บล็อกนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมา เพื่อโต้แย้งพระเพียงองค์เดียว
ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณทุกๆท่าน ที่แวะเข้ามาที่บล็อกนี้ ด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม ทั้งท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็น และไม่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

ได้มีผู้สงสัยและตั้งคำถามมาว่า

ขอเรียนถามด้วยความเคารพนะครับ มิได้มีเจตนาจะล่วงเกินหรือ สบประมาท ใดๆทั้งสิ้น

1. Blog นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อโต้แย้งพระเพียงองค์เดียวหรือครับ

2.ถ้าเปรียบ เทียบกับ วัดธรรมกาย หรือ ท่าน โพธิรักษ์ ฯลฯ แล้ว
อย่างไหนอันตราย และเร่งด่วนกว่ากันครับ

3.ผมก็เคารพนับถือพระอาจารย์ทั้ง 2 องค์ เหมือนกันครับ
แต่กระผม ไม่สามารถแยกแยะหรือวินิจฉัยได้ ว่าจริงๆ แล้ว
แค่สอนผิด แค่เป็นเรื่องของภาษา หรือ มีอะไรที่มากกว่านี้ครับ

เพิ่มเติมครับ ผมก็ติดตามอ่านที่พันทิพตลอดครับ แต่ไม่กล้า post ความเห็น หรือ คำถาม เพราะที่นั่นแรงมาก อ่านของที่นี่แล้วคิดว่าพอถามได้ครับ


ก็ขอตอบข้อสงสัย ดังนี้ครับ

บล๊อกผมให้อิสระในการออกความเห็นอยู่แล้วครับ แต่ขออย่าใช้คำหยาบคายจนเกินไปก็พอครับ

1. Blog นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อโต้แย้งพระเพียงองค์เดียวหรือครับ

๑. บล๊อกนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์สร้างขึ้นมาเพื่อโจมตีพระเพียงองค์เดียวเท่านั้น
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงนั้น ต้องการสื่อเรื่องคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
และการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา เพื่อให้เข้าถึงธรรมที่ถูกที่ควรครับ


เราท่านต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นกันก่อนว่า ปัจจุบันนี้มีคำสอนที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ถึงขนาดกลับขาวเป็นดำไปเลยก็มี ไม่ตรงต่อคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ได้แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง มีการนำคำสอนเหล่านั้นมาปรามาสคำสอนของพระอาจารย์ท่านอื่นๆให้เสียหาย

โดยเฉพาะผู้ที่ยังใหม่อยู่ ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตนเองเลยว่า อันไหนถูก อันไหนคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะมีการชักจูง โดยการโปรปากานดากันอย่างมากมาย ที่เกินกว่าความเป็นจริง ให้เกิดความเชื่อถือด้วยวิธีการต่างๆนานา โดยลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันสร้างภาพลักษณ์กันขึ้นมา เพื่อให้เห็นเป็นอย่างนั้น

แถมเนื้อหาในคำสอนนั้น ยังเป็นการชี้นำ ให้ผู้ที่ปฏิบัติใหม่อยู่หรือเก่ากะลาแล้วก็ตาม เห็นว่าการปฏิบัติธรรมกรรมฐานต่างๆของสายอื่นๆนั้น เป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง และคลาดเคลื่อน

ทำให้เกิดการกลัวการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา(สัมมาสมาธิ) กันเป็นวงกว้างขึ้น เช่น สอนว่า การทำสมาธิภาวนานั้น ทำให้ติดสุขบ้างหละ ไม่เกิดญาณปัญญาบ้างหละ ทำให้เนิ่นช้าเสียเวลาบ้างหละ เหมือนหินทับหญ้าเอาไว้บ้างหละ ฯลฯ

ทั้งๆที่คำสอนดังกล่าวนั้น ขัดแย้งกับพระพุทธวจนะของพระพุทธองค์ และคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลายแต่เก่าก่อน

2.ถ้าเปรียบ เทียบกับ วัดธรรมกาย หรือ ท่าน โพธิรักษ์ ฯลฯ แล้ว
อย่างไหนอันตราย และเร่งด่วนกว่ากันครับ


๒.ส่วนเรื่องวัดธรรมกายที่เป็นการแตกแขนงออกมาจากท่านอาจารย์หลวงพ่อสดนั้น อาจมีการแปลกแยกออกไปจากวัตถุประสงค์เดิมที่หลวงพ่อท่านได้วางเอาไว้ มีการขายบุญอย่างออกหน้าออกตา เหมาะสำหรับกลุ่มที่บ้าบุญ แต่ก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา ยังไม่เคยเห็นมีคำสอนที่ไปโจมตี การปฏิบัติธรรมต่างๆของสายอื่นๆเลย คงเน้นสอนแต่ของตนเอง

ส่วนท่านโพธิรักษ์นั้น ท่านก็โดนอาญาจากทางเถรสมาคมเล่นงานเข้าไปแล้ว
มีสถานะเป็นเพียงนักบวชเท่านั้น ไม่ใช่พระในธรรมวินัยนี้ เท่านี้ก็แรงพอแล้วนะครับ

ผมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เร่งด่วนมากกว่าครับ เพราะมีการแอบอ้างทั้งอ้างอิงโดยมีเจตนามิชอบซ่อนเร้นอยู่ว่า พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลายในสายปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา ได้กล่าวรับรองผลการปฏิบัติของท่าน(คุณก็รู้ว่าใคร)ไว้ว่าเป็นอเสขบุคคล ขั้นนั้นขั้นนี้

ซึ่งเป็นเรื่องน่าคิดพิจารณาเอามากๆว่า คำสอนของท่าน(คุณฯ) มักขัดแย้งกับ คำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย ที่ท่านมักชอบนำเอามาแอบอ้างถึง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เลยครับ ที่ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะมารับรองคำสอนของท่านอื่น ที่สอนขัดแย้งกับคำสอนของตนเองที่สอนเอาไว้ครับ

3.ผมก็เคารพนับถือพระอาจารย์ทั้ง 2 องค์ เหมือนกันครับ
แต่กระผม ไม่สามารถแยกแยะหรือวินิจฉัยได้ ว่าจริงๆ แล้ว
แค่สอนผิด แค่เป็นเรื่องของภาษา หรือ มีอะไรที่มากกว่านี้ครับ


๓.การที่ท่านนับถือท่านอาจารย์ทั้งสองท่าน ก็คงไม่มีใครว่าอะไรได้ครับ? เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะทำได้ หรือเชื่ออะไรก็ได้ที่ตนเองเชื่อถือ แต่การนับถือศาสนาพุทธนั้น พระพุทธองค์ท่านทรงวางแบบแผนไว้ชัดเจนแล้วนิครับว่า

เมื่อเราได้ล่วงไปแล้ว ให้ท่านทั้งหลาย ถือเอาพระสูตรและพระวินัยเป็นศาสดาของเธอแทนเราต่อไป

ท่านทั้งหลายลองพิจารณาให้ดีๆสิครับว่า
คำสอนของทั้งสองท่าน(ผู้แอบอ้างกับผู้ที่รับรอง)นั้น ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ

ผมขอยกเอาแค่เรื่องจิตเรื่องเดียว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญทางพระพุทธศาสนา มาเทียบเคียงให้ดู

ท่านหนึ่งสอนว่า จิตมีดวงเดียว จิตไม่เกิดดับ
ที่เกิดดับไปคืออาการของจิตที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์นั้นๆ


อีกท่านหนึ่ง(ผู้แอบอ้าง)สอนว่า จิตมีหลายดวง จิตเกิดดับตลอดเวลา
จิตเป็นตัวทุกข์ มีเก่ามีใหม่ปนเปกันหมด


ทั้งๆที่ในพระบาลีก็กล่าวไว้ออกจะชัดเจนว่า "เอก จรํ" จิตมีดวงเดียว ท่องเที่ยวไป และครูบาอาจารย์ในสายปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา ส่วนใหญ่ล้วนสอนตรงกันว่า จิตมีดวงเดียว แต่ละคนนั้นมีจิตเพียงดวงเดียว ของใครของมัน และเป็นที่บันทึกลงไปของกรรมดีกรรมชั่วที่จิตดวงนั้นได้กระทำไว้ครับ

การจะชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายตามพระพุทธพจน์นั้น ต้องชำระที่จิตดวงเดียวที่มีอยู่ของใครของมัน จึงจะถูกต้องตามความเป็นจริง

ส่วนที่เราเห็นเกิดๆดับๆนั้น ล้วนเป็นอาการของจิตที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น ที่แสดงออกมาตามอารมณ์ต่างๆที่จิตเข้าไปยึดไม่เหมือนกัน

จึงทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นจิตคนละดวงกัน แท้จริงแล้วเป็นอาการของจิตที่แสดงอาการออกมาแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
ตลอดเวลาของการเกิดๆ ดับๆ จิตของเราย่อมยืนตัวรู้อยู่ตลอดเช่นกัน ว่ามีอารมณ์อะไรบ้างที่เกิดๆ ดับๆไปแล้ว


แถมท่านยังมีการเอาคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ มาสอนและเพิ่มเติมอีกว่า หลวงปู่ดูลย์ได้สอนคลาดเคลื่อนไปจากที่ควรเป็น (เก่งเกินครู) ทั้งๆที่หลวงปู่ดูลย์นั้น เราชาวพุทธทั้งหลายเชื่อกันว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูง

ท่านไม่เคยคิดพิจารณาหันกลับมามองตนเองเสียบ้างเลย เพราะไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ตนเองยังเป็นผู้เข้าไม่ถึงหัวใจพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วเองต่างหาก จึงเห็นไปว่าครูบาอาจารย์สอนคลาดเคลื่อนไป

โดยที่ตัวผู้ที่ชอบแอบอ้างนั้น ตนเองมีจริยาวัตรที่มักล่วงละเมิดศีลเป็นประจำ
โดยเฉพาะศีล๕ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการปฏิบัติกรรมฐานภาวนา


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต





Create Date : 14 กันยายน 2552
Last Update : 19 มกราคม 2558 14:58:09 น.
Counter : 817 Pageviews.


ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์