เรียนรู้อดีต เพื่อสอนปัจจุบัน ให้ใช้อนาคตอย่างเหมาะสม
 
เป้เดี่ยว...เที่ยวหมื่นไมล์ ตอนลุยทราย...ตะกายพีระมิด 3

ตอนที่3 หมดแรงที่ซักคาราห์

หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย เราก็แบ่งทีมออกเป็นสอง โดยผมและหวานใจ รับหน้าที่ไปหาตั๋วรถไฟที่จะไป อเล็กซานเดรียเช้าวันพรุ่งนี้ และตั๋วรถนอนเพื่อจะไปลักซอร์ในคืนนั้นด้วย (เป็นไงโหดไหมทริปผม) ส่วนคุณพี่ทั้งสอง รับหน้าที่หาร้านอาหารพื้นเมืองอร่อยๆ และหรืออาจจะหาทางไปกีซ่าและซักคาราห์ถ้ามีเวลา วันสุดท้ายเมื่อย้อนกลับมาไคโรอีกครั้งหนึ่ง พวกเราจะได้ไม่เหนื่อยมาก จะได้แค่เที่ยวเฉพาะในตัวเมืองไคโร



ลิฟท์สุดคลาสสิก ของโรงแรมมีรามีส

ผมสอบถามเส้นทางจากพนักงานโรงแรมเพื่อจะไปสถานีรถไฟ ตอนแรกตั้งใจจะเดินไปเนื่องจากดูแผนที่แล้วไม่ไกลมากและอากาศก็เย็นสบายไม่ร้อน แต่เขาแนะนำว่าให้ไปแท็กซี่ดีกว่า เพราะทางเดินวกวน พร้อมทั้งพาลงไปหน้าอาคารและโบกแท็กซี่ให้ แล้วยังเจรจาต่อรองให้เสร็จว่า แค่ 5 ปอนด์ (ราว 30บาท)
แหมใจดีจริง ผมคิด

เสร็จสรรพเราทั้งคู่ก็ขึ้นแท็กซี่ เดินทางไปสถานีรถไฟรามเซส (เหมือนสถานีหัวลำโพงบ้านเรา) ขอบอกก่อนว่า แท็กซี่ที่อียิปต์ไม่เหมือนแท็กซี่บ้านเรา เนื่องจากสภาพเก่าและโทรมมากๆ น่าจะผลิตมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบมสามสิบปีมาแล้ว และอย่าหวังว่าจะมีแอร์ โชคดีที่ตอนนี้ฤดูหนาว ถ้ามาฤดูร้อนคงแย่ แถมคันที่ผมมายังมีกลิ่นไอเสียเล็ดลอดเข้ามาตลอดเวลาอีก

ผมอยากเสนอข้อแนะในการนั่งแท็กซี่ที่อียิปต์โดยเฉพาะที่ไคโร มีกฎอยู่สามข้อคือ
1 ต่อราคาให้เรียบร้อยก่อนขึ้น เพราะเขาไม่ใช้มิเตอร์แม้ว่าบางคันจะติดโชว์ไว้ ถ้าคุณขึ้นโดยไม่ถามราคาก่อน เขา
จะชาร์ตราคาตามความพอใจเลย (ไม่จ่ายก็ไม่ได้เพราะนั่งไปแล้ว)
2 เขาจะถือว่าดูถูกเขา หากเรานั่งที่นั่งหลัง โดยเฉพาะถ้านั่งคนเดียว ถ้ามาสองควรนั่งข้างหน้าหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าเป็น
ชาย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงมาคนเดียว ก็นั่งที่นั่งหลังได้
3 ไม่ต้องทิปเพิ่ม ตกลงราคาไหน ก็จ่ายราคานั้น และไม่ต้องสนใจหากแท็กซี่จะชาร์ตราคาเพิ่มขึ้น ให้เดินลงจากรถ
ไปเลย อย่ายืนเถียงเพราะคุณไม่มีทางเถียงทัน (แนะนำให้เอากระเป๋าไว้กับตัว อย่าไปไว้กระโปรงหลัง เพราะเคย
มีเหตุการณ์ โชเฟอร์นั่งทับกระโปรงหลังไม่ยอมคืนกระเป๋าให้ หากไม่จ่ายเงินเพิ่ม)


