"" สายฝัน @ SAYPHON~SAY-PHONE @ สายฝน ""
Google
Group Blog
 
All blogs
 

การเงินสหรัฐป่วน!หลังเจรจาเลห์แมนฯล้ม/กรุงเทพธุรกิจ

การเงินสหรัฐป่วน หลังบาร์เคลย์สของอังกฤษที่เคยเป็นตัวเก็งเข้าเทคโอเวอร์กิจการเลห์แมนฯ ประกาศถอนตัว ส่งผลบริษัทใกล้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย "กรีนสแปน"เตือนสถาบันการเงินสหรัฐล้มเป็นลูกโซ่
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : รายงานข่าวเปิดเผยยว่า ขณะนี้ระบบการเงินสหรัฐกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยบริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจขนาดใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ ใกล้ประสบภาวะล้มละลาย หลังธนาคารบาร์เคลย์สของอังกฤษที่เคยเป็นตัวเก็งในการเข้าเทคโอเวอร์กิจการเลห์แมน ประกาศถอนตัวออกจากการเจรจาแล้ว
ขณะที่บริษัทเมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค อิงค์ประกาศขายกิจการให้แก่ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป
นอกจากนี้ บริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (AIG) ซึ่งเป็นบริษัทประกันก็อาจจะขายสินทรัพย์จำนวนมาก
ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เช้าวันนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาตรการฉุกเฉินเพื่อกระตุ้นสภาพคล่อง เพื่อป้องกันมิให้ภาวะวิกฤติตลาดลุกลามออกไปจากการล้มละลายของเลห์แมน ขณะที่วิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อดำเนินมานาน 13 เดือน และตลาดที่อยู่อาศัยตกต่ำลงอย่างรุนแรง
เมื่อวานนี้ ตลาดมุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ว่า การเจรจาระหว่างธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), กระทรวงการคลังสหรัฐ และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ กับธนาคารชั้นนำของสหรัฐอาจส่งผลให้มีการขายกิจการเลห์แมนหรือไม่
อย่างไรก็ดี การเจรจาประสบความล้มเหลวในเวลาต่อมา เมื่อธนาคารบาร์เคลย์สประกาศถอนตัวจากการเสนอซื้อหุ้นเลห์แมน
ข่าวเลห์แมนกดดันราคาสัญญาล่วงหน้าดัชนีหุ้นสหรัฐให้ทรุดตัวลงอย่างรุนแรงเช้าวันนี้โดยดัชนี ดาวโจนส์ล่วงหน้าดิ่งลง 290 จุด แตะ 11,168 ส่วนดัชนี S&P 500 ล่วงหน้ารูดลง 36.40 จุด สู่ 1,222.10 ส่วนดอลลาร์สหรัฐร่วงลงในการซื้อขายช่วงเช้าที่ตลาดนิวซีแลนด์
ทางด้านยูโรพุ่งขึ้นสู่ 1.4306/1.4310 ดอลลาร์ ณ เวลา 05.14 น.ตามเวลาไทยในวันนี้เทียบกับ 1.4225 ดอลลาร์ในการซื้อขายช่วงท้ายตลาดสหรัฐวันศุกร์
หลังจากบาร์เคลย์สถอนตัวออกไปได้ไม่กี่ชั่วโมง หนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทมส์ก็รายงานว่า เมอร์ริล ลินช์ตกลงขายกิจการให้แบงก์ ออฟ อเมริกาในราคาหุ้นละ 29 ดอลลาร์
หลังจากนั้น หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลก็รายงานว่า AIG อาจขายสินทรัพย์บางส่วน ซึ่งรวมถึงขายกิจการเปิดให้เช่าเครื่องบิน ซึ่งเป็นกิจการที่ทำกำไรได้ดี โดย AIG เคยครองตำแหน่งบริษัทประกันที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลกก่อนที่ราคาหุ้น AIG จะดิ่งลงเมื่อเร็วๆนี้
"กรีนสแปน"เตือนสถาบันการเงินในสหรัฐล้มเป็นลูกโซ่
นายอลัน กรึนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เขาคาดว่าจะมีสถาบันการเงินขนาดใหญ่อีกหลายแห่งที่จะเผชิญกับภาวะล้มละลายขณะที่โอกาสที่สหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นมีไม่ถึง 50 %
คำกล่าวของนายกรีนสแปนมีขึ้น ขณะที่บริษัทเลห์แมน บราเธอร์สซึ่งเป็นวาณิชธนกิจขนาดใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ ใกล้ประสบภาวะล้มละลายหลังธนาคารบาร์เคลย์สของอังกฤษที่เคยเป็นตัวเก็งในการเข้าเทคโอเวอร์กิจการเลห์แมน ประกาศถอนตัวออกจากการเจรจาแล้ว และบริษัทเมอร์ริลลินช์ แอนด์ โค อิงค์ประกาศขายกิจการให้แก่ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาคอร์ป นอกจากนี้ บริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (AIG) ก็อาจทำการขายสินทรัพย์จำนวนมาก
"จะขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนี้จะมีการจัดการอย่างไร และจะมีการขายกิจการอย่างไร" นายกรีนสแปนกล่าวกับรายการ โThis Weekโ ของ ABC
"และเราไม่ควรจะพยายามเข้าปกป้องสถาบันการเงินทุกแห่งโดยเป็นเรื่องธรรมดาของการเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินที่จะต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ"
นอกจากนี้ นายกรีนสแปนยังกล่าวว่า เป็นแนวคิดที่แย่มากในการจำกัดการทำช็อตเซล แม้ว่าหุ้นในสถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น เลห์แมน บราเธอร์สและอเมริกันอินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป ได้ปรับตัวย่ำแย่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ในเดือนก.ค. คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ(ก.ล.ต.) ได้ออกกฎฉุกเฉินชั่วคราวเพื่อระงับการขายช็อตเซลในหุ้นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ 19 แห่ง ซึ่งรวมถึงเลห์แมนและสมาคมการจำนองแห่งชาติของรัฐบาลกลาง(แฟนนี เม) และบรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง (เฟรดดี แมค) ซึ่งต่อมาได้ถูกรัฐบาลเข้าเทคโอเวอร์กิจการ
