อาตาปี สัมปชาโน สติมา
 
 

หลวงปู่หล้า ตอบธรรมะ

(รูปจากเนท google)

คำถาม

ได้อ่าน และพบเห็นในหนังสือบางเล่มว่านิพพานอยู่เหนือรูป-นามไกลแสนไกล หากเป็นเช่นนั้นทำไมรูป-นามจึงจะไปถึง และเข้าถึง ตามความเข้าใจของกระผมนิพพาน และรูป-นามเป็นอันเดียวกัน เปรียบดังช้างตัวเดียวก็มีขันธ์ 5 และอายตนะ12 อยู่ในตัวครบทุกประการแล้ว

คำตอบ

การที่หนังสือบางเล่มว่า นิพพานอยู่เหนือรูปเหนือนามไกลแสนไกลอันนั้นก็เป็นการถูกเพราะรูปนามไม่ใช่พระนิพพาน ถึงแม้จิตก็ไม่ใช่พระนิพพานด้วยเหตุนั้นท่านจึงบัญญัติว่า รูป จิต เจตสิกนิพพาน ดังนี้ นิพพานจึงไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่นิพพานแต่อาศัยจิตเป็นทางเดินถึงพระนิพพานเพราะสามารถรวมไตรสิกขาในจิตนั้นได้

แต่ขอให้เข้าใจอีกว่า อย่าไปเข้าใจว่าพระนิพพานเป็นของตั้งอยู่ และไปๆ มาๆ พระนิพพานไม่ได้ตั้งอยู่ เป็นเพียงแต่ว่า "ทรงมีอยู่" และใครเป็นผู้ทรงพระนิพพานก็พระนิพพานเท่านั้นทรงพระนิพพานได้ รูปขันธ์นามขันธ์ย่อมทรงพระนิพพานไม่ได้ ผู้จะถึงพระนิพพานก็ต้องเบื่อหน่ายความหลงของเจ้าตัวที่ไปยึดเอารูปขันธ์นามขันธ์มาเป็นตัว ตน เรา เขา สัตว์ บุคคล ก็คล้ายๆ กับว่าไปกำเอาแดดเอาลมมาเป็นตัวตน เรา เขา แล้วก็ชกมวยกับเงาของตน เป็นความเห็นไม่มีแก่นสารไร้เหตุไร้ผลแต่พระนิพพานทรงนอกเหตุนอกผลเสียแล้ว เพราะเหตุว่าเหนือดีเหนือชั่วไปแล้วเหตุจะทำให้ดีให้ชั่วผลจะรับก็ไม่มีอีกด้วยเพราะเหตุไม่มีผลจะมีมาจากประตูใดเล่า

เอ้า...มรรค 7 เบื้องต้น เว้นอรหัตผลเสีย เหลือนอกนั้นเป็นมรรคและผลโยงกันอยู่ในตัวไม่ขึ้นอยู่กับผู้รู้ และไม่รู้ ไม่ขึ้นอยู่กับผู้เชื่อ และไม่เชื่อ ส่วนอรหัตผลนั้นเป็นผลขาดตอน ไม่เชื่อมมาจากมรรค คือเหตุ ขอให้เข้าใจว่ามรรคก็ดี เหตุก็ดี พืชก็ดี กรรมก็ดี จัดเข้าในฝ่ายเหตุฝ่ายมรรค ส่วนผลของเหตุ ผลของพืช ผลของกรรม ผลของมรรคและผลของกิริยาอีกผลในส่วนนี้มีความหมายอันเดียวกันส่วนไปทางดีทางชั่วแล้ว

แต่เหตุแต่กรรมแต่พืชกิริยาเป็นประมาณ ส่วนผลของสิ่งเหล่านี้ แม้จะปรารถนาหรือไม่ปราถนาก็ได้รับตามส่วนควรค่าของเหตุพืชกรรมดังกล่าวแล้วนั้น จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวไม่เป็นปัญหา และใครจะเป็นผู้รู้ตัว และไม่รู้ตัวเล่า ก็พระสติพระปัญญาเท่านั้นจะรู้ตัว ซึ่งสัมปยุตกันอยู่กับจิต จะว่าสัมปยุตกันอยู่กับวิญญาณก็ถูก เพราะจิตกับวิญญาณนั้นแปลเป็นไทยก็ได้ความว่า "ใจ" อันเดียวเท่านั้น แม้มนัสก็แปลว่าใจ มโนก็แปลว่าใจเป็นต้น

และขอให้เข้าใจว่ารูปและนามไม่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ ผู้ที่ไม่ยึดถือรูปนามว่าเป็นตัว ตน เรา เขา สัตว์ บุคคลนั่นเองจึงจะรู้รสพระนิพพานได้ และขอให้เข้าใจว่าผู้ตาดีย่อมสนเข็มได้ง่าย ผู้ตาฟางก็ตรงกันข้าม ของที่หนักผู้มีกำลังแบกได้ ผู้ไม่มีกำลังก็ตรงกันข้าม เหล่านี้เป็นต้น น้ำมหาสมุทรปลาขาวปลาซิวเขาบอกว่า ลึกมาก ส่วนปลาปิมิงคละเขาก็บอกว่าไม่พอแวกว่ายเสียแล้ว เหล่านี้เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้มันต้องขึ้นอยู่กับบารมีที่สร้างมาแก่กล้า หรือหย่อนกว่ากัน เหตุนั้นจึงมีธรรมรับรองว่า "กัมมุนา วัตตติ โลโก" สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมและผลของกรรมเป็นเบี้ยบำเหน็จบำนาญของสัตว์อยู่ทุกอิริยาบถของใจ ใจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นปัญหา ใจที่อ่อนบารมีย่อมไม่ค่อยจะรู้ตัวได้ง่าย เงากายเป็นของหยาบเงาใจนั้นจะมีแสงสว่างหรือไม่มีก็ติดตามไปทั้งนั้น

เงาของใจนั่นเองที่เรียกว่าผลของกรรม พระอรหันต์ทรงเหนือกรรม และผลของกรรมนั้นไม่สงสัยเลย เพราะเป็นอโหสิกรรมไปแล้ว เป็นอโหสิเหตุก็ว่า อโหสิพืชก็ว่า เอาล่ะคงพอเข้าใจแล้วในเรื่องนี้ ทำไมจึงตอบมาก ถ้าไม่ตอบมากก็เกรงจะสงสัยไป




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2555   
Last Update : 15 ตุลาคม 2555 9:50:20 น.   
Counter : 1158 Pageviews.  


ไม่ดีใจไม่เสียใจคือไม่เกิดไม่ตาย...ปฏิบัติที่จิต ของหลวงพ่อชา สุภัทโท

ไม่ดีใจไม่เสียใจคือไม่เกิดไม่ตาย

ตัวผู้รู้นี้รู้ตามความเป็นจริง ผู้รู้มิได้ดีใจไปด้วยมิได้เสียใจไปด้วย อาการที่ดีใจไปด้วยนั่นแหละเกิดอาการที่เสียใจไปด้วยนั่นแหละ ตายถ้ามันตายก็เกิด ถ้ามันเกิดก็ตาย ตัวที่เกิดตัวที่ตายนั่นแหละเป็นวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่หยุด

เมื่อจิตผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสงสัยภพมีไหมชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร พระศาสดาพิจารณาอาการสังขารเหล่านี้แล้ว จึงได้ปล่อยวางสังขาร วางขันธ์ห้าเหล่านี้เป็นเพียงผู้รับทราบไว้เฉยๆ มันจะดีขึ้นมาท่านก็ไม่ดีกับมัน เป็นคนดูอยู่เฉยๆ ถ้ามันร้ายขึ้นมาท่านก็ไม่ร้ายกับมัน ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้วรู้ตามความเป็นจริง ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดไม่มีตัวนี้ก็เป็นผู้รู้ยืนตัวตัวนี้แหละ เป็นตัวสงบตัวนี้เป็นตัวไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายตัวนี้ มิใช่เหตุมิใช่ผล ไม่อาศัยเหตุไม่อาศัยผลไม่อาศัยปัจจัยหมดปัจจัยสิ้น ปัจจัยนอกเหนือเกิดตาย นอกสุขเหนือทุกข์ นอกดีเหนือชั่ว หมดเรื่องจะพูดไม่มีปัจจัยส่งเสริมแล้ว เรื่องที่เราจะพูดว่าจะติดในสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจิตหรือเจตสิก

ฉะนั้นเรื่องจิตหรือเรื่องเจตสิกนี้ก็เป็นเรื่องมีจริงอยู่เป็นจริงอย่างนั้น แต่พระศาสดาเห็นว่ารู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้ารู้แล้วเชื่อสิ่งเหล่านั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหาความสงบไม่ได้ รู้แล้วท่านให้วางให้ละให้เลิกเพราะจิตเจตสิกนี่เองนำความผิดมาให้เรา นำความถูกมาให้เรา ถ้าเราฉลาดก็นำความถูกมาให้ เราถ้าเราโง่ก็นำความผิดมาให้เรา เรื่องจิตหรือเจตสิกนี้มันเป็นโลก พระศาสดาก็เอาเรื่องของโลกมาดูโลกเมื่อรู้โลกได้แล้ว ท่านจึงว่าโลกวิทูผู้รู้แจ้งโลก เมื่อท่านมาดูสิ่งเหล่านี้จึงเป็นอย่างนี้

ปฏิบัติที่จิต

ฉะนั้น เรื่องสมถะหรือเรื่องวิปัสสนานี้ให้ทำให้เกิดในจิตเสีย ให้เกิดในจิตจริงๆ จึงจะรู้จัก ถ้าไปเรียนตามตำราว่าเจตสิกเป็นอย่างนั้นๆ จิตเป็นอย่างนั้นๆ ก็เรียนได้ แต่ว่าใช้ระงับความโลภความโกรธความหลงของเราไม่ได้ เพราะเรียนไปตามอาการของความโลภความโกรธความหลง ความโลภมีอาการอย่างนั้นๆ ความโกรธมีอาการอย่างนั้นๆ ความหลงมีอาการอย่างนั้นๆ ไปเล่าอาการของมันเท่านั้นก็รู้ไปตามอาการ พูดไปตามอาการ รู้อยู่ฉลาดอยู่แต่ว่าเมื่อมันเกิดกับใจเราจะเป็นไปตามอาการหรือไม่ เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมากระทบมันก็เกิดเป็นอาการขึ้นกับใจเรา เราติดมันไหม เราวางมันได้ไหม อาการที่ไม่ชอบใจนั้นเกิดขึ้นมาเรารู้แล้ว ผู้รู้เอาความไม่ชอบใจไว้ในใจหรือเปล่าหรือว่าเห็นแล้ววาง

ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้วยังเอาไว้ในใจของเราให้เรียนใหม่ เพราะยังผิดอยู่ ยังไม่ยิ่งถ้ามันยิ่งแล้วมันวางให้ดูอย่างนี้ ดูจิตของเราจริงๆ มันจึงจะเป็นปัจจัตตัง ถ้าจะพูดไปตามอาการของจิตอาการของเจตสิกว่ามีเท่านั้นดวงเท่านี้ดวง อาตมาว่ายังน้อยเกินไป มันยังมีมากถ้าเราจะไปเรียนสิ่งเหล่านี้ให้รู้แจ้งแทงตลอดหมดนั้น ไม่แจ้งมันจะหมดอย่างไรมันไม่หมดหรอกหมดไม่เป็น

ฉะนั้น เรื่องการปฏิบัตินี้จึงสำคัญมาก การปฏิบัติอาตมามิได้ปฏิบัติอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจิตว่าเจตสิกอะไรหรอก ดูผู้รู้นี่แหละ ถ้ามันคิดชังท่านมหาทำไมจึงชัง ถ้ามันรักท่านมหาทำไมจึงรัก อย่างนี้แหละจะเป็นจิตหรือเจตสิกก็ไม่รู้ จี้เข้าตรงนี้จึงแก้เรื่องที่มันรักหรือชังนั่นให้หายออกจากใจได้ จะเป็นอะไรก็ตามถ้าทำจิตอาตมาให้หยุดรักหรือหยุดชังได้ จิตอาตมาก็พ้นจากทุกข์แล้ว จะเป็นอะไรก็ช่างมันสบายแล้ว ไม่มีอะไรมันก็หยุด เอาอย่างนี้จะพูดไปมากๆ ก็ช่างเขา มากก็ตามมากก็จะมาอยู่ตรงนี้ และมันไม่มากไปไหนมันมากออกจากตรงนี้ น้อยก็น้อยออกจากตรงนี้ เกิดก็เกิดออกจากนี่ ดับก็ดับอยู่นี่ มันจะไปไหน ท่านจึงให้นามว่าผู้รู้ อาการที่ผู้รู้รู้ตามความเป็นจริงถ้ารู้ตามความเป็นจริงแล้วมันก็รู้จิตหรือรู้เจตสิกนี่แหละ