ผมนั่งหน้า โดยให้หวานใจนั่งที่นั่งหลัง พร้อมดมกลิ่นควันไอเสีย และระแวงเล็กๆไปตลอดทาง ว่าจะมีปัญหาดังกฎข้างต้นหรือไม่ แล้วก็จริง! เมื่อถึงสถานีรถไฟ ผมยื่นแบงค์ 5 ปอนด์ส่งให้ โชเฟอร์รับเงิน พร้อมทั้งบอกว่า ต้องจ่ายอีกห้า!! เพราะ 5 ปอนด์ที่ตกลงหมายถึงคนละ5 (แต่ผมถามเจ้าของโรงแรมยืนยันว่า แค่ 5 ปอนด์ก่อนขึ้นรถ) ผมจึงไม่สนใจรีบจูงแขนหวานใจ เข้าสถานีรถไฟทันที
เห็นไหมเกือบไปแล้ว ผมคิด

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะผมพอจะทราบมาว่า คนที่ไคโรเขามักจะมีนิสัยเจ้าเล่ห์นิดๆพอน่ารัก หรือตุกติกกับนักท่องเที่ยวนิดๆหน่อยๆ โดยถือว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรไม่เสียหายตรงไหน ซึ่งผิดกับเมืองอื่นๆที่อยู่ค่อนลงมาในใจกลางประเทศที่จริงใจ และไว้เนื้อเชื่อใจได้มากกว่า ซึ่งเอาไว้ผมค่อยเล่าให้ฟังต่อไป

เมื่อเดินเข้าสถานี มองไปด้านซ้ายก็เห็นสำนักงานรถไฟตู้นอน ของบริษัท Abela Egypt จึงเข้าไปติดต่อซื้อตั๋วไปลักซอร์ คืนวันพรุ่งนี้ ราคา 60 ดอลล่าต่อคน ( เกือบสองพันบาท) เขารับเงินดอล เท่านั้นไม่รับเงินอียิปต์?? แต่เที่ยวกลับตั๋วเต็ม เราจึงต้องไปหาตั๋วรถนั่งชั้นหนึ่งซึ่งเป็นของรัฐกลับ ราคา 109 ปอนด์ต่อคน (หกร้อยกว่าบาท ถูกกว่าเยอะ แต่ต้องนั่งกลับ) จากนั้นเราเดินไปช่องขายตั๋วอีกที่หนึ่ง เพื่อหาซื้อตั๋วเดินทางไปอเล็กซานเดรียไปกลับ ซึงต้องเดินไปอีกด้านหนึ่งของอาคาร

อาจสงสัยว่าทำไมผมถึงเดินไปถูก ทั้งที่สถานีรามเซส มีขนาดไม่เล็กกว่าหัวลำโพงบ้านเราเลย มีช่องขายตั๋วหลายสิบช่อง แถมไม่มีป้ายบอกเป็นภาษาอังกฤษอีกต่างหากว่าช่องไหน ขายตัวไปไหน งานนี้ได้คุณตำรวจท่องเที่ยวท่านหนึ่ง มาอำนวยความสะดวกให้ เพราะเห็นผมและหวานใจยืนเกาศีรษะงงๆอยู่ แถมยังช่วยเขียนกำกับตั๋วให้ด้วย ว่าใบไหนไปที่ใด รถออกเวลาอะไร ขบวนที่เท่าไหร่ ที่นั่งเบอร์อะไร เพราะดังที่เคยบอกไปแล้วว่า ที่นี่ใช้อักษรอาหรับ ไม่ได้ใช้สากล (ความจริงก็พอมี แต่ดูยากเนื่องจากไม่รู้ว่า ตัวหนังสือที่กำกับ ข้างหน้าตัวเลขเหล่านั้นหมายถึงอะไร) ภายหลังเมื่อผมชำนาญแล้ว ก็สามารถอ่านเลขอาหรับได้ไม่ยาก (ไว้ค่อยเล่าให้ฟัง นะครับ)