คำสั่งฉุกเฉินของก.ล.ต.ได้สิ้นสุดลงเมื่อกลางเดือนส.ค. และคาดว่าจะไม่มีการกำหนดกฎระเบียบดังกล่าวอีกครั้งสำหรับสถาบันการเงินทั้ง 19 แห่งหรือบริษัทอื่นๆ ในตลาด
สำหรับในประเด็นที่ว่ารัฐบาลควรช่วยเหลือเลห์แมนในแบบเดียวกับที่ช่วยเหลือแบร์ สเติร์นส์หรือไม่นั้น นายกรีนสแปนกล่าวว่ารัฐบาลกำลังพยายามดำเนินการในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เฟดและนายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐช่วยเจพี มอร์แกนในการเข้าเทคโอเวอร์แบร์ สเติร์นส์ โดยให้สัญญาที่จะจัดสรรสภาพคล่อง 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อดูดซับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
เลห์แมนฯเตรียมยื่นฟ้องพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย
บริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ อิงค์ แถลงวันนี้ว่า ทางบริษัทเตรียมยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอรับการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย แต่การยื่นเรื่องตามมาตรา 11 ในครั้งนี้ไม่ได้รวมกิจการโบรกเกอร์-ดีลเลอร์ และกิจการแผนกอื่นๆ ซึ่งรวมถึงนอยเบอร์เกอร์ เบอร์แมน
ขณะนี้เลห์แมนอยู่ในระหว่างการพิจารณาขายกิจการโบรกเกอร์-ดีลเลอร์ และยังคงอยู่ในระหว่างการเจรจาขั้นคืบหน้ากับผู้สนใจหลายรายที่มีแนวโน้มซื้อแผนกจัดการการลงทุนของเลห์แมน
การล้มละลายในครั้งนี้หมายถึงการปิดฉากของเลห์แมนที่มีอายุ 158 ปี โดยบริษัทไม่สามารถอยู่รอดได้ภายใต้ภาวะสินเชื่อหดตัวทั่วโลกในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าทางบริษัทเคยรอดพ้นจากสงครามโลก 2 ครั้ง และผ่านพ้นเหตุการณ์การล้มละลายของบริษัทลอง เทิร์ม แคปิตัล แมเนจเมนท์
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนได้แสดงความกังวลต่อการที่เลห์แมนถือครองหลักทรัพย์มูลค่า 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสินทรัพย์และสัญญาจำนอง รวมทั้งกังวลกับอันดับความน่าเชื่อถือของเลห์แมน และความสามารถในการระดมทุน
คาดพิษ"เลห์แมน"ถล่มหุ้นยุโรปเปิดตลาดร่วงหนักวันนี้
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปจะเปิดตลาดร่วงหนักในวันนี้หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ อิงค์ ระบุว่ากำลังยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษ จะเปิดตลาดร่วงลง 102-106 จุด หรือมากถึง 2 %, ดัชนี DAX ของเยอรมนี จะดิ่งลง 130-163จุด หรือมากถึง 2.6 % และดัชนี CAC-40 ของฝรั่งเศส จะเปิดตลาดรูดลง 122-140 จุด หรือมากถึง 3.2 %
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้น FTSEurofirst 300 ปิดปรับตัวขึ้น 1.9 % เมื่อวันศุกร์
ลือเฟดลดดบ.พรุ่งนี้แก้วิกฤติ"เลห์แมน"
ดอลลาร์ดิ่งลงในการซื้อขายที่ตลาดเอเชียวันนี้ ในขณะที่บริษัทเลห์แมน บราเธอร์สประกาศว่าจะยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอรับการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย ซึ่งข่าวดังกล่าวได้กระตุ้นความกังวลในเสถียรภาพของระบบการเงินสหรัฐ รวมทั้งทำให้เกิดข่าวลือว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ สัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐในขณะนี้บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ 70 % ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25 % ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันพรุ่งนี้ และตลาดปรับตัวรับความเป็นไปได้ 100 % ที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25 % ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 16 ธ.ค.
มีแนวโน้มว่าวันนี้อาจเป็นวันที่เยนพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2002 ในขณะที่นักลงทุนมองว่าเยนเป็นสกุลเงินที่มีความปลอดภัยสูง ถึงแม้ปริมาณการซื้อขายอยู่ในระดับเบาบางเนื่องจากเป็นวันหยุดของญี่ปุ่น
ดอลลาร์ดิ่งลง 2.3 % สู่ 105.45 เยนในวันนี้ จาก 107.86 เยนในวันศุกร์ ในขณะที่ยูโรร่วงลงสู่ 152.26 เยน จาก 153.43 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.4479 ดอลลาร์ โดยพุ่งขึ้น 1.7 % จากวันศุกร์
เฟดได้ประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินวันนี้เพื่อลดความกังวลในตลาดการเงิน และผ่อนคลายปัญหาใดๆในตลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการล้มละลายของเลห์แมน
หนึ่งในมาตรการสำคัญที่สุดของเฟดคือการยอมรับหลักทรัพย์ในฐานะสินทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมเงินสดในโครงการปล่อยกู้พิเศษของเฟด โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 95 ปีที่เฟดอนุญาตให้ทำเช่นนี้
