-=- Manthanee Clinic -=- Aesthetic & Laser Clinic -=- มัณฑนีคลินิก -=- คลินิกผิวพรรณ เลเซอร์ ลดน้ำหนัก เส้นผม โดยแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง ซอยถนนรางน้ำ พญาไท ใกล้กับ BTS อนุสาวรีย์ชัย -=-
Group Blog
 
All blogs
 

เคล็ดลับการลดน้ำหนักกับการคำนวณแคลอรี่

การลดน้ำหนักให้ได้ผลดีนั้น คือการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายควบคู่กัน

วิธีการคำนวณน้ำหนักและแคลอรี่

เนื่องจากน้ำหนักของคนเรา 1 กิโลกรัม คิดเฉลี่ยเป็นค่าพลังงาน 7,700 แคลอรี

ดังนั้นหากต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 1 กิโลกรัม ใน 7 วัน

จะต้องเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและรับประทานอาหารให้น้อยลง ให้ได้ค่าพลังงานใช้ไป 7,700 แคลอรี่

หรือคิดเป็นการเผาผลาญออกไป วันละ 1,100 แคลอรี่

วิธีการ คำนวณจาก แคลอรี่ในอาหารที่รับประทานเข้าไปในหนึ่งวัน ลบด้วย พลังงานที่ใช้ไปในกิจวัตรประจำวันและการออกกำลังกาย

จะต้องได้ค่าติดลบ วันละ 1,100 แคลอรี่ ต่อเนือ่งกันทุกวัน น้ำหนักจึงจะลดลงได้ สัปดาห์ละ 1 กิโลกรัมค่ะ


มาเริ่มการคำนวณ แคลอรี่กันค่ะ


ปริมาณแคลอรี่ในรายการอาหาร

โจ๊กหมู 1 ชาม 236
ข้าว+แกงกะหรี่ 1 จาน 476
ข้าว+แกงเนื้อ 1 จาน 476
ข้าวหมกไก่ 1 จาน 685
ข้าวหน้าเป็ดย่าง 1 จาน 423
ข้าวผัดหมูใส่ไข่ 1 จาน 557
ข้าวมันไก่ 1 จาน 596
ข้าวคลุกกะปิ 1 จาน 610
แกงเขียวหวาน 1 จาน 483
ขนมจีนน้ำยา 1 จาน 497
ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า 1 จาน 397
ก๋วยเตี๋ยวผัดขี้เมา 1 จาน 577
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วใส่ไข่ 1 จาน 679
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้งหมู 1 จาน 530
ก๋วยเตี๋ยวน้ำเป็ด 1 ชาม 332
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เย็นตาโฟน้ำ 1 ชาม 352
เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อวัว 1 ชาม 226
ขนมผักกาดใส่ไข่ 1 จาน 582
ขนมหอยแมลงภู่ทอดใส่ไข่ 1 จาน 428



ปริมาณแคลอรี่ในอาหารประเภทขนม
ซ่าหริ่ม 1 ถ้วย 237
วุ้นกะทิ 1 อัน 100
ขนมชั้น 1 อัน 276
บัวลอยเผือก 1 ถ้วย 230
ทองหยิบ 1 ดอก 63
เม็ดขนุน 1 เม็ด 30
ไอสครีมวานิลา 1/2 ถ้วย 100
ปาท่องโก๋ 1 ตัว 88
ขนมครก 4 คู่ 229
ปอเปี๊ยะทอด 2 อัน 164
ทอดมันปลา 3 ชิ้น 111
ขนมกุยช่ายทอด 1 ชิ้น 114
มันฝรั่งแผ่นทอด 10 ชิ้นใหญ่ 105
ข้าวโพดแผ่นทอด 1 155
มันฝรั่งทอด 10 ชิ้น 160
เค้กกล้วยหอม 1 อัน 203
ขนมปังลูกเกด 1 อัน 71
แพนเค้ก 4 นิ้ว 1 อัน 60
ครัวซอง (41/2 x 11/4 1 อัน 235
โดนัทธรรมดา 1 อัน 198
โดนัทไส้แยม 1 อัน 289
ชีสเค้ก 1/12 เค้กขนาด 9 นิ้ว 1 ชิ้น 280
เค้กผลไม้ 1 ชิ้น 165
เค้กไม่มีหน้า 1 ชิ้น 120
เค้กมีหน้า 2 ชั้น (1/16 อัน) 1 ชิ้น 235
คุกกี้ชอกโกแลตชิพ 21/2 4 อัน 180
คุกกี้เนย 7 กรัม/ชิ้น 7 อัน 233
เดนนิชเพสตรีไส้ผลไม้ 1 ชิ้น 263
พิซซ่า 1/8 อัน 15 นิ้ว 1 ชิ้น 290
คุกกี้ข้าวโอต 2 ชิ้น 205