จิตหรือเจตสิกนี้มันหลอกลวงไม่หยุดสักที เราก็ไปเรียนอาการที่มันหลอกลวงนั่นเอง ทั้งเรียนเรื่องมันหลอกลวง ทั้งถูกมันหลอกลวงเราอยู่นั่นเอง จะว่าอย่างไรกันทั้งๆ ที่รู้จักมันมันก็ลวง ทั้งๆ ที่รู้ มันเรื่องอย่างนี้คือ เรื่องเราไปรู้จักเพียงชื่อของมัน อาตมาว่าพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์อย่างนั้น ทรงประสงค์ว่าทำอย่างไรจึงจะออกจากสิ่งเหล่านี้ได้ ท่านให้ค้นหาเหตุของสิ่งเหล่านี้ขึ้นไป ฉะนั้นอาตมาปฏิบัติโดยไม่รู้จักมาก รู้จักเพียงว่าศีลเป็นมรรค งามเบื้องต้นคือศีล งามท่ามกลางคือสมาธิ งามเบื้องปลายคือปัญญา สามอย่างนี้ดูไปดูมาก็เป็นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้าจะแยกออกเป็น๓อย่างก็ได้

จาก...กุญแจภาวนา..หลวงพ่อชา สุภัทโท //www.ajahnchah.org/thai/The_Key_to_Liberation.php




 

Create Date : 24 มีนาคม 2555   
Last Update : 24 มีนาคม 2555 11:04:59 น.   
Counter : 538 Pageviews.  


ธรรมะหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ "ผู้หลุดพ้นด้วยอิริยาบท"

หลุดพ้นด้วยอิริยาบถเดิน


เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมกับจิตที่มันจะตัดสินชี้บอก แต่สุดท้ายมันเสร็จกิจหมดแล้ว มันไม่ต้องทำ ไม่ต้องใช้เครื่องมือแล้วมันประหารเลยทีนี้  แม้แต่จิตมันก็ประหาร เพราะจิตมันใช้สำหรับคิดนึก มันไม่ต้องใช้อะไรแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องมี


ผมเองสังเกตดูแล้วคล้ายว่า "เอาให้พ้นทุกข์อย่างเดียว ไม่มีอะไรมากที่เราทำมา"  เพราะฉะนั้นสามัญผลพิเศษ พลังอย่างนั้นคงไม่มีอะไร อิทธิฤทธิ์อะไร มีฤทธิ์เดชอะไร มีอานุภาพอะไร อยู่เงียบๆ ไป  แล้วแต่มันจะเกิด เหมือนกับครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านไม่พูด ไม่สอน อยู่อย่างไรก็ได้ แล้วท่านก็มรณภาพไป มีหลายองค์ส่วนมากเป็นอย่างนี้


เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลาย ถ้าหากว่าพอจะมีบุญวาสนามีศรัทธาอยู่กับจิตเป็นกองทุนแล้ว ก็พยายามสร้างศรัทธาพร้อมกับวิริยะ ความพากเพียร สติปัญญาขึ้นมา คู่นี้แหละที่ปฏิบัติ เราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม สติปัญญาขึ้นมา ธรรมะเท่านี้แหละ พลังนี้แหละเป็นตัวสำคัญ มันรวมในมรรค มันอยู่ด้วยกัน จะว่ามรรคก็ได้ จะว่าพลังก็ได้ ธรรมะที่เด่นๆ ที่จะเอาชนะกิเลสได้นี่


ศรัทธา วิริยะ ตลอดทั้งสติ สมาธิ ปัญญานี่ มันตัวธรรมที่สำคัญมาก ไม่ต้องเอาอันอื่น เวลาสงบก็สงบ ถ้าต้องการสบายก็พิจารณาทั้งกลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน บางครั้งกำลังฉันนี่ มันไม่ได้อยู่ในฉันแล้ว มันไปอยู่ในธรรมะส่วนใหญ่


ทำข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ยิ่งปัดกวาดนี้ มันก็เกิดธรรมะสลดสังเวช หรือข้อวัตรต่างๆ นี้ มันเกิดขึ้นประจำถ้าเราชอบทำแล้ว จิตมันตั้งชอบแล้ว มันก็น้อมไปทางเรื่องที่ชอบไปทั้งนั้น


เพราะฉะนั้นคราวนี้ที่มันไปรู้ ไปรู้อยู่โน้น จึงได้เป็นพยานยืนยัน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ไม่สงสัย ขอให้จิตเราอย่างเดียวเท่านั้น ทีนี้พอตอนที่จิตมันจะถอน  ก็ไม่ใช่นอน ไม่ใช่นั่ง กำลังเดินจะถึงกุฏิ คือจุดปัญญามันจะพอของมัน พอมันปรากฏของมัน มันอยู่ตรงไหนก็ได้ กลางวันก็ได้ กลางคืนก็ได้ แต่พลังในส่วนนั้นที่มันปรากฏเรื่อยๆ มา มันก็มีอยู่เหมือนกัน แต่เราก็ไม่ได้จดจำไว้ ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติก็มีอยู่เหมือนกัน ทีนี้กิเลสที่มันต่อสู้มันก็มีไม่ย่อยเหมือนกัน เหมือนคู่แข่งกัน


ธาตุธรรม


เพราะฉะนั้นคราวนี้จึงได้เห็นว่า เมื่อกิเลสดับแล้ว ธรรมะก็ดับไปด้วยกัน เครื่องมือก็ดับ มันดับคู่กัน มรรคก็ทำลายด้วยกัน สมุทัย ทุกข์ นิโรธ มันดับไปด้วยกัน เพราะมันหมดกิจแล้วนี่ ไม่ต้องใช้แล้วนี่ มันปรากฏไปอย่างนั้นแหละ จึงว่าแม้แต่มรรคแม้แต่จิต มันก็ไม่ได้ใช้แล้วนี่ มันไม่เคยปรากฏอย่างนี้มาก่อน


แต่มันปรากฏออกมาอย่างนี้ก็ไม่ทราบว่าจะว่ายังไง เหมือนกับไม่ใช่เถียงครูบาอาจารย์แต่พูดตามที่มันปรากฏมาว่านี้แหละ เราก็เชื่อว่า "มันเป็นด้วยที่สร้างบารมีมา แต่ก่อน ก่อนมันจะขาด"


ตอนนี้ไม่ว่าพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า ก่อนจะตรัสรู้ ที่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์มากน้อยเท่าไหร่ก็ตรงนี้แหละ แต่ถึงเวลาประหารไปแล้วมันไม่มีสีแสง ไม่มีอะไรกว่านั้น เป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นสาวกนั้นเป็นอะไร ไม่มีแล้ว มันเป็นธาตุธรรม ธรรมฐิติ เพราะมันไม่มีแสงสีที่กำหนดที่อะไร แต่มันมีอยู่ มันไม่ปฏิเสธ มันมีอันเดียว ไม่ทราบว่าจะเอาอันอื่นมาเทียบไม่ได้ ไม่มีอะไรที่จะเปรียบ ไม่มีอะไรจะเทียบ ก็ไม่มีอะไรที่จะบัญญัติด้วย ไม่ใช่ว่าบัญญัติ.....


ครูบาอาจารย์ที่หลุดพ้นแล้ว


ที่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดี ท่านได้ฉันดี นอนดี อยู่ดี อันนี้มันเป็นเรื่องเปลือก ไม่ใช่เรื่องแก่น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องสนใจ สนใจแต่ทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน เฉพาะในจิตในใจโดยเฉพาะมันไม่ช่มากนะอันเรื่องที่จะพ้นทุกข์นี่ ดูเหมือนมันเฉพาะๆ พอเรารู้ตามพระองค์แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปเห็นตาม รู้ตาม กำหนดตาม แล้วก็ดับไปตาม ปรากฏในจิตในใจที่มันมีธรรมะอยู่ในตัวของมันเอง มันชัดอยู่ในตัวของมันเอง


เพราะฉะนั้นบางองค์ที่ท่านรู้ ท่านรู้จริง แต่บางองค์ที่ท่านไม่บัญญัติมาพูด ไม่ได้ตั้งใจมาพูด มันรู้เลย อย่างหลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่พูด นึกว่าท่าน "ไม่พ้นไม่ใช่นะ" ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้อะไร บางคนไปเห็นนึกว่าท่านไม่ได้เทศน์ไม่สอน นึกว่าท่านไม่เก่งเหมือนตัวเอง บาปกินไม่รู้ตัว


ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเวลานี้ เพราะมันไม่ได้อะไรเลย เพราะมันปรากฏแต่เท่านั้นเพราะมันทำลาย ไม่ใช่เรื่องได้นี่นะที่ปรากฏ นี่มันเรื่องทำลายหมด ไม่มีอะไรที่จะเหลือเลย จะเอาอะไรมาพูด ถ้าพูด ก็พูดแต่ของเก่าที่เคยจำมาแล้วเท่านั้นแหละถ้าพูดขึ้นมาก็ของเก่า


ที่นี้ถ้าหมดขันธ์อันนี้แล้ว ก็ไม่มีของเก่าที่เหลืออยู่ ไม่มีอะไรอีก อายตนะที่เกี่ยวเนื่องด้วยธาตุนี่มันก็มีอยู่ ก็อาจจะไม่ได้ทำความเพียรต่อเนื่องกันถึงตอนนี้หรอก


ทางจงกรมกับกุฏิก็อยู่ใกลกันทำได้ตลอด อากาศก็ดี มันก็สัปปายะอันหนึ่ง แต่สำคัญว่าจิตของเราอย่าไปหลงความเจริญของบ้านเมือง ถ้าเไปเอานั้นมานี้แล้วเสร็จ ธรรมะหายไปหมดเลย แต่จิตใจของคนมันไม่อัศจรรย์เลย แม้แต่เขาจะวิเศษยังไงมันก็ไม่อัศจรรย์เลย อัศจรรย์แต่พระพุทธเจ้า ธรรมคือพระองค์สามารถที่จะพ้นทุกข์ความสุขจนขนาดเทวดานี่ พระองค์ยังเห็นโทษ ขนาดที่นั่งฌานสงบ ที่เรานั่งสงบมีความสุขพอใจในความสุขอันนั้น แต่พระองค์ก็ยังเห็นโทษไม่ติด ขนาดทำลายรูป มีแต่อากาศมีแต่วิญญาณ แต่พระองค์ก็ยังเห็นทุกข์เห็นโทษจนพ้นได้ อันนี้มันอัศจรรย์ ปัญญาเราน่ะมันไปไม่ได้นะ เราต้องอาศัยพระพุทธเจ้า


เพราะฉะนั้นการปฏิบัติมันต้องยึดหลักพระองค์แล้วก็เร่งทำความเพียร เพราะทำแล้วจะต้องรู้ นอกจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ที่เราใกล้ชิดที่เห็นปฏิบัติ....


ทำลายหมดไม่เหลือเศษ


แต่คราวนั้นทำลายแต่เพียงเวทนากับสัญญาขันธ์สองอย่างเท่านั้นเอง สามอย่างมันยังไม่ปรากฏมันไม่ได้บอก พอคราวนี้มันไม่เหลืออะไรเลย มันบอกถึงความบริสุทธิ์แล้วก็หมดกิจตลอดถึงโลกทั้งสามเลย มันทำลายหมดแล้วนี้ มันบอกหมด ไม่มีอะไรเหลือเศษ


แม้คำว่าเศษเหลือนิดเดียวก็ไม่มีอะไรเลย แม้แต่จิตกับมรรค อรหัตตมรรคผู้ทำลายนี่มันลายไปด้วยกัน เพราะไม่มีกิจจำเป็นจะต้องมีไว้แล้ว


หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปเมืองนอก ไปจำพรรษาเมืองนอก


จาก//www.fungdham.com/download/book/suwatbook.pdf








Free TextEditor




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2554   
Last Update : 7 ธันวาคม 2554 17:33:17 น.   
Counter : 372 Pageviews.  