เสร็จสรรพ ผมขอบคุณคุณตำรวจด้วยความซาบซึ้ง แต่แกทำท่าจะให้ผมตอบแทนสินน้ำใจแกเล็กน้อย ตอนแรกผมงงไม่เข้าใจ (มารู้ทีหลังว่า ถ้าอยากได้ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ จากเจ้าหน้าที่ ต้องให้สินน้ำใจเขาเล็กน้อย เหมือนเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา) เขาเห็นผมไม่ให้สักที ก็เลยจะขอปากกาที่ผมใช้ ผมก็เลยต้องให้เขาไป



คุณตำรวจที่ช่วยเหลือพวกเรา

ได้ตั๋วรถเรียบร้อย ก็เดินทางกลับ คราวนี้รถติดมาก ราคาแท็กซี่จึงขึ้นเป็นสิบปอนด์โดยปริยาย ซึ่งผมก็โอเค แถมคราวนี้โชเฟอร์เป็นคุณลุงอายุ หกสิบกว่าๆ ที่พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ แกพาเราวกไปวนมาอยู่ชั่วโมงกว่า ทั้งที่คราวมา ใช้เวลาแค่สิบกว่านาทีจนผมเกรงว่าคุณลุงจะโก่งค่าโดยสาร แต่หวานใจไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเพราะหลับตลอดทาง แต่แกคงไม่รู้จักโรงแรมเราจริงๆ เพราะลุงเขาคอยถามทางไปโรงแรมจากแท็กซี่คันข้างๆเมื่อรถติดเป็นระยะๆ

ในที่สุดเราก็มาถึงโรงแรม ซึ่งเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี เป็นอันว่าเราไม่ได้หม่ำมื้อเช้า (เห็นไหม ถ้าผมและหวานใจไม่หม่ำมื้อเช้าบนเครื่องบิน ล่ะก็... แย่แน่)

เมื่อมาถึงก็ทราบว่า พี่ทั้งสองได้ติดต่อให้ทางโรงแรม หาแท็กซี่ไปกีซ่า และซักคาราห์เรียบร้อยแล้ว โดยเขาคิดราคา เหมาครึ่งวัน 150 ปอนด์ ก็ราวเก้าร้อยบาท (ผมเคยเช็คราคา เต็มวัน ประมาณ 200-250 ปอนด์ ) ทุกคนพอใจในราคา เนื่องจากทุกคนยังไม่ได้กินอะไรเป็นมื้อหลักเลยตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะหวานใจที่เริ่มหิวตะหงิดๆ แต่ถ้าเราจะไปหม่ำกันก่อนก็กลัวจะเที่ยวไม่ทัน เพราะกลัวว่าพีระมิดจะปิดก่อน จึงตกลงใจว่า ระหว่างเดินทาง จะให้แท็กซี่แวะ หาของว่างที่ซุปเปอร์มาเก็ต กินรองท้องไปพลางๆ ก่อนที่จะกินมื้อใหญ่กันอีกทีในตอนเย็นเลย (งานนี้เที่ยวเรื่องใหญ่.....กินเรื่องเล็กอยู่แล้ว)

สักครู่แท็กซี่ก็มาถึง หน้าแปลกที่รถค่อนข้างใหม่ผิดกับแท็กซี่อื่นๆ น่าจะราวห้าหกปี เป็นรถเกาหลีขนาดกลางยี่ห้อดัง แต่แน่นอนไม่มีแอร์ มีสีถลอกและรอยบุบตามสไตล์ อียิปต์ คนขับวัยใกล้สี่สิบ ชื่อซาลาม (ที่แปลว่าสันติ) พูดเก่งและเอาใจพวกเราเต็มที่ โดยเฉพาะเวลาคุยกับหวานใจจะพูดว่า “ yes, my queen” ทุกคำ
เห็นสายตาเขม่นๆ จากผมไหม...ซาลาม ผมมองตาเขียว