ขอขอบคุณ แหล่งที่มา : สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล


จำนวนพลังงานที่ใช้ไปในชีวิตประจำวัน ต่อชั่วโมง (แคลอรี่)
นั่งดูทีวี 100
ยืน 140
ปูที่นอน 135
ทำงานบ้าน 150-250
เดินเล่น 210
กวาดพื้น 225
ตัดหญ้า 250-300
ทำสวน 300-450
เดินช้า 150
เดินธรรมดา 300
เดินเร็ว 420-480
เดินลงบันได 425
เดินลงเนิน 240
เดินขึ้นบันได 600-1080
เดินขึ้นเนิน 480-900
วิ่งเหยาะๆ 600-750
วิ่งเร็ว 900-1200
ขี่จักรยาน 250-600
เล่นแบดมินตัน 350
เต้นรำ 350
เล่นโบว์ลิ่ง 400
ว่ายน้ำ 260-750
เล่นเทนนิส 480
เล่นวอลเล่ย์บอล 300
ตีกอล์ฟ 240





 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2554 18:26:04 น.
Counter : 1450 Pageviews.  

Beauty Tip : By Dr.Meow เคล็ดลับผิวอ่อนวัยกับการทาครีมกันแดดให้ถูกวิธี





เชื่อหรือไม่ว่าครีมกันแดดที่เราทากันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้ป้องกันแค่ความหมองคล้ำจากรังสี UV B แต่ยังช่วยป้องกันริ้วรอยแก่ก่อนวัยจากรังสี UV A ด้วย เพราะฉะนั้น บางคนจะเข้าใจว่าเราผิวขาวแล้วไม่จำเป็นต้องทากันแดดอีก อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ เพราะว่าจะนำมาซึ่งริ้วรอยก่อนวัยอย่างรวดเร็วค่ะ


ทาครีมกันแดดอย่างไรให้มิประสิทธิภาพ
ควรทาให้หนาพอควร คือประมาณ 1 มิลลิเมตร ทาก่อนออกจากบ้าน 30 นาที และทาทับทุก 3-4 ชั่วโมง ถึงจะได้ผลตามค่า SPF หรือ PA ที่โฆษณา ถ้าเราทาน้อยกว่านี้ ก็จะป้องกันได้ค่าSPF ที่น้อยลงไปด้วยค่ะ หรือบางคนคิดว่าทากันแดดบางๆพอ แต่ลงรองพื้นแต่งหน้าหนาๆ อันนี้ก็เข้าใจผิดนะค่ะ แทนกันไม่ได้ค่ะ
ข้อน่าสนใจคือ การหาค่า SPF เหล่านี้ทำในห้องทดลอง แต่พอมาใช้จริงกับผิวคนเราในชีวิตประจำวัน มักได้ค่าลดลงเสมอ เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ทาไม่หนาเพียงพอ เหงื่อออก การเช็ดถูใบหน้า การซับหน้าบ่อยๆ ล้วนทำให้ครีมกันแดดหลุดออกค่ะ


ค่า SPF (Sun Protection Factor) ต่างกับ PA (Protection of UV-A) อย่างไร
SPF บอกถึงการป้องกันอาการแดงไหม้ที่ผิว ( Sunburn ) ซึ่งมักเกิดจากรังสี UV B
ส่วนPA บอกถึงการป้องกันรังสี UV A ซึ่งไม่ใช่ค่ามาตรฐาน ดังนั้น ถ้าผลิตภัณฑ์ไม่ได้ระบุค่าPA ไม่ได้ก็แปลว่าไม่ได้ป้องกันค่ะ