ท่าน ก. เขาสวนหลวง

แนวทางปฏิบัติธรรม
โดย ท่าน ก.เขาสวนหลวง


ผู้ปฏิบัติควรจะศึกษาให้เข้าใจเป็นลำดับไปดังนี้

การศึกษาที่เรียนรู้ได้ง่าย ทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกาละ ทุกขณะ ได้ผลทันที ไม่ต้องรอรับผลข้างหน้า ก็คือ ศึกษาในโรงเรียน กล่าวคือ ในร่างกายยาววาหนาคืบมีสัญญาใจครอง ในร่างกายนี้มีสิ่งที่น่าเรียนรู้ ตั้งแต่ขั้นหยาบจนถึงขั้นละเอียด

ขั้นของการศึกษา

ก. เบื้องต้น ให้รู้ว่ากายนี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุต่างๆ ส่วนใหญ่ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนย่อยได้แก่ ส่วนที่จับติดอยู่กับส่วนใหญ่ เป็นต้นว่า สี กลิ่น ลักษณะ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีลักษณะไม่คงทน (ไม่เที่ยง) เป็นทุกข์ เต็มไปด้วยของปฏิกูล พิจารณาให้ลึกก็จะเห็นไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร มีแต่สภาพธรรมล้วนๆ ไม่มีสภาวะที่ควรเรียกว่า “ตัวเราของของเรา” เมื่อตามเห็นกายอยู่อย่างนี้ชัดเจน ก็จะคลายความกอดรัดยึดถือในกายว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นนั่นเป็นนี่เสียได้

ข. ขั้นที่สอง ในส่วนนามธรรม (คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) กำหนดให้รู้ตามความเป็นจริง ล้วนเป็นเองในลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือเกิดๆ ดับๆ เป็นธรรมดา พิจารณาเห็นจริงแล้วจะคลายความยึดถือในนามธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นนั่น เป็นนี่ เสียได้

ค. การศึกษาขั้นปฏิบัติ มิได้หมายเพียงการเรียน การฟังการอ่านเท่านั้น ต้องมีการปฏิบัติให้เห็นประจักษ์แจ้งด้วยจิตใจตนเอง ด้วยการ

(๑) ปัดเรื่องภายนอกทั้งหมดทิ้งเสียก่อน มองย้อนเข้าดูจิตใจตนเอง (จนรู้ว่ามีความแจ่มใส หรือมัวหมองวุ่นวายอย่างไร) ด้วยการมีสติสัมปชัญญะกำกับ รู้กายรู้จิตใจอบรมจนจิตทรงตัวเป็นปกติ

(๒) เมื่อจิตทรงตัวเป็นปกติได้ จะเห็นสังขารหรืออารมณ์ทั้งหลาย เกิดดับเป็นธรรมดา จิตจะว่างวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายและเห็นรูปนามเกิดดับเองตามธรรมชาติ

(๓) ความรู้ว่าไม่มีตัวตน แจ่มชัดเมื่อใด จึงจะพบเข้ากับสิ่งที่มีอยู่ภายใน เป็นสิ่งที่พ้นทุกข์ ไม่มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง เป็นอมตะ ไม่มีความเกิด ความตาย สิ่งที่มีความเกิดย่อมมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดา

(๔) เมื่อเห็นความจริงชัดใจแล้ว จิตจะว่าง ไม่เกี่ยวเกาะอะไร แม้ตัวจิตเองก็ไม่สำคัญว่าเป็นจิต หรือเป็นอะไร คือ ไม่ยึดถือตัวเองว่าเป็นอะไรทั้งหมด จึงมีแต่สภาพธรรมล้วนๆ เท่านั้น

(๕) เมื่อบุคคลมองเห็นสภาพธรรมล้วนๆ อย่างแจ่มแจ้ง ย่อมเบื่อหน่าย ในการทนทุกข์ซ้ำๆ ซากๆ เมื่อรู้ความจริงฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมตลอดแล้วจะเห็นผลประจักษ์เฉพาะหน้าว่า สิ่งที่หลุดพ้นจากทุกข์นั้นมีอยู่อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเชื่อตามใคร ไม่ต้องถามใครอีก เพราะพระธรรมเป็นปัจจัตตังคือรู้เฉพาะตนจริงๆ ผู้ที่มองเห็นความจริงด้านในแล้ว จะยืนยันความจริงอันนี้ได้เสมอ


ก. เขาสวนหลวง

.................................................

หมายเหตุ

สรุปแนวการปฏิบัติธรรมนี้ ท่าน ก. เขาสวนหลวงได้เรียบเรียงเขียนขึ้นด้วยตนเอง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2497 เพื่อพิมพ์ในหนังสือ “อ่านใจตนเอง” ท่าน ก. ได้สังเกตพิจารณาศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตามแนวนี้มาด้วยตนเอง และเป็นแนวทางที่ท่านได้ย้ำอธิบายแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ณ เขาสวนหลวง เสมอมา

..............................................

เพียรละพยศร้ายในสันดาน
โดย ท่าน ก.เขาสวนหลวง

สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง จ.ราชบุรี
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๔


วันนี้จะต้องปรารภข้อปฏิบัติ เพราะว่าเรื่องการปฏิบัติธรรมเป็นของสำคัญ เฉพาะชีวิตทุกชีวิต ถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรม มันจะทุกข์ยากมากมาย และไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแม้ว่าจะยากจนทรัพย์สมบัติอะไรข้างนอกก็เป็นของนิดหน่อย แต่ยากจนชนิดที่ไม่มีศีลไม่มีการอบรมจิตใจ ให้รู้เรื่องทุกข์เรื่องกิเลสแล้ว มันจะยากจนที่สุด เรียกว่าโรคในตัวนี่มันมีอยู่เต็มตัวเต็มใจ แต่ก็ไม่ค่อยจะรู้ประสาอะไรนัก ถึงแม้ว่าจะเข้ามาอยู่กันก็รู้บ้างนิดๆ หน่อยๆ

ฉะนั้น จึงต้องปรึกษาหารือกันอยู่เรื่อยๆ เพื่อจะได้ปรับปรุงให้มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ถ้าจะเอาแค่ความรู้ของตัวเองนี้ก็ยังไม่ได้ เพราะความรุ้ของตัวเองมันยังเป็นความรู้ของกิเลสและโดยเฉพาะเรื่องทิฏฐิมานะอะไรเหล่านี้มันก็ยังตระหง่านอยู่ มันเป็นโรคร้ายที่สุด จะทำเล่นๆ กับมันไม่ได้เลย ถ้าทำเป็นอวดดีกับมันแล้วมันยิ่งเอาใหญ่ เพราะตัวทิฏฐิมานะนี่ไม่ใช่ของนิดหน่อย

อาหารของทิฏฐิมานะก็คือ ตัณหากับสัญญา เพราะสัญญาที่มันเที่ยวจำหมายในความมีตัวตน แล้วตัณหานี่ก็เป็นโรคร้ายที่สุด ที่เป็นต้นเหตุยุยงส่งเสริมให้มานะทิฏฐิจัดเข้าทุกที เช่น ราคะ โทสะ โมหะ อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อโลภะหรือราคะมันเกิดขึ้น นั่นแหละความฉิบหมายมันเกิดขึ้นแล้ว หรือว่าโทสะ โมหะก็ตาม ล้วนแต่เป็นความฉิบหายอยู่ภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ยกเว้นใคร นอกจากพระอรหันต์ที่ท่านละ ราคะ โทสะ โมหะ ได้ขาดแล้ว และเรื่องอุปกิเลส ๑๖ ที่เราท่องๆ กันอยู่ ซึ่งรู้กันอยู่บ้างแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นประโยชน์

แม้จะยังรู้กันไม่มากมายนัก ก็ยังรู้ว่า โรคกิเลสนี่ต้องคอยตรวจ คอยจับ ให้มันรู้อย่างถูกต้อง ให้เป็นการศึกษาโรคร้ายภายในจิตใจของตัวเอง ต้องตรวจอยู่เสมอเผลอไม่ได้ โดยเฉพาะอุปกิเลส ๑๖ นี้ แต่ละข้อๆ มันก็แตกไปจาก ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งทั้งสามกองนี้ก็รวมเอาไว้เป็นกองใหญ่ แล้วก็แจกออกไปเป็น ๑๖ ข้อ ทั้ง ๑๖ ข้อที่มีความร้ายกาจที่สุดก็คือมาโน ก็คือมานะทิฏฐิ แล้วการที่จะรู้เรื่องนี้มันก็เป็นของยาก เพราะว่าตัวทิฏฐิมานะนี้ มันมีมากมายมาด้วยกันในสันดานของเราทั้งหมด

ทีนี้เรื่องอุปกิเลสตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อหกยังมีเรื่องที่จำมาได้ เขาเล่าเปรียบเทียบถึงข้อ “ปลาโส” มีเรื่องว่าเจ้าสุนัขตัวหนึ่งมันนอนอยู่ใต้ถุนบ้าน แล้วมีคนบนบ้านพูดกันว่า ไปป่าไปเจอเสือ แล้วคนหนึ่งก็ถามว่า “เสือนั้นรูปร่างมันเป็นอย่างไร ?” คนก็บอกว่า “เสือมันมีหู” ส่วนสุนัขใต้ถุนก็นึกว่า “กูก็มีหูเหมือนกัน” แล้วคนนั้นก็พูดอีกว่า “เสื้อนั้นมันมีหาง” สุนัขใต้ถุนก็นึกว่า “กูก็มีหางเหมือนกัน”

ทีนี้คนนั้นก็พูดว่า “เสือมันมีขนทั่วตัว” สุนัขใต้ถุนก็นึกว่า “กูก็มีขนทั่วตัวเหมือนกัน” คนนั้นก็บอกว่า “เสือมันมีเขี้ยวมีเล็บสำหรับตะครุบสัตว์กินเป็นอาหาร” เจ้าสุนัขใต้ถุนก็นึกว่า “กูก็มีเขี้ยวมีเล็บเหมือนกัน กูก็ตะครุบสัตว์กินเป็นอาหารก็ได้” ตั้งแต่วันนั้นมาเจ้าสุนัขตัวนั้นมันก็ไม่กินน้ำข้าว เพราะมันทะนงตัวสำคัญว่ามันเป็นเสือ มันก็เที่ยวไปตะครุบเป็ดตะครุบไก่ที่เขาเลี้ยงเอาไว้มากิน ทีนี้เจ้าของเขาก็เอาไม้ไล่ตีมัน หนักๆ เข้ามันก็ชักไม่มีอาหารจะกิน จึงมารู้สึกตัวว่า กูนี่เป็นเสือไม่ดีเลยมันอดอยาก จะไปกินอะไรที่ไหน เขาก็มาไล่ตีเอาเจ็บแทบล้มแทบตาย มันเลยนึกว่า กูไม่เป็นแล้วเสือ เจ้าสุนัขตัวนี้มันก็ไปกินน้ำข้าวตามเดิม นี่เขาเปรียบถึงข้อปลาโส

ฉะนั้นเรื่องปลาโสนี่ก็ยังเป็นรอง เป็นรองของเจ้า “มาโน” เพราะว่าทิฏฐิมานะเป็นตัวการสำคัญที่สุด และจะต้องศึกษาเอาในตัวนี่แหละ เพราะมันมีอยู่ด้วยกันทุกคน ต้องศึกษาให้ดีว่าตัวมานะทิฏฐิที่มันเกิดขึ้นมานี้ มันทำฤทธิ์ทำเดชอย่างไรบ้าง อย่างต่ำที่สุด เมื่อมันทำผิดแล้วมันไม่ยอมรับผิด ตัวไม่ยอมนี่มันก็เป็นตัวถัมโภ หรือสารัมโภ ทีนี้รองลงมามันก็ยอมรับ แต่การยอมรับผิดนี้ก็ยอมรับเป็นคนๆ มันรับแต่เฉพาะคนนี้หรอกนะ ถ้าผิดจากคนนี้แล้วมันไม่รับทีเดียว มันก็ยังกระด้างอยู่ข้างใน ยังใช้ไม่ได้ การยอมรับผิดอย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ หรือว่ามันจะยอมรับว่าผิดจริงบ้าง ก็ยังใช้ไม่ได้