นายวี. อนันธา นาเกสวาราน หัวหน้าฝ่ายวิจัยการลงทุนของธนาคารแบงก์ จูเลียส แบเออร์ กล่าวว่า "ในอนาคตเฟดจะไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้อีกต่อไป และมาตรการชุดใหม่ล่าสุดนี้ก็ทำให้เฟดใกล้ที่จะถึงจุดดังกล่าวและสิ่งนี้ส่งผลลบต่อดอลลาร์สหรัฐ"
"การพุ่งขึ้นของดอลลาร์ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนโดยการปรับตัวขึ้นดังกล่าวเกิดจากการที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งปิดสถานะการลงทุนระยะสั้น และจากการที่นักลงทุนเข้าใจผิดว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐได้ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว"
ราคาสัญญาล่วงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันนี้ ในขณะที่ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องเลห์แมน หลังจากการเจรจาเพื่อกอบกู้กิจการวาณิชธนกิจแห่งนี้ประสบความล้มเหลว นอกจากนี้
สื่อมวลชนยังรายงานว่า AIG ซึ่งเป็นบริษัทประกันกำลังหาทางระดมทุนฉุกเฉิน
เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์แถลงในวันนี้ว่า ทางบริษัทจะยื่นเรื่องขอรับการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลายต่อศาลนิวยอร์ค แต่กิจการโบรกเกอร์-ดีลเลอร์ทุกแห่งในเครือเลห์แมนไม่ได้รวมอยู่ในการยื่นเรื่องล้มละลายครั้งนี้เนื่องจากบริษัทมีแผนขายกิจการดังกล่าว
มีข่าวออกมาอีกด้วยว่า ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ปได้ตกลง ที่จะซื้อบริษัทเมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค อิงค์ในวงเงิน 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ธนาคารยักษ์ใหญ่ 10 แห่งของโลกเห็นพ้องที่จะจัดตั้งกองทุนวงเงิน 7 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2.4 ล้านล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทั่วโลก และลดความผันผวนในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็น"ภาวะแวดล้อมตลาดที่ผิดจากธรรมดา"
นายบิล กรอส ประธานกองทุนพิมโค ที่เป็นกองทุนพันธบัตรยักษ์ใหญ่ กล่าวกับรอยเตอร์ก่อนการประกาศของเลห์แมนว่า การยื่นเรื่องล้มละลายอาจจุดชนวนให้เกิดกระแสการปิดสถานะการลงทุนทั่วโลก
นายกรอสกล่าวว่า "เลห์แมนจะยื่นเรื่องล้มละลาย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบขนาดยักษ์ในทันที ถ้าหากดีลเลอร์, เฮดจ์ฟันด์ และฝ่าย buyside ปิดสถานะการลงทุนทั่วโลกในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์และสัญญาสวอป"
ตลาดวอลล์สตรีทได้เปิดการซื้อขายรอบฉุกเฉินเมื่อวานนี้เพื่อนุญาตให้ดีลเลอร์ในตลาดตราสารอนุพันธ์ที่มีขนาด 455 ล้านล้านดอลลาร์สามารถปรับลดการลงทุนในเลห์แมน อย่างไรก็ดี ปริมาณการซื้อขายอยู่ในระดับเบาบาง
นักวิเคราะห์กล่าวว่า มีความไม่แน่นอนสูงมากในตลาด และธนาคารกลางที่สำคัญก็อาจจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อลดความกังวลในตลาด ขณะที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันพรุ่งนี้
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ระบุว่าทางธนาคารกำลังจับตาดูความคืบหน้าในตลาดการเงิน ขณะที่ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และหน่วยงานของประเทศอื่นๆ
นายโทนี มอร์ริส นักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินของธนาคาร ANZ กล่าวว่า "มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสำคัญพร้อมที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมเข้าสู่ตลาด แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ว่าธนาคารกลางเหล่านี้สามารถดำเนินการเพิ่มเติมอย่างไรได้อีกบ้าง"
"เฟดอาจจะออกแถลงการณ์ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดหลังจากประชุมเสร็จแล้ว และผมคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ถึงแม้มีความเป็นไปได้น้อย"
สัญญายูโรดอลลาร์ระยะ 3 เดือนมีราคาพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยสัญญาเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 0.245 สู่ 97.31 ในขณะที่สัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในเดือนธ.ค.
นายฌอน แคลโลว์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของธนาคารเวสท์แพค กล่าวว่า "ถ้าหากตลาดยกเลิกการคาดการณ์ที่ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของเฟดจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ย ก็จะเท่ากับว่ามีคำสั่งขายยูโร/ดอลลาร์เข้ามาในตลาดมากเกินไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้"
ดอลลาร์ร่วงลงสู่ 1.1107 ฟรังก์สวิส จาก 1.1306 ฟรังก์สวิสในช่วงท้ายวันศุกร์ ส่วนปอนด์พุ่งขึ้นสู่ 1.8040 ดอลลาร์ จาก 1.7946 ดอลลาร์