เมื่อซาลามทราบว่าพวกเรายังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยตั้งแต่เช้า ก็อาสาพาไปกินอาหารอียิปต์ที่ร้านเลื่องชื่อ ซึ่งอยู่ทางผ่านไปซักคาราห์ แต่ผมปฏิเสธเพราะกลัวเวลาไม่ทัน พร้อมทั้งเสนอว่า ไว้ค่อยไปกินตอนเที่ยวเสร็จก็แล้วกัน (ผิดวิสัยนะนี่...ปกติเรื่องกินเรื่องใหญ่สำหรับผม แต่อาจเพราะหมั่นไส้เจ้าซาลาม ที่คอยออดอ้อนqueen ของเขา) ทุกคนพยักหน้า เจ้าซาลามก็เลยตอบตกลง

ไม่นานนักรถก็มุ่งขึ้นทางด่วนนอกเมือง มองเห็นมหาพีระมิด ทั้งสามไกลๆ ซาลามบอกว่า จะพาไปซักคาราห์ก่อน และไปเมมฟิส แล้วค่อยวกกลับมาที่กีซ่า ซึ่งอยู่ใกล้ไคโรที่สุด ทุกคนตอบตกลง

ยังไม่ทันถึงซักคาราห์ดี รถก็จอดสนิทที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนร้านหมูกระทะขนาดใหญ่ (คงไม่มีแน่ๆ ที่อียิปต์) ซาลามบอกว่าเขากลัว queen ของเขาจะหิวเกินไป เลยพามาแวะร้านอาหารพื้นเมืองก่อน
กินก็กินฟะ เดี๋ยวหวานใจจะเป็นลมเสียก่อน ผมคิดพร้อมทั้งหันไปมองหน้าทุกคน (เพราะผมนั่งที่นั่งหน้าคู่กับซาลาม) ทุกคนพยักหน้า เราจึงลงจากรถ

เมื่อเดินเข้าไปในร้าน อย่างที่บอกลักษณะร้านเป็นโถงโล่งๆ คล้ายร้านหมูกระทะ มีโต๊ะมากมาย แต่เต็มไปด้วยลูกค้าชาวต่างชาติ จนแทบจะหาโต๊ะว่างไม่เจอเลย เมื่อได้โต๊ะ ซาลามบอกว่า ไม่ต้องกังวล เขารู้จักพนักงานดี รับรองไม่ต้องรอนาน

แต่ท่าทางเพื่อนซาลามจะไม่สนิทจริงดังว่า เพราะทุกคนที่ซาลามไปทักเพื่อจะได้สั่งอาหาร ต่างออกตัวว่างานยุ่ง ลูกค้ามาก (ผมฟังไม่ออกเดาท่าทางเอา...แต่ลูกค้าเขาเยอะจริง) ต้องรอพักใหญ่จึงมีพนักงานมาสอบถาม โดยแจ้งราคาว่า อาหารคิดเป็นรายหัวปริมาณไม่อั้น หัวละ 60 ปอนด์ (350 บาท) ไม่รวมเครื่องดื่ม ทุกคนได้กลิ่นอาหารจนท้องร้องลั่น ช่วยกันตอบตกลง พร้อมทั้งเชื้อเชิญซาลามให้มาร่วมโต๊ะด้วยตามมารยาท ซึ่งซาลามมิได้รังเกียจที่จะมาร่วมโต๊ะเลย (ก็ทานฟรีนี่)

ไม่นานนักอาหารชุดแรกเรียกน้ำย่อยก็มาถึง เรียกว่า เมซเซ ประกอบด้วยสลัดผักและถั่วหลายชนิดหลากจาน กินกับแป้งแผ่นคล้าย จะปาตีหรือโรตีของอินเดีย แป้งนุ่มมาก เครื่องสลัดก็หลากรส บางจานออกเผ็ดนิดๆ ซาลามอธิบายชื่อชนิดผักต่างๆ จนผมจำได้ไม่หมด สักพักก็มีจานหลักมาเสิร์ฟ เป็นเนื้อย่างหลากชนิด กินคู่กับข้าวสวยผัดเนย และมันฝรั่ง ผมกินจานเดียวก็อิ่ม ส่วนที่เหลือ ไม่มีใครทานหมดเลยยกเว้นซาลาม จึงเรียกให้เช็คบิล มื้อนี้เราจ่ายเกือบหนึ่งร้อยปอนด์ต่อคน เพราะต้องเลี้ยงซาลามด้วย และโดนพนักงานบังคับให้จ่ายทิป (ตอนแรกผมให้ทิปแค่สองปอนด์ แต่เขาบอกว่าน้อยไปเลยต้องให้สิบเปอร์เซ็นต์ ของราคาอาหารถึงจะยอม)
มีการบังคับทิปด้วย...ไหนตอนแรกบอกว่าให้หรือไม่ให้ก็ได้ไง ผมคิด จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถนั่งพุงกางไปซักคาราห์ต่อ