ทีนี้ขั้นที่สาม เมื่อไม่ผิดก็ยอมรับผิด นี่เป็นการข่มทิฏฐิมานะได้อย่างงดงาม ในลักษณะอย่างนี้ เป็นการฝืนมานะทิฏฐิ แต่ตัวมานะทิฏฐิจริงๆ ไม่ยอม แต่ว่าตัวนี้มันยอม ไม่ผิดก็ยอมรับว่าผิด นี่มันตรงกันข้าม เพราะผิดแล้วยอมว่าผิดนี่มันเป็นธรรมดา แต่ไม่ผิดแล้วยอมรับว่าผิดนี่มันฝืนทิฏฐิมานะทีเดียว เรื่องนี้จะต้องศึกษาให้ดีทุกคน เพราะมีอยู่ในตัวด้วยกันทุกคน ว่าลักษณะที่สามนี่มันมีอย่างไร ถ้าอ่านตัวเองรู้เรื่องนี้แล้ว มันจะมีประโยชน์มากต่อการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามันฝืนนิสัยตรงจุดเหลือเกิน ไม่ผิดยอมรับว่าผิดนี่ เป็นการเข้าไปโค่นต้นตอต้นขั้วของมันทีเดียว จึงไม่ใช่ที่จะทำได้ง่ายๆ เลย แต่ว่าต้องทำได้ อย่างไรก็ต้องโค่นต้นตอให้ได้ ว่าการยอมแล้วมันได้อะไรบ้าง หรือไม่ผิดแล้วมายอมรับผิดนี่มันได้อะไรบ้าง เป็นการทำลายอุปกิเลสตั้งแต่ข้อ ๑ มาจนถึงข้อ ๑๔

ส่วนข้อ ๑๕, ๑๖ เป็นลักษณะของโมหะ แล้ว ๑๔ ข้อนี้ อาศัยผัสสะ คือการกระทบ ฉะนั้นการกระทบผัสสะนี่เอง มันเป็นเครื่องวัดความผิดถูกเท็จจริง ตัวตนหรือทิฏฐิมานะมันมีขั้นมาได้อย่างไร จะเป็นเครื่องตรวจสอบตัวเองได้ในเรื่องนี้แต่ว่าต้องตรวจสอบให้ถูกจุดด้วย ไม่ให้หลีกเลี่ยงว่าอุปกิเลสที่มันเกิดขึ้นมา มันแผลงฤทธิ์อย่างไร เพราะว่ามาโนหรืออติมาโนนี่มันมีฤทธิ์เท่าไร แล้วยังจะมี ถัมโภ ความแข็งกระด้าง ส่วนสารัมโภมันอ้างเหตุผลหลอกลวงอยู่อย่างไร ทุกข้อที่มันเกิดขึ้นนี้อย่าไปหลงเลี้ยงเอามันไว้ ตัวศัตรูงูพิษทั้งนั้นพระพุทธเจ้าระบุชื่อเอาไว้ให้เสร็จแล้ว ตรวจง่าย เมื่อไรก็ได้ข้อไหนที่เกิดขึ้น มีขึ้น หรือว่ามันปกปิดบังอำพรางไว้อย่างไรหรือสาเถยยัง อำพรางไว้มันมีขึ้นมาอย่างไร ก็มีให้สอบอยู่เสร็จทีเดียว เพราะพวกนี้อาศัยผัสสะทั้งนั้นจึงเกิดขึ้น มันจึงตรวจง่าย

ส่วนโมหะที่ไม่ได้อาศัยผัสสะนี่มันยังรู้ยาก แต่ถ้าอาศัยผัสสะแล้วรู้ง่าย เราค้นหาเหตุผลง่ายที่สุด แล้วทำลายให้ถูกต้นขั้วตัวตนเสร็จไปทีเดียว ก็ลองดูซิ ลองไปสอบเอาเอง ทีนี้มันสูงขึ้นไปกว่านั้นอีก ที่ไม่ผิดยอมรับว่าผิดนี่ แต่ทีนี้มันไม่เอา มันว่างจากตัวตน มันพิเศษไปเลย เมื่อมันว่างจากตัวตนแล้วมันหมดเรื่องไปทีเดียว เรื่องข้อปฏิบัติจะต้องเอาผัสสะเป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องอ่านตัวเอง ค้นหากิเลส ที่เป็นรากฐานภายในมันเกิดขึ้นมาปรุงจิตใจอย่างไร มันมีพิษสงออกมาทางกายทางวาจาอย่างไร จะต้องค้นหาสมุฏฐานในตัวเองทั้งหมด ไม่ใช่ไปค้นหาในตำรับตำราเท่านั้น เพราะว่าเรื่องของกิเลส โลภ โกรธ หลง หรือตัณหาอะไร มันต้องค้นที่จิตใจ ที่ถูกกระทบผัสสะ ซึ่งอาศัยผัสสะเกิด แล้วมันยึดถือขึ้นมาอย่างไร เป็นตัวเป็นตนอวดดีอวดเก่งขึ้นมาแค่ไหนมันมีให้สอบอยู่ในตัวเอง

ฉะนั้นข้อปฏิบัติจึงไม่ต้องไปเรียนอะไรที่ไหน เรียนเอาในนี้ เรียนเรื่องกิเลส เรื่องเกิดดับ เรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนดับไป เป็นความว่างจากตัวตน มันมีให้ตรวจให้สอบ ให้รอบรู้อยู่ในตัว ถ้ารู้ได้แล้วนั่นแหละ มันจึงจะเปลี่ยนจากคนหนา ที่เรียกว่าปุถุชนแล้วเรานี่ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าตรวจกิเลสและดับทำลายมานะทิฏฐิลงไปได้ ก็เรียกว่าทิฏฐิมานะมันเบาบางแม้ว่ายังมีอาสวะ แต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง เบาบางลงไป ก็ยังจัดว่าเป็นกัลยาณปุถุชน หรือเป็นปุถุชนชั้นดี ไม่ใช่เป็นปุถุชนชั้นต่ำซึ่งชั่วช้าที่สุด เราก็ต้องมีการสอบได้โดยไม่ต้องให้มีใครมาแต่งตั้ง

เพราะว่าเรื่องกิเลสตัณหา เป็นเครื่องวัดอยู่ในตัว ว่ามันเบาบางลงไปหรือเปล่าหรือยังเผามากขึ้น ยิ่งแก่วัดก็ยิ่งมากขึ้น ทิฏฐิมานะก็ยิ่งจัดมากเข้าทุกที นี่ต้องสอบตัวเองจริงๆ จึงจะได้ อย่ามาพูดอวดเก่งไม่ได้ เพราะว่าตัวทิฏฐิมานะนี่หาเรื่องเก่งที่สุด เป็นคนพาลเกเรที่สุด ไว้ใจไม่ได้เพราะว่ามันเป็นคนคดโกง เป็นคนสอพลอก่อเรื่องสารพัดแล้วจะมานิ่งนอนใจทำอวดดีอยู่อย่างไรได้ ถ้าใครขืนอวดดีก็เป็นการหล่อเลี้ยงทิฏฐิมานะเอาไว้ เป็นสัตว์นรกไปเท่านั้นเอง เพราะว่าตัณหานี่มันเป็นมีดสองคม ให้ทำชั่วก็ได้ ให้ทำบาปก็ได้ ให้ทำบุญก็ได้

ฉะนั้นฝ่ายที่เป็นบาป เช่นอกุศลกรรมบถก็เป็นนรก ฝ่ายกุศลก็เป็นหนทางสวรรค์ ถ้าทำให้บริสุทธิ์ที่มีอยู่ในกรรมบถวิภาค ซึ่งเราจะต้องเอามาตรวจอีก เพราะว่าการตรวจเรื่องกุศลหรืออกุศลนี้ เป็นภาคพื้นของสันดานที่ทำอะไรมาด้วยกาย วาจา ใจ ที่ผิดทำนองคลองธรรมในกรรมบถอย่างไร ที่เป็นฝ่ายอกุศลอย่างไร เป็นกุศลอย่างไร มันจะต้องซักฟอกดูในกรรมบถวิภาค ๔๐ ที่แยกออกไปจากกรรมบถ ๑๐ ทางมโนกรรม มีความโลภเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของต่างๆ นานา ที่ทำด้วยตนเอง และชักชวนให้คนอื่นทำ แล้วก็พรรณนาคุณของความโลภ แล้วก็มีความยินดี คือมีความโลภอยากได้ทุกๆ ชนิด

ข้อที่สองคือพยาบาท ความโกรธเคืองที่เรียกว่าโทสะหรือพยาบาทก็ตามซึ่งมันก็ล้วนแต่ไฟทั้งนั้น ถ้ามันเผาตัวเองแล้วก็ไปชักชวนคนอื่นให้เขาเดือดร้อนอีก เผาไปด้วยกันอีก แล้วก็พรรณนาคุณและมีความยินดี นี่เป็นข้อที่สอง

ข้อที่สามก็คือโมหะ ความเห็นผิดในสภาวธรรม เพราะความจริงมันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน แต่ไปเห็นผิดว่าเที่ยง สุข ตัวตนขึ้นมาเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือมันเห็นผิด เมื่อตัวเห็นผิดแล้วก็ไปชักชวนให้คนอื่นเขาเห็นผิดด้วย และพรรณนาคุณด้วย แล้วก็มีความยินดีในมิจฉาทิฏฐิ นี่เป็นฝ่ายอกุศลกรรมบถ สำหรับฝ่ายกุศลมันตรงกันข้าม คือถ้าตัวเองละความโลภได้ ก็ชักชวนให้คนอื่นละความโลภได้ด้วยแล้วพรรณนาคุณของความไม่โลภ ว่าความไม่โลกมีดีมีพิเศษอะไรมากมาย แล้วก็มีความยินดีในความไม่โลภและตนเองก็ละความโกรธ ความพยาบาทได้ แล้วก็ชักชวนคนอื่นให้ละความโกรธ ความพยาบาทได้ด้วย แล้วก็พรรณนาคุณของความไม่พยาบาท ของความไม่โกรธ ว่ามีดีมากมายหลายประการนัก แล้วยินดีในความไม่พยาบาทไม่โกรธ

ข้อที่สามก็คือเมื่อตัวเองเป็นสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นชอบเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ชักชวนให้คนอื่นมามีความเห็นชอบอย่างนี้ด้วย แล้วก็พรรณนาคุณของความเห็นชอบอย่างนี้ ว่าเป็นความดับ ทำลายทุกข์ได้เป็นการพรรณนาคุณของความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ที่ตัวเองก็ทำได้และให้คนอื่นทำได้ด้วย นี่เป็นทางมโนกรรม จะไปดูเอาในหลักก็ได้ ต้องไปตรวจดูให้รู้เรื่องของศีลเพราะว่าศีลในกรรมบถมีอยู่สิบข้อคือ กายกรรมสาม วจีกรรมสี่ มโนกรรมสาม เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของทุกคนที่จะต้องรู้ ถ้าไม่รู้เรื่องของกรรมบถสิบ ที่เป็นภาคพื้นแล้ว การปฏิบัติธรรมขั้นต่อๆ ไปมันจะไม่มีหลักอะไร