ที่มา//www.bangkokbiznews.com/2008/09/15/news_294511.php



ระวังการช้อนหุ้นและทอง มันลงได้อีก




 

Create Date : 15 กันยายน 2551    
Last Update : 15 กันยายน 2551 20:51:10 น.
Counter : 401 Pageviews.  

สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดท่านนายก สุรยุทธ

วันกิดครบรอบ 65ปี "บิ๊กแอ้ด" อยากให้บ้านเมืองสงบ
พล.อ.สุรยุทธ์ จะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่าอยากให้ทุกคนช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข
วันนี้ (28 ส.ค.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเช้านี้คึกคักเป็นพิเศษ เนื่องในวันนี้ 28 สิงหาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี สื่อมวลชนประจำทำเนียบฯ จึงได้เข้ามอบดอกกุหลาบและร้องเพลงอวยพรวันเกิด ก่อน พล.อ.สุรยุทธ์ จะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ไม่อยากได้ของขวัญอะไรเป็นพิเศษ แต่อยากให้ทุกคนช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุขเนื่องจากเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ตนเองก็ปรารถนาด้วย
หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมอวยพรวันเกิดแด่นายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ได้มีตัวแทนโครงการจักรยานเสือภูเขา 5 แผ่นดินลุ่มแม่น้ำโขง 81 วัน เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ที่มอบเหรียญที่ระลึกโครงการให้กับนายกรัฐมนตรี พร้อมกับร่วมร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับนายกรัฐมนตรี หลังทราบข้อมูลจากสื่อมวลชน ขณะเดียวกันสื่อมวลชนบางส่วนก็ได้ร่วมร้องเพลงด้วย และมอบดอกไม้ให้กับนายกรัฐมนตรีด้วย.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