ตัวอย่างการแปลผล เช่น ค่าSPF 30 แปลว่าอะไร
แปลว่าถ้าปกติ เมื่อตากแดดที่แห่งหนึ่ง ใช้เวลา 15 นาที จะเกิดอาการแดง หากทากันแดดค่าSPF30 จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 30 เท่า คือ 450 นาที จึงจะเกิดอาการแดง อย่าลืมว่าต้องทาหนาให้ได้ ถึง 1 มิลลิเมตรนะค่ะ


ค่าSPF ยิ่งสูงยิ่งดีหรือไม่
ไม่จำเป็นค่ะ เพราะค่าSPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป ก็สามารถดูดซับ UV B ได้พอๆกัน คือเกิน 90 % และไม่ว่าจะสูงแค่ไหน ก็ไม่สามารได้ค่าถึง 100 % ค่ะ
มีหลายคนเข้าใจผิดว่าทาSPFสูงๆ แล้วก็จะออกแดดจัดๆเต็มที่ได้ อันนี้อันตรายมากค่ะ เพราะจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังมากขึ้นค่ะ




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2554    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2554 20:27:25 น.
Counter : 731 Pageviews.  

การกรอผิวหรือ Diamond microdermabrasion คืออะไร

Microdermabrasion เป็นวิธีการขจัดผิวในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นเซลล์ชั้นบนที่ตายแล้ว ให้หลุดออก โดยใช้ผลึกเพชร(Diamond) ร่วมกับแรงดันสูญญากาศ ที่สามารถปรับระดับความแรงได้ตามสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการรักษา

เนื่องจากเซลล์ผิวของเรา จะมีการสร้างใหม่ทุกๆ 7-14 วัน เซลล์ผิวหนังที่เกิดใหม่ จะถูกผลักให้อยู่ชั้นบนสุดและทิ้งเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปเองตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาิติ จะเกิดช้าลง ร่วมกับการสัมผัสแสงแดด มลภาวะ จึงทำให้เกิดปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบ เกิดการสะสมของสิวเสี้ยน สิวอุดตันตามมา

ดังนั้นผลลัพธ์จากการกรอผิว จึงทำให้ผิวเรียบเนียน ผ่องใสอย่างเห็นได้ชัด ทันทีหลังการรักษา การกรอผิวอย่างต่อเนื่องจะเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ในผิวชั้นหนังแท้ ทำให้ริ้วรอยลดลง หลุมสิวและหลุมแผลเป็นค่อยๆตื้นขึ้นอย่างช้าๆ


Microdermabrasion ในปัจจุบันได้นำมารักษา ปัญหาผิวพรรณ ดังต่อไปนี้
1. Acne scars , Atrophic scars หลุมแผลเป็นจากสิว อีสุกอีใส รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ รอยเย็บ

2. Pigmented spots จุดด่างดำ รอยดำจากสิว รอยดำตามตัว รักแร้ ขาหนีบ

3. Large pore and oily skin ช่วยลดปัญหารูขุมขนกว้าง และผิวหน้ามัน เพราะการกรอผิว ทำให้ไขมันที่เคลือบผิวหน้าชั้นนอก หลุดลอกออก และ ทำให้ต่อมไขมันที่ผลิตไขมันในท่อไขมัน ลดลง

4. Trichostasis spinulosa สิวเสี้ยน บนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณจมูก คาง

5. Black head comedone สิวอุดตัน ประเภทสิวหัวเปิด

6. Wrinkles ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

7. Sun-damage skin ผิวหน้าที่หมองคล้ำจากแสงแดด ริ้วรอยก่อนวัย

ระยะห่างในการทำ microdermabrasion คือทุก 1 - 2 สัปดาห์ จำนวน 5 - 10 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิว
โดยในกรณีผิวแห้ง ควรเว้นระยะห่างให้มากขึ้น เป็น 2-4 สัปดาห์


ผลข้างเคียงของการรักษา อาจพบได้ในการกรอระดับลึก เช่นการกรอหลุมเเผลเป็น และรอยแตกลาย ซึ่งอาจพบว่ามีอาการบวม แสบ แดงชั่วคราวได้ 2-3วัน

ในกรณีนี้ ควรดูแลผิวเป็นพิเศษ โดยการทาครีมบำรุงและครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง และควรหลีกเลี่ยงแสงแแดดในช่วง 1 สัปดาห์แรก หรือจนกว่าผิวจะหายเป็นปกติ






 

Create Date : 22 กันยายน 2553    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2554 20:28:07 น.
Counter : 3522 Pageviews.  