ฉะนั้นจะต้องปรับพื้นความรู้เรื่องศีลให้ถูกต้องเสียก่อน ต้องศึกษา ต้องไต่ถาม ต้องตรวจสอบ เรื่องอุปกิเลสนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่าได้มีความประมาทเลย แม้ว่าเราจะท่อง จะสวดกันได้ก็ต้องเอามาตรวจ ถ้าไม่เอามาตรวจตัวเองแล้ว ก็จะมีความผิดมากมายยึดถืออะไรขึ้นมาให้มีทุกข์มีโทษ แล้วก็พลอยไปสอพลอก่อเกิด ให้ทุศีลไปด้วยกันแล้วจะน่ากลัวหรือเปล่า ถ้าไม่กลัวมันก็ตกนรก เป็นสัตว์นรกไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่ทำกันอย่างซ้ำๆ ซากๆ ชนิดที่ตามใจตัวเอง จะต้องค้นคว้าดูว่ารากเหง้าเค้ามูลมันเป็นอย่างไร มาจากอะไร จากผัสสะชนิดไหน เรื่องที่จะต้องสอบสวนทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องว่าเอาเอง เดาเอาเอง อวดเก่งว่าเรียนมาแล้ว รู้มาแล้ว ไม่ได้หรอก เพราะเรื่องกิเลสตัณหา อุปาทานหรือมานะทิฏฐินี่ร้ายกาจที่สุด ต้องบอกให้รู้กันทั่วๆ ไปทีเดียว ว่าฤทธิ์เดชของมันมากมายเท่าไร มันน่ากลัวไหม แต่ละข้อที่เกิดขึ้นมาเผานั่นมันน่ากลัวไหม มันเข็ดหรือเปล่าถามตัวเองดู

อย่าเอาอะไรต่ออะไรให้มากนักเลย กิเลสมันจะเผาตาย มันบอกอยู่อย่างนี้และจะต้องชวนกันอย่างนี้ ชวนกันดับทุกข์ดับกิเลสอยู่อย่างนี้ ทิฏฐิมานะปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาอย่างไร มันล้วนแต่เป็นข้อปฏิบัติที่จะต้องมีสติปัญญา เป็นเครื่องอ่านเป็นเครื่องรอบรู้ทั้งนั้น มิฉะนั้นแล้วไม่ได้ ไม่ไหว มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีกด้วย คำสอนของพระพุทธเจ้ามันก็รู้หมด มันอวดเก่งถึงขนาดนั้น แล้วก็คิดดูซิว่า ความโง่งมงายนี่มันร้ายกาจเท่าไร มันปั้นน้ำเป็นตัวให้เกิดทุกข์ขึ้นมาในตัว แล้วก็ไปชวนคนอื่นให้ทุกข์อีกด้วย ให้หลงอีกด้วย ถ้าไม่ได้พิจารณาตัวเองให้ละเอียดลออลงไปแล้ว ก็อยู่วัดไปจนตาย มันกลับเอาหนักเข้า เพราะว่ามันแก่วัด มันแก่จัดเข้า ความถือตัวถือตนและทิฏฐิมะนะก็จัดเข้า

ฉะนั้นจึงต้องพูดแล้วพูดอีก เพื่อจะให้ข่มขี่ทิฏฐิมานะลงไป ว่ามันเป็นยักษ์เป็นมารอยู่อย่างไร มันจะเอาดีไปถึงไหน นี่มันต้องกดหัวตัวเอง ไม่มีใครเขาด่า ก็ต้องด่าตัวกูนี่แหละ ว่ามันเสือกทะเล้นอยู่อย่างไร ถ้ามันมีมาหยาบๆ ก็ต้องด่ามันอย่างหยาบๆ จะเอาใจมันไม่ได้ ไปคอยเอาอกเอาใจมันไม่ได้เสียแล้ว มันมีอำนาจใหญ่ทีเดียว โรคร้ายที่มีประจำสันดานอยู่นี้ ไม่มีใครพูดถึง มันอวดดีเรื่อย มันอวดเก่งเรื่อย อวดเป็นคนดีคนถูกไปทีเดียว ฉะนั้นมันจะอวดดีต่อไปไม่ได้

เรื่องที่จะทำคุณงามความดียังมีอีกมากมาย ที่จะดับทุกข์ ดับโทษ ดับโลภ โกรธ หลง ดับตัวตนที่มันยังมี มีให้ทำแต่ว่าไม่ทำเอง เที่ยวเถลไถลไปอื่นเสีย จะทำตามกิเลสตัณหา ที่มันชอบ แล้วคุณธรรมอะไรมายมาย ที่พระพุทธเจ้าชี้ช่องบอกทางเอาไว้ มันก็บอกว่ามันรู้แล้วมันเรียนมาแล้ว มันอวดดีอย่างนี้ ถ้าไม่อวดดีแบบโง่แกมหยิ่งแล้วหันมาหารือกันทำข้อปฏิบัติในด้านจิตใจก็จะได้ประโยชน์มากมาย ต้องข่มขี่ทรมานทิฏฐิมานะให้ราบเรียบไปให้ได้ อย่าให้มันโงหัวขึ้นมา กดหัวมันลงไป มันจะเก่งมาท่าไหน มันจะเอาอะไรมันจะเอาดีที่ไหน มันจะเอาดีไปให้ใคร ถามตัวเองนี่แหละ ไม่ต้องไปถามใคร

ถามให้มันจนปัญญา ถามมันบ่อยๆ ว่า “มึงจะเอาดีไปให้ใคร ไม่กี่วันมึงก็จะเน่าเข้าโลงไปแล้ว มึงจะอวดเก่งไปให้ใคร” ถามมันอย่างนี้ให้กระชั้นๆ เข้าเถิดมันจนปัญญา หุบปากไม่กลัวพูดเลย มันรู้สึกอาย มันอายเต็มที ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามดูซีว่า ถ้าถามแบบนี้มันอายไหม ตัวกูเองนี่มันอายไหม ไม่ได้อายคนอื่นหรอก มันอายตัวเอง มันกลัวตัวเอง มันกลัวทุกข์โทษอยู่ในตัวเองทั้งหมด ข้อปฏิบัติจึงเป็นอย่างนี้เข้ามาเล่นงานตัวกูที่ชูหัวอยู่นี่ สับหัวมันลงไปไม่ต้องไปเกรงใจมัน ไม่ต้องไปรักหัวมันหรอก ถ้ารักหัวมันแล้ว มันจะชูหัวสูงใหญ่เลย แล้วพิจารณาดู มันมีตัวตนที่ไหน “มึงนั่นแหละมันโง่ โง่เอง ไปยึดถือเข้ามาทำไม” ซักถามมันทีเดียวว่า “มีตัวกูที่ไหน” ถ้าถามมันบ่อยๆ มันก็จำนนไปเอง ในที่สุดมันจะบอกว่า “อ้อ ความจริงมันว่างจากตัวตนโว้ย” แต่ความโง่มันเสือกทะเล้นยึดถือจึงทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่นี่เห็นไหมล่ะ มันจะได้บอกขึ้นมาอย่างนี้ ไม่ต้องไปพูดดีอะไรหรอก

ฉะนั้นเรื่องที่จะทำคุณงามความดี ก็คือข่มขี่ทิฏฐิมานะตัวตนลงไปให้เรียบร้อยราบคาบ แล้วมันก็ดีเอง มีคุณธรรมขึ้นมาเอง

ฉะนั้นจึงเป็นของแปลก สำหรับการอบรมธรรมะที่นี่มันอาจจะแปลกกว่าที่อื่น เพราะที่อื่นเขามีการอบรมที่เรียบร้อยพูดจาก็ไพเราะเพราะพริ้ง แต่ว่าที่นี่ ไม่มีไพเราะเพราะพริ้ง มีแต่จะเล่นงานตัวกูตัวเดียวนี่เท่านั้น ไม่ยกย่อง ให้ถูกเท่าไรๆ ก็ไม่ยกย่อง พูดแต่เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางเรื่อยไป ถ้าเป็นการดำเนินข้อปฏิบัติชนิดที่ตรวจโรคเอาเองค้นหาสมุฏฐานให้ถูกต้องแล้วชักชวนกันก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมโดยความเรียบร้อย เพราะว่ามันเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งหมด และมีโรคกิเลสตัณหาอุปาทานอย่างเดียวกัน แม้ว่าจะหนาบ้าง บางบ้าง หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ก็ตาม เป็นเรื่องที่จะต้องประชุมปรึกษาหารือกันด้วยการมีศีล, มีสมาธิ, มีปัญญา เป็นเครื่องมือสำหรับประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางของพระพุทธเจ้า

เมื่อเรายังรู้ผิดๆ ก็ต้องศึกษาพิจารณาไปมันจึงจะรู้ถูกขึ้นมาได้ จะไปคิดเดาเอาเองว่าอย่างนั้นถูก อย่างนี้ผิดมันไม่ได้ เพราะสันดานของคนที่มีตัวมีตนมันเข้ากับตัวของมันเอง เชื่อมันไม่ได้ มันว่าถูกแต่ประเดี๋ยวก็ไพล่ไปอื่นแล้ว ไปสอพลอยึดถืออย่างอื่นขึ้นมาอีก อย่างนี้แล้วจะไปเชื่อมันได้หรือ สำหรับคนสอพลอข้างนอก เราไม่คบค้ากับมันก็ยังได้ แต่การสอพลอของกิเลสตัณหาอุปาทานข้างในแล้วไม่ได้ จะไปทำหยาบๆ กับมันไม่ได้ การที่จะข่มขี่ทิฏฐิมานะหรือสันดานของตัวเอง นี่ไม่ใช่ของทำง่ายๆ มันเป็นของทำได้ยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วมันกำเริบ เมื่อกำเริบแล้วก็เป็นสัตว์นรกไปเท่านั้นเอง แล้วใครทนไหวบ้าง มันก็ทนไม่ไหวด้วยกันทุกคน อย่างไรๆ ก็ต้องเพียรเผาอยู่ดี ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เพียรเผากิเลสทุกอิริยาบถ ข้อนี้ข้อเดียวก็พอแล้ว แต่นี่มันไม่ได้เพียรเผากิเลสทุกอิริยาบถ มันให้กิเลสเผาทุกอิริยาบถ มันกลับกันเสีย จึงต้องกลับกันเสียใหม่ เพราะมันยังกลับได้ ไม่ใช่กลับไม่ได้ ถ้ากลับไม่ได้พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงสอนเอาไว้ เราจึงต้องปรึกษาหารือกัน เรื่องเพียรเผากิเลสทุกอิริยาบถให้ได้

ทีนี้ก็มีข้อสำหรับเรื่องการบวช เราก็ไม่ได้บวชเป็นนั่นเป็นนี่กันเฉพาะการนุ่งเหลืองนุ่งขาวกันแค่นั้น แต่นี่บวชทั่วไปได้ คือเขามีการเปรียบเทียบเอาไว้ เทียบกับบริขารของ พระภิกษุ บริขารของพระภิกษุนั้นมีแปดอย่าง คือ

๑ สบง ๒ จีวร ๓ ผ้าสังฆาฏิ ๔ รัดประคดเอว ๕ บาตร ๖ มีด ๗ ผ้ากรองน้ำ ๘ ด้ายกับเข็ม บริขารของพระภิกษุแปดอย่างเท่านี้ เอามาเทียบได้สำหรับคนที่ไม่ได้บวชนุ่งเหลือนุ่งขาว แต่ว่าบวชแบบนี้จะบอกให้ คือว่า เอากายกรรมสามเป็นสงบ วจีกรรมสี่เป็นจีวร มโนกรรมสามเป็นผ้าสังฆาฏิ ส่วนรัดประคดเอวก็คือขันติความอดทน และบาตรก็คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วก็อธิษฐานให้เป็นใบเดียวเสีย คือตั้งใจเป็นกลาง แล้วมีมีดโกน คือปัญญาเป็นเครื่องตัดกิเลสตัณหาทั้งปวง มีผ้ากรองน้ำ คือ มีโยนิโสมนสิการ ทำในใจให้แยบคายที่จะต้องพินิจพิจารณาเป็นอย่างยิ่งทีเดียว ไม่ว่ากิเลสประเภทหยาบ ประเภทกลาง หรือประเภทละเอียด อย่างนี้ก็ต้องตรึกตรอง ต้องรู้ต้องสอบสวน ส่วนด้ายกับเข็มไว้สำหรับร้อยให้กาย วาจาใจคงที่เป็นของบริสุทธิ์ ถ้าใครทำได้ครบถ้วน ก็จะเป็นพระโดยที่ไม่ต้องไปบวชกับใคร เป็นการบวชอย่างถูกต้องอยู่ในตัวเอง