โดย :พังจูดี้ (สมาชิก) โพส teeneeเมื่อ [ วันอังคาร ที่ 28 สิงหาคม 2550 เวลา 10:50 น.]


ขอพรท่านสมหวังทุกประการจะส่งผลถึงคนไทยตาดำๆทุกคนด้วย




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2550    
Last Update : 28 สิงหาคม 2550 20:28:12 น.
Counter : 282 Pageviews.  

ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กเสี่ยงตับไตพัง เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อ

ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัย เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อ
โดยเฉพาะเส้นเล็ก เส้นหมี่ เสี่ยงตับไตพัง เผยบะหมี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัดจนต้องใส่สารกันบูดจำนวนมาก
เส้นก๋วยเตี๋ยวที่เป็นที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายนั้น ล่าสุดมีผลวิจัยออกมาว่า
มีการใช้สารกันบูดเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งส่งผลต่อตับและไตของผู้บริโภค เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ที่อาคารอิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี ในการประชุมวิชาการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2550 มีการนำเสนอผลการวิจัย “ความปลอดภัยในเส้นก๋วยเตี๋ยว ในเขตภาคอีสาน” ซึ่งดำเนินการวิจัยโดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เขต 14
ภญ.วรวิทย์ กิตติวงสุนทร ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี กล่าวว่า
ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง จากก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการมีการเติมสารกันบูด หรือสารกันเสียเพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยวทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง ดังนั้น คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี กล่าวว่า
ตอนแรกมีการสำรวจเฉพาะใน จ.อุบลราชธานี พบว่าใช้กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิกในปริมาณเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จึงสำรวจในพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติม โดยเก็บตัวอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีแหล่งผลิตและจำหน่ายในเขต 14 ได้แก่ จ.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร และศรีสะเกษ ระหว่างเดือนมีนาคม-กันยายน 2549 จำนวน 92 ตัวอย่าง แบ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก เส้นใหญ่ 11 ตัวอย่าง เส้นหมี่ 3 ตัวอย่าง เส้นบะหมี่ 8 ตัวอย่าง กวยจั๊บเส้นใหญ่ 5 ตัวอย่าง กวยจั๊บเส้นเล็ก 4 ตัวอย่าง วุ้นเส้นและวุ้นเส้นสด 24 ตัวอย่าง บะหมี่โซบะ 2 ตัวอย่าง เส้นแก้ว 1 ตัวอย่าง หมี่ซั่ว 3 ตัวอย่าง หมี่เตี๊ยว 2 ตัวอย่าง บะหมี่หยก 4 ตัวอย่าง บะหมี่ฮกเกี้ยนดิบ 1 ตัวอย่าง ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้ง 4 ตัวอย่าง เส้นใหญ่แห้ง 2 ตัวอย่าง และก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ 3 ตัวอย่าง
ภก.วรวิทย์ กล่าวต่อว่า
ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากล พบตัวอย่างเกินเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 34 ตัวอย่าง ในตัวอย่างก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก 12 ตัวอย่าง เส้นใหญ่ 9 ตัวอย่าง เส้นหมี่ 3 ตัวอย่าง กวยจั๊บเส้นใหญ่ 5 ตัวอย่าง กวยจั๊บเส้นเล็ก 4 ตัวอย่าง และบะหมี่โซบะ 1 ตัวอย่าง โดยก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กพบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และพบว่าเป็นตัวอย่างจากแหล่งผลิตภาคอีสานจำนวน 26 ตัวอย่าง และแหล่งผลิตนอกภาคอีสานจำนวน 8 ตัวอย่าง ทุกตัวอย่างไม่พบกรดซอร์บิกแต่อย่างใด
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กพบปริมาณกรเบนโซอิกสูงสุด 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
รองลงมาเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม กวยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม กวยจั๊บเส้นเล็ก 6,305 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม” ภก.วรวิทย์ กล่าว

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


โดย :พังจูดี้ (สมาชิก) โพสเมื่อ [ วันอังคาร ที่ 28 สิงหาคม 2550 เวลา 08:24 น.]