ซักคาราห์เป็นแหล่งสุสานของราชวงศ์เก่า อยู่ห่างจากไคโรเมืองหลวงปัจจุบันของอียิปต์ไปทางใต้ยี่สิบกว่ากิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของเมมฟิสที่เป็นที่อาศัยของคนเป็น อดีตเมืองหลวงแห่งแรก ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำไนล์ไปทางทางทิศตะวันออก มีอายุราว 5,100 ปีมาแล้ว

บริเวณซักคาราห์ จะมีพีระมิดของราชวงศ์ เก่าหลายแห่ง แต่ที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ พีระมิดขั้นบันไดของโซเซอร์ (ราชวงศ์ที่3: 2668-2649 BC) เป็นพีระมิดยุคต้นสุด จากแนวความคิดของฟาโรห์อิมโฮเทป ซึ่งพระองค์เป็นทั้งวิศวกร นักดาราศาสตร์ และเภสัชกรในตัวคนเดียว นอกจากนั้นก็ยังสุสานชั้นเดียว หรือมาสตาบา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดที่มาของพีระมิด ของขุนนางอีกหลายแห่ง หลังซื้อตั๋วเข้าชมแล้วพวกเราต่างช่วยกันยิงรูปถ่าย กันคนละหลายๆรูปเพื่อให้คุ้มกับค่าตั๋วที่มีราคาแพงให้คุ้ม จากนั้นซาลามก็พาไปเมมฟิสต่อ


Step pyramid หรือพีระมิดขั้นบันได

นั่งรถมาได้สักพัก ก็ถึงเมมฟิส เมืองหลวงแห่งแรกที่ก่อตั้งโดยมีนีส ฟาโรห์องค์ปฐมแห่งราชวงศ์ที่1 ผู้รวบรวมอียิปต์บน (ที่อยู่ทางใต้ของประเทศติดกับซูดาน) และอียิปต์ล่าง(ซึ่งคือพื้นที่ปากแม่น้ำไนล์) เข้าด้วยกัน ที่เรียกอียิปต์บนและล่าง นี่เขานับจากต้นแม่น้ำไนล์ ไหลไปออกปากอ่าวในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งจะตรงข้ามกับทิศของโลก ปัจจุบันเมมฟิสแทบไม่หลงเหลือสถานที่โบราณแล้ว ส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านและพื้นที่เกษตรกรรม จะเหลือแต่เพียง รูปปั้นยักษ์ของฟาโรห์รามเซส และสฟิงซ์อลาบาสเตอร์เท่านั้น เราใช้เวลาไม่นานนัก ก็ออกเดินทางเพื่อจะย้อนกลับไปกีซ่า เพื่อชมมหาพีระมิด


รูปปั้นรามเซสขนาดยักษ์ ที่เมมฟิส

ขอแทรกนิดหนึ่ง นักประวัติศาสตร์ ได้แบ่งอียิปต์ออกเป็น 30 ราชวงศ์ นับตั้งแต่ฟาโรห์มีนีส จนสิ้นสุดที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช โดยแบ่งเป็นยุคใหญ่ๆสามยุคคือ ราชอาณาจักรเก่า (ยุคพีระมิด) ราชอาณาจักรกลาง และราชอาณาจักรใหม่ สิ่งก่อสร้างในเมมฟิส ซักคาราห์ และกีซ่า อยู่ในส่วนของราชอาณาจักรเก่า โดยยุคนี้ ความรุ่งเรืองสูงสุดอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 3-6