เรื่องจตุปัจจัยสี่ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช และที่อยู่ที่อาศัยของกายนี้ ก็ขั้นหนึ่ง แต่ถ้ามีที่อยู่ที่อาศัยของกายอย่างเดียวแล้ว มันก็เป็นอยู่แค่ขั้นของโลกที่เขาอยู่กันอย่างโลกๆ ส่วนทางธรรมนี้ต้องมีจตุปัจจัยสี่เป็นเครื่องอยู่ภายในอีก ไม่ใช่ว่ามีแต่กายอย่างเดียว คือข้อที่หนึ่งต้องมี หิริโอตตัปปะ มีความละอายต่อบาป หรือมีความสะดุ้งกลัวต่อทุกข์โทษนานัปการ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ข้อที่สอง เมื่อมีศึลบริสุทธิ์แล้ว ความปีติ อิ่มใจ ความปราโมทย์ในธรรมก็ต้องมีขึ้น

ข้อที่สาม ที่อยู่ของใจก็คือ การทำกัมมัฏฐานที่เป็นเรื่อนชั้นใน หรือว่า เอาจิตที่เป็นสมาธิเป็นเรือนชั้นใน หรือว่า มิวิปัสสนาจิตเป็นเรือนชั้นใน คือว่า มีวิหารธรรมเป็นที่อยู่ของจิต ถ้าไม่มีวิหารธรรมสำหรับเป็นที่อยู่ของจิตแล้ว จิตมันจะเที่ยวเร่ร่อนไป ฉะนั้นจึงต้องมีวิหารให้มันอยู่ เช่นการทำกัมมัฏฐานเป็นตัน หรือว่าพิจารณาเห็นความจริง ตามรู้ตามเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนอยู่เนืองนิจ ข้อที่สี่มี พระธรรมโอสถเป็นเครื่องดับอกุศล และเพียรเจริญกุศล ที่เป็นเสมือนตัวยาที่คอยทำลายอกุศลทุกชนิด บริขารในด้านจิตใจมีอยู่อย่างนี้ แล้วเราก็สามารถที่จะอบรมทำได้ ไม่เป็นของเหลือวิสัย

เมื่อจิตอยู่ในการคุ้มครองของความมีสติ หรือมีปัญญาเป็นเครื่องรู้เครื่องเห็น ในลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์อยู่ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งภายในภายนอกแล้ว มันจะไม่ยึดถือ เช่น ขณะนี้ยังไม่มีความโลภเกิดขึ้น ความโกรธ ความหลงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มี นี่มันว่างจากกิเลสได้ แต่กิเลสมีต่อเมื่อขณะกระทบผัสสะ จึงต้องระวังผัสสะทางหู ทางตา นี้ให้มาก เช่นตาเห็นรูป มันไปยึดถือเข้ามาเป็นดี เป็นชั่วตัวตน เอาดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์โทษที่เกิดจากผัสสะ แต่จะต้องรู้ได้เพราะการปฏิบัติ จะต้องสำรวมระวังด้วยไม่ใช่รู้เฉยๆ รู้แล้วก็ต้องสำรวมระวังทางผัสสะให้มากที่สุด เพราะมันเป็นทวารที่รับเรื่องราวเข้ามายึดถือทั้งนั้น

แม้แต่หูนี่ก็ไวเหลือเกิน พระท่านจึงบอกว่า เป็นคนตาดีก็ให้ทำตาบอดเสีย หูดีก็ให้ทำหูหนวกเสีย ร่างกายแข็งแรงก็ให้ทำเป็นคนสิ้นแรงเสีย การทีไม่มีแรงนี่เองมันจึงไม่ทำตามตัณหา เพราะตัณหานี้ถ้ามันเข้ามาแล้วเรี่ยวแรงมันมาก เราจะต้องรู้อยู่ด้วยกันทุกคน เมื่อมันอยากจะเอา อยากจะทำอะไรมันต้องทำทีเดียว แรงมันยังกับยักษ์กับมาร การที่จะนั่งสงบสักชั่วโมงนี้ก็แย่แล้ว ทนไม่ไหว ปวดที่นั่นเจ็บที่นี่ หรือคิดไปฟุ้งซ่าน ถ้าทำตามตัณหา แม้กายจะเหนื่อยมันก็ไม่ยอมให้หยุด มันบอกว่าอีกประเดี๋ยวเอาให้แล้วก่อน ชั่วโมงหนึ่งก็แล้วสองชั่วโมงก็แล้วมันยังผัดไปได้ แต่ถ้านั่งนิ่งๆ นี่ไม่ได้ กิเลสมันคอยมายั่วแหย่ชักชวนให้เอาอะไรต่ออะไร ฉะนั้นอย่าได้มีความประมาทเลยในเรื่องนี้ ต้องพยายามปฏิบัติให้เป็นการสืบทราบว่า ฤทธิ์เดชของกิเลสตัณหามันมีอยู่ในสันดานอย่างไร สงบอยู่เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวมันก็หาเรื่องไปอีกแล้ว มันหาเรื่องปรุง เรื่องคิด เรื่องทำ เรื่องอยาก เรื่องเอาโน่นเอานี่อะไรสารพัดอย่าง แล้วมันอยู่ในกองทุกข์หรือเปล่า

เรื่องการศึกษาดูตัวเองนี้ มันมีให้ศึกษาอยู่ทุกเวลานาทีไม่เลือกเวลาไหน ถ้าศึกษารู้โรคร้ายภายในตัวเอง หรือรูปนาม เกิดดับอะไรเหล่านี้ ยิ่งศึกษาเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ แล้วมันจะต้องรู้จริงเห็นแจ้งว่า ไม่เที่ยงจริง เป็นทุกข์จริง ไม่ใช่ตัวตนจริง แต่ว่าต้องเจาะจง อย่าไปเอาเรื่องข้างนอก อย่าไปทำเรื่องข้างนอก ให้ทำงานในจิต ที่จะต้องศึกษา ต้องอดทนเหมือนคนที่ติดหมากพลู บุหรี่ น้ำชากาแฟ หรือเนื้อสัตว์อะไรเหล่านี้ มันเรื่องทำตามความอยาก แล้วมันว่าสบายดี เมื่อมันอยากขึ้นมา พอได้กินเข้าไป ก็ว่าสบายใจดี แต่ประเดี๋ยวมันอยากขึ้นมาอีกแล้วจะต้องกินอีก ถ้าได้กินเข้าไปอีกมันก็ว่าสบายดี แล้วก็ทำอยู่อย่างนี้ อยากเมื่อไรกินเข้าไปก็ว่าสบาย แล้วก็อยากอีก เพราะมันไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า ความอยากนี่เองมันเป็นตัวทุกข์ เหมือนกับคนที่อดหมากได้แล้วก็ไม่อยากกินอีก แล้วมันสบายตลอดไปไหม ไม่เหมือนกับขณะที่กินอยู่ กินเข้าไปก็หาย แต่ประเดี๋ยวก็อยากอีก ต้องพิจารณาให้เห็นทุกข์โทษของตัวเองจึงจะได้ แม้กิเลสขั้นหยาบๆ ก็ยังแย่แล้ว ตัณหามันยังดิ้นรนเลย จะเอาเอร็ดอร่อยไปหล่อเลี้ยงมันไว้ ติดดี เมาดี หลงดี นั่นแหละมันเป็นทาสตัณหาแล้วก็ไม่รู้สึก

เรื่องข้อปฏิบัตินี่มันจะต้องรู้สึกตัวหลายแง่หลายมุม จะเป็นทาสตัณหาอยู่ในสิ่งไหนเหล่านี้ก็ต้องรู้ มันต้องอ่านออกอยู่ในตัวเอง สติปัญญาจึงจะเกิดขึ้นมาได้ มันจึงจะทำลายตัณหาได้ มิฉะนั้นแล้วมันยุ่ง มันแส่ส่ายเก่งที่สุด แล้วมันก็อ้างเหตุว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ มันจาระไนไปทีเดียว จึงต้องมีความอดกลั้นบรรเทาลงบ้าง มันจะยุแหย่แส่ส่ายไปในอะไรไม่เอา ต้องหยุด บอกให้หยุด ต่อให้ดีวิเศษก็ไม่เอา ต้องหยุด ต้องบอกกับตัวกูอย่างอย่างนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมดแล้วก็พิจารณาไปว่ามันมีอะไรจริงจังที่ไหน มันหลอกขึ้นมาแล้วก็เชื่อไปทำตามมัน มันก็เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีกก็ว่าสบายดี มันจะโง่ไปถึงไหน จะหลงไปถึงไหน ตามตัวกูนี่แหละดู ไม่ต้องไปถามคนอื่น ถ้ายังดิ้นรนจะเอาอะไรอยู่ก็ถามมันดูว่า “มึงจะเอาอะไร ?” ถามไปถามมา แล้วมันก็หยุดไป แล้วมันว่างไปเลย เอาให้มันรู้ให้ได้ ว่ามันเกิดขึ้นมาหรือมันดับไปอย่างไร เพราะว่ามันจะต้องรู้ของตัวเองได้จริงๆ แต่นี่มันไม่ได้หยุดดู หยุดรู้ มันเสือกทะเล้นไปเที่ยวยึดมั่นถือมั่น

ถ้ามันหยุดดู หยุดรู้ แล้วมันดับหมด ว่างหมด เรื่องของความจริงมันตรงอยู่อย่างนี้เดี๋ยวนี้ แล้วมันจะน่ารู้ไหม ที่กำลังพูดกำลังฟังกันอยู่นี่ มันน่าดูสักเท่าไร มันไม่มีอะไรดับหมด จะไปเอาเรื่องอะไร เพียงแต่ลืมนัยน์ตาขึ้นดูก็เห็น การเบิกลูกตานี่ ไม่ใช่เอาตาเนื้อไปดูหรอกนะ ตาในโน้นมันจึงจะเห็น ส่วนตาเนื้อนี่ มันตาบอด เพราะมันมองเห็นแล้วมันก็ยังเที่ยวยึดถือไป ฉะนั้นจึงต้องมองเห็นด้วยตาใน ตาของสติปัญญาโน่น เพราะตาในมันไม่เอาเรื่องอะไร มันเห็นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น ตาในมันดูของมันอย่างนี้ แต่ว่าตานอกมันมีเรื่องยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น แล้วก็หลงดู หลงรู้ไป หูก็เหมือนกันเที่ยวฟังไป เรื่องหลอกเรื่องลวงเรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องตัวตนในที่สุดดับหมด หูก็ดับ ตาก็ดับไม่มีจริง ตลอดจนกลิ่น รส สัมผัสกาย หรือว่าธรรมมารมณ์ก็ล้วนเป็นความว่างไม่มีอะไร ความโง่หลงยึดถือให้เกิดทุกข์แก่ตัวเอง แต่ถ้ารู้อะไรให้ถูกต้องแล้วมันกวาดทิ้งหมด ดับหมด ว่างหมด จิตมันว่างเพราะมันไม่ยึดมั่นถือมั่น ดี ชั่ว ตัวตนอะไร เป็นความว่างไม่มีใครสร้างขึ้นมา แต่พอปล่อยวางอะไรหมด แล้วมันก็ว่างเอง ไม่มีใครไปทำ ไม่มีใครไปจัดแจง

ฉะนั้น เรื่องตาข้างในนี่มันพิเศษ มันมองอะไรทะลุไปได้ แม้ว่าจะตาบอดมานาน แต่พอมันได้อบรมข้อปฏิบัติมีการพิจารณา เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างไร แต่ต้องอบรมต้องเพียร ไม่ใช่รู้เองได้ เมื่ออบรมให้เหมาะสมแล้ว ความรู้พิเศษที่เป็นสติปัญญา มันก็เจริญขึ้นมาทำลายฝ่ายอกุศลได้ ส่วนอกุศลก็คือหนทางนรก ฝ่ายกุศลก็คือทางสวรรค์ ทีนี้นิพพานนี่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล เป็นโลกุตตรกุศล หรือเรียกว่าอัพยากฤตเป็นพิเศษ ฉะนั้นเรื่องกุศล อกุศล หรือนรก สวรรค์นี่เป็นโลก คือว่ามันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง แต่นิพพานหรืออัพยากฤตนี้ พ้นไปจากความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ให้ยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน ล้วนแต่จะต้องศึกษาพิจารณาให้รู้ ทั้งอกุศลและกุศลก็ต้องให้รู้ แล้วก็ละ ปล่อยวาง แม้จะต้องใช้กุศลเป็นเครื่องมือละอกุศลก็ตาม แต่เมื่อเป็นไปในทางอัพยากฤต คือ เป็นนิพพานแล้ว ทั้งกุศลและอกุศลและอัพยากฤตก็หมดความหมาย คือเป็นสภาวธรรมเท่านั้น ไม่ยึดถือเป็นตัวตนแล้วมันว่าง อย่างนี้มันจะน่าศึกษาน่าปฏิบัติหรือไม่ ที่จะต้องละอกุศล แล้วเจริญกุศลให้เต็มที่ขึ้นมา แล้วมันจะออกผลเป็นนิพพาน คือความพ้นทุกข์