บรึ๋ยส์...หง่ะ ชอบกินเต๊ยวเส้นเล็กด้วยจิโดนไปกี่ ppm แล้วนิ




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2550    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2550 15:30:05 น.
Counter : 314 Pageviews.  

โนเกียเตือนภัยแบตเตอรี่เสี่ยงร้อนจัด นักวิเคราะห์คาดเสียหาย100ล้านยูโร

โนเกียออกประกาศเตือนภัยผู้ใช้โทรศัพท์มือถือโนเกีย 46 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ใช้แบตเตอรี่รุ่น BL-5C ฝีมือการผลิตของมัตสุชิตะ ประเทศญี่ปุ่นช่วงเดือนธันวาคม 2548 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2549 ระบุว่าได้รับร้องเรียนการเกิดปัญหาร้อนจัดขณะชาร์จไฟราว 100 กรณี ยังไม่มีกรณีใดเป็นอุบัติเหตุร้ายแรง ผู้ใช้สามารถนำแบตเตอรี่ในชุดการผลิตดังกล่าวมาเปลี่ยนใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และแม้มัตสึชิตะในฐานะผู้ผลิตจะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนการแลกคืน แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจสร้างความเสียหายให้โนเกียสูงถึง 100 ล้านยูโร

"โนเกียพบว่าแบตเตอรี่โนเกียรุ่น BL-5C ในชุดการผลิตดังกล่าว มีโอกาสที่จะเกิดความร้อนสูงกว่าปกติในขณะชาร์จไฟ ซึ่งเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร" โนเกีย (Nokia) ระบุในจดหมายชี้แจง โดยระบุว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับแบตเตอรี่ทุกชิ้นในชุดการผลิตนี้ เนื่องจากการทดสอบเบื้องต้นพบว่าบางกรณีมีความเป็นไปได้ในการเกิดปัญหาน้อยมาก และขณะนี้โนเกียกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อหาต้นเหตุของปัญหาดังกล่าว

"เหตุการณ์ผิดปกติที่ได้รับแจ้งมีเพียง 100 กรณีและเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะกำลังชาร์จแบตเตอรี่ และเท่าที่โนเกียทราบในขณะนี้ ความผิดปกติดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่อย่างใด"

โนเกียย้ำว่าแบตเตอรี่รุ่น BL-5C นั้นไม่ได้ใช้กับโทรศัพท์มือถือโนเกียทุกรุ่น แต่ใช้ได้กับบางรุ่นเท่านั้น และคำเตือนนี้ครอบคลุมเฉพาะแบตเตอรี่จำนวน 46 ล้านก้อนของมัตสึชิตะ ไม่ครอบคลุมถึงแบตเตอรี่ยี่ห้อโนเกียและแบตเตอรี่ BL-5C จำนวนมากกว่า 300 ล้านก้อนที่ผลิตโดยบริษัทอื่น โดยระบุในจดหมายชี้แจงว่าแม้โอกาสเกิดปัญหาแบตเตอรี่ BL-5C ของมัตสุชิตะในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีจำนวนน้อยมาก แต่หากลูกค้าท่านใดเป็นกังวลสามารถขอเปลี่ยนแบตเตอรี่ BL-5C ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

วิธีการตรวจสอบว่าแบตเตอรี่ใดคือรุ่น BL-5C ที่ผลิตโดยมัตสุชิตะระหว่างเดือนธันวาคม 2548 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2549 ถูกระบุไว้อย่างละเอียดในเว็บไซต์ //www.nokia.com/batteryreplacement หรือติดต่อโนเกีย คอล เซ็นเตอร์เพื่อรับรายละเอียดเพิ่มเติม

ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ส เชื่อว่าการแลกคืนแบตเตอรี่ครั้งนี้จะส่งผลต่องบการเงินโนเกียแน่นอนแม้ว่ามัตสึชิตะ (Matsushita) จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้ง่ายในการแลกคืนโดยรวม