ไออออนโตและโฟโน คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร

ไอออนโตและโฟโน จัดเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการผลักตัวยาเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรง ในปริมาณที่เข้มข้น กว่าการใช้ครีมทาภายนอกเพียงอย่างเดียว ทำให้สามารถออกฤทธิ์ในการ บำรุงผิว รักษารอยดำ และ ลบเลือนริ้วรอยของผิวหน้า อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด



ข้อแตกต่างของเครื่องมือสองชนิดนี้คือเทคนิคการผลักยาที่แตกต่างกัน โดยเครื่องไอออนโต จะใช้วิธีการส่งผ่านประจุหรือไอออนของตัวยา ที่สามารถแตกตัวได้ เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังโดยการใช้กระแสไฟตรง ขณะรักษา ผู้รับบริการจะมีการจับสื่อ เพื่อเหนี่ยวนำให้ตัวยาแตกตัวออกเป็นประจุบวกและลบที่ผิวหน้า อุปกรณ์จะมีลักษณะเป็นโลหะลูกกลิ้ง สำหรับกลิ้งบนผิวหน้าพร้อมๆกับตัวยา ให้ซึมผ่านเข้าใต้ผิว เพื่อออกฤทธิ์ในการรักษาผิวพรรณได้ ผู้รับบริการจะมีความรู้สึกจี๊ดๆ ที่บริเวณไรผม หนวดได้เล็กน้อย

สำหรับเครื่องโฟโนนั้น จะใช้การสั่นสะเทือนจากคลื่นเสียงความถี่สูง 20,000 Hz (Ultrasonic) ในการผลักสารบำรุงต่างๆเข้าสู่ใต้ผิว ในขณะรักษา เครื่องมือจะมีความอุ่นเล็กน้อย สบายผิว เหมาะมากกับผิวที่แห้งลอก หรือผิวแพ้ง่าย ( sensitive skin ) นอกจากนั้นแล้ว การทำโฟโนยังเป็นการนวดกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ตลอดจนเนื้อเยื่อ และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และขับของเสียออกจากเซลล์ ผ่านทางระบบน้ำเหลือง จึงเหมาะในการรักษา เพื่อลดอาการบวมบริเวณใต้ตาได้เป็นอย่างดี





เครื่องไอออนโตและโฟโนนี้จัดเป็นอุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยสูง ประสิทธิภาพในการรักษาขึ้นนั้นอยู่กับการเลือกตัวยาเวชสำอางที่เหมาะกับ ปัญหาและสภาพผิวของคนไข้ ตัวยาที่ทางคลินิกใช้ในการรักษา ได้แก่

- Whitening agents ได้แก่ ตัวยาที่ช่วยยับยั้งการสร้างเอนไซม์ที่ก่อให้เกิดการสร้างเม็ดสี(melanin pigment) จึงสามารถรักษาฝ้า กระ รอยดำแผลเป็น และผิวหมองคล้ำได้เป็นอย่างดี ได้แก่ licorice, arbutin, tranexamine

- Antioxidants เช่น วิตามินซี อี จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเซลผิวและการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

- Emollient กลุ่มบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เพิ่มการกักเก็บน้ำของเซลล์ผิว ได้แก่ collagen, hya, aloe vera

- Vitamin A วิตามินเอ เป็นตัวยาสำคัญที่สามารถรักษารอยดำสิวและหลุมแผลเป็นโดยช่วยให้กระบวนการ สร้างและผลัดเซลผิวหนังเป็นไปอย่างปกติ ลดการเกิดสิวอุดตันและกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน จึงช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า กระ และเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิว ลดเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดี

-AHA ความเข้มข้นสูง เพื่อผลัดเซลล์ผิวให้เนียนเรียบยิ่งขึ้น


การรักษาด้วยเครื่องไออนโตหรือโฟโน สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เป็นเวลาต่อเนื่องกัน จะช่วยให้ฝ้าและกระ จางลง สีผิวสม่ำเสมอ ผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้นเรื่อยๆอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนั้นยังช่วยรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ทำให้เนื้อเต็มเร็วขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ รอยแผลจะตื้นขึ้น และสีค่อย ๆ จางลงในที่สุด




 

Create Date : 21 กันยายน 2553    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2554 20:28:43 น.
Counter : 9996 Pageviews.  

การรักษาสิวอย่างถูกวิธี

ชนิดของสิว สามารถแบ่งออก ตามลักษณะ ได้แก่

1. สิวอุดตัน (comedone) มี 2 ชนิด
- สิวหัวปิด หรือสิวหัวขาว (close comedone)
- สิวหัวเปิดหรือสิวหัวดำ (open comedone) เป็นเม็ดนูนมองเห็นมีจุดดำ
ตรงกลางเพราะปากรูขุมขนขยาย มักกดออกได้ง่าย

2. สิวอักเสบ มีหลายแบบ เช่น ตุ่มหนอง บวมแดง ไตแข็ง ถุงน้ำ


สาเหตุของสิว
1. ฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) ที่หลั่งออกมามากขึ้น ในช่วงเข้าสู่วัยรุ่น มากระตุ้นต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง ให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นและคั่งค้างอยู่ ในต่อมไขมัน

2. เชื้อแบคทีเรีย P.acne ที่อาศัยในรูขุมขน จะเปลี่ยนน้ำมัน เป็นกรดไขมัน ทำให้เกิดการระคายเคือง จึงมีการหลุดลอกของเซลในรูขุมขนบริเวณนั้นมากขึ้น จนรวมตัวกันกลายเป็นสิวอุดตัน

3. สารเคมี เช่น เครื่องสำอาง สบู่ที่มีฟองมาก ครีมบำรุง ยาทาแก้แพ้ แก้ฝ้าที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ น้ำมันใส่ผม สารเหล่านี้ สามารถซึมเข้าไปในรูขุมขนและรบกวนบริเวณต่อมไขมันทำให้เกิด สิวอุดตันได้ง่าย

4. การรบกวนผิวจากการขัดหน้า บีบสิว แกะเกา ล้างหน้าแรงๆ มักทำให้สิวอุดตันแตกกลายเป็นสิวอักเสบได้ง่าย

5. ความร้อนและรังสีจากแสงแดด ทำให้เกิดสิวอุดตันที่ไม่มีการอักเสบ พบในคนสูงอายุ บริเวณโหนกแก้ม รอบตา

6. ภาวะเครียด อดนอน เจ็บป่วย ก่อนมีรอบเดือน จะทำให้มีการหลั่งของฮอร์โมนที่ทำให้สิวอักเสบมากขึ้น

7. เชื่อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ นอกเหนือจาก P.acne


ภาวะแทรกซ้อนหลังเกิดสิว

1. รอยดำหลังการอักเสบ PIH รอยใหม่สีแดงคล้ำ ต่อมาเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ
2. หลุมสิว เกิดจากการอักเสบรุนแรงหรือการบีบแกะจนทำลายเนื้อเยื่อและสร้างเป็นพังผืดข้างใต้ผิว
3. แผลเป็นนูน มักเกิดจากการสร้างเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้นหลังการอักเสบ โดยเฉพาะบริเวณจมูก คาง กราม ต้นคอ บางคนอาจกลายเป็นคีลอย ซึ่งเป็นแผลเป็นนูนแดงแข็ง ขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารอยเดิม


การรักษาสิว

1. การทายาละลายสิว และantibioticฆ่าเชื้อสิว

2. การรับประทานยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย พิจารณาตามปริมาณและความรุนแรงของสิว ภายใต้การดูแลของแพทย์

3. กรณีสิวปริมาณมาก อักเสบรุนแรง เรื้อรังและผิวมัน อาจให้ทานยากลุ่ม อนุพันธ์กรดวิตามินเอ ภายใต้การดูแลของแพทย์

4. การทำทรีทเมนท์สิวด้วยตัวยาละลายสิว การกดสิวอุดตัน ฉีดสิวอักเสบ มาร์คสิว
การกดสิวอุดตันออกตั้งแต่เนิ่นๆอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ปริมาณสิวลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่กลายเป็นสิวอักเสบ จึงไม่เกิดรอยดำและหลุมตามมา