แต่ในระหว่างกำลังปฏิบัตินี้ จะต้องอดทนต่อสู้กับกิเลส ตัณหา อุปาทาน มากมายและทั้งอารมณ์ ที่มากระทบดีชั่วอย่างไรที่จะก่อให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ นี่มันจะต้องศึกษาอยู่ในตัวเองทั้งหมด เมื่อมันกำลังกระทบกับผัสสะ ทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษขึ้นมาอย่างไร มันยึดถือดีชั่วตัวตนขึ้นมา ถ้าศึกษาปฏิบัติให้ถูกต้องแล้ว ในชีวิตประจำวันนี้ ก็จะได้กำไร คือความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ได้กำไรเป็นเงินเป็นทอง เป็นข้าวเป็นของ ได้ความพ้นทุกข์ที่จิตใจนี่เอง และเมื่อมองออกมาทางกาย ทางวาจา ก็เป็นความบริสุทธิ์ถ้าไม่บริสุทธิ์ในสิ่งอะไรในแง่ไหนแล้ว จะต้องรู้ เหมือนผ้าขาวที่เปื้อนเปรอะอะไรก็ต้องรู้เพราะเห็นง่าย จึงต้องซักต้องฟอกออกทันทีไม่เก็บเอามันไว้

แต่จะต้องมีความรอบคอบอยู่ในตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่หลับหูหลับตาว่าเอานึกเอาเดาเอาต้องสอบสวนอยู่ในตัวเอง นั่นแหละจึงจะเป็นประโยชน์ว่าได้มีชีวิตมามีการปฏิบัติธรรมเป็นการถ่ายถอนอาสวกิเลสในสันดานให้เบาบางเรื่อยไป แล้วก็ชักชวนกันปฏิบัติ ไม่ต้องการสิ่งอื่น ถ้าอยากจะพ้นทุกข์จริงๆ ก็ต้องแบบนี้ อย่าไปทางโลกเลย ทางนรก สวรรค์นั้นมันทางโลกทั้งนั้น จึงให้เดินไปสายกลางนี่เป็นทางที่ดับทุกข์ดับกิเลส เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

รู้ความจริงอย่างนี้ จึงไม่ใช่การเรียนรู้มากตามตำรับตำราเลย ถึงจะอาศัยข้อความตามตำราซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้าง ก็เอามาสอบเข้ากับจิตใจของตัวเอง โดยไม่ต้องมากหัวข้อ สอบเรื่องไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของขันธ์ห้าก็พอแล้ว ให้มันรู้จริงอย่างถูกต้อง อย่าให้มันรู้ผิดเห็นผิดไป มันเรื่องเท่านี้ เพราะที่มันทุกข์ๆ อยู่นี่ ก็เพราะรู้ผิด จำผิด เห็นผิด แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเรา ตัวเขา แต่พอรู้ถูกเห็นถูกแล้วมันกวาดทิ้งปล่อยวางไป ก็พิจารณาดูในขณะนี้ ว่าจิตใจมันว่างเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น มันไม่วุ่นไม่วาย ไม่รักนั่นชังนี่ ดี ชั่วปล่อยวางไป แล้วจิตมันก็ว่างได้เดี๋ยวนี้ เป็นการสอบได้ในตัวเอง ถ้ามันไม่สอบให้รู้จริงในเรื่องนี้ มันจะเที่ยวยึดถือ ให้เกิดทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ แล้วจะไปโทษใคร

ฉะนั้นจึงต้องพูดจาหารือกันให้รู้เรื่องข้อเท็จจริงในตัวเอง ไม่อมพะนำเอาไว้ ผิดก็ไม่รู้ ถูกก็ไม่รู้ แล้วก็ชักชวนกันไปในทางผิดๆ เป็นคุ้งเป็นแควไปทีเดียว นี่ชักชวนให้มาทางถูก อย่าไปตามพวกกิเลสตัณหานักเลย มันจะลากไปตกเหวตายหมด จึงต้องชี้ช่องบอกทางให้ขึ้นมาทางนี้ ทางธรรมทางวินัยของพระพุทธเจ้านี่ อย่าไปทางยักษ์ทางมาร อย่าไปเชื่อปีศาจมันหลอก ว่านั่นดีจะเอา นี่ไม่ดีไม่เอา นั่นแหละปีศาจของตัณหามันหลอกมันลวง ถ้าใครเชื่อมันก็ไปเถอะ ไปเป็นพวกเดียวกัน แต่ถ้าใครเกิดสติปัญญา พิจารณาเห็นว่าไม่ไหว ถูกปีศาจมันหลอกลวงใหญ่แล้ว ต้องหยุดทันที พอมันยอมหยุดได้ก็หายเหนื่อย เป็นการดับทุกข์ได้ จึงต้องพูดซ้ำซากในเรื่องนี้

ถ้ายิ่งพูดจี้เข้ามาหาตัวกูได้เท่าไร นั่นแหละมันเบิกหนทางถางป่า ถ้ามันรกอยู่ เพราะมันยังไม่รู้ หมั่นปล่อยวางกวาดทิ้ง มันว่าง ปีศาจผีเสื้อที่มันค่อยหลอกคอยหลอนมันก็หายไปหมด มันก็ดับไปหมด ถ้าไม่หยุดแล้วผีเสื้อมันหลอกตาย หลอกให้หลงในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสกาย แล้วก็เพ้อไปตามๆ กัน ชักชวนไปตามๆ กัน นั่นก็ดี นี่ก็ดี นี่ไม่ดีกูไม่ชอบ นี่ผีเสื้อมันหลอกซับหลอกซ้อนอยู่ทั้งนั้น แล้วก็โดนมันหลอกจนแย่ จึงมีความเข็ดหลาบ แม้ว่ามันจะเข็ดหลาบแต่ส่วนหยาบๆ ก็ยังมีอยู่อีก ละเอียดก็ยังมีอยู่อีก จะอวดดีไปไม่ได้

ผีเสื้อยักษ์นี่มันร้ายเหลือเกิน มันยักน้ำกระสาย มีมายาสาไถยมากมายทั้งภายนอกภายใน ถ้าจับผีเสื้อยักษ์ได้แล้วจึงจะรู้คุณของข้อปฏิบัติ จะรู้คุณธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ถ้ายังจับไม่ได้แล้ว ก็ยังไม่รู้หรอกว่าไปเปล่าๆ จะสรรเสริมคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าจะมอบกายถวายชีวิตก็ว่าไปเพ้อๆ ถ้าหากรู้เรื่องนี้ได้แล้ว จะต้องกวาดล้างนางผีเสื้อยักษ์นี่ดับไปให้ได้แล้วก็จะโล่งอกโล่งใจ แต่ถ้าตัวนี้มันมาหล่ะก็ยุ่งใหญ่ทีเดียว อยากโน่นอยากนี่เอาโน่นเอานี่ พอผีเสื้อนี่ดับไป แล้วก็ว่างหมด ไม่เอาอะไรเลย มันทั้งว่างทั้งโล่งอกโล่งใจ มันเรื่องอย่างนี้ พูดให้เบิกลูกนัยน์ตาดูกันทุกคน ถ้ามีตาในแล้วดูได้ทุกคน เห็นได้ทุกคน แต่ถ้าไม่มีแล้วมันก็มืดตื๋ออยู่นั่นเอง มันก็ปั้นน้ำเป็นตัวยั่วแหย่อยู่

ฉะนั้นถ้าจะพูดถึงข้อปฏิบัติด้านในแล้ว เมื่อยิ่งพูดมันก็จะปลุกให้จิตใจมีการตื่นตัวรู้สึกตัวที่จะต้องเข่นฆ่านางผีเสื้อยักษ์ที่มันหลอกลวง ทางหู ทางตา มันทำให้มีสติปัญญาเกิดขึ้น รู้จักพอ รู้จักปล่อยวาง แล้วจิตใจก็ว่างเปล่า มีอยู่แต่จิตว่างๆ อยู่ในขณะนี้ ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในความมีตัวตนนี่ ดับหมดไม่ต้องการอะไร ไม่เอาอะไร ข้อสำคัญก็คือว่า ต้องรักษาภาวะของจิตที่มีความว่างอยู่เดี๋ยวนี้ มีความสงบอยู่เดี๋ยวนี้ให้ติดต่อไปทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน มันเรื่องต้องรักษาเหมือนกัน มิฉะนั้นประเดี๋ยวลุกขึ้นแล้วผีเสื้อยักษ์มันจะมาเข้าสิงอีก ระวังให้ดี ว่างๆ โปร่งๆ อยู่อย่างนี้ ระวังผีเสื้อยักษ์มันจะเข้ามา มันจะเข้ามาหลอกลวงเอานั่นดี นี่ชั่วตัวตนอะไรสารพัด เวลาจะเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถก็ต้องรักษาภาวะของจิตที่ว่าง ที่สงบให้ติดต่อ รักษาสิ่งนี้ไว้ก่อน เพราะมันเป็นของสำคัญ กว่าจะรู้จะเห็นของตัวเองขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่ง่าย การที่จะรับฟังจริงหรือจะรู้จริง ก็ไม่ใช่ง่ายอีกเหมือนกัน มันต้องเป็นการรับฟังด้วยจิตใจที่ว่าง ซึ่งก็ยังไม่ใช่ง่ายเลย และไม่ใช่จะมีกันได้ทุกคน

ฉะนั้นเรื่องของการปรารภธรรมะ ในด้านที่จะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่ใช่เป็นการรับฟังกันได้ทั่วไป เพราะว่ามันแล้วแต่สติปัญญาของคนฟัง ที่จะรู้ได้ขั้นไหน ถ้ายังมีทิฏฐิมานะมากมันก็ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจ แต่มันก็ไม่เอา ถ้าทิฏฐิมานะเบาบางมันก็ดับได้ ปล่อยได้ วางได้ ว่างได้ แล้วก็ไม่ไปคว้าเอาอะไรมายุ่ง มาปรุง มาแต่งมายึดถืออีก ทิ้งไปแล้ว ดับไปแล้วก็แล้วไป ไม่ต้องไปยึดมันขึ้นมาอีก ถ้ามีความรู้จริงอย่างนี้ได้ ก็รักษาหลักความรู้ได้เรื่อยไป ควบคุมไว้พิจารณาไป ปล่อยวางทุกขณะไปหมด เป็นการเจริญสติได้เต็มที่ ความเพียรเต็มที่มีปัญญาสอดส่องเต็มที่

ก็หวังว่าผู้ปฏิบัติคงจะมีความเข้าใจในคำพูดมาแล้วตัวแต่ต้นจนจบนี้ ถ้าเป็นความเข้าใจจริงแล้วจิตใจมันว่าง มันสงบจริงก็ขอให้ภาวะจิตอย่างนี้มีการทรงตัวตลอดไปทุกๆ ขณะเถิด



.................................................

คัดลอกมาจาก ::
//www.dharma-gateway.com/




 

Create Date : 26 เมษายน 2553   
Last Update : 26 เมษายน 2553 10:57:50 น.   
Counter : 779 Pageviews.  