เสียหายร้อยล้านยูโร

จุดนี้ริชาร์ด วินด์เซอร์ (Richard Windsor) นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยโนมุระ (Nomura) คาดการณ์ว่าการแลกคืนครั้งนี้อาจทำให้โนเกียเสียประโยชน์สูงสุดถึง 100 ล้านยูโร เนื่องจากยังมีต้นทุนอื่นๆที่นอกเหนือความรับชอบของซัปพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วน ขณะที่การ์ทเนอร์ (Gartner) คาดว่าต้นทุนการแลกคืนแบตเตอรี่จะอยู่ที่ราว 4 เหรียญสหรัฐต่อชิ้น

สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์ในเรื่องความเสียหายต่อแบรนด์โนเกียนั้นแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมองว่าจะไม่มีผลทั้งกับแบรนด์โนเกีย และแบรนด์คู่แข่งอย่างซัมซุง โมโตโรลา หรือแอลจี แต่อีกฝ่ายมองว่าแบรนด์โนเกียจะเสียหายมากในแง่ของความเชื่อถือของผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สุดของโนเกีย

โนเกียให้ข้อมูลว่า แบตเตอรี่ BL-5C เป็นหนึ่งในแบตเตอรี่จำนวน 14 รุ่นที่ใช้กับผลิตภัณฑ์โนเกีย สำหรับมัตสุชิตะนั้นเป็นหนึ่งในซัปพลายเออร์สามรายที่ผลิตแบตเตอรี่รุ่น BL-5C ให้กับโนเกีย รายงานของรอยเตอร์สระบุว่ายังไม่มีรายงานการเกิดปัญหาแบตเตอรี่มัตสุชิตะในโทรศัพท์มือถือแบรนด์อื่นๆในขณะนี้
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2550 14:18 น.


รูปที่เห็นเป็น ตัวอย่างแบตเตอรี่รุ่น BL-5C เจ้าปัญหาฝีมือการผลิตของมัตสุชิตะ วิธีตรวจสอบขั้นแรกคือถอดแบตเตอรี่ออกจากตัวเครื่อง หากเห็นคำว่า “Nokia” และ “BL-5C” ปรากฏอยู่ด้านหน้า ให้สังเกตหมายเลขแบตเตอรี่จำนวน 26 หลักด้านล่าง เพื่อตรวจสอบว่าแบตเตอรี่ชิ้นนั้นผลิตในช่วงธันวาคม 2548 ถึงพฤศจิกายน 2549 หรือไม่ หากแบตเตอรี่อยู่ในชุดการผลิตดังกล่าว โนเกียระบุว่าลูกค้าสามารถขอเปลี่ยนแบตเตอรี่ทดแทนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2550    
Last Update : 17 สิงหาคม 2550 18:00:46 น.
Counter : 624 Pageviews.  

ไทยแบล็คลิสต์“ผัก-ผลไม้”จีน

เอฟทีเอไทยจีนสำแดงฤทธิ์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประกาศขึ้นบัญชีดำ “ผัก-ผลไม้” จากจีน หลังตรวจพบบ๊วยจีน เยื่อไผ่แห้ง เห็ดหูหนูขาว เต้าหู้ยี้สารปนเปื้อนอื้อ ทั้งตะกั่ว ปรอท สารก่อมะเร็ง หวั่นเล็ดลอดเข้าทางด่านเล็ก เตรียมประสานทุกฝ่ายเฝ้าระวังเข้ม สุ่มตรวจห้างสรรพสินค้าชายแดน

วานนี้ (16 ส.ค.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การเปิดตลาดการค้าเสรี (FTA) ของไทยกับจีน ทำให้มีการนำเข้าและส่งออกสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ที่บริเวณด่านนำเข้าสินค้าที่เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่ง จ.เชียงราย มีพื้นที่ติดต่อกับลาว พม่า และมีเส้นทางการค้าที่สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศจีนตอนใต้ ทำให้เป็นช่องทางในการส่งออกและนำเข้าสินค้าที่สำคัญจากประเทศจีน (เชียงรุ้ง) เข้าสู่ประเทศไทย

ดังนั้นจึงได้มีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพอาหารนำเข้า โดยเฉพาะสินค้านำเข้าหลักเป็นประเภทอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ ผักและผลไม้สด เห็ดหอมแห้ง กระเทียมแห้ง ผงบุก แป้งสาลี หัวนมผง ผลไม้แปรรูป เมล็ดทานตะวัน เมล็ดแตงโม เมล็ดฟักทอง