4. รักษารอยดำโดยการทายาลดรอยดำ และเลเซอร์

5. รักษาหลุมแผลเป็นเพื่อเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน มีหลายวิธี เช่น การทายา, แต้มกรดTCA, microdermabrasion (กรอเกล็ดอัญมณี) เหมาะกับหลุมสิวใหม่ๆ

และการทำ subcission (การตัดพังผืดใต้หลุมสิว), Skin Needling ( ใช้เข็มขนาดเล็ก ), Fractional Laser : Fine Scan สำหรับหลุมลึกที่เป็นมานาน


รอยโรคชนิดอื่นๆที่มักพบบนใบหน้าและมีลักษณะคล้ายสิว แพทย์จะทำการวินิจฉัยเพื่อแยกการรักษา ได้แก่

1. สิวเทียม หรือสิวผด พบได้บ่อย เกิดจากการหนาตัวขึ้นของชั้นหนังกำพร้า เพื่อป้องกันผิวจากการรบกวนจากสารเคมี โฟมล้างหน้าที่มีฟองมาก หรือการขัดถูซับหน้าบ่อยๆ ลักษณะเป็นเม็ดนูนเล็กๆสากๆมือ มักเห่อบริเวณหน้าผากและข้างจมูก ไรผม โดยอาการสำคัญคือตอนเช้า อากาศเย็นๆมักจะยังเรียบอยู่ แต่พอเวลาอากาศร้อนช่วงบ่ายๆ สิวเทียมจะเริ่มเห่อขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากเชื้อยีสต์มักเจริญได้ดีในบริเวณที่มีความมันสูงๆ

2. สิวข้าวสาร หรือ Milia เป็นcystเล็กๆในชั้นหนังกำพร้า เกิดจากการรบกวนผิว เป็นเม็ดนูนแข็งสีขาวมักพบรอบตา แก้ม ไม่กลายเป็นสิวอักเสบ พบในเด็กและวัยรุ่นได้บ่อย หรือพบบริเวณอื่นๆหลังจากการหายของแผล โดยเฉพาะแผลจากการโดนความร้อน รักษาโดยการเลเซอร์ออก

3. สิวหิน คือเนื้องอกของต่อมเหงื่อ พบเป็นเม็ดนูนสีเนื้อหรือน้ำตาลอ่อน บริเวณใต้ตา อาจพบร่วมกับสิวข้าวสารในบริเวณเดียวกัน มักเริ่มขึ้นตั้งแต่วัยรุ่น เกิดจากพันธุกรรม มักไม่หายขาด รักษาโดยการเลเซอร์ออก ส่วนการแต้มกรดTCAจะช่วยให้ยุบลงชั่วคราว ควรปล่อยไว้เนื่องจากการรักษา มักทำให้เกิดรอยดำหลังจากเลเซอร์

4. ต่อมไขมันโต เป็นเม็ดนูนสีเหลือง มีรอยบุ๋มตรงกลาง มักพบที่หน้าผาก แก้ม เริ่มขึ้นในวัยกลางคน โดยเฉพาะคนที่มีผิวมัน รักษาโดยการเลเซอร์ออก ส่วนการแต้มกรดTCAจะช่วยให้ยุบชั่วคราว

5. สิวเสี้ยน เป็นกลุ่มเส้นขนที่คั่งค้างในรูขุมขนรวมกับขี้ไคล มักพบบริเวณจมูก ข้างจมูก คาง รักษาโดยการทายาละลายสิวเสี้ยน ทำเลเซอร์ และลอกสิวเสี้ยนออก

6. กระเนื้อ ติ่งเนื้อ เป็นเม็ดนูนสีน้ำตาล กระจายทั่วหน้า ลำคอ เกิดจากแสงแดด วัย และพันธุกรรม รักษาโดยการเลเซอร์ออก หลังการรักษา ควรทายา และครีมกันแดด เพื่อป้องกันการขึ้นซ้ำ

7. ฝี เป็นการติดเชื้อในรูขุมขน เป็นตุ่มแดง แข็ง กดเจ็บ ปวดมาก ต่อมากลายเป็นหนองแตกออก รักษาโดยการเจาะระบายหนองออก ร่วมกับรับประทานยาปฏิชีวนะ




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2554 7:31:34 น.
Counter : 1105 Pageviews.  


Aesthetic_doctor
Location :
ซอยถนนรางน้ำ พญาไท Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




users online