ไม่มีใครเหลียวแลใจ

ทางพระวงกรรมฐานเราก็ได้ช่วยชาติบ้านเมืองมาเต็มกำลังความสามารถ ตั้งแต่เริ่มช่วยชาติมา เดินตามเราไปนั่นแหละ ทีนี้ก็รู้สึกว่าเบาบางลงบ้างแล้วในงานช่วยชาติ เพราะฉะนั้นให้เร่งมาช่วยตัวเอง จิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก พุทธศาสนานี้เลิศเลออยู่ที่จิตตภาวนา ใครไม่ดูจิตเสียก่อนแล้วโลกอันนี้เป็นไฟตลอดไป โลกมันร้อนเพราะอะไร ไม่ได้ดูจิตของตัวเองด้วยธรรม ถ้าดูจิตของตัวเองก็เท่ากับน้ำดับไฟ ดังที่ท่านสอนในวงพุทธศาสนาเรียกว่าภาวนา คือการอบรมจิตใจ ให้ดูตัวเหตุมหาเหตุ ฟืนไฟเผาไหม้อยู่ นรกทั้งเป็นอยู่ที่หัวใจสัตว์แต่ละดวงๆ ไม่มีน้ำดับ มีตั้งแต่ไฟก่อตัวตลอด

ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไฟสามกองนี้เผาทั่วโลก โลกวิ่งหาตั้งแต่ความสุข แต่เสริมไฟอันนี้ตลอดเวลาแล้วเอาความสุขมาจากไหน นี้คือไฟ พุทธศาสนาเท่านั้นที่เลิศเลอสุดยอด เราประกาศป้างเลย หัวขาดขาดไปตามพระพุทธเจ้า จะให้มอบไปอย่างอื่นเราไม่มอบ ได้พิจารณาค้นคว้าทางด้านจิตตภาวนาตั้งแต่วันออกปฏิบัติ มีพ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นโรงงานใหญ่สำหรับจิตตภาวนา ให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายได้พอรู้เนื้อรู้ตัว

ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่กระจายไปทุกภาค ล้วนแล้วตั้งแต่ออกจากพ่อแม่ครูจารย์ซึ่งเป็นโรงงานใหญ่นี้ทั้งนั้นในการอบรมจิตตภาวนา นี่เป็นสำคัญมาก ถ้าไม่ได้ดูจิตใจแล้วโลกอย่าอวดนะ ใครว่าเจริญที่ไหนเจริญด้วยไฟเผาหัวอกมันนั่นเองแหละ ผู้ที่ว่าเจริญๆ นั้นละคือไฟเผาหัวอกมัน อย่าเอามาอวดธรรมนะ โลกสามแดนโลกธาตุอย่าเอามาอวดธรรม ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม

คุ้ยเขี่ยดูซิพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่จริง คุ้ยเขี่ยลงไปที่จิตตภาวนาตามทางที่ท่านสอน จะเปิดจ้าขึ้นหมด พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะปรากฏที่นั่นหมด เหมือนกับแม่น้ำมหาสมุทรจ่อมือลงไปเท่านั้นถึงกันหมดเลย นี้จ่อความรู้ทะลุเข้าไปตรงนั้นแล้วถึงพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ไปหาท่านทำไม เอาตรงนี้นะ จิตตภาวนาเป็นสำคัญ นักบวชกรรมฐานนี้ละ ที่เรียกว่ากรรมฐานๆ สำคัญนะ ผู้นี้เป็นผู้ที่มุ่งมั่นหนักแน่นเกี่ยวกับเรื่องจิตตภาวนาเพื่อมรรคผลนิพพาน เอาให้เห็นที่จิตใจซิน่ะ

สอนมานานเท่าไร ๒๕๐๐ กว่าปีแล้วพระพุทธเจ้าสอน มีแต่พวกหูหนวกตาบอดไม่สนใจฟัง มิหนำซ้ำยังเอามูตรเอาคูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ราคะตัณหา เข้าไปทับถมธรรมของพระพุทธเจ้าจนไม่มีเหลือ เวลานี้ธรรมเหลือที่ไหนในโลก มันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟออกจากกิเลสทั้งนั้นเต็มโลกเต็มสงสาร มันยังเป็นบ้ากันอยู่หรือมนุษย์เราเดี๋ยวนี้ เราอยากพูดอย่างนั้น นี่มันจวนจะตายแล้วนะหลวงตาบัว จะนำธรรมออกมาให้โลกทั้งหลายได้ฟัง พุทธศาสนานี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ค้นเข้าไปที่จิตตภาวนาซิถ้าท่านทั้งหลายอยากเห็นความเลิศเลอ อย่าวิ่งไปตามกิเลส อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี มันตายกองกันอยู่นี้มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นแหละ แล้วเอาความมั่งความมีมาอวดกัน เอาไฟมาอวดกัน ตัวเองว่ามั่งว่ามี เหยียบหัวคนอื่น กัดตับกัดปอดคนอื่นไป ตัวว่ามั่งว่ามีก็ว่าเอาเฉยๆ หัวใจมันไม่ได้มีความสงบร่มเย็นแหละถ้าไม่มีธรรม ธรรมเป็นของสำคัญมาก ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจปฏิบัติ

เอาลงที่หัวใจนะ สติติดแนบตลอดดูซิน่ะ จิตมันจะแสดงอะไรขึ้นมา มหาเหตุอยู่ที่จิต ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา คลังใหญ่ของมันอยู่ที่จิต ธรรมะก็เหมือนกันจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เกิดที่จิต พิจารณาที่จิต จะได้เห็นของแปลกประหลาดภายในจิตใจนี้เอง หาของเลิศของเลอของดิบของดี หาทั่วโลกดินแดนไขว่คว้าทั้งนั้น เป็นเงาลมๆ แล้งๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรกิเลสพาหา หาไปๆ ก็ฟาดให้จมๆ ได้เท่าไรไม่พอๆ เขยิบๆ สูงพอสมควรแล้วตูมเดียวลงนรกอเวจีทั้งเป็นเลย นี่กิเลสหลอกสัตว์โลก ธรรมไม่มี ตั้งแต่สมถธรรม วิปัสสนาธรรมขึ้นไปเรื่อยๆ

สมถะคือความสงบใจ ถ้าใจสงบโลกนี้เย็น ถ้าใจไม่สงบ ใครจะว่าโลกนี้เจริญขนาดไหนก็คือไฟเจริญเผาหัวอกมนุษย์นั่นแหละ อันนี้พูดให้ชัดเจนไม่สงสัย เปิดออกมาจากหัวใจที่คุ้ยเขี่ยขุดค้นมาเต็มกำลังความสามารถแล้ว ประจักษ์ในใจแล้วจึงไม่สงสัย ใครจะว่าบ้าก็ว่าไป ปากเขาว่าบ้า ปากอมขี้มันจะว่าก็ช่างหัวมันเถอะ เราปากอมธรรมใจอมธรรมจะผิดไปไหน ธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก พระพุทธเจ้าเรียกว่าปากอมธรรม สาวกปากอมธรรม สอนโลกให้มีธรรมในใจ

ทุกคนให้ตั้งใจปฏิบัตินะ อย่าเหลาะแหละๆ นะพระ ให้ขวางตาๆ ไปที่ไหนให้มีสติติดตัวเองๆ นี่ผู้มีค่ามีราคาสำหรับพระเรา ความเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนสติให้ติดแนบๆ กับธรรมบทใดก็ตามผู้ที่เริ่มต้นตั้ง เช่นคำบริกรรม ติดกับคำบริกรรมไปเรื่อยๆ ผู้มีฐานแห่งความสงบแล้วสติติดอยู่กับความสงบคือสมาธิ ติดอยู่นั้น จากนั้นก้าวออกทางด้านปัญญาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ ในโลกธาตุนี่มันเป็นบ้ากันนักหนา ธาตุขันธ์นี่มันเป็นอะไร ดูธาตุขันธ์ของเรานี่ ภูเขาภูเรามันกระจายไปหมดแล้วก็จะหายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่าง

จิตเมื่อได้หลักแล้วมันจะปล่อยสิ่งเลวร้าย ที่เข้าใจว่าเป็นของดิบของดีเข้ามาๆ มันไขว่โน้นคว้านี้ๆ นั่นละหาที่ยึดที่เกาะของจิต วัตถุจะมาเป็นที่ยึดที่เกาะของจิตได้ยังไง วัตถุเป็นด้านวัตถุ ธาตุขันธ์ของเรานี้เข้ากันได้ การอยู่การกินการหลับการนอนเหล่านี้เรียกว่าปัจจัยเครื่องอาศัยของธาตุขันธ์นี้ได้ แต่เรื่องที่จะให้อาศัยทางด้านจิตใจนี้ไม่มีทางถ้าไม่ใช่บุญกุศลเท่านั้น ถ้าบุญกุศลแล้วแน่นอนๆ นี่ละติดแนบกับใจ ใจเป็นของสำคัญ ไม่มีใครเหลียวแลนะโลกอันนี้ โลกกิเลสตัณหา หัวดิ่งลงมหาสมุทรทะเลหลวงแห่งความล่มจมทั้งนั้นแหละไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

ยิ่งจวนจะตายเท่าไรยิ่งสลดสังเวชนะเรา มองดูโลกเราดูจริงๆ ไม่ได้ดูธรรมดา ใครจะว่าหลวงตาบัวเป็นบ้า เอ้า ว่าไป ปากเขาไม่ใช่ปากเราหัวใจเรา เราเป็นผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาธรรมที่เลิศเลอมาเต็มหัวใจ ใครจะว่าอะไรว่าไปปากของเขา ปากไม่มีพุทโธ ปากไม่มีธัมโม สังโฆ มีแต่ปากขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ว่าไปเท่าไรก็ขี้เต็มตัวๆ พากันจดจำเอานะทุกคน

ดูหัวใจบ้างซิ ชาวไทยเรานี้เป็นชาวพุทธๆ เสียส่วนมาก ไม่เคยดูหัวใจ จิตตภาวนาเป็นยังไง แม้แต่พระหัวโล้นๆ มันก็ภาวนาที่ไหน มันดิ้นไปตามโลกตามสงสาร วัดเลยกลายเป็นส้วมเป็นถาน พระเณรกลายเป็นมูตรเป็นคูถยังไม่รู้ตัวอยู่เหรอในเมืองไทยของเรานี่ สร้างวัดขึ้นมาที่ไหนนั่นละสร้างส้วมสร้างถาน ตัวพระตัวเณรนั่นละทำตัวเหลวแหลกแหวกแนว ก็เป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในส้วมในถาน แล้วก็ว่าวัดๆ มันวัดขี้หมาอะไร มีแต่พระเณรขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงโลเลโลกเลกอยู่ในวัดนั่น มันประเสริฐอะไร เลิศเลออะไร

นอกจากนั้นสร้างวัดก็เอาวัตถุมาอวดกัน ศาสนวัตถุ ถ้าเป็นวัตถุทางด้านศาสนาเรียกว่าอนุโลม ไม่ใช่ศาสนธรรม ธรรมแท้ดูตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง ฟิตตัวเอง แก้ไขดัดแปลงตัวเอง นี้เรียกว่าธรรมแท้ ศาสนธรรม สอนหัวใจของเราให้มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบในการละชั่วทำดีเป็นลำดับลำดาไป นี่เรียกว่าศาสนธรรม เอานี้มาสอนซิสอนเรา นี่ไปหาลูบหาคลำหาเกาตั้งแต่วัตถุภายนอก อันนั้นดีอันนี้ดี เป็นบ้ากัน ว่าเป็นศาสนธรรมก็เพียงอนุโลม มันศาสนกิเลสนั่นน่ะ ถ้าลงได้สร้างนี้ขึ้นมาสั่งสมกิเลสทั้งนั้น แล้วก็กวนบ้านกวนเมือง

คนนั้นห้าคนนี้สิบ อาตมาสร้างโบสถ์นะโยม อาตมาสร้างศาลาหลังนั้นหลังนี้ เท่านั้นชั้นเท่านี้ชั้น นี่มันไม่ได้หาอรรถหาธรรม มันหาตั้งแต่วัตถุอิฐปูนหินทราย แล้วไปกวนบ้านกวนเมือง เลยกลายเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมืองไป รู้ตัวหรือยังเดี๋ยวนี้พระเราน่ะ พระกวนบ้านกวนเมืองคือพวกเรานี่แหละ เอาละเทศน์เท่านี้

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙

ที่มา //www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3791&CatID=2




 

Create Date : 23 เมษายน 2553   
Last Update : 23 เมษายน 2553 19:26:07 น.   
Counter : 455 Pageviews.  


1  2  

สติมา
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




อาตาปี สัมปชาโน สติมา
เพียรเผากิเลสด้วยความรู้สึกตัวมีสติ
[Add สติมา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com