ทั้งนี้ ข้อมูลจากด่านอาหารและยาเชียงแสน จ.เชียงราย พบว่า การตรวจอาหารนำเข้า ตั้งแต่ปี 2547-2550 มีการสุ่มตัวอย่างจำนวน 11,473 ตัวอย่าง พบปัญหาต่างๆ ได้แก่ สารตกค้างจากยาฆ่าแมลง ในผักกาดขาว ลูกแพร์ ผักสลัด คะน้า ผักปวยเล้ง รากบัว แครอท เซอร์รารี่ นอกจากนั้น ยังพบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ปริมาณสูงในผักแห้ง เช่น ดอกไม้จีน เห็ดหูหนูขาว เยื่อไผ่แห้ง ดอกเก๊กฮวยแห้ง สตรอเบอร์รีในน้ำเกลือ รวมทั้งพบสีสังเคราะห์ ทั้งชนิดที่ไม่อนุญาตให้ใช้ เช่น Allura red, Quinolene Yellow ในลูกอมและหมากฝรั่ง เครื่องดื่มบรรจุภาชนะปิดสนิท ช็อกโกแลต เป็นต้น และสีที่อนุญาตให้ใช้แต่ใช้ในปริมาณสูงกว่าเกณฑ์กำหนด

ขณะเดียวกัน ก็พบการปนเปื้อนของสารให้ความหวานแทนน้ำตาล (ซัคคารีน) ในผลไม้แห้ง เช่น บ๊วยแห้ง เปลือกส้มแห้ง กิมจ้อ ผลเบย์ปรุงรส พลัม , สารอะฟลาทอกซินในอาหารแห้ง เช่น Pop corn พริกแห้ง และพบสารปรอทเกินมาตรฐานกำหนด ในหัวปลาเก๋า ปลาดาบ เนื้อปลาทูน่า ปลาหมึกแห้ง เห็ดหอม เยื่อไผ่แห้ง,ตะกั่วเกินมาตรฐานกำหนด ในหูฉลามแห้ง สาหร่าย ปรุงรส ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เห็ดหูหนูแห้ง, คลอแรมฟินิคอล ในนมแพะผง Bacillus cereus ในนมดัดแปลงสำหรับทารก อาหารสำเร็จรูป (อูด้ง เต้าเจี้ยว) สิ่งปรุงแต่งอาหาร เต้าหู้ยี้ น้ำผึ้ง และยังพบเชื้อราในเครื่องดื่มบรรจุภาชนะปิดสนิท องุ่นดองเค็มด้วย ซึ่งสารตกค้างที่ตรวจพบในผักและผลไม้ หากเข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดปัญหาระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท และเมื่อสะสมเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

“ต้องยอมรับว่า การผลิตของจีนมีปัญหาในเรื่องมาตรฐาน เพราะค่าแรงของจีนถูกมาก ทุกบริษัทจึงพยายามไปตั้งบริษัทในจีนแล้วส่งไปขายทั่วโลก สำหรับไทยปัญหาหลัก ก็คือ สินค้านำเข้าจากจีนส่วนใหญ่เป็นผัก สด ผลไม้ ทำให้เก็บกักนานไมได้ จึงต้องใช้วิธีตรวจคัดกรองคร่าวๆ ถ้าตรวจพบจะส่งมาตรวจยืนยันที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงรายหากผลยังยืนยันเป็นลบก็จะให้ส่งสินค้ากลับหรือทำลาย ซึ่งที่ผ่านมาพบสารตกค้างยาฆ่าแมลงและสารอื่นๆในผักผลไม้จากจีนมากที่สุด”นพ.ไพจิตร์ กล่าว

นพ.ไพจิตร กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เป็นห่วงเกรงว่าจะมีการเล็ดลอดของผัก และผลไม้ผ่านทางด่านตรวจสินค้าขนาดเล็ก และการที่ไทยตรวจพบสารตกค้างในผักผลไม้จีนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยจำเป็นต้องขึ้นบัญชีดำจับตาอาหารนำเข้าจากจีนโดยเฉพาะผักและผลไม้ในเรื่องความไม่ปลอดภัยเป็นพิเศษ จึงจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเฝ้าระวังเข้มงวด
โดย ผู้จัดการรายวัน 17 สิงหาคม 2550 01:05 น.
น่านน่ะสิฉนั้นมากินผลไม้ไทยตามฤดูกาลเหอะ..ถูกด้วยปลอดภัยด้วย




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2550    
Last Update : 17 สิงหาคม 2550 17:56:14 น.
Counter : 882 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

SAYPHON
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add SAYPHON's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.