอมหนึ่ง มันเริ่มงอแงบอกว่า “เฮ้ย มึงชอบใครซักทีเหอะว่ะ”


ปกติแล้วทุกวันอังคาร (มั้ง?จำไม่ได้) ผม ซี บีแล้วก็เพื่อน ๆ หลายคนในห้องมักจะไปเรียนพิเศษฟิสิกซ์หลังเลิกเรียนที่บ้านอาจารย์คนนึง แล้วก็มีอยู่วันนึงพ่อของบีมารับบีกลับบ้าน ไอ้ซีเพื่อนซี้ก็บอกว่า “เฮ้ย ๆ มึงดูดิพ่อบีขับบีเอ็มมารับด้วยว่ะ โคตรรวย กูว่ามึงจีบไม่ได้แล้วว่ะ พวกเรามันเด็กแว๊น เลิก ๆ ”  

ผมก็เลยบอกว่า “กูยังไม่ได้คิดจะจีบเลย ใจเย็น ๆ ก็บอกไปแล้วว่าเฉย ๆ ”

ซี “เออจ้า พ่อคนหล่อเลือกได้”


เวลาผ่านไปจนถึงวันที่โรงเรียนผมจัดงานเลี้ยงประจำปีซึ่งเป็นงานกลางคืน ใครอยากแต่งตัวอะไรมาก็ได้แต่ห้ามโป๊ แต่หลายคนก็จะใส่สั้น ๆ เสื้อบาง ๆ สายเดี่ยวอวดความเปรี้ยวของสาววัยรุ่น แต่งหน้าจัดเต็มกันเพียบ (ต้องยอมรับว่าเมคอัพของสาววัยรุ่น ก็จะยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ แต่ก็สร้างความแตกต่างระหว่างวันเรียนและวันงานได้พอสมควรครับ แต่ดีไม่ดีนี่อีกเรื่องนะ แค่บอกว่าแตกต่างเฉย ๆ 555+)


วันนั้นผมกับซีเข้างานสายเพราะมัวแต่เล่นเกม แถมผมยังลืมหยิบบัตรเข้างานมาอีก ก็เลยต้องยืนรอเพื่อนอยู่หน้าประตูโรงเรียนกับอาจารย์ประจำชั้น (อาจารย์ผมเป็นครูฝ่ายปกครอง ก็จะดุ ๆ หน่อย บ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่เขาก็น่ารักในบางมุมนะครับ ตามประสาคนอาวุโส ใกล้เกษียณ) ก็มีทั้งเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้องหลายคน เดินเข้างานไปเรื่อย ๆ อาจารย์ผมก็จะบ่นว่า “ทำไมแต่งตังใส่กางเกงสั้นแบบนั้นแบบนี้ ฯลฯ” ซึ่งบางคนผมก็เห็นด้วยนะ แต่หลายคนก็รู้สึกว่า บ่นไรนักหนาจารย์


จนถึงเวลาที่บีเดินเข้ามาตรงประตูงาน อาจารย์ผมหันไปเห็นก็ทักทายลูกสาวคนใหม่(เพราะบีเข้าเทอมสอง) อย่างน่ารัก ๆ ว่า “อุ้ย วันนี้แต่งตัวน่ารักจังเลยนะบี แต่งตัวก็เรียบร้อย” โหย ชมสารพัด แต่ผมยังไม่ได้หันไปดูนะเพราะมัวแต่มองคนใส่กระโปรสั้น ๆ ที่เพิ่งเดินผ่านไปอยู่ จนอาจารย์หันมาถามว่า “นายเริง เป็นยังไง วันนี้บีน่ารักเนาะ ว่าไหม?”


จังหวะนั้นแหละครับพี่น้อง! จังหวะนี้เลย ที่ผมปล่อยให้ทุกคนรอมานาน

ผมหันไปตามเสียงเรียกของอาจารย์จนกวาดสายตาไปเจอบียืนเขินคำชมของอาจารย์ยิ้มกริ่ม ๆ น่ารัก ๆ ในชุด เดรสแขนสั้นทรงกระโปรงยาวเห่ย ๆ ติดกิ๊บรูปกระต่ายหรือแครอทนี่แหละ ทาปากนิด ๆ แต่งหน้าหน่อย ๆ แต่ในใจผมคือแบบ “แม่เจ้าโว้ย! ทำไมน่ารักขนาดนี้วะ อาจารย์พูดถูกจริง ๆ วันนี้บีน่ารักมาก ๆ ทำไมมันต่างจากชุดนักเรียนขนาดนี้วะเนี่ย”


อาจารย์ “เป็นไงน่ารักไหม? ที่ชั้นถามน่ะ”

ผม “ก็เฉย ๆ อะครับ คนก่อนหน้านี้น่ารักกว่า” (อาจเพราะคำนี้ก็ได้ที่ทำให้บีไม่ชอบขี้หน้าผม เรียกได้ว่าผิดตั้งแต่ก้าวแรก 555+)

อาจารย์หยิกแขน “ชั้นบอกว่าน่ารักก็น่ารักสิ ไป ๆ บีเข้างานก่อน ให้เจ้าเริงอยู่นี่ช่วยชั้นก่อน”

บีก็เดินเข้างานไปแบบยิ้ม ๆ


หลังจากวันนั้นผมก็เริ่มสังเกตุบีมากขึ้นกว่าเดิมครับ พยายามดูว่าเวลาอยู่กับเพื่อนเขาเป็นยังไง กินข้าวอะไร เดินนั่งเรียนยังไง เริ่มออกแนวโรคจิตละ 555แต่ต้องยอมรับว่าคำว่า ‘น่ารัก’ ที่อาจารย์พูด มันติดอยู่ในหัวผมแบบสลัดไม่หลุด เจอหน้ากันทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 - 15.00 น. นานเข้า ๆ ก็เริ่มซึมซับและยอมรับกับตัวเองว่า “บีน่ารักจริง ๆ ว่ะ”


ด้วยความที่ผมเป็นคนเปิดเผย ผมบอกกับซีว่า “เฮ้ย กูมีอะไรจะบอกว่ะ”

ซี ”ว่ามา”

ผม “กูชอบบีแล้วว่ะ ทำไงดีวะ?”

ซี “แหมตอนนั้นบอกไม่ชอบ ๆ (ทำเสียงล้อเลียน) พ่อคนรูปหล่อ ถุ๊ย!”

ผมยิ้ม ๆ “ก็พวกมึงแหละชอบบิ๊ว 555+” โทษเพื่อนเฉย

ซี “มึงก็ลองจีบดิ แต่น่าจะยากหน่อยนะ เพราะเขาทั้งน่ารักแล้วพ่อก็รวย คนจีบเพียบ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเพื่อน แต่ก็ลองได้”


หลังจากที่คุยกับซี มันก็เอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง (กลุ่มมี 6 คน) เพื่อน ๆ ก็จะล้อกันแบบรัว ๆ ล้อแบบจริงจังมาก ๆ  คือจะเอากันแบบนี้ใช่ไหมล่ะพวก 555+


ความตลกคือทั้ง ๆ ที่ผมกับบีอยู่ห้องเดียวกัน เป็นเพื่อนกันมันก็ควรจะต้องมีเบอร์โทรกันไว้ใช่ไหมครับ แต่ผมกลับไม่กล้าขอเบอร์ จนเพื่อนผมรู้เข้าก็อาสาไปขอมา แล้วก็เอามาอวด “กูมีเบอร์บีแล้วว่ะ จะเอาไหม 10 บาท”

ผมควักเงินแบบเขิน ๆ  “เออ เอาก็เอา” เล่นตัวมาก ๆ 555+


ความแย่คืออะไรรู้ไหมครับ?

คือผมอะเคยแต่แอบชอบ ไม่เคยจีบใครจริง ๆ จัง ๆ หรอก ลองนึกสภาพเด็กหัวเกรียนติดเกม ที่พอเลิกเรียนก็ต้องวิ่งเข้าร้านเกมเพื่อแย่งโต๊ะคอมพ์ดูละกัน ว่ามันจะจีบเป็นไหม โอ๊ย นึกแล้วขำ 555+


ผมได้เบอร์มาก็โทรสิครับ ตอนแรก ๆ บีก็รับนะ แต่พอรู้ว่าเป็นเบอร์ผม หลัง ๆ ก็เริ่มไม่รับบ้าง นาน ๆ รับทีบ้าง แล้วคือผมอะเป็นคนโลกสวยมาก ๆ ไอ้เราก็ไม่รู้หรอกว่าที่เขาไม่รับเพราะเขาไม่ชอบ ไม่อยากคุยโว๊ยยยย 555+ ผมก็คิดแต่ว่า “อ๋อ สงสัยบีไม่ว่างเนาะ ไว้โทรใหม่แล้วกัน” ทำอย่างนั้นเป็นสัปดาห์ ๆ


อย่างกับคนโรคจิต ผมเพิ่งมารู้ทีหลังจากเพื่อนสนิทบีว่า “เริง บีบอกชั้นว่า แกโทรหามันวันนึงเป็น 10 รอบเลยหรอ?”

ผมตอบ “อือ ทำไมเหรอ?”

เพื่อนบี “มันน่ารำคาญ แกไม่รู้เหรอ?”

ผมทำหน้าหงอย ๆ “ไม่รู้อะ ก็น่าจะบอกว่ารำคาญ แล้วทำไงดี? เราชอบบีว่ะ”

เพื่อนบี “เฮ้อ เอาจริง ๆ ปะ ชั้นว่าแกจีบไม่ติดหรอก เขาก็บอกแล้วว่ารำคาญแก แต่ก็นะ ลองโทรให้น้อยลงดู ไม่ก็ส่งข้อความก็ได้”

ผมยิ้ม ๆ “เออ ส่งข้อความ ใช่ ๆ ขอบใจว่ะ”


ผมด้วยความน้ำเน่า แบบมาก ๆ (จริง ๆ อยากใช้คำอื่นที่มากกว่าคำว่า มาก ๆ ช่วยเติมเอาเองนะครับ 555+)

ผมแต่งกลอนสิครับรออะไร กลอน 8 สื่อรักสื่อใจ ส่งให้รัว ๆ วันละ 1 อัน ฝนตกก็แต่งเกี่ยวกับฝน แดดร้อนก็แต่งเกี่ยวกับแดด จนวันนึงตอนไปโรงเรียน เพื่อนบีเดินหยิบโทรศัพท์บีมาหาผมที่กำลังนั่งกับกลุ่มเพื่อน (เป็นโทรศัพท์ Nokia รุ่นที่บิดท้ายแล้วเปิดเพลงได้ โหยสมัยนั้นโคตรดัง) แล้วก็อ่านกลอนที่ผมแต่ง “แกส่งให้บีเหรอ?” แล้วก็หัวเราะแบบแรง “โคตรน้ำเน่าเลยว่ะ 555+”


เพื่อน ๆ ในห้องก็เลยรู้กันหมดว่าผมกำลังจีบบีแล้วก็ทำอะไรลงไปบ้าง โคตรแย่ แต่นึก ๆ ดูก็ตลกดี 555+

หลังจากวันนั้นผมก็เลิกเขินเพื่อน ๆ ไม่ปิดแล้วไอ้ที่เรารู้สึกกับบีน่ะ ใครจะรู้ก็ช่างมัน

ทุกวันเวลาเจอกันตอนเช้าก่อนเข้าแถว ผมก็จะยิ้มแล้วยกมือทักทายบี บีก็จะยิ้มแบบเขิน ๆ บางทีก็ยกมือตอบบางทีก็ยิ้มแล้วหันหนีเลย


ช่วงหลัง ๆ ผมโทรหาบีน้อยลง (ปกติจะโทรช่วงหลังเลิกเรียน) โทร 5 โมงไม่รับ ก็โทร 6 โมง ไม่รับก็ 1 ทุ่ม ไม่รับก็ไม่โทรละ ส่งข้อความแทน ทำเป็นลูปวนไปเรื่อย ๆ บ้าจริง ๆ ไม่มีเทคนิคอะไรเลย ช่วงนั้นคนจีบบีเยอะมาก ผมก็เริ่มนึกในใจบางครั้งว่า “หรือเขาอาจจะอยากคุยกับคนอื่นมากกว่ามั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็แค่ชอบนี่หว่า ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นแฟนกัน เพราะแม่ก็ยังไม่ให้มีแฟน จนกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัย” คือคิดแนว ๆ นี้จริง ๆ ครับ ตลกมาก เป็นเด็กดีเวอร์ ๆ


มีช่วงนึงก่อนสอบปิดเทอม 2 พวกเด็กผู้ชายจะต้องไปเข้าค่าย รด. ที่เขาชนไก่ 3 วัน ผมก็จะโทรหาบีเรื่อย ๆ ก็มีรับบ้างไม่รับบ้าง เพื่อนผมก็เลยถามว่า “มึงทำอะไรวะ? เห็นเล่นกับโทรศัพท์นานแล้ว” คือมันไม่ใช่สมาร์ทโฟนแบบตอนนี้ มันไม่มีเกมอะไรให้เล่นเยอะ เพื่อนก็เลยสงสัย

ผมวางโทรศัพท์ลง “ก็ว่าจะโทรหาคนที่แอบชอบว่ะทำไมวะ?” แล้วผมก็เล่ายาว ว่าเป็นมายังไง (พอดีเพื่อนที่นอนเตนท์เดียวกับผมเป็นกลุ่มเพื่อนสนิทตอน ม.ต้น)


เพื่อนผมก็เลยแนะนำว่า ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรคุยอะไร ทำไมไม่ลองจดลิสต์คำถามดูก่อนที่จะโทรล่ะ แต่อย่าเอาคำถามที่น่าเบื่อมาก เช่น กินข้าวรึยัง ทำอะไรอยู่ เอาเป็นคำถามที่ถามเพื่อจะได้รู้ความชอบของเขา เช่น ชอบดูหนังแนวไหน ฟังเพลงอะไร มันแนะนำผมมาประมาณนี้


ผมก็จดสิครับ จดใส่กระดาษเลยแล้วถือไว้ตอนคุยโทรศัพท์ว่าจะคุยอะไรบ้าง แล้วมีคืนนึงระหว่างอยู่ค่าย รด. ผมโทรหาบีคราวนี้เขารับสายด้วยเสียงน่ารัก ๆ  “ว่ายังไงเริง?” (โหยยย ได้ยินแค่นี้ก็ฝันโคตรดีแล้วครับ)

ผมตกใจที่ได้ยินเสียงบีเพราะไม่คิดว่ารอบนี้เขาจะรับสายผม “อ๋อ ไม่ว่าไงหรอกบี เป็นยังไงบ้างทำอะไรอยู่?” ทั้ง ๆ ที่เพื่อนผมเพิ่งบอกว่า อย่าถามว่าทำอะไรอยู่ 555+

บี “อ๋อ บีกำลังอ่านหนังสือ เตรียมสอบปลายภาค เป็นยังไงเขาชนไก่สนุกไหม?”

ผม “ก็สนุกดีนะ ลุย ๆ เลอะเทอะดี ไม่ค่อยได้อาบน้ำด้วย ห้องน้ำก็ โอ๊ย อยากให้มาเห็นจัง ไม่อยากเล่าเลย” แต่ร่ายยาว

บีหัวเราะน่ารัก ๆ “แล้วคนอื่นล่ะ เริงอยู่กับใครมั่ง”

ผมหันไปมองเพื่อนรอบ ๆ ซึ่งคืนนั้นผมนั่งอยู่เตนท์กลุ่มเพื่อน ม.ปลาย แล้วก็เริ่มไล่ชื่อเพื่อน ๆ พอซีได้ยินผมเรียกชื่อมัน มันก็แย่งโทรศัพท์ไปเปิดลำโพงแล้วพูดว่า “บี เราคิดถึงบีจังเล๊ยยย คิดถึงใจจะขาด นอนไม่ได้กินไม่ลงเลยเนี่ย คิดถื๊งคิดถึง” แล้วเพื่อน ๆ ก็เริ่มหัวเราะ

บีหัวเราะเล็ก ๆ ตอบว่า “บีก็คิดถึงซีเหมือนกัน ”

ซีหัวเราะใหญ่เลยทีนี้แล้วหันมาบอกผมว่า “เริง เขาคิดถึงกูว่ะ ไม่ได้คิดถึงมึง 555+”

บีได้ยินก็เลยบอกว่า “บีคิดถึงทุกคนนั่นแหละ”

แล้วบีก็คุยกับเพื่อนผมในกลุ่มอีกนิดหน่อย คือตอนนั้นผมใช้แพคเกจโทรเบอร์ค่ายเดียวกันของดีแทคฟรี แต่ห้ามเกิน 1 ชั่วโมง (โหยเป็นลูกค้าดีแทคมานานมาก เพิ่งมาเปลี่ยนก็ตอนโตแล้วซื้อโทรศัพท์เองได้นี่แหละครับ)

หลังจากที่คุยกับเพื่อน ๆ ผมได้ซักพักแล้วบีก็ขอคุยกับผม เพื่อน ๆ ก็ยื่นโทรศัพท์คืนมาให้ แล้วผมก็ปิดลำโพงคุยบอกฝันดี


หลังจากที่กลับจาก รด. ผมก็ไปซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้บีกับเพื่อนผมชื่อพี ความเจ๋งคือผมสืบมาว่าบีชอบสีชมพู แต่ผมไม่รู้จะซื้ออะไรด้วยเงิน 300 บาท ผมกับพีไป B Trend เพื่อเลือกของ สุดท้ายไปจบที่กระเป๋าตังค์รูปหมูสีชมพู เพราะผมคิดว่าอย่างน้อยมันก็ใช้ประโยชน์ได้


แล้ววันวาเลนไทน์ก็มาถึง

วันนั้นพวกผมมีสอบ 2 วิชาเช้าและบ่าย

พอสอบตอนเช้าเสร็จ เพื่อน ๆ ก็จะพากันอ่านหนังสือกันอยู้ใต้ตึก วันนั้นคนมาโรงเรียนไม่เยอะมาก ทำให้มีแต่เพื่อน ๆ ผมที่ใต้ตึก มีเพื่อนห้องอื่นอีกนิดหน่อย


ผมกับซีและเพื่อนอีก 4 คน นั่งกินข้าวแล้วก็คุยกันว่าจะทำยังไงดี ผมเอาของขวัญห่อใส่กล่องพร้อมเขียนการ์ดอย่างดี ข้อความในการ์ดประมาณว่า “ขอให้มีความสุขนะ ฯลฯ” แล้วก็บอกประมาณว่าชอบบีนะ


เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ผมกับเพื่อนๆ ก็เดินไปหาบีซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่กับเพื่อน ๆ (โคตรเขิน หมายถึงตอนพิมพ์อยู่ 555+) ตอนนี้ผมเริ่มไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะยื่นของให้ด้วยซ้ำ แต่เพื่อน ๆ ผมก็รู้งานไปถึงก็ “งายบีรู้ไหมวันนี้วันอะไร?”

บีเงยหน้ามา “วันอังคาร ทำไมเหรอ?”

เพื่อนผม “ผิด วันนี้วันวาเลนไทน์ แล้วเริงก็มีของจะให้บีด้วยแหละ”

บียิ้มแบบตื่นเต้น “จริงเหรอ? เริงจะให้อะไรอะ?”

ผมเดินเข้าไปหาหน้าเจื่อน ๆ เขิน ๆ พร้อมกับยื่นกล่องให้  “อะเรามีอันนี้ให้บี”

บีรับของ “อื้อ ขอบใจนะเริง มีอะไรอีกไหม?” แล้วก็ยิ้ม เห็นรอยยิ้มนั้นแล้วแบบ โอ้พระเจ้า น่ารักจุงเบย

ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีตอนนั้นแล้วพูดออกไปว่า “บีเราชอบบีนะ” แบบเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ใจอยากพูดดังกว่านี้

บีตอบสั้น ๆ หน้านิ่ง ๆ ว่า “อื้อ”


แล้วไม่รู้เป็นจังหวะบ้าอะไร ทุกคนใต้ตึกเงียบพอดี ขนาดผมพูดเบา แต่เดาว่าโต๊ะอื่นรอบ ๆ โต๊ะบีก็ต้องได้ยิน

เพื่อนของบีอยู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบว่า “แกว่ายังไงนะ ไม่ได้ยินเลย” ทีนี้ทุกคนก็เลยพุ่งความสนใจมีที่กลุ่มผมซึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะบีโดยมีผมยืนอยู่หน้าสุด


ผมมองไปรอบ ๆ แบบกระวนกระวายกำลังตัดสินใจว่าจะพูดอีกทีดีไหม ซีเพื่อนรักของผมก็โพล่งสวนขึ้นมาทันที “เริงบอกว่า เริงชอบบีโว้ยยยยย” ทีนี้ล่ะคุณเอ้ยยย เสียงเฮและปรบมือนี่เกรียวกราว เต็มใต้ตึก จนคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้จักพวกผมยังนั่งยิ้มแบบงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนั้นผมนี่ยืนเกร็งแล้วก็ยิ้มเจื่อน ๆ ในขณะที่บีก็ยิ้มแบบเขิน ๆ


แล้วผมก็เลยตัดบทว่า “โอเคเราไม่กวนแล้ว สู้ ๆ นะ”


นี่แหละครับจุดเริ่มต้นของการบอกชอบคนที่แอบชอบมาหลายเดือน ผมขอตัดบทภาคแรกตรงนี้ก่อนนะครับ เพราะหลังจากนี้จะเริ่มเป็นช่วงชีวิตหลังจากบอกชอบไปแล้ว ซึ่งส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันก็มีแทบทุกอารมณ์ที่ผมไม่เคยมีจากการแอบชอบคนอื่น ขอเอาไว้เล่าต่อในคอมเมนท์นะครับ


ขอบคุณครับ




Create Date : 06 กันยายน 2560
Last Update : 9 กันยายน 2560 23:17:43 น.
Counter : 1007 Pageviews.

0 comment
ทำไมพวกพี่ถึงคบกันได้นานจังมีเทคนิคอะไรเหรอ?




คำถามข้างบนเป็นคำถามที่น้อง ๆ มักจะถามผมเมื่อรู้ว่าผมกับแฟนคบกันมาได้ 7 ปีแล้ว
แล้วหลังจากนั้นน้อง ๆ ก็จะเริ่มเล่าประสบการณ์ของตัวเองว่า ของแต่ละคนเป็นอย่างไรกันบ้าง 

บางคนก็บอกหนูคบไม่เคยเกิน 2 ปีเลย บางทีแค่ 3-4 เดือนก็เลิกแล้ว
อยากจะคบกับใครได้นาน ๆ บ้าง ทำยังไงดี คะ/คับ พี่ ๆ ?

คือการจะเป็นแฟนกันได้นานมันมีหลายอย่างครับ อ้างอิงจากประสบการณ์ตัวเองล้วน ๆ เลยนะครับ
ต้องเกริ่นก่อนว่า แฟนคนปัจจุบันของผม ถือเป็นแฟนคนแรกแบบจริงจังเลยก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคุย ๆ (ไม่นับเป็นแฟนจริงจัง 555+)

เหตุผลที่พูดได้เต็มปากเพราะช่วงที่คุยกับคนอื่น ๆ (ตอนโสด) ผมก็คุยเรื่องที่ผมชอบ เรื่องที่เค้าชอบ คนจีบกันมันก็ต้องคุยอยู่แล้วใช่ปะล่ะ? 
ซึ่งมันก็จะมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่า เฮ้ย! คนนี้ไม่ใช่ละ (คือคนเราอะนะ ถ้ารสนิยมไม่ตรงกันมันจะรู้สึกได้เอง)

พอผมเริ่มรู้สึกว่าเอ๊ะ! คนนี้ไม่ใช่ละผมก็จะบอกตรง ๆ เลยว่า "เราเป็นเพื่อนกันดีกว่าเนาะ" เพราะรู้ว่าต่อให้คุยนานกว่านี้ลองคบกันสุดท้ายก็ต้องเลิก นิสัยพื้นฐานของคนเรามันเปลี่ยนกันไม่ได้หรอกครับ
เช่น สมมติผมติดเกมมาก ๆ (ก็เป็นอยู่) อยู่ ๆ จะให้มาเลิก มันได้ปะล่ะ? (ไม่ได้หรอก ยังต้องเก็บทองซื้อรูนอยู่เลย รูนไม่เต็ม 555+)

นี่แค่เรื่องเกมเรื่องเดียวเองนะครับ ยังไม่นับอีกล้านอย่าง ที่คนเราชอบไม่เหมือนกัน
ไอ้การที่บอกว่าจะลองปรับนิสัย มันทำได้ครับ แต่สุดท้ายแล้ว ถ้ามันฝืนธรรมชาติตัวเอง คนเรามันก็ทนไม่ไหวอยู่ดี

โหยยืดยาวเยิ่นเย้อ มาก ๆ 555+

สรุปคือ ถ้าอยากจะคบใครเป็นแฟนให้ได้นาน ๆ มันต้องเริ่มจากมีความชอบที่ตรงกันก่อน
คือถ้าเราตั้งว่าต้องหน้าแบบนี้นะ หุ่นแบบนี้นะ นิสัยแบบนี้นะ โดยส่วนตัวเชื่อว่ายากมากครับ ถ้ามีคนที่ดีพร้อมขนาดนั้น เขาก็มีแฟนกันหมดแล้ว ไม่เหลือหรอก 555+

อย่าเริ่มจากหน้าตารูปร่างภายนอก เพราะสุดท้ายคบกันนาน ๆ มันอยู่ที่นิสัยกับความชอบ
อย่าฝืนธรรมชาติของตัวเองแต่ก็ไม่ใช่ปล่อยหมด (กูธรรมชาติที่สุดตั้งแต่วันแรกเลยจ้า) แบบนั้นก็ไม่ได้ ค่อย ๆ ปล่อยให้เขาเรียนรู้จักธรรมชาติของเรา สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เขาชอบแล้วดูว่าระยะยาวมันอยู่ด้วยกันได้ไหม? (ควรใช้เวลาในช่วงนี้ให้นานที่สุด)

คบแฟนให้เหมือนเป็นเพื่อน ถ้าคบกันแล้วมีเรื่องที่แบบว่า คุยไม่ได้ ก็แสดงว่ายังไม่สนิทใจ ต้องยอมรับว่าแรก ๆ มันก็จะมีระยะห่างไม่กล้าเปิดหมด แต่ถ้าเรายอมรับกันและกันแล้ว มันไม่มีระยะหรอกครับ ผมกับแฟนเวลามีอะไรก็คุยกันทุกเรื่อง แต่ถ้าคุยไม่ได้จริง ๆ ก็แสดงว่าเรื่องนั้นมัน (หึหึหึ ล้อเล่นนน 555+)

สรุปสั้น ๆ อีกทีนึง เอาว่าถ้าอยากจะคบแฟนให้ได้นาน ๆ ให้คบแฟนที่คุยกันได้เหมือนเพื่อน แต่รักกันไม่ใช่แบบเพื่อน ให้มีแฟนที่ปรึกษาพูดคุยได้ ชอบเรื่องคล้าย ๆ กัน ไม่ต้องเป๊ะ หน้าตาพอดี ๆ เหมาะกับเรา (ไอ้หน้าแบบผมจะจีบน้องใหม่ดา ก็คงยากเนาะ 555+) และสำคัญที่สุด ต้องเข้าใจกันและกัน แค่นี้ก็คบได้นาน ๆ แล้วครับ

ขอบคุณครับ 
จบ



Create Date : 01 กันยายน 2560
Last Update : 1 กันยายน 2560 17:26:38 น.
Counter : 538 Pageviews.

0 comment
กลับมาอีกครั้งกับเป้าหมายใหม่ ครับ! ฝากติดตามด้วยน้า


สวัสดีครับ  

ผมตูมตามครับ ตอนนี้ก็อายุ 27 ปีแล้ว เรียกได้ว่าแก่ระดับนึงเลย 555+
ตอนนี้ผมตั้งใจไว้ว่า จะเริ่มเขียน Blog แบบจริงจัง ให้สมกับความตั้งใจที่จะได้ช่วยเหลือคนอื่นจากประสบการณ์ของผมเอง เวลามีอะไรเจ๋ง ๆ ผมจะพยายามเอามาเล่าให้ฟังผ่านตัวหนังสือในรูปแบบของผมเอง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกม เรื่องหนัง เรื่องในชีวิตประจำวันต่าง ๆ 

ใครว่าง ๆ อยากหาอะไรอ่านแบบมีสาระบ้างไม่มีบ้าง ก็ฝากติดตามด้วยนะค๊าบ

ขอบคุณมากเลย
ตูมตาม
Facebook : Roengrith  Jantarima




Create Date : 28 สิงหาคม 2560
Last Update : 28 สิงหาคม 2560 21:34:03 น.
Counter : 417 Pageviews.

0 comment
ในวันที่ท้อแท้หมดกำลังใจ คุณทำอะไรกันบ้างครับ?


  *** เนื้อหาข้างล่างเป็นความคิดเห็นส่วนตัวและความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ ***
สวัสดีครับ 

ต้องบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ชีวิตผมค่อนข้างท้อแท้และหมดกำลังใจง่ายมากครับ 
อาจจะเป็นเพราะปัญหาหลายๆ อย่าง มันไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่โตมากมายเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่มันก็มาเยอะและไม่หยุดหย่อน
มันค่อยๆ กัดกินความสุขของผม ทำให้ความสุขมันลดลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ผมก็เกิดอาการกร่อยและท้อแท้ในที่สุด

หลังจากที่ผมเริ่มรู้ตัวว่า ผมเริ่มหมดไฟ ผมก็เลยนั่งเปิดอินเตอร์เน็ทดูนู่นนี่นั่นไปเรื่อยๆ ครับ
แล้วผมก็เจอคลิปนึง เป็นคลิปสัมภาษณ์ในหลวงเกี่ยวกับการทรงงานของท่าน ผมนั่งดูคลิปที่ฝรั่งคนนั้นสัมภาษณ์ในหลวง
ผมได้รับฟังวิธีการทรงงาน การวางแผนการทำงานและการแก้ปัญหาของในหลวง 



เมื่อดูคลิปจบ 
สิ่งแรกที่ผมรู้สึกก็คือ ปัญหาของผมมันช่างเล็กน้อยมากๆ แทนที่ผมจะวางแผนและคิดวิธีแก้ปัญหาใหม่ 
กลับมานั่งท้อแท้ให้กับปัญหาง่อยๆ ของตัวเอง สิ่งที่ผมทำมันช่างเสียเวลาเหลือเกิน 

สิ่งที่สองที่ผมรู้สึกคือ ผมมีกำลังใจขึ้นมามากๆ เลยครับ จากคลิปนี้ทำให้ผมรู้ว่าในหลวงทรงห่วงใยคนไทยอย่างแท้จริง 
ทรงคิดถึงคนไทยเป็นอันดับแรกเสมอ ทำให้ผมเข้าใจว่ายังมีคนที่คอยห่วงใยเราอยู่ตลอด(เราโชคดีจริงๆ ที่เกิดเป็นคนไทย)

ในหลวงทรงมีวิธีจัดการกับปัญหาที่เรียบง่ายและได้ผลอย่างมาก

ทรงตรัสไว้ในคลิปประมาณว่า เหตุผลที่ในหลวงชอบทรงงานเพียงลำพังเพราะ "ในหลวงทรงต้องการสมาธิและสติในการจัดการวางแผนและแก้ปัญหา"
ด้วยประโยคข้างบนนี้เอง ทำให้ผมเข้าใจทันทีว่า เมื่อเราเจอปัญหาสิ่งที่เราควรจะมีที่สุดคือ "สมาธิและสติ" ไม่ใช่การหนีปัญหา

ทรงพระเจริญ

แล้วในวันที่คุณท้อแท้ คุณทำอะไรกันบ้างครับ?



Create Date : 14 กันยายน 2558
Last Update : 28 สิงหาคม 2560 20:40:32 น.
Counter : 231 Pageviews.

0 comment
จริงๆ แล้วจินตนาการของคุณไม่เคยจากไป มันแค่หลับอยู่ในตัวคุณ


จริงๆ แล้ว คุณเองก็เป็นคนที่มี "จินตนาการ"



ตอนเด็กสิ่งที่ทุกคนมีคือ "จินตนาการ"

พอเริ่มโต "จินตนาการ" เริ่มหมดไป
คงเพราะความเป็นจริงของสังคมที่เราโตมา
หล่อหลอมเรา บังคับเรา ตีกรอบเรา ให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ

ความจริงที่น่าเจ็บปวดคือ เรายอมตกเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม คนที่ใช้จินตนาการของเขาบังคับให้เราเป็นไปตามที่เขาต้องการ ผมเคยได้อ่านหนังสือบางเล่ม ในหนังสือเล่มนั้นมีประโยคนึงที่โดนใจผมมาก

"ถ้าเราไม่มีความฝัน เราก็จะถูกจ้างให้ทำความฝันของคนอื่นให้เป็นจริง"

ลองย้อนมองดูตัวคุณเองสิว่าวันนี้คิดอะไรอยู่ ทุกๆวันที่ตื่นเช้าขึ้นมา ออกไปทำงาน เราทำงานเพื่ออะไรกัน? ครอบครัว? เงิน? หรือตัวเอง? หลายครั้งเราลืมเป้าหมายในชีวิตของเราไป เราอาจจะกำลังเคยชินกับความสบาย คิดว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันดีอยู่แล้ว แต่ลองคิดให้ไกลออกไปอีกนิดนึงดูสิครับ
แล้วคุณจะเห็นว่าในโลกนี้ยังมีประสบการณ์ต่างๆ ให้เราออกไปหาอีกมากมาย 

หลายครั้งพอเราเริ่มคิดนอกกรอบ คิดแตกต่างจากเพื่อนมัธยม ต่างจากเพื่อนมหาลัย ต่างจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนๆ เหล่านั้นบางคนดีมากเลยเพราะเขาสนับสนุนเรา แต่ก็มีเพื่อนหลายคนบอกเราว่า "นั่นไม่ใช่มึงเลย มึงทำไม่ได้หรอก"

แล้วเราเป็นยังไงครับ? แป้ก หมดหวัง เลิกฝัน คิดว่าที่คนอื่นบอกคุณมันถูกแล้ว รึเปล่า? 

คำถาม : จริงๆแล้ว เราต้องทำตามที่สังคมต้องการให้เราเป็นทุกครั้งเลยเหรอ?

คำตอบ : ไม่จำเป็น! สังคมบางสังคมไม่ได้ให้ประโยชน์กับเราเลย เช่น สังคมที่ดีแต่พูดเรื่องไม่ดีของคนอื่น ตีกรอบจินตนาการของเราให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ที่ตลกคือ เราก็ยอมทำตามๆกันไปเรื่อยๆ ไม่คิดอะไรแปลกใหม่บ้างเลย
สุดท้ายแล้วเราจะสอนอะไรลูกหลานของเราเหรอครับ?

"ลูกทำแบบคนนี้สิดีนะ"
"ลูกต้องเรียนให้ได้แบบคนนี้นะ"
"ลูกต้องจบปริญญาตรีจากมหาลัยนี้นะ"
และอีกมากมาย ทั้งๆที่คุณเองเมื่อตอนเด็กๆ ก็เคยมีจินตนาการมากกว่าแค่อยากทำตามคนอื่นๆ ทำไมเราต้องทำตามคนอื่นในทุกเรื่องล่ะครับ?

"จินตนาการ" สำคัญกว่า "ความรู้" ลูกพี่นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังได้กล่าวไว้

เตือนใจ :
เผื่อคุณจะลืมว่า ตอนเด็กๆ คุณก็เป็นคนนึงที่เคยมี "จินตนาการ" อย่าปล่อยให้สังคมบอกคุณว่าคุณคือใคร เพียงเพราะพวกเขาอยากให้คุณเป็น...

hqtutorhome รับสอนพิเศษที่บ้าน



Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 28 สิงหาคม 2560 20:44:53 น.
Counter : 265 Pageviews.

1 comment
1  2  

ตูมตาม Life is so much fun
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ผมชื่อตูมตาม อายุ 27 ปีครับ
ตั้งใจว่าจะเขียน Blog วันละเรื่อง ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
YouTuber : LiSMF (Life Is So Much Fun)
Facebook : Roengrith Jantarima