ขอแทรกอีกนิด การซื้อตั๋วเข้าชมต้องดูราคาและเงินทอนดีๆ เพราะคนขายตั๋วบางราย (ขอย้ำว่าแค่บางราย)
จะอาศัยแทคติกทอนเป็นเศษเงินแบงค์ย่อยๆ ถ้าเราขี้เกียจนับหรือนับไม่ดีอาจได้เงินทอนไม่ครบได้ และคงไม่สามารถไปทวงทีหลังได้ถ้าเดินจากมาแล้ว ซึ่งผมไม่ประมาท นับอย่างดี แม้ว่าจะเสียเวลาสักหน่อย

เพราะเสียเวลาที่ร้านอาหารกว่าสองชั่วโมง แม้พวกเราจะพยายามใช้เวลาเที่ยวชมซักคาราห์ และเมมฟิสให้สั้นที่สุด เราก็ไม่สามารถชมพีระมิดที่กีซ่าทัน เพราะเมื่อมาถึงก็เหลือเพียงสิบนาทีเท่านั้น ประตูจะปิดได้แต่ชะโงกดูหน้ารั้วเท่านั้น สร้างความหงุดหงิดให้กับหวานใจและพี่สาวอย่างมาก เพราะความจริงต้องพวกเราต้องการแค่ของว่างกินลองท้องระหว่างเดินทางเท่านั้น แต่ซาลามทำให้พวกเราต้องจ่ายค่าอาหารราคาแพง และเสียเวลากิน

ซาลามแก้ตัวโดยเสนอว่าเขามีเพื่อน(อีกแล้ว) ที่เปิดร้านขายของเป็นตึกแถวอยู่ใกล้กีซ่า ที่สามารถขึ้นไปถ่ายภาพพีระมิดได้ชัดเจน แน่นอนเราคงต้องจ่ายเพื่อขึ้นไป พวกเราจึงปฏิเสธ (ไหนๆต้องจ่าย สู้ซื้อตั๋วเข้าไปได้สัมผัสพีระมิดไม่ดีกว่าหรือ) และร้องขอให้พาเรากลับโรงแรมด้วยความเซ็ง
ฝากไว้ก่อนนะสฟิงซ์ แล้วจะกลับมาดูให้เต็มอิ่มเลย ผมหมายมั่นปั้นมือ



ระหว่างทางกลับโรงแรม ซาลามยังเสนอว่าคืนนี้พวกเราน่าจะลองไปล่องเรือใบเฟลุกกา ในแม่น้ำไนล์นะ เขามีเพื่อน...(อีกแล้ว) พวกเรารีบปฏิเสธ เพราะตั้งใจจะไปล่องที่ลักซอร์ หรือที่อัสวาน ที่บรรยากาศดีกว่ากันมาก บวกกับความอ่อนเพลียที่ถาโถมเข้ามาจากแดดที่แรงกล้าและควันไอเสียที่อบอวล ซาลามจึงถอนใจบอก up to you

เมื่อถึงโรงแรมผมจ่ายให้ซาลาม 150 ปอนด์บวกกับทิป (ที่จริงไม่น่าให้เลย...แต่เพราะเพิ่งเป็นวันแรก พวกเราเลยใจป้ำ) อีก30ปอนด์ รวมเป็น 180 ปอนด์ จากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายไปสลบเหมือด เตียงใครเตียงมันด้วยความอ่อนเพลีย.....สิ้นสุดวันที่หนึ่งของการเดินทาง



พีระมิดกีซ่าที่อดชมในวันแรกเพราะซาลาม


Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 19:41:40 น. 2 comments
Counter : 2411 Pageviews.  
 
 
 
 
ตามมาอ่านค่ะ รูปปั้นใหญ่มาจริงๆค่ะ ตอนแรกนึกว่าถ่ายภาพแบบยีนส์ แต่เหลือบไปมอง อ้าว นั่นคนเดินนี่น่า ตัวเล็กจิ๊ดเดียวเอง ....
 
 

โดย: ann_269 วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:12:44:01 น.  

 
 
 
ไปอีกเมื่อไหร่ชวนด้วยน๊า086-8096622
 
 

โดย: NIM IP: 118.174.57.19 วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:18:34:04 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

adept
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




แม้สายน้ำมิอาจไหลย้อนกลับ แต่เราสามารถแลหลัง เหลียวดูมันได้
[Add adept's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com