โรคจากแสงแดด
แสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมายังโลกมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์สัตว์ พืชพันธุ์บนโลกอย่างมหาศาล ให้ความสว่าง ให้ความอบอุ่นทำให้เกิดวัฏจักรของน้ำอย่างการเกิดฝนช่วยให้พืชสามารถสังเคราะห์แสงเพื่อเป็นอาหารแก่เรา ช่วยฆ่าเชื้อโรคช่วยสร้างวิตามินดี ทำให้กระดูกแข็งแรง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยให้ระบบหายใจทำงานดีขึ้น กระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟินทำให้ร่างกายตื่นตัว มีจิตใจเบิกบานและยังมีประโยชน์อื่นอีกมากมายแต่ในขณะเดียวกันก็มีโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากแสงแดดโดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนตลอดทั้งปีในฉบับนี้ผมจึงอยากให้ความรู้ถึงโรคภัยที่มาจากแสงแดดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคทางผิวหนังเนื่องจากเป็นอวัยวะของร่างกายเราที่สัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเพื่อที่เราจะได้ป้องกันดูแลสุขภาพร่างกายและผิวของเราให้แข็งแรงแลดูอ่อนเยาว์ไปตลอดครับ โรคที่เกิดจากแสงแดด 1. กระ และ ฝ้า (Freckles and Melasma) กระแดดและฝ้าที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุจากการที่รังสียูวีบีไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลาโนไซต์ (Melasma) ให้ผลิตเม็ดสีเมลานิน(Melanin) ซึ่งอยู่ในผิวหนังชั้นนอกส่วนล่าง(Epidermis)ให้ทำงานมากผิดปรกติเมื่อมีเมลานินมากขึ้น ผิวก็จะยิ่งมีสีเข้มขึ้นเมื่อมองดูจากผิวหนังด้านบนจึงเห็นผิวหนังมีสีไม่เท่ากัน ซึ่งแยกออกเป็น 2 ชนิดตามลักษณะดังนี้ 1.1 กระมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลหรือสีดำ มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม.พบได้บริเวณใบหน้าและผิวหนังส่วนต่างๆ ที่โดนแสงแดดเป็นประจำโดยทั่วไปแล้วเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก เป็นกรรมพันธุ์ในครอบครัวพบมากในคนผิวขาว และจะมีปริมาณและสีที่เข้มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นหรือถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด 1.2 ฝ้า มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้มพบได้บริเวณใบหน้าตรงโหนกแก้มหน้าผาก จมูก และเป็นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ ฝ้าตื้นหรือฝ้าแดดเกิดจากแสงแดด ฝ้าลึก เกิดจากฮอร์โมนหรือสารเคมี และฝ้าผสมเกิดจากการเป็นฝ้าทั้งสองชนิดซ้อนทับกัน 2. รอยเหี่ยวย่น (Wrinkle) แสงแดดเป็นอนุมูลอิสระรังสียูวีจากแสงแดดไปทำลายคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในชั้นผิวหนังทำให้ผิวขาดความเต่งตึงเกิดการหย่อนคล้อยนอกจากนี้รังสียูวียังไปทำลายอีลาสตินซึ่งเป็นเส้นใยโปรตีนที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นถูกทำลายเป็นเหตุให้ผิวไม่กระชับ เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นขึ้น เห็นเป็นตีนกาตามใบหน้าและรอบดวงตา 3. ผื่นแพ้แดด(Photodermatitis) เป็นลักษณะของผื่นแพ้สัมผัส(AllergicContact Dermatitis) เมื่อผิวหนังสัมผัสกับสารชนิดหนึ่งแล้วโดนแสงแดดจนเกิดปฏิกิริยาการแพ้ในการสัมผัสกับแสงแดดก่อให้เกิดผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบขึ้นมาทันที อาการผื่นแพ้แดดที่เกิดขึ้นคือ บวมแสบร้อนที่ผิวหนัง มีผื่นแดงขึ้น อาจมีตุ่มน้ำเล็กๆใสๆขึ้นด้วย 4. ผิวไหม้จากแสงแดด (Sun Burn) แสงแดดสามารถให้ความอบอุ่นเราได้แต่ถ้าเราอยู่ในที่แจ้งได้รับแสงแดดที่ร้อนมากและเป็นระยะเวลายาวนานโดยขาดความระมัดระวังก็จะทำให้ผิวหนังบริเวณที่สัมผัสแสงแดดร้อนมากขึ้นจนเกิดอาการผิวไหม้ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ระดับ 1มีการอักเสบเล็กน้อย มีอาการแดงหรือรู้สึกว่าคันที่ผิวหนัง ระดับ 2ผิวปวดแสบปวดร้อนและมีลักษณะบวมแดง วันต่อๆมาผิวหนังบริเวณนั้นจะลอก ออกเป็นขุย ระดับ 3 ผิวพุพองเหมือนโดนน้ำร้อนลวกเมื่อแกะออกจะเกิดแผล ทำให้ติดเชื้อและอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้ 5. มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) หากผิวหนังสัมผัสแดดที่ร้อนเป็นประจำโดยไม่ได้ป้องกันผิวหนังบริเวณนั้นอาจเกิดความผิดปรกติขึ้น ทำให้กลายไปเป็นมะเร็งผิวหนังได้โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นไฝ มะเร็งผิวหนังมีหลายชนิดที่พบบ่อย ได้แก่มะเร็งผิวหนังชนิดสเควมัสเซลล์ Squamous cell carcinoma, ชนิดเบซัลเซลล์Basal cellcarcinoma, ชนิดเมลาโนมา Malignant melanoma 6. โรคต้อกระจก (Cataract) ตาของมนุษย์ไม่เพียงแต่ได้รับแสงที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์โดยตรงเท่านั้นแต่ยังได้รับแสงจากการตกกระทบด้วย แสงแดดเป็นอันตรายต่อกระจกตาและเลนส์แก้วตาหากตาได้รับรังสีอุลตร้าไวโอเลตโดยที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ก็จะเป็นอันตรายต่อดวงตาเกิดโรคต้อกระจกขึ้นได้ 7. โรคลมแดด (Heat Stroke) เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส แสงแดดและความร้อนทำให้ร่างกายขาดน้ำทำให้เป็นลมแดดหรือตะคริวแดด พบบ่อยในผู้สูงอายุและมีโรคเรื้อรังโรคลมแดดยังเกิดขึ้นจากการออกกำลังที่หักโหมเกินไปในกุล่มผู้ใช้แรงงานและนักกีฬาโดยมีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หน้ามืด เป็นลม 8. โรคลูปัส(Systemic lupus erythematosus, SLE) โรค SLE หรือโรคพุ่มพวงเป็นโรคภูมิต้านทานตนเองทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง ส่งผลร้ายต่ออวัยวะต่างๆในร่างกายของผู้ป่วย ผู้ป่วยโรคนี้เมื่อสัมผัสแสงแดดจะเกิดผื่นแดง บวมได้ง่ายโดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้มและดั้งจมูก โรคที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นโรคที่เกิดจากแสงแดดบางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ระวังและไม่ได้ป้องกันแสงแดดที่แรงๆผมเคยรักษาฝ้าและกระให้กับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องนี้ ในคลินิกผิวพรรณความงามกว่าจะรักษาฝ้าและกระให้จางลงได้ ต้องใช้เวลาในการรักษายาวนาน 1-2 เดือนให้ใบหน้าขาวใสขึ้น ทั้งทำทรีทเม้นท์ ยิงเลเซอร์ให้ครีมรักษาฝ้ากลับไปใช้ต่อที่บ้าน แต่ช่วงเวลาเพียงแค่ 1 วัน ที่โดนแดดแรงๆจากการไปเที่ยวทะเลโดยที่ไม่ได้ใช้ครีมกันแดด ฝ้าและกระกลับมาเข้มเหมือนเดิมต้องเริ่มต้นทำการักษาใหม่อีกครั้ง เสียทั้งเวลาและเงินทองในการรักษา ดังนั้นผมจึงอยากแนะนำให้ป้องกันภัยที่มาจากแสงแดดก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นแล้วค่อยทำการรักษาและทางเลือกที่ง่ายที่สุดนอกจากการหลีกเลี่ยงการรับแสงแดดโดยตรง นั่นก็คือการทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงพอในการปกป้องผิวของเราครับ ขอบคุณความรู้ดีๆจากนพ.สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ นิตยสารSuccessMore(ฉบับที่ 6 หน้า20)
Create Date : 05 ธันวาคม 2557 |
Last Update : 5 ธันวาคม 2557 15:13:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 257 Pageviews. |
